อำพล: อากงเอสเอ็มเอส

อัปเดตล่าสุด: 09/08/2565

ผู้ต้องหา

อำพล

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2553

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เป็นเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี (ในวันที่กล่าวโทษ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้กล่าวโทษในคดีนี้

สารบัญ

อำพล ถูกกล่าวหาว่า ส่งข้อความมีเนื้อหาดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ฯรวม  4 ข้อความ ศาลตัดสินว่าอำพลมีความผิดลงโทษจำคุก 20 ปี อำพลเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระหว่างจำคุก 

คดีนี้ได้รับความสนใจมากเนื่องจากคำพิพากษาลงโทษที่สูง จำเลยเป็นชายแก่ที่ฐานะยากจนและปฏิเสธว่าตัวเองส่งข้อความ SMS ไม่เป็น และคดีนี้มีประเด็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้หมายเลขอีมี่ของเครื่องโทรศัพท์เป็นหลักฐานสำคัญ

ภูมิหลังผู้ต้องหา

อำพล อายุ 61 ปี (ในวันที่ถูกจับ) เคยประกอบอาชีพขับรถส่งของ ก่อนถูกจับไม่ได้ประกอบอาชีพเนื่องจากอายุมากและพูดไม่ถนัดหลังการผ่าตัดมะเร็งใต้ลิ้นตั้งแต่ปี 2550 ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีอำพลอาศัยอยู่กับภรรยาในห้องเช่าราคาเดือนละ 1,200 บาท ย่านสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ดำรงชีพด้วยเงินที่ได้รับจากลูกๆ แต่ละวันมีหน้าที่ต้องเลี้ยงหลาน 3-4 คน อำพล เคยไปร่วมชุมนุมทางการเมืองทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเป็นครั้งคราว
 

ตามข้อกล่าวหาของตำรวจ อำพลถูกระบุว่าเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์การเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (2) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

อำพล ถูกกล่าวหาว่าใช้โทรศัพท์มือถือ หมายเลข 081-349-3615 ส่งข้อความอันอาจเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทั้งหมด 4 ครั้งไปยังโทรศัพท์มือถือหมายเลขโทรศัพท์ 081-425-5599 ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553

สมเกียรติแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมความผิดทางเทคโนโลยี (ปอท.) หลังจากได้รับ SMS จากเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 0813493615 ที่ส่งมายังเครื่องของตนในวันที่ 9, 11, 12, 22 พ.ค. 2553 รวมจำนวน 4 ข้อความ
 

พฤติการณ์การจับกุม

วันที่ 3 สิงหาคม 2553 ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีพร้อมด้วยสื่อมวลชน เข้าไปจับกุมอำพลที่บ้านพักในย่านสำโรง ตำรวจตรวจพบโทศัพท์มือถือยี่ห้อโมโตโรล่า สองเรื่อง และนี่ห้อเทเลวิซหนึ่งเรื่องในตู้เสื้อผ้า

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

23 กันยายน 2554

สืบพยานโจทก์ปากที่หนึ่ง  นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ผู้กล่าวโทษ
 
ผู้พิพากษา ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ขึ้นบังลังค์เวลา 10.00 น.
 
สมเกียรติเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุ ตนดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 19 พ. ค. 2553 เวลาประมาณ 12.13 น. มีข้อความขนาดสั้นส่งมาที่มือถือหมายเลข 0814255599 ของตน เป็นข้อความที่มีลักษณะหยาบคาย กล่าวถึง พระราชินี พยานได้ถ่ายภาพหน้าจอมือถือเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยหมายเลขผู้ส่งขึ้นว่า +66813493615
 
สมเกียรติให้การต่อว่ามีข้อความจากหมายเลขโทรศัพท์ดัง กล่าวส่งมารวม 4 ครั้ง ทุกครั้งจะกล่าวถึงในหลวงและราชินีด้วยถ้อยคำหยาบคาย อาฆาตมาดร้าย ซึ่งตนได้ถ่ายภาพหน้าจอไว้ทุกครั้ง
 
ต่อมาได้แจ้งความ ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมอบหลักฐานภาพถ่ายหน้าจอมือถือ ขณะที่แจ้งนั้น ยังไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของหมายเลขผู้ส่ง ต่อมาได้ทราบว่า ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ และทราบชื่อว่าเป็นจำเลย(กล่าวชื่อจำเลย) ทั้งนี้ ตนไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน
 
พยานตอบคำถามทนายจำเลยถามค้าน ได้ความว่าหมายเลขโทรศัพท์ของนายสมเกียรติเปิดใช้บริการเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งหมายเลขนี้ใช้ทั้งในการทำงานและชีวิตส่วนตัว เป็นที่แพร่หลายค่อนข้างมาก เพราะต้องแสดงหมายเลขไว้ให้สำหรับติดต่อกับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อร้องทุกข์ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงหมายเลขดังกล่าวได้ พบว่าที่ผ่านมามีคนโทรเข้ามาร้องทุกข์เป็นจำนวนมาก
 
ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะได้รับข้อความ สมเกียรติไม่เคยเห็นหมายเลข +66813493615 และไม่เคยได้รับการติดต่อจากหมายเลขนี้
 
ผู้พิพากษาเห็นว่า คำถามของทนายจำเลยไม่เป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงไม่มีการบันทึกคำให้การดังกล่าว
 
ทนายความจำเลยถามต่อ ได้ความว่า สมเกียรติเริ่มดำเนินการแจ้งความเมื่อมีการส่งมาทั้งสิ้น 4 ครั้ง และได้ไปให้การต่อเจ้าหน้าที่วันที่ 28 มิถุนายน 2553 ศาลบันทึกให้เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
 
เสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้เวลา 10.15 น. รวมระยะเวลาสืบทั้งสิ้น 15 นาที มีผู้สังเกตการณ์ราว 20 คน ประกอบด้วยเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของจำเลยร่วมอยู่ด้วย 5-6 คน อายุตั้งแต่ 5-11 ปี สื่อมวลชนและผู้มาให้กำลังใจ
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สอง ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย เจ้าหน้าที่สืบสวนและร่วมจับกุมจำเลย
 
หลังสิ้นสุดการสืบนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุขแล้ว ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย ขึ้นให้การเป็นพยานโจทก์ปากที่สองเมื่อเวลา 10.30 น. มีผู้พิพากษาภัทรวรรณ ทรงกำพลเพิ่มมาเป็นองคณะร่วมกับผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ที่ขึ้นบัลลังก์อยู่ก่อนแล้ว
 
ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุ ตนเป็นรองสารวัตรประจำกองบังคับการปราบปรามและเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนจับกุม ผู้กระทำความผิด โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2553 ตนได้รับคำสั่งจาก พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ให้สอบสวนคดีที่มีผู้ส่งข้อความขนาดสั้น (sms) ที่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้ามือถือของเลขานุการนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
 
ร.ต.อ. ศักดิ์ชัยกล่าวว่าตนจำชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ไม่ได้แล้ว อัยการจึงถามว่าหมายเลขนั้นลงท้ายด้วย -3615 ใช่หรือไม่ เขาจึงตอบว่าจำได้ลางๆ ว่า ใช่
 
เบิกความต่อว่าตนทราบว่าข้อความนั้น เป็นข้อความหมิ่นฯ จากคำสั่งที่ได้รับมา แต่ไม่ได้เห็นข้อความ ตนทราบว่ามีการส่งข้อความมาที่เบอร์ -5599 ของนายสมเกียรติหลายครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม
 
หลังได้รับคำสั่ง จึงทำการสืบสวนโดยขอข้อมูลจากบริษัท โทเทิล แอคเซส คอมมิวนิเคชั่น (DTAC) จากนั้นได้รับข้อมูลตอบกลับมาว่า หมายเลขที่ใช้ส่งข้อความนั้นระงับการใช้งานไปแล้ว ไม่มีการใช้งานในเดือนมิถุนายน ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่าหมายเลขดังกล่าวใช้งานด้วยระบบเติมเงินหรือจ่ายรายเดือน
 
นอกจาก นั้นตนยังเป็นคนตรวจสอบหาเลขอีมี่ พบว่าหมายเลขโทรศัพท์นั้นใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์ที่มีหมายเลข IMEI  358906000230110 โดยส่งsms จากบริเวณวัดด่านสำโรง ตามเอกสารข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่ามีการส่งต่อเนื่องและมีการหยุดใช้งานไปเหมือนมีการถอดซิมการ์ดออก ตนจึงได้รายงานไปที่ พ.ต.ท. ธีรเดช และ พ.ต.ท. ธีรเดช ได้ส่งเรื่องไปที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อให้ทำการแขวนอีมี่ ซึ่งหมายถึง การนำเลข IMEI ไปตรวจสอบดูว่า ปัจจุบันหมายเลข IMEI ดังกล่าวใช้งานกับหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขใดอีกบ้าง จึงทราบว่า หมายเลข IMEI ดังกล่าวใช้กับหมายเลขที่ลงท้ายด้วย -4627 ของระบบทรู
 
ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ให้การต่อว่า หลังจากนั้น พ.ต.ท. ธีรเดช จึงประสานงานไปที่บริษัททรูอีกครั้งเพื่อตรวจสอบการใช้งานของหมายเลข -4627 ทั้งหมด เมื่อได้เอกสารมา ก็วิเคราะห์ข้อมูลและพบว่า ทั้งหมายเลข -3615 และ -4627 มีพื้นที่ใช้งานใกล้เคียงกัน โดยได้พบว่าหมายเลข -4627 มีการจดทะเบียนโดยใช้ชื่อชายคนหนึ่งซึ่งเป็นสามีของนางกรวรรณ บุตรสาวของจำเลย
 
ต่อจากนั้นตนจึงสืบหาว่าหมายเลขโทรศัพท์ -4627 ใช้ติดต่อกับหมายเลขโทรศัพท์ใดบ้าง พบว่ามีการติดต่อกับหมายเลขโทรศัพท์ของนางสาวปิยมาศ และนางกรวรรณบุตรของจำเลยเป็นประจำ จึงเชิญนางกรวรรณมาสอบปากคำ และได้รับการยืนยันว่า หมายเลข -4627 เป็นของจำเลย บ้านของจำเลยอยู่ในซอยวัดด่านสำโรง 2 และเมื่อพบว่าเลข IMEI ตรงกับเครืองที่ใช้ส่งข้อความสั้นด้วยหมายเลข -3615 จึงเข้าใจว่าเป็นเครื่องเดียวกัน จึงไปตรวจสอบที่บ้านและพบจำเลยอยู่ที่นั่น
 
ร.ต.อ.ศักดิ์ชัยให้การต่อว่า บ้านของจำเลยเป็นบ้านเช่า และนางกรวรรณได้ให้ปากคำว่า จำเลยพักอยู่กับนางสาวปิยมาศ บุตรสาวอีกคนหนึ่ง
ต่อ มามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และขอหมายจับจากศาล และตนเป็นผู้ร่วมจับกุมด้วย โดยในขณะที่จับกุมนั้น ตำรวจเข้าตรวจยึดของกลางได้ 5 ชิ้น มีโทรศัพท์ยี่ห้อ Motorola ที่มีเลข IMEI ตรงกับที่ตรวจสอบ และจำเลยบอกว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้น
 
แจ้งเพิ่มเติมในศาลด้วยว่า จำเลยกล่าวในชั้นจับกุมว่า ก่อนหน้านี้โทรศัพท์มือถือเสียและได้เอาไปซ่อมที่อิมพีเรียล สำโรงในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553
 
ร.ต.อ.ศักดิ์ชัยตอบคำถามทนายจำเลยถามค้าน ได้ความว่า ระยะทางระหว่างอิมพีเรียล สำโรง กับบ้านจำเลย อยู่ห่างกันราว 4 กิโลเมตร
 
มี คำถามจากทนายความจำเลยอีกสี่ถึงห้าคำถามซึ่งศาลไม่อนุญาตถามเนื่องจากเห็น ว่าไม่เป็นประเด็นและไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ได้แก่ ในวันจับกุม หมายเลข -4627 ไม่ได้อยู่ในเครื่องของกลาง แต่อยู่ในเครื่องของภรรยาจำเลยใช่หรือไม่, ตามเอกสาร จ. 6 แผ่นที่ 10 ที่บอกว่ามีการส่งตรวจหมายเลข -4627 ปรากฏหรือไม่ว่าหมายเลข -4627 ส่ง sms ไปถึงโจทก์, ตามเอกสาร จ.6 ปรากฏคำว่า GSM on net เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามารถส่ง sms ทางอินเทอร์เน็ทได้, ตามเอกสาร จ.5 ปรากฏว่าหมายเลข 3615 ใช้เฉพาะการส่ง sms แล้วได้ทำการสืบสวนหรือไม่ว่ามีการส่ง sms ไปยังหมายเลขใดบ้าง
 
อย่างไร ก็ตามในตอนท้ายศาลได้บันทึกคำให้การที่ทนายถามถึงตัวเลข IMEI ที่พบในเอกสารตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ว่าตัวเลขหลักสุดท้าย หรือ หลักที่ 15 ที่ระบุในพยานเอกสารของโจทก์ไม่ตรงกัน คือ ตามเอกสารหมาย จ. 8,10,11 ปรากฏเลขท้ายอีมี่เป็น 6 ส่วนในเอกสาร จ. 5,6 ปรากฏเป็น 0 ซึ่ง ร.ต.อ. ศักดิ์ชัยไม่ทราบว่าเลขอีมี่สามารถนำมาคำนวณได้
 
จากนั้นอัยการถามติง เรื่องตัวเลข IMEI ร.ต.อ.ศักดิ์ชัยให้การว่า ได้แจ้งผู้บังคับบัญชาแล้วว่า ตัวเลข IMEI มีตัวเลขหลักสุดท้ายไม่ตรงกัน อัยการถามอีกว่า ทางบริษัทตอบกลับมาเรื่องเลขอีมี่โดยบอกว่าให้ดูเฉพาะตัวก่อนตัวสุดท้ายใช่ หรือไม่ ร.ต.อ.ศักดิ์ชัยตอบว่า ใช่
 
เสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้เวลาประมาณ 12.30 น. รวมระยะเวลาทั้งสิ้นราว 2 ชั่วโมง
 
27 กันยายน 2554
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สาม  นายชุมพล พูลเกษม ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย บริษัทดีแทค
 
 
ผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาอนุกูล นาคเรืองศรี และผู้พิพากษาภัทรวรรณ ทรงกำพล ขึ้นบัลลังก์เวลา 10.00 น.
 
ชุมพลเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นผู้จัดการฝ่ายกฎหมายของบริษัทโทเทิล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)ได้ร้องขอมายังตนเพื่อดูการใช้งานโทรศัพท์ใน ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ของหมายเลขที่ลงท้ายด้วย -3615 ตนจึงเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในบริษัทมาตรวจสอบ หลังจากนั้นจึงมีการพิมพ์ข้อมูลออกจากคอมพิวเตอร์แล้วทำเป็นเอกสารหนังสือ ส่งไปยังผู้ร้องขอดังกล่าว
 
ชุมพลกล่าวว่า ได้ตรวจสอบดูแล้วพบว่าหมายเลขดังกล่าวมีการติดต่อทาง sms กับหมายเลข -5599 ในวันที่ 9,11,12,15 และ 22 พฤษภาคม 2553 แต่ไม่ทราบว่าข้อความเป็นอย่างไร
 
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอตรวจสอบหมายเลขอีมี่ (IMEI) ที่ใช้ร่วมกับหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าว เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นหมายเลข 358906000230110 จากนั้นตนจึงได้รับการติดต่อมาให้การในคดีนี้
 
ชุมพลให้การต่อว่า หมายเลข -3615 ใช้ระบบเติมเงินของดีแทค
 
จากนั้นทนายจำเลยถามค้าน ชุมพลให้การว่า ครั้งแรกที่ส่งหนังสือถึงตำรวจได้ส่งเฉพาะรายการการใช้โทรศัพท์เท่านั้น ยังไม่มีการแจ้งหมายเลขอีมี่ แต่มีหนังสือขอทราบหมายเลขอีมี่มาในภายหลังจึงได้ส่งข้อมูลกลับไป เมื่อทนายถามถึงความรู้เกี่ยวกับเลขอีมี่ต่อกรณี หากมีการนำเข้าเครื่องโทรศัพท์จากต่างประเทศมาใช้ซ้ำที่เมืองไทยจะกระทำการ เปลี่ยนแปลงเลขอีมี่ได้ ชุมพลให้การว่า ตนไม่ทราบ
 
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเลขอีมี่นั้น ศาลไม่บันทึกลงในสำนวนการพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
 
การสืบพยานปากนี้ สิ้นสุดเวลา 10.50 น.
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สี่ นายธรรมนูญ อิ่มทั่ว เจ้าหน้าที่ธุรการบริษัทดีแทค ผู้ตรวจสอบการใช้งานหมายเลข -3615
 
หลังการสืบพยานปากนายชุมพลเสร็จสิ้น นายธรรมนูญ อิ่มทั่ว เจ้าหน้าที่ธุรการบริษัทดีแทค วัย 36 ปี ขึ้นให้ปากคำเวลา 10.55 น. โดยผู้พิพากษาทั้งสามคน คือ ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ อนุกูล นาคเรืองศรี และภัทรวรรณ ทรงกำพล นั่งบนบัลลังก์ครบองค์คณะ
 
ธรรมนูญเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการของบริษัทดีแทค ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการใช้โทรศัพท์ไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยตนได้รับหนังสือจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ให้ตรวจข้อมูลการใช้งานในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ของหมายเลข -3615 จากนั้นตนได้ร่างหนังสือเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลการใช้งานของหมายเลขดังกล่าว ให้นายชุมพล พูลเกษม ลงลายเซ็นต์ด้วย
 
ธรรมนูญกล่าวว่า ไม่มีการตรวจสอบหมายเลขอีมี่ในครั้งแรกที่ได้รับหนังสือจากปอท. แต่ครั้งต่อมาเมื่อมีหนังสือมาอีกจึงมีการตรวจสอบ
 
ธรรมนูญให้การว่า ตัวเลขหลักสุดท้ายของอีมี่ไม่มีความสำคัญ เพราะทางบริษัทดีแทคจะใส่เลข 0 ไว้อยู่แล้ว
 
จากนั้นทนายจำเลยถามค้าน ได้ความว่า ธรรมนูญรับมอบหมายงานจากนายชุมพล พูลเกษม และเลขอีมี่มีความสำคัญคือเป็นเลขที่ระบุว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาจากบริษัท ไหน รุ่นอะไร ซึ่งเกี่ยวกับเลขอีมี่นี้ ศาลไม่ทำการบันทึกเพราะเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นที่เป็นประโยชน์ นอกจากนั้นแล้วธรรมนูญยังให้การว่าเลขอีมี่ไม่สามารถทำการแก้ไขได้
 
เมื่อทนายจำเลยถามเกี่ยวกับเลข เช็ค ดิจิท (Check digit) ซึ่งเป็นเลขหลักสุดท้ายที่รับรองผลการคำนวณตามสูตรคำนวณเฉพาะของเลขอีมี่ 14 หลักแรก ธรรมนูญให้การว่า ไม่รู้จักเลขเช็ค ดิจิท ดังกล่าว
 
11.45 น. สิ้นสุดการสืบพยานปากธรรมนูญ อิ่มทั่ว
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ห้า นายจักรพันธ์ จุมพลภักดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานราชการ บริษัท ทรู คอร์เปอเรชั่น
 
 
ผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ เห็นว่าควรให้สืบพยานโจทก์ต่อไปให้เสร็จสิ้นทั้งหมดสี่ปากภายในภาคเช้า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของจำเลยด้วย
 
11.50 น. จักรพันธ์วัย 47 ปี ขึ้นเบิกความต่อศาล ได้ความว่า ตนเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานราชการที่บริษัท ทรู คอร์เปอเรชั่น หรือ Truemove ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยตนได้รับมอบหมายจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ให้ตรวจสอบเกี่ยวกับข้อมูลการใช้งานของหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วย -4627 เมื่อตรวจแล้วพบว่าหมายเลขดังกล่าวเปิดใช้งานเมื่อ 7 มีนาคม 2551 แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ใช้
 
สิ่งที่ต้องตรวจสอบนั้นได้แก่ รายการการโทรเข้า-ออก เวลาโทร สถานที่ใช้งาน หมายเลขอีมี่ และสถานีที่ใช้ พบว่าหมายเลขอีมี่ เป็น 3589060002311x โดยเลขตัวหลังนี้บางครั้งพบว่าเป็น 0 บางครั้งพบว่าเป็น 2 ซึ่งสาเหตุนั้นเป็นเพราะในระบบฐานข้อมูลและการแสดงผลจะปรากฏเลขท้ายแสดงค่า ออกมาไม่ตรงกัน นอกจากนั้นจักรพันธ์ยังกล่าวว่า การแก้ไขเลขอีมี่สำหรับโทรศัพท์นำเข้าเพื่อให้มีเลขอีมี่กลางที่ใช้กับทุก เครื่องในระบบนั้นเป็นระบบเก่า ไม่มีการใช้แล้วในปัจจุบัน เพราะโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ผลิตมาจะใช้ได้ทั่วโลก
 
ทนายจำเลยถามค้าน จักรพันธ์ให้การว่า เลขอีมี่สามารถทำการแก้ไขได้จากช่างซ่อมมือถือทั่วไป
 
จากนั้นอัยการถามติง จักรพันธ์ยืนยันว่าการตรวจสอบเลขอีมี่จะดูแค่ 14 หลักแรกเท่านั้น
 
สิ้นสุดการสืบพยานปากจักรพันธ์ จุมพลภักดีเวลา 12.30 น.
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่หก พ.ต.อ. ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยี จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
 
 
พ.ต.อ. ศิริพงษ์เบิกความต่อศาลว่า ตนเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีนี้ เคยได้รับการอบรมหลักสูตรอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หลักสูตรการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ และขณะเกิดเหตุนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับการศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การ กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ และตนเป็นผู้ทำหนังสือสอบถามข้อมูลของหมายเลข -4627 ไปยังบริษัททรูด้วย
 
ในเดือนพฤษภาคม 2553 ตนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับการให้สืบสวนกรณีที่มีคนส่งsms หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปที่หมายเลข -5599 ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เมื่อตรวจสอบพบว่าหมายเลขของผู้ส่งใช้งานเฉพาะการส่งข้อความเท่านั้น จึงสันนิษฐานว่า ผู้ส่งซื้อซิมการ์ดมาสำหรับใช้ส่ง sms โดยเฉพาะ
 
พ.ต.อ. ศิริพงษ์ให้การเกี่ยวกับเลขอีมี่ว่า หลักท้ายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในการตรวจสอบจะดูเฉพาะ 14 หลักแรก และเลขหลักท้ายไม่มีความหมาย ส่วนแต่ละหลักใน 14 หลักแรกของหมายเลขอีมี่นั้นมีความหมาย ดังนี้
6 หลักแรก หมายถึง รหัสประเทศ
2 หลักถัดมา หมายถึง บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์
6 หลักถัดไป หมายถึง ลำดับของเครื่องยี่ห้อนั้น
 
พ.ต.อ. ศิริพงษ์เบิกความต่อว่า เลขอีมี่ซ้ำกันไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยช่าง ซึ่งถ้าเปลี่ยนแล้วจะไปเปลี่ยนที่ฐานข้อมูลด้วย
 
ต่อมาทนายจำเลยถามค้าน พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ให้การว่า ตนทราบว่ามีโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตที่ใช้สำหรับตรวจสอบเลขอีมี่ โดยใช้เพื่อตรวจดูว่า มีเลขอีมี่ใดอยู่ในสารบบหรือไม่ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวไม่สามารถใช้ตรวจแบบละเอียดได้ นอกจากนั้นยังยืนยันว่า เลขหลักท้ายทางบริษัทต้องใส่เป็น 0 อยู่แล้ว
 
อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยร้องขอให้ศาลอนุญาตให้เปิดโปรแกรมดังกล่าวเพื่อให้พยานทำการ พิสูจน์ โดยการตรวจสอบหมายเลขอีมี่โทรศัพท์ตามฟ้องผ่านเว็บไซต์ www.numberingplan.com จากนั้นมีการทดลองใช้โปรแกรมโดย พ.ต.อ. ศิริพงษ์ พบว่าหมายเลขอีมี่ที่ลงท้ายด้วย 6 ซึ่งเป็นหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์มือถือเครื่องที่จำเลยใช้ พบว่าสามารถตรวจสอบพบข้อมูลที่ถูกต้องได้ ส่วนหมายเลขอีมี่ที่ลงท้ายด้วย 0 ตามที่ปรากฏในพยานเอกสารของโจทก์ รวมทั้งเมื่อทดลองกับเลขตัวอื่นๆ พบว่าเว็บไซต์แสดงข้อมูลว่าหมายเลขดังกล่าวไม่มีอยู่ ซึ่งพ.ต.อ. ศิริพงษ์กล่าวยืนยันว่า ตอนที่ทำการแขวนหมายเลขอีมี่เพื่อทำการตรวจสอบนั้น ใช้เพียง 14 หลักแรกเท่านั้น
 
นอกจากนี้ พ.ต.อ. ศิริพงษ์ให้การว่า ตนไม่ทราบสูตรการคำนวณเฉพาะที่นำตัวเลขอีมี่ 14 หลักแรกมาคำนวนหาตัวเลขอีมี่หลักสุดท้าย ทนายความได้นำสืบสูตรคำนวนดังกล่าวและได้ลองนำหมายเลขอีมี่ 14 หลักแรกตามพยานเอกสารของโจทก์มาคำนวนดูพบว่าตัวเลขหลักสุดท้ายต้องเป็นเลข 6 ไม่ใช่เลข 0 และระหว่างนั้นผู้พิพากษาได้ลองนำสูตรคำนวนดังกล่าวไปทดลองกับโทรศัพท์ มือถือของตนเองด้วย
 
สิ้นสุดการสืบพยานปากพ.ต.อ. ศิริพงษ์ ติมุลาเวลา 13.45 น.
 
28 กันยายน 2554
 
สืบพยานโจทก์ปากที่เจ็ด พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พนักงานสืบสวนในคดี
 
 
ผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ และองค์คณะอีกสองท่านคือ ผู้พิพากษาอนุกูล นาคเรืองศรี และผู้พิพากษาภัทรวรรณ ทรงกำพล ขึ้นบังลังค์เมื่อเวลา 9.50 น.
 
พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ วัย 38 ปี เบิกความว่า ตนรับราชการอยู่ที่กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เป็นรองผู้กำกับการ ทำหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด และเป็นผู้ร่วมสืบสวนจับกุมในคดีนี้ ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาว่าให้สืบสวนดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
 
โดย ทราบข้อมูลว่ามีข้อความจากหมายเลข -3615 ส่งข้อความหมิ่นฯ ไปที่หมายเลข -5599 ซึ่งเป็นของเลขานุการนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงวันที่ 9-22 พ.ค. 2553 จึงทำการสืบสวนร่วมกับ พ.ต.อ. ศิริพงษ์ ติมุลา และ ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย เมื่อได้ตรวจสอบหมายเลขจึงพบว่าหมายเลขผู้ส่งได้ปิดการใช้งานไปแล้ว จึงตรวจสอบจากหมายเลขอีมี่ โดยได้ส่งไปทำการแขวนอีมี่ พบว่าเลข IMEI 35890600023110 นั้นได้ใช้กับหมายเลขโทรศัพท์ -4627 ซึ่งเป็นระบบเติมเงิน
 
พ.ต.ท. ธีรเดช ให้การอีกว่า การตรวจสอบหมายเลขอีมี่จะดูแค่ 14 หลักเท่านั้น เลขตัวหลังมีค่าฟรี คือไม่มีความหมายอะไร
 
หลัง จากนั้นจึงอยากทราบว่าใครเป็นผู้ใช้งานหมายเลขดังกล่าวจึงได้ขอรายงานการใช้ โทรศัพท์ของหมายเลข -4627 จากบริษัททรู พบว่ามีการติดต่อกับหมายเลข -5928 อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสืบทราบภายหลังว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของนางกรวรรณ โชติพิชิตชัย จึงขอความร่วมมือกับนางกรวรรณโดยบอกว่า ต้องการสืบสวนเกี่ยวกับคดีอาญา และหมายเลข -4627 นี้เกี่ยวข้องกับคดีด้วย จากนั้นจึงนัดสอบปากคำนางกรวรรณที่กองกำกับการ 1 เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2553
 
สอบ ปากคำได้ความว่าหมายเลข -4627 เป็นของจำเลย ทั้งนี้ ในการสืบสวนมีการซักถามถึงประวัติส่วนตัวของนางกรวรรณด้วย เช่น มีพี่น้องทั้งหมดกี่คน
 
พ.ต.ท. ธีรเดช ให้การว่าหมายเลข -3615 กับ -4627 มีการใช้งานสลับกัน เมื่อสืบพบว่าที่อยู่อาศัยของจำเลยอยู่ใกล้กับเซลล์ไซต์ที่ใช้ส่งข้อความ จึงจัดทำรายงานการสืบสวน และมอบให้เจ้าพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขอ หมายจับจากศาลและรายงานผู้บังคับบัญชาว่าจะวางแผนการจับกุม ได้ออกหมายค้นและเข้าจับกุมตัวเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึง จำเลยอยู่ในบ้านซึ่งเป็นห้องเช่าเล็กๆ กับภรรยาและเด็กๆ
 
มีการจับกุมโดยแจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทำบันทึกรายงานการจับกุม ซึ่งจำเลยให้การว่า โทรศัพท์มือถือ Motorola สีขาว ซึ่งเป็นของกลางหมายเลขหนึ่งนั้น จำเลยใช้งานนานแล้วและใช้คนเดียว
 
ตอบ คำถามทนายจำเลยถามค้าน พ.ต.ท. ธีรเดช ให้การว่า ไม่ได้มีแนวทางพิเศษเกี่ยวกับการดำเนินคดีในช่วงที่มีความรุนแรงทางการเมือง นอกจากนั้นแล้วยังให้การว่า มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการสอบสวน 15 ปี
   
นอกจากนี้ พ.ต.ท. ธีรเดช ยังให้การว่า พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา เป็นผู้รวบรวมข้อมูลทั้งสิ้น อันได้แก่ ข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ที่ได้จากบริษัทดีแทคและบริษัททรู ซึ่งเอกสารเหล่านั้นถูกมอบให้แก่ตน จากนั้นเมื่อตนได้ตรวจเอกสารแล้วจึงส่งให้ ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย เจ้าหน้าที่สืบสวน
 
ให้การต่อว่า ในการตรวจสอบว่าการส่งข้อความสั้นนั้นส่งมาจากพื้นที่ใดไม่ได้ตรวจจากเฉพาะ เสาเซลล์ไซต์เท่านั้น แต่ตรวจจากเลข CI ที่ปรากฏในเอกสารรายงานการใช้โทรศัพท์ว่า CI 23672 ซึ่งเป็นเลขที่ระบุให้ทราบว่า มีการส่งข้อความจากบริเวณไหน โดยเลขซีไอดังกล่าวกินพื้นที่ซอยวัดด่านสำโรงตั้งแต่ซอย 14-36
 
ส่วน พื้นที่การใช้งานของระบบทรูนั้น ตรวจจากเครื่องตรวจคล้ายมือถือ โดย ร.ต.อ.ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัยจากชุดสืบสวนเป็นผู้ตรวจ ไม่ได้อิงข้อมูลเรื่องเสาเซลล์ไซต์
 
เสร็จสิ้นการสืบพยานปาก พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ เวลา 10.55 น. รวมเวลา 1 ชั่วโมง 5 นาที
 
สืบพยานโจทก์ปากที่แปด พ.ต.ท. ณรงค์ แม้นเหมือน พนักงานสอบสวนในคดี
 
 
หลังการสืบปาก พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์สิ้นสุดลง การสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายคือ พ.ต.ท. ณรงค์ แม้นเหมือน เริ่มขึ้นในเวลา 11.00 น.
 
พ.ต.ท.ณรงค์ วัย 51 ปี เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ได้เข้ามาแจ้งความเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2553 ซึ่งแจ้งมาเป็นเอกสารภาพถ่ายหน้าจอมือถือ
 
เบิกความต่อว่า จากนั้นผู้บังคับการได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบสวนสอบสวน โดยมอบหมายให้ตนเป็นผู้สืบหาพยานหลักฐาน จึงได้รวบรวมหลักฐานและสืบพยานบุคคลร่วมด้วยซึ่งได้แก่ พ.ต.ท. ธีรเดช  ธรรมสุธีร์ ได้ความจาก พ.ต.ท. ธีรเดชว่า ได้ใช้หมายเลขผู้ส่งตรวจหาหมายเลขอีมี่จากบริษัทดีแทค พบว่าเป็นหมายเลข 358906000230110 และสอบถามจากบริษัททรูว่า หมายเลขอีมี่ดังกล่าวใช้งานกับซิมการ์ดหมายเลขใด พบว่าเป็นหมายเลข 0858384627
 
พ.ต.ท. ณรงค์ให้การว่า ตนได้สืบถาม ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย พบว่าให้การสอดคล้องกับ พ.ต.ท. ธีรเดช  ธรรมสุธีร์
จึงได้ทำหนังสือไปยังบริษัททรูและบริษัทดีแทคเพื่อขอหลักฐานประกอบ และได้รับเอกสารส่งกลับมา
 
จาก นั้น พ.ต.ท. ณรงค์กล่าวถึงการทำงานของ พ.ต.ท. ธีรเดช ว่าได้สืบว่าหมายเลข -4627 ติดต่อกับใครบ้าง และพบว่ามีการติดต่อกับหมายเลข -5928 ของนางกรวรรณ พ.ต.ท. ธีรเดช จึงติดต่อนางกรวรรณนัดให้มาพบเพื่อให้ปากคำประกอบสำนวน
 
นอกจากนั้นยังได้รับความร่วมมือในการตรวจความหมายของถ้อยคำในข้อความว่าหมิ่นหรือไม่ จากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาสองคน
 
พ.ต.ท. ณรงค์ ให้การว่า มีการแจ้งจับกุมจำเลยสองข้อหา คือมาตรา 112 กฎหมายอาญา และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อหา แต่จำเลยให้การว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์จริง มีการสอบสวนจำเลยถึงสามครั้งจากนั้นตนจึงสั่งฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานมัดตัวจำเลยว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด หรือเป็นผู้กระทำความผิดเอง
 
ต่อมาทนายจำเลยทนายถามค้าน ได้ความว่า พ.ต.ท. ณรงค์ จำไม่ได้ว่าเครื่องที่ยึดได้เป็นของกลางในขณะจับกุมจำเลยนั้นมีแป้นพิมพ์ ภาษาไทยหรือไม่
 
ทนายความจำเลยถามว่า ระหว่างการจับกุมปรากฎว่าจำเลยเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือมีทัศนคติ ต่อต้านสถาบันฯหรือไม่ พ.ต.ท. ณรงค์ ตอบว่าไม่ปรากฏ แต่ศาลไม่ได้บันทึกลงในสำนวนเพราะเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นที่ชี้ขาดในคดี
 
สิ้นสุดการสืบพยานโจทก์ปาก พ.ต.ท. ณรงค์ แม้นเหมือน เวลาประมาณ 12.00 น.
 
30 กันยายน 2554
 
สืบพยานจำเลย
 
สืบพยานจำเลยปากที่หนึ่ง นางสาว พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายจำเลย
 
ผู้พิพากษา ครบองค์คณะ ประกอบด้วย ผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาอนุกูล นาคเรืองศรี และผู้พิพากษาภัทรวรรณ ทรงกำพล ขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 9.45 น.
 
มีการเปลี่ยนตัวอัยการ โดยอัยการที่อาวุโสที่สุดซึ่งเป็นผู้ถามคำถามพยานโจทก์ในวันก่อนหน้า ไม่ได้มาในวันนี้ แต่มีอัยการที่ดูอาวุโสน้อยกว่า 3 ท่านมา ซึ่งทั้งสามท่านมาร่วมในการสืบพยานโจทก์บางนัด โดยอัยการที่อาวุโสที่สุดในสามคนนั่งร่วมด้วยโดยไม่ได้เป็นผู้ถามคำถามตอน ซักค้านพยานจำเลย
 
นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญเบิกความว่า ในฐานะทนายความที่ทำคดีนี้ตนได้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับพยานหลักฐานทาง คอมพิวเตอร์เรื่องการส่งข้อความสั้น และได้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ทั้งที่เป็นนักวิชาการด้านโทรคมนาคมจากสถาบันเทคโนโลยี และอาจารย์ที่เปิดร้านสอนวิชาซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญคนใดมาเบิกความเป็นพยานโดยตรงในศาล
 
จากการศึกษาข้อมูล พูนสุขได้ทราบว่าหมายเลขอีมี่ประจำเครื่องโทรศัพท์นั้นสามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย โดยมีอุปกรณ์ Flshbox มีโปรแกรมเฉพาะที่มีขายและมีสอนกันตามโรงเรียสอนซ่อมโทรศัพท์มือถือทั่วไป สำหรับช่างที่มีความรู้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึง หนึ่งชั่วโมง แต่ต้องแก้ไขให้สัมพันธ์กับหมายเลขที่มีอยู่จริงในระบบ ถ้าหากมีหมายเลขเฉพาะเจาะจงที่ต้องการอยู่แล้วก็สามารถทำได้เลย
 
พูนสุขยังได้นำส่งพยานเอกสารต่อศาลสองฉบับ ฉบับแรกเป็นเอกสารจากเว็บไซต์วิกิพีเดีย ที่อธิบายถึงความหมายของหมายเลขอีมี่ อธิบายว่าหมายเลขอีมี่ 10% ไม่มีลักษณะเฉพาะ และความหมายของหมายเลขอีมี่หลักสุดท้าย พร้อมคำแปลภาษาไทย ฉบับที่สองเป็นเอกสารวิชาการที่สอนวิธีการแก้ไขหมายเลขอีมี่ แสดงถึงความหมายของหมายเลขอีมี่หลักสุดท้าย พร้อมสูตรการคำนวนหาหมายเลขอีมี่หลักสุดท้ายด้วย
 
พูนสุขอธิบายถึงเว็บไซต์ numberingplan ที่ใช้ตรวจสอบหมายเลขอีมี่ ซึ่งพยานโจทก์ปากที่หก คือ พ.ต.อ. ศิริพงษ์ ติมุลา ได้เบิกความถึงและทดลองเปิดในห้องพิจารณาว่า เว็บไซต์นี่เป็นฐานข้อมูลสามารถวิเคราะห์ได้ว่าหมายเลขอีมี่ที่ถูกต้องคือ อะไร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหมายเลขอีมี่แต่ละชุดมีจำนวนกี่เครื่อง และถ้าหากหมายเลขหลักสุดท้ายผิดไปจากความจริงก็จะไม่ปรากฏรายละเอียดในฐาน ข้อมูลให้
 
ต่อมาอัยการถามค้าน ได้ความว่า บุคคลที่พูนสุขอ้างถึงนั้น คนหนึ่งเป็นนักวิชาการด้านโทรคมนาคมในสถาบันการศึกษา อีกคนหนึ่งมีประสบการณ์สอนวิชาการซ่อมโทรศัพท์มือถือและการแก้ไขหมายเลขอี มี่มาหลายปี จากนั้นอัยการถามถึงเว็บไซต์วิกิพีเดียว่า ใครก็สามารถเข้าไปเขียนได้ ฉะนั้นอาจไม่น่าเชื่อถือ พูนสุขให้การว่าวิกิพีเดียใครเขียนก็ได้ แต่ข้อมูลในวิกิพีเดียนี้ยังมีเอกสารทางวิชาการรับรองไว้ด้วย ตรงนี้เชื่อถือได้
 
เมื่ออัยการถามต่อว่า ในทางปฏิบัติแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายเลขอีมี่เพื่ออะไร พูนสุขได้ให้การว่า เมื่อก่อนเวลานำเข้าโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศซึ่งจะมีหมายเลขอีมี่จาก ต่างประเทศทำให้ใช้ในประเทศไทยไม่ได้ ทำให้เจ้าของโทรศัพท์มือถือต้องนำไปเปลี่ยนแปลงเลขอีมี่ ให้เป็นหมายเลขอีมี่กลางก่อน ซึ่งเป็นหมายเลขอีมี่ที่มีโทรศัพท์หลายเครื่องใช้ร่วมกัน และกรณีที่ผู้มีเจตนาจะกระทำความผิดทางอาญาอาจปลอมแปลงหมายเลขอีมี่เพื่อไม่ ให้สืบรู้ถึงตัวผู้กระทำความผิดได้
 
อย่างไรก็ตาม เรื่องการแก้ไขเลขอีมี่นี้ ศาลไม่ได้ทำการบันทึก เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
 
สิ้นสุดการสืบพยานปาก พูนสุข พูนสุขเจริญ เวลา 10.10 น.
 
พยานจำเลยปากที่สอง นายอำพล ต. จำเลยในคดี
 
ศาลนั่งบนบัลลังก์ครบองค์คณะ ประกอบด้วยผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาอนุกูล นาคเรืองศรี และผู้พิพากษาภัทรวรรณ ทรงกำพล ถัดจากเบิกความนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความฝั่งจำเลย นายอำพล จำเลยขึ้นเบิกความด้วยท่าทีนอบน้อม เริ่มเมื่อเวลา 10.15 น.
 
โดยนางสาวพูนสุข ช่วยอ่านคำสาบานให้จำเลยกล่าวตาม เนื่องจากจำเลยสายตาไม่ดี อ่านด้วยตัวเองไม่ได้
 
อำพลเบิกความว่า ตนมีอาชีพเลี้ยงหลาน หลังจากที่หยุดทำงานขับรถส่งของได้นับสิบปีแล้ว จึงทำหน้าที่รับส่งหลานไปโรงเรียน อาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก กับภรรยาและหลานๆ โดยบ้านเช่าตั้งอยู่ที่ซอยวัดด่านสำโรง ซอย 17
 
เบิกความต่อไปว่า ตนไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความ นอกจากนั้นแล้วยังไม่เคยรู้จักหมายเลขโทรศัพท์ -5599 ของนายสมเกียรติ และ หมายเลขโทรศัพท์ -3615 ของผู้ส่ง จากนั้นเล่าถึงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ในวันที่จับกุบนั้นมีการยื่นหมายจับมา แล้วตนได้มอบโทรศัพท์ 2 เครื่องแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยการหยิบยื่นให้โดยไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
 
ที่ผ่านมาตนมักจะไปส่งหลานไปโรงเรียนเป็นประจำ โดยทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านบ้าง พกติดตัวบ้าง บางครั้งเมื่ออยู่ที่บ้านก็ไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัว ซึ่งที่บ้านมีคนเข้าออกอยู่จำนวนหนึ่ง
 
เมื่อเห็นข้อความที่ถูก ฟ้องแล้วรู้สึกเสียใจมาก อำพลกล่าวทั้งน้ำตาว่าตนรักในหลวงและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเคยไปร่วมลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช และได้เข้าไปเคารพพระศพสมเด็จพระพี่นางฯด้วย
ตอบคำถามอัยการถามค้าน อำพลให้การว่า หมายเลขโทรศัพท์ที่ตนใช้นั้นมีอยู่หมายเลขเดียว คือ -4627 โดยใช้คู่กับโทรศัพท์ Motorola สีขาว
 
ใน ช่วงท้ายของการเบิกความ อำพลร้องไห้ไปในระหว่างการเบิกความด้วย เมื่ออัยการพยายามนำเอกสารในคดีมาให้ดูและรับรอง จึงถูกทนายความทักท้วงว่าอำพลสายตาไม่ดีอ่านเอกสารไม่ได้ อัยการจึงแถลงหมดคำถาม ไม่ติดใจที่จะถามคำถามอันเกี่ยวเนื่องกับเอกสารต่อไป
 
สิ้นสุดการสืบพยานปากอำพล ต. เวลา 10.30 น. ใช้เวลาเพียง 15 นาที
 
สืบพยานจำเลยปากที่สาม พยานปากสุดท้าย เด็กหญิง เอ (นามสมมติ) หลานสาวของจำเลย
 
ศาลครบองค์คณะ เริ่มสืบพยานเด็กในเวลา 10.35 น. โดยใช้ห้องพิจารณาคดี 801 เหมือนเดิม มีนักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้ช่วยถามคำถามและดูแลอยู่ข้างเด็กหญิงด้วย
 
เด็กหญิงเอ วัย 11 ปี เบิกความว่า ตนเป็นหลานสาวของจำเลย อาศัยอยู่ในบ้านเช่าร่วมกับจำเลย โดยคนในครอบครัวประกอบด้วย ตน จำเลย ย่า(ภรรยาจำเลย) และน้องอีก 2 คน รวมเป็น 5 คน
 
เด็กหญิงเอยืนยัน ว่าจำเลยมักทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านบ่อยครั้งขณะไปส่งตนและน้องๆ ที่โรงเรียน นอกจากนั้นยังให้การว่า จำเลยเคยพาตนไปลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราชในช่วงปิดเทอมปี 2552
 
ตอบคำถามอัยการถามค้าน ได้ความว่า ที่บ้านนอกจากสมาชิกในบ้านแล้วไม่มีคนอื่นเข้าออก ตนไม่เคยเห็นจำเลยส่งข้อความหาใคร นอกจากนั้นแล้ว เวลาที่จำเลยใช้โทรศัพท์โทรหาผู้อื่น จำเลยจะเปิดสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ก่อนเสมอ
 
เสร็จสิ้นการสืบพยานจำเลยปากเด็กหญิงเอ เวลา 10.45 น. ใช้เวลาเพียง 10 นาที
 
 
23 พฤศจิกายน 2554 
 
ศาลนัดฟังคำพิพากษา 
 
จากเหตุน้ำท่วมทำให้เรือนจำไม่สามารถเบิกตัวนายอำพล ต. จำเลยคดีส่ง sms หมิ่นไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ มาฟังคำพิพากษาหน้าบัลลังก์ได้ ศาลอาญาจึงอ่านคำพิพากษาทางไกลผ่านระบบเทเลคอนเฟอร์เรนซ์แทน ภรรยาของนายอำพล ลูกหลาน และผู้ร่วมให้กำลังใจราว 30 คนได้รับอนุญาตให้เข้าฟังคำพิพากษาด้วย
 
ผู้พิพากษา ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ขึ้นบังลังก์เวลา 10:25 น. ที่ห้องเวรชี้ ชั้นล่างของศาลอาญา
 
ศาลพิพากษาว่า ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่โจทก์ได้จาก DTAC และ TRUE นั้นเป็นหลักฐานที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บโดยระบบคอมพิวเตอร์ตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ให้บริการจัดเก็บไม่ถูกต้องลูกค้าย่อมไม่เชื่อถือ อาจเสียประโยชน์ทางธุรกิจได้ ดังนั้นจึงถือว่าหลักฐานข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่ได้รับถือเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ
 
สำหรับประเด็นสำคัญในคดีที่จำเลยตั้งประเด็นว่า หมายเลขอีมี่ หรือรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์อาจถูกปลอมแปลงได้ แต่จำเลยไม่สามารถหาตัวผู้เชี่ยวชาญมายืนยันได้ ส่วนประเด็นที่ว่า เอกสารในสำนวนฟ้องที่หมายเลขอีมี่หลักที่ 15 ไม่ตรงกับหมายเลขอีมี่ในเครื่องโทรศัพท์ คือในเอกสารบางจุดแสดงว่าเป็นเลข 0 บางจุดแสดงว่าเป็นเลข 2000 ขณะที่ในเครื่องโทรศัพท์จริงๆ เป็นเลข 6  ศาลวิเคราะห์ว่า หมายเลขอีมี่ 14 หลักแรกเท่านั้นที่มีความสำคัญ ตามที่พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา จากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวและได้พิสูจน์ด้วยการใช้เว็บไซต์สำหรับตรวจสอบเลขอีมี่แสดงให้เห็นในศาลแล้วว่า เมื่อพิมพ์รหัส 14 หลักแรกตามด้วยรหัสสุดท้ายหมายเลข 6 เท่านั้นจึงปรากฏข้อมูลว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรล่า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเลข 0-5 และ 7-9 ทั้งที่ควรปรากฏว่าเป็นเครื่องรุ่นอื่นแต่จากการทดสอบแล้วไม่ปรากฏว่าเป็นรุ่นใดเลย จึงยิ่งชี้ให้เห็นชัดว่าหมายเลข 14 หลักแรกเท่านั้นที่ใช้ในการระบุตัว ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
 
นอกจากนี้ เนื่องจากหมายเลขอีมี่ในคดีนี้ตรงกับหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรล่าที่นายอำพลใช้ และรับว่าใช้อยู่ผู้เดียว จึงยากที่จะมีผู้อื่นนำไปใช้ได้ และพบว่ามีการใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับซิมการ์ดสองเลขหมาย ซึ่งจากหลักฐานชี้ชัดว่า ซิมการ์ดทั้งสองหมายเลขถูกใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เคยถูกใช้งานในเวลาที่ซ้ำกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดได้นำซิมการ์ดมาสลับใช้อย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้ นอกจากนี้ข้อมูลการจราจรยังระบุว่าข้อความถูกส่งโดยเซลไซต์ จากย่านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย
     
การที่จำเลยอ้างว่า โทรศัพท์มือถือของจำเลยเสียจึงนำไปซ่อมที่ร้านค้าในห้างอิมพีเรียลสำโรง ศาลเห็นว่าจำเลยให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ แจ้งในชั้นจับกุมว่าโทรศัพท์มือถือเคยเสียและนำไปซ่อมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 แต่แจ้งในศาลว่านำไปซ่อมเมื่อเดือนเมษายน 2553 อีกทั้งยังจำร้านที่นำโทรศัพท์ไปซ่อมไม่ได้ ทั้งที่การนำไปซ่อมต้องไปที่ร้านถึงสองครั้งคือตอนนำไปซ่อม และไปรับคืน จึงถือว่าข้อมูลส่วนนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ
 
ศาลเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยที่กล่าวอ้างว่า ส่งSMS ไม่เป็น และไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์ของนายสมเกียรตินั้น มีแต่จำเลยเท่านั้นที่รู้เห็น เป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง
 
แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าว ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุาการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบได้ด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบเพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน
 
ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นเวลา 10.43 น. รวมระยะเวลา 18 นาที พิพากษาให้จำเลยมีความผิดจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี
 
เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่กับนายอำพลที่เรือนจำในห้องฟังคำพิพากษาได้กล่าวผ่านระบบคอนเฟอร์เรนซ์ถามว่าคำพิพากษาว่าอย่างไร เพราะตลอดการฟังคำพิพากษาได้ยินเสียงไม่ชัด เจ้าหน้าที่ศาลจึงแจ้งอย่างสั้นๆ ไปว่า ลุงติดคุก 20 ปี
 
 
 
ไต่สวนการตาย กรณีนายอำพล
 
17 ธันวาคม 2555 
 
ห้องพิจารณาคดี 602
 
อัยการ เป็นผู้หญิงหนึ่งท่าน ทนายความ อานนท์ นำภา และพูนสุข พูนสุขเจริญ มาศาล
 
นางรสมาลิน ภรรยาผู้ตาย มาศาล แต่เมื่อรายงานตัวกับศาลเสร็จ ต้องออกไปนั่งรอภายนอกห้องพิจารณา เนื่องจากจะขึ้นเบิกความเป็นพยานเองในการไต่สวนครั้งถัดไป
 
ห้องพิจารณาคดีค่อนข้างเล็ก มีเก้าอี้นั่งเพียงสองแถว ทำให้ในช่วงเช้าที่มีทนายความ ผู้ต้องหา และผู้เกี่ยวข้องในคดีอื่นๆ อยู่ด้วย ห้องจึงค่อนข้างแออัด และไม่มีที่นั่ง โดยมีนักกิจกรรมเข้าสังเกตการณ์พิจารณา 3-4 คน ส่วนสื่อมวลชนที่ติดตามคดีได้แก่ประชาไทและบางกอกโพสต์
 
ก่อนการไต่สวนพยาน ศาลชี้แจงกับทนายความว่าการสืบพยานครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงจากการเสียชีวิตของผู้ตาย ส่วนกรณีว่าจะเรือนจำหรือโรงพยาบาลรักษาดีหรือไม่ดีนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือกระบวนการจะเอาผิดเจ้าหน้าที่จากการเสียชีวิตก็เป็นอีกเรื่อง ทั้งนี้ ตลอดการไต่สวน ศาลจะบันทึกในกระบวนพิจารณาเมื่อเอ่ยถึงผู้ตายว่า “นักโทษชายอำพล”
 
นางรัชนี หาญสมสกุล หัวหน้าพยาบาลในชั้น 5 จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 
 
นางรัชนี เบิกความว่านายอำพลถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในวันศุกร์ที่ 4 พ.ค. ในช่วง 15.30 น. ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่มีการปิดห้องขังพอดี และพยาบาลต้องลงจากอาคาร โดยมีการส่งประวัติเบื้องต้นมาด้วยว่าคนไข้มีอาการปวดท้อง ท้องอืด นายอำพลสามารถเดินมาได้ด้วยตัวเอง และถูกส่งตัวไปยังบริเวณชั้น 5 ซึ่งมีเตียงคนไข้ 40 เตียง ที่แบ่งเป็นโซนพิเศษ10 เตียงที่จะอยู่ใกล้ลูกกรงเพื่อที่ผู้ป่วยหนักจะได้อยู่ในสายตาของพยาบาล โดยการเข้าไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วย พยาบาลจะเข้าได้เฉพาะเมื่อมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าไปด้วยเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ หลังจากนั้นจะปิดห้องซึ่งเป็นลูกกรง โดยพยาบาลไม่มีกุญแจเปิดห้องผู้ป่วย มีแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เท่านั้น
 
นางรัชนีกล่าวต่อว่าทราบว่านายอำพลมีประวัติเป็นมะเร็งในช่องปากมาก่อน และเคยรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี หลังจากถูกส่งตัวมา ในวันที่ 5-7 พ.ค. เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่มาทำงาน แต่มีพยาบาลเวรชาย 1 คน ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย จนในวันที่ 8 พฤษภาคม ตนมาทำงานในเวลา 8.45 น. จนเวลา 9.10 น. พยาบาลในชั้นได้มารายงานตนว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว โดยคนไข้อาเจียนออกมา แล้วจึงนิ่งไปเลย เมื่อตนเดินมาดูที่เตียงนอน ตรวจความดันและชีพจรจึงเห็นว่าเสียชีวิตจริง และทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าในช่วงเช้า นายอำพลได้ไปเจาะเลือดเพื่อเตรียมนำไปตรวจด้วย และทราบจากพยาบาลว่ามีการช่วยปั๊มหัวใจคนไข้ก่อน และได้ย้ายเตียงมายังจุดที่มีสายออกซิเจนช่วยหายใจด้วย
 
ในช่วงที่ทนายซักค้าน ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดของจำนวนหมอและพยาบาลภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และได้ถามถึงอาหารที่คนไข้รับประทานของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และถามข้อมูลที่ทราบว่าในเย็นวันศุกร์คนไข้ไม่ได้รับประทานอาหาร นางรัชนีพูดขึ้นว่านักโทษแม้จะใจบาป แต่ก็มีให้เขากิน นอกจากนั้นยังเบิกความว่าที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งและไม่มีเครื่องมือต่างๆ การจะส่งตัวไปสถาบันมะเร็ง ต้องดูว่ามีเตียงว่างหรือไม่ และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจส่งตัวก็มีเพียงผู้อำนวยการโรงพยาบาล
 
นายแพทย์กิตติบูลย์ เตชะพรอนันต์ ศัลยแพทย์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้นายอำพล
 
ด้าน นพ.กิติบูลย์ เบิกความว่า ในวันที่ 4 พ.ค. ตนทำหน้าที่เป็นแพทย์เวรอยู่ที่แผนกผู้ป่วยนอก ทำหน้าที่คัดกรองผู้ป่วยที่ถูกส่งมา และได้ทำการตรวจนายอำพลเวลา 10.30-11.00 น. โดยเขาเดินตัวเปล่าเข้ามาเองได้ ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการแน่นท้อง และท้องโตขึ้น ตรวจเบื้องต้นพบว่าท้องใหญ่ขึ้นจริง และสันนิษฐานว่ามีอาการตับโตขึ้น โดยในตอนนั้นยังไม่มีแฟ้มประวัติผู้ป่วยจากเรือนจำ เบื้องต้นจึงให้ยาขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย ให้ยาแก้ปวดลดไข้ และสั่งให้ส่งบริเวณชั้น 5 เพื่อดูอาการและให้มีการเจาะเลือดในวันถัดไป
 
นพ.กิตติบูลย์เบิกความว่าก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการเรือนจำได้โทรประสานผู้อำนวยการโรงพยาบาลก่อนแล้วว่าจะมีการส่งตัวผู้ป่วยรายนี้มา ให้ช่วยอนุเคราะห์รับไว้ก่อน  ต่อมาในช่วงวันหยุด เสาร์ถึงจันทร์นั้น ตนเข้ามาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกวันเนื่องจากต้องมาดูแลคนไข้ผ่าตัด และได้ไปเยี่ยมนายอำพลที่ชั้น 5 ด้วย แม้จะเข้าเยี่ยมถึงเตียงไม่ได้เนื่องจากเป็นวันหยุดแต่ก็ได้สอบถามผ่านลูกกรง ในวันเสาร์นายอำพลสามารถเดินมาบอกอาการกับตนได้โดยแจ้งว่าอาการแน่นท้องทุเลาลงแล้ว แต่ท้องยังโตมากอยู่ ส่วนวันอาทิตย์ ไม่ได้เดินออกมา แต่นั่งบนเตียงแล้วแจ้งอาการผ่าน “ผู้ช่วยเหลือ” ซึ่งเป็นนักโทษด้วยกันที่โรงพยาบาลให้มาช่วยดูแลคนไข้ โดยอำพลแจ้งว่าอาเจียน 1 ครั้ง ในวันนั้นตนได้สั่งน้ำเกลือแบบชงให้คนไข้ ส่วนในวันจันทร์ ผู้ช่วยเหลือได้ไปสอบถามอาการอีกครั้งแล้วแจ้งว่า อาการอาเจียนหยุดแล้ว จึงให้การรักษาแบบเดิม เพราะต้องรอผลตรวจเลือดและเอ็กซเรย์ช่องท้องในลำดับต่อไป
 
นพ.กิตติบูลย์เบิกความว่า ต่อมาวันอังคาร เมื่อตนมาทำงานได้เข้าไปหารือภารกิจกับผู้อำนวยการ จากนั้นเวลา 9 โมงกว่าได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าคนไข้เสียชีวิต จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตในเบื้องต้นก่อนที่ตนจะลงไป แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาอีกว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะเข้ามาเยี่ยมคนไข้รายนี้ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงแจ้งให้ตนไปรับอธิบดี จากนั้นได้รับรายงานจากทีมงานว่า ได้พยายามช่วยชีวิตเบื้องต้นแล้ว ผ่านไป 15-20 นาทีก็ยังวัดสัญญาชีพจรไม่ได้  
 
นพ.กิตติบูลย์เบิกความอีกว่า เขาเคยเป็นแพทย์ประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้และเคยเจอนายอำพลครั้งหนึ่งเมื่อแรกรับ โดยตามเวชระเบียนของเรือนจำ ตนได้ตรวจนายอำพลเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2554 และทราบจากการบอกเล่าของนายอำพลว่าเคยเป็นมะเร็งในช่องปาก ในครั้งนั้นได้บอกให้ผู้ต้องขังแจ้งญาติให้นำประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิมมาด้วยเพื่อดูว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรหรือไม่
 
ในช่วงบ่าย นพ.กิตติบูลย์ตอบคำถามทนายความเพิ่มเติมว่า ตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหูคอจมูก การวินิจฉัยเรื่องโรคมะเร็งบางกรณี ก็ต้องใช้แพทย์ด้านมะเร็งช่วยกัน และตามหลักทั่วไปในการรักษาโรคมะเร็ง หลังผ่าตัดแล้ว ต้องติดตามอาการเป็นระยะ และตามประวัติของนายอำพลได้เคยไปพบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหูคอจมูกอีกท่านหนึ่งแล้ว สำหรับในส่วนการเจาะเลือดเพื่อตรวจมะเร็ง จำเป็นต้องส่งเลือดให้แล็บภายนอกโรงพยาบาล ซึ่งจะมีการมารับเลือดทุกเช้า แต่คนไข้มาถึงในตอนสายวันศุกร์แล้ว ทำให้ไม่สามารถเจาะเลือกส่งห้องแล็บได้ทัน ต้องรอถึงวันอังคาร
 
เสร็จสิ้นการไต่สวนพยาน ศาลนัดวันสืบพยานเพิ่มเติมในวันที่ 23 และ 24 เมษายน 2556 โดยฝ่ายอัยการมีพยานที่ต้องการเบิกอีก 5 ปาก ส่วนฝ่ายทนายมีพยานอีก 4 ปาก23 กันยายน 2554
 

หมายเลขคดีดำ

อ.311/2554

ศาล

ศาลอาญา รัชดา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

คดีนี้ มีความเห็นจากนักวิชาการ องค์กรสิทธิ และประชาชนทั่วไป ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น ดังนี้

1) ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน 

หลักฐานสำคัญในคดีนี้คือบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์จากผู้ให้บริการ ที่มีหมายเลข EMEI ของเครื่องโทรศัพท์ของจำเลย ซึ่งหลังการพิพากษามีกระแสวิจารณ์ออกมาว่า ลำพังหมายเลข EMEI นั้นยังไม่เพียพอพิสูจน์ควมผิดได้ เช่น

เว็บไซต์ Blognone ออกจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า 

 
หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) นั้น ไม่อาจป้องกันการปลอมแปลง และมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยืนยันตัวบุคคล หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ ไม่น่าจะเป็นหลักฐานที่แน่ชัดเพียงพอในการพิสูจน์ความผิดผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยได้ พนักงานสอบสวนไม่ควรใช้แค่ข้อมูลหมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือเป็นหลักฐานในการจับกุม, ฟ้องร้อง, ตลอดจนคัดค้านการประกันตัวจนกระทั่งผู้ต้องหาถูกคุมขัง

2) ปัญหาด้านทนายความและพยานผู้เชี่ยวชาญ 

เนื่องจากคดีนี้ฝ่ายโจทก์ให้หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ให้ิบริการเป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิด ทนายความของจำเลยจึงต้องทำหน้าที่พิสูจน์หักล้างหลักฐานเหล่านั้น

ในช่วงเวลาที่ดำเนินคดีนี้ สังคมไทยมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับการใช้หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นศาลน้อยมาก ขณะที่พยานผู้เชี่ยวชาญหลายรายที่ทนายความพยายามติดต่อขอให้มาเบิกความเป็นพยานก็ปฏิเสธ เนื่องจากความร้ายแรงของข้อหาในคดีนี้ ทนายจำเลยจึงต้องเบิกความเองโดยอธิบายความรู้เท่าที่สืบค้นและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมา

แต่สุดท้ายศาลอาญาพิพากษาว่า ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เนื่องจากไม่สามารถนำพยานผู้เชี่ยวชาญเข้าเบิกความได้

3) สิทธิขั้นพื้นฐานในการได้รับการประกันตัว

หลังจากเสียชีวิตในเรือนจำของนายอำพล ในสภาพอาการป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้องค์กรสิทธิหลายองค์กร ตั้งคำถามถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ทั้งสิทธิในการได้รับการประกันตัว ทั้งนี้ เนื่องจากนายอำพล โดยทนายความยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้ง โดยยกเหตุผลด้านสุขภาพมาประกอบขอให้ปล่อยตัว แต่ศาลไม่อนุญาตนั้น

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ให้สัมภาษณ์ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาไปแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมทั้งยื่นประกันตัว แต่ต่อมาจำเลยขอถอนอุทธรณ์ประมาณเดือนมีนาคม 2555 โดยนายทวีทราบจากข่าวว่าจำเลยประสงค์จะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะยื่นได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อคดีถึงที่สุดก็ไม่อาจยื่นประกันตัวอีกได้ และถึงยื่นประกันก็คงไม่ได้ประกันเนื่องจากคดีไม่ได้ค้างพิจารณาอยู่ในศาล ยุติธรรม (หมายเหตุ: คำถอดความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มีความกำกวม ข้อความที่ปรากฏในศูนย์ข้อมูลนี้ถูกตีความปรับแต่งข้อความเล็กน้อยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น อ่านข้อความต้นฉบับประกอบ)

ข้อมูลจากทนายความชี้ว่า นายอำพลเคยยื่นคำร้องขอประกันตัวหลายครั้ง ทุกครั้งอ้างเหตุแห่งความเจ็บป่วย แต่ถูกศาลชั้นต้นยกคำร้อง 4 ครั้ง ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง 3 ครั้ง และศาลฎีกายกคำร้อง 1 ครั้ง ท้ายที่สุดในเดือนเมษายน 2555 นายอำพลตัดสินใจจบคดีด้วยการถอนอุทธรณ์ และรอขอพระราชทานอภัยโทษ

คำสั่งไม่ให้ประกันตัวครั้งสุดท้ายก่อนที่นายอำพลเสียชีวิต มีขึ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555 ศาลฎีการะบุเหตุผลในคำสั่งว่า เพราะเรื่องคดีร้ายแรง มีโทษสูง หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่จำเลยอ้างความป่วยเจ็บนั้น เห็นว่าจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษา พยาบาลโดยหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว (ดูเอกสารคำสั่งศาลฎีกา)

4) สุขอนามัย คุณภาพชีวิตในเรือนจำ และสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ 

การเสียชีวิตของอำพลทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานการรักษาพยาบาลในเรือนจำเป็นวงกว้าง เนื่องจากมีการเปิดเผยข้อมูลว่า อำพลเคยเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ในเรือนจำครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกดูถูกเหยียดหยามจากข้อหาที่ทำให้อำพลถูกพิพากษาจำคุก

ต่อมาเมื่ออำพลมีอาการท้องบวม และปวดท้อง ได้ไปตรวจรักษาอีก แต่กลับไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรงมะเร็งและต้องรับการรักษาโดยทันท่วงที ครั้งสุดท้ายที่อำพลไปรับการตรวจเป็นวันศุกร์ หลังตรวจแล้วแพทย์ยังไม่ได้รักษาแต่ส่งไปดูอาการที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน หลังจากนั้นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาล ต่อมาอาการของอำพลกำเริบและเสียชีวิตในวันอาทิตย์

ปริมาณนักโทษในเรือนจำที่มาก ขณะที่แพทย์ บุคลากร และงบประมาณมีจำกัด ประกอบกับกฎระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยมีจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สังคมหันมาตั้งคำถามว่านักโทษในเรือนจำมีโอกาสเสียสิทธิการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไปหรือไม่

 

แหล่งอ้างอิง

"อากงถวายฎีกา ถอนอุธรณ์ ไม่อาจยื่นประกัน" ,ไทยรัฐ วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555)

"ตั้งศพ "อากง" หน้าศาลอาญารัชดาฯ – ผลชันสูตรชี้มะเร็งตับลามทั่วตัว",ข่าวสด วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555)

"อากง SMS" เสียชีวิตแล้ว ในโรงพยาบาลเรือนจำพิเศษฯ, ประชาไท วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555)

ทนายอากงเผย อากงปวดท้องหนักตั้งแต่วันศุกร์ เพิ่งได้ตรวจวันจันทร์, ประชาไท วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555)

ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกัน ‘อากง’ – อัยการขยายอุทธรณ์รอบ3 คดี ‘โจ กอร์ดอน’, ประชาไท วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555)

ชันสูตร 'อากง' มะเร็งตับระยะสุดท้าย รอผล 7 วันตรวจสารพิษ จี้ยกระดับคุณภาพคุก, ประชาไท วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 (อ้างอิงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2555)

ฟังคำสั่งไต่สวนการตาย ‘อากง’ 30 ต.ค.- ภรรยาฟ้องยื่นศาลปกครองฟ้องราชทัณฑ์, เว็บไซต์ประชาไท, 8 สิงหาคม 2556 (เข้าถึงเมื่อ 15 สิงหาคม 2556)

3 สิงหาคม 2553

อำพล ถูกจับกุมที่บ้านพักในสมุทรปราการ
 
หลังถูกจับกุม  อำพลถูกคุมตัวในเรือนจำเป็นเวลา 63 วัน เพราะศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว 
 
29 กันยายน 2553
 
ทนายความยื่นประกันตัวครั้งที่สอง โดยใช้ที่ดินของญาติเป็นหลักทรัพย์  
 
4 ตุลาคม 2553 
 
ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้อำพลประกันตัว ให้เหตุผลว่า หลักประกันน่าเชื่อถือได้ว่าจำเลยจะไม่หลบหนี
 
18 มกราคม 2554  
 
อัยการมีคำสั่งฟ้องนายอำพลเป็นจำเลยในคดีที่มีการส่งข้อความหมิ่นเบื้องสูง ไปยังนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญ มีความผิดตามมาตรา 14 (2), (3) ตามพ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวตเตอร์ฯ และมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา อำพลถูกควบคุมตัวอีกครั้ง 
 
หลังมีคำสั่งฟ้อง ทนายยื่นขอประกันตัวอีกครั้งโดยใช้โฉนดที่ดินเป็นหลักทรัพย์ คำร้องของทนายความส่วนหนึ่งระบุว่า ผู้ร้องไม่มีพฤติการณ์ในการหลบหนีใดๆ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเพียงชายสูงอายุธรรมดาอาศัยอยู่กับภรรยา ลูกสะใภ้ และหลาน 3 คนในห้องเช่าในจังหวัดสมุทรปราการ ผู้ร้องไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ เพราะอายุมากแล้ว ผู้ร้องยังชีพด้วยเงินที่บุตรของผู้ร้องส่งให้เดือนละประมาณ 3,000 บาท และใช้สิทธิการรักษาตามหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนี้ผู้ร้องยังเป็นโรคมะเร็งช่องปากซึ่งต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางที่ โรงพยาบาลราชวิถีอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ก่อนถูกจับกุมหากผู้ร้องมีหน้าที่รับส่งหลานๆไปยังโรงเรียน หากออกไปทำธุระนอกบ้านผู้ร้องก็ต้องกลับมาอาศัยที่บ้านเสมอ และในขณะจับกุมผู้ร้องซึ่งมีอายุ 60 ปี ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ 15 นายพร้อมกับสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง ผู้ร้องและบุคคลในครอบครัวผู้ร้องยังมีอาการตระหนกตกใจ และผู้ร้องก็ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือขัดขืนการจับกุมใดๆ ทั้งนี้เมื่อผู้ร้องได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนผู้ร้องก็มา รายงานตัวต่อศาลอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพนักงานอัยการนัดหมายมาฟ้องคดีผู้ร้องก็รีบเตรียมเอกสารและหาหลัก ประกันโดยเร็วให้ทันนัดหมายของพนักงานอัยการเพื่อไม่ให้เนิ่นช้าออกไป ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องไม่เคยมี พฤติการณ์ใดๆและไม่มีความสามารถซึ่งจะทำให้ศาลอาญาเกรงว่าผู้ร้องจะหลบหนี ได้
 
คำร้องของทนายความยังอ้างด้วยว่า การควบคุมตัวผู้ร้องระหว่างการพิจารณาจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในชีวิตและ ร่างกายโดยตรงของผู้ร้องและไม่เป็นประโยชน์ใดๆต่อการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ร้องมีปัญหาทางสุขภาพ มีโรคร้ายประจำตัว และผู้ร้องซึ่งยังไม่ได้ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดจึงมีสิทธิใน การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 39 วรรคสอง วรรคสาม มาตรา 40(7)
 
ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยให้เหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาของข้อหา ตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินีและองค์รัชทายาท นับเป็นเรื่องร้ายแรงและกระทบความรู้สึกของปวงชนชาวไทย หากให้จำเลยปล่อยตัวชั่วคราวเกรงว่าจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงยกคำร้อง
 
ระหว่างช่วงเวลาที่ถูกคุมขังอยู่ ทนายความยื่นเรื่องขอประกันตัวอีกหลายครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต
 
23, 27, 28. 30 กันยายน 2554
 
นัดสืบพยานโจทก์และจำเลย (ดูรายละเอียดได้ในหมวด บันทึกสังเกตการณ์คดี) 
 

6 ตุลาคม 2554  

หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ทนายยื่นขอประกันตัวอำพลอีกครั้งด้วยหลักทรัพย์เป็นที่ดินของญาติจำเลย อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ให้ประกัน เนื่องจากไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
 
21 ตุลาคม 2554   
 
ทนายยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาล ตามความประสงค์ของจำเลยที่จะขอยื่นคำแถลงดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาคดี ก่อนที่ถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โดยคำแถลงปิดคดีระบุว่า พยานหลักฐานและคำเบิกความของพยานโจทก์ขัดแย้งกันเองหลายประการ มีพิรุธ น่าสงสัย และมีน้ำหนักน้อย อาจกระทบกระเทือนถึงการที่จำเลยอาจต้องโทษทั้งที่มิได้กระทำความผิด
 
ซึ่งเหตุที่ต้องยื่นคำแถลง มีดังนี้
 
1. การใช้หมายเลขเครื่อง(อีมี่) ในการเชื่อมโยงว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นการเชื่อมโยงที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเลขอีมี่สามารถปลอมแปลงได้ และสามารถซ้ำกันได้
 
2. การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานมุ่งไปที่ตัวจำเลยโดยตรง โดยไม่ได้เชื่อมโยงกับหมายเลขอีมี่ และคำเบิกความของพยานโจทก์ขัดแย้งกับพยานเอกสารฝ่ายโจทก์
 
3. โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานเอกสารใดที่จะชี้ได้ว่า จำเลยเป็นผู้กดพิมพ์ข้อความ และส่งข้อความดังกล่าว
 
 
23 พฤศจิกายน 2554   
 
ศาลเทเลคอนเฟอร์เรนซ์อ่านคำพิพากษานายอำพล ฐานส่ง SMS หมิ่นฯ 4 ครั้ง ผิดตาม ปอ.มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) และ (3) ลงโทษกรรมละ 5 ปีรวมจำคุก 20 ปี ชี้หลักฐานอิเล็กทรอนิคส์น่าเชื่อว่าส่งจากเครื่องโทรศัพท์ที่จำเลยใช้ และจากย่านที่พักของจำเลย
 
22 กุมภาพันธ์ 2555   
 
ทนายความจำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์เงินสด และตำแหน่งนักวิชาการ 7 คน
 
23 กุมภาพันธ์ 2555
 
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวจำเลย โดยระบุเหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีกับพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วนับว่าร้ายแรง ประกอบกับข้อที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยังไม่มีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี และที่จำเลยอ้างเหตุความเจ็บป่วยไม่ปรากฏว่าถึงขนาดจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ทั้งทางราชการก็มีโรงพยาบาลที่จะรองรับให้การรักษาจำเลยได้อยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและแจ้งเหตุการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้จำเลยและผู้ขอประกัน ทราบโดยเร็ว
 
ต่อมาทนายความยื่นฎีกาคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวต่อศาลฎีกา
 
13 มีนาคม 2555
 
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวจำเลย โดยระบุเหตุผลในคำสั่งว่า พิเคราะห์พฤติการแห่งคดีและเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยถึง 20 ปี หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าจำเลยจำหลบหนี ส่วนที่จำเลยอ้างความป่วยเจ็บนั้นเห็นว่าจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ (ดูเอกสารคำสั่งศาลฎีกา) (ดูเอกสารคำสั่งศาลฎีกา)

13March12Deny_Last

 

นับแต่วันฟ้องคดี 18 มกราคม 2554 จนถึงวันที่ขอถอนอุทธรณ์วันที่ 3 เมษายน 2555 รวมศาลชั้นต้นยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจำนวน 4 ครั้ง ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องจำนวน 3 ครั้ง และศาลฎีกายกคำร้องจำนวน 1 ครั้ง
 
3 เมษายน 2555
 
ทนายความจำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์
 
 
8 พฤษภาคม 2555  
 
10.20 น. ทนายอานนท์ นำภา แจ้งข่าวผ่านทางเฟซบุคว่า นางรสมาลิน ภรรยานายอำพลโทรศัพท์มาแจ้งว่า นายอำพลเสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังจากเข้ารักษาตัวเพราะปวดท้องอย่างหนักเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2555
 
12.30 น. นางรสมาลิน ภรรยานายอำพล พร้อมนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ นางสาวพูนสุขกล่าวว่า นายอำพลถูกส่งมาที่ รพ. ด้วยอาการปวดท้องเมื่อช่วงก่อนเที่ยงของวันที่ 4 พฤษภาคม และรอคิวได้เตียงเป็นผู้ป่วยในเมื่อเวลา 15.40 น. แต่ยังมิได้เจาะเลือดหรือตรวจเพิ่มเติม เพราะหมดเวลาทำการและติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ต่อมา มีการเจาะเลือดในวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม แต่ผลตรวจยังไม่ออก เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับตับ เพราะตับโต
 
ทั้งนี้ วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 นางรสมาลินไปเยี่ยมนายอำพลที่เรือนจำในเวลาเช้า และได้ทราบว่านายอำพลถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล นางรสมาลินเดินทางไปถึงโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อเวลา 9.40 น. จึงมีเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า นายอำพลเสียชีวิตแล้วเมื่อเวลาประมาณ 9.10 น. ของวันดังกล่าว แพทย์ยังไม่กล้าระบุสาเหตุการเสียชีวิต ขณะนี้กำลังรอการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
 
นางสาวพูนสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า นายอำพลมีอาการปวดท้องมาเป็นเดือนแล้ว แต่เพิ่งเป็นหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะนี้ ถอนอุทธรณ์แล้ว อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมีกำหนดจะทำภายในอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้า
 
13.10 น. พันตำรวจเอกสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าจะตั้งคณะทำงานตรวจสอบการเสียชีวิตของนายอำพล โดยมีเจ้าพนักงานจากกรมราชทัณฑ์ พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนท้องที่ และสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ 
 
14.00 น. กรมราชทัณฑ์เคลื่อนย้ายศพนายอำพลไปยังสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ
 
19.12 น. ประชาชนนับร้อยร่วมกิจกรรมจุดเทียนไว้อาลัยการจากไปของนายอำพล หรือ "อากง" ทั้งที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น
 
9 พฤษภาคม  2555
 
คณะแพทย์และฝ่ายต่างๆตามกฎหมายผ่าพิสูจน์ศพนายอำพล โดยมีแพทย์ภายนอกเข้าร่วมสังเกตการณ์ 3 คน ได้แก่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล และนพ.กิติภูมิ จุฑาสมิต
 
พ.ต.อ.สุพล จงพาณิชย์กุลธร  นพ.(สบ5) ในฐานะโฆษก รพ.ตำรวจ เปิดเผยผลการชันสูตรศพเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตเป็นมะเร็งที่ตับและกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีภาวะการหายใจล้มเหลว 
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและกรรมการชันสูตรพลิกศพตั้งข้อสังเกตว่า อาการป่วยของนายอำพลน่าจะเป็นมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน แพทย์ของรพ.ราชทัณฑ์ น่าจะตรวจรักษาและไม่น่าปล่อยให้เรื้อรังจนลุกลาม
นพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ดูจากสภาพตับแบบนี้เชื่อว่าเป็นมะเร็งมาไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นสะท้อนว่า ระบบการรักษา การประเมินคนไข้ของกรมราชทัณฑ์มีปัญหา นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อคนไข้ใกล้จะเสียชีวิต โดยปกติเราต้องมีการปั้มหัวใจหรือใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกู้ชีวิตคืนอย่างหนักหน่วง แต่เท่าที่ดูไม่เห็นร่องรอยความพยายามที่จะช่วยเหลือคนไข้อย่างเพียงพอ
 
17 ธันวาคม 2555 
 
ประชาไท รายงานว่าที่ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนการเสียชีวิตของนายอำพล  ในการไต่สวนครั้งนี้มีหัวหน้าพยาบาลและแพทย์เจ้าของไข้จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาเบิกความ 
 
รัชนี หาญสมกุล หัวหน้าพยาบาลเบิกความโดยสรุปว่า อำพลถูกนำตัวส่งมายังโรงพยาบาล วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม เวลา 15.30 น. ซึ่งเป็นเวลาปิดห้องขังพอดี เขาถูกส่งมาที่ชั้น 5 ซึ่งรับกรณีป่วยหนัก โดยปกติมีผู้ป่วยประมาณ 70 คนเต็มตลอดภายใต้การดูแลของพยาบาลประจำชั้น 6 คน อำพลนอนรักษาตัวในโซนพิเศษซึ่งอยู่ใกล้ลูกกรงที่สุดเพื่อให้อยู่ในสายตาของพยาบาลอย่างใกล้ชิด ถัดจากเย็นวันนั้นเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่อื่นจะไม่ได้มาทำงานเว้นเฉพาะพยาบาลเวรชาย 1 คนที่ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยทั้งตึก พยาบาลจะเข้าไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยได้เฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าไปด้วยเท่านั้น โรงพยาบาลไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งและเครื่องมือเฉพาะทาง การส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลอื่นจะกระทำได้ด้วยการตัดสินใจของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเท่านั้น
 
รัชนี้ระบุต่อไปว่า ในวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม เวลาประมาณ 9.10 น. หลังจากมีการเจาะเลือดอำพลเพื่อเตรียมไปตรวจ  เธอได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากเพื่อนพยาบาลว่าอำพลเสียชีวิตหลังจากอาเจียนออกมาแล้วหยุดหายใจไป โดยก่อนนี้ยังรับประทานอาหารและเดินเองได้
 
นายแพทย์กิตติบูลย์ เตชะพรอนันต์ แพทย์เจ้าของไข้ เบิกความว่า ผู้ป่วยถูกนำส่งโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 10.30-11.00 น. ของวันที่ 4 พฤษภาคม ทราบจากผู้ป่วยเองว่าเขามีอาการแน่นท้อง ท้องโตขึ้น จึงสันนิษฐานว่าเป็นอาการของตับโตและเป็นไปได้สูงว่าจะมีการแพร่กระจายของมะเร็ง จึงให้ยาขับปัสสาวะ ยาแก้ปวดลดไข้และส่งไปพักรักษาที่ชั้น 5 
 
ในวันหยุดต่อเนื่องนั้นนายแพทย์กิตติบูลย์ได้เข้ามาที่โรงพยาบาลทุกวันเพื่อดูแลคนไข้ผ่าตัดและเข้าเยี่ยมอำพลข้างนอกลูกกรง ในวันเสาร์อำพลบอกว่าอาการแน่นท้องทุเลาลงแต่ท้องยังโตมากแต่ในวันอาทิตย์ได้บอกผ่านเพื่อนนักโทษว่ามีการอาเจียน  1 ครั้ง ตนได้สั่งน้ำเกลือแบบชงให้ เมื่ออาการดังกล่าวหยุดตามที่เพื่อนนักโทษแจ้ง จึงให้กลับไปรักษาตามเดิมเพื่อรอผลตรวจเลือดและเอ็กซเรย์ช่องท้อง
 
ในวันอังคาร นายแพทย์กิตติบูลย์ได้รับแจ้งว่าคนไข้เสียชีวิต จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตเบื้องต้น ในเวลาไล่เรี่ยกันนั้นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีคำสั่งให้ นพ.กิตติบูลย์ ไปรับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งจะเข้ามาเยี่ยมอำพล ก่อนได้รับแจ้งอีกครั้งว่าการช่วยชีวิตไม่เป็นผลสำเร็จ
 
23 เมษายน 2556
 
ศาลอาญานัดไต่สวนการตายของนายอำพล ในวันนี้ ศาลไต่สวนผู้เกี่ยวข้องกับกรณีสองคน
 
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ปฏิเสธว่าตนไม่รู้จักนายอำพล ไม่ทราบว่านายอำพลป่วยเป็นอะไร ร้ายแรงแค่ไหน รวมทั้งไม่ทราบว่าผู้ใดคือเจ้าของไข้และไม่ทราบว่าใครคือแพทย์ที่รับผิดชอบในการรักษานายอำพล เมื่อทนายความซักถึงการเข้าถึงตัวผู้ป่วยในยามวิกาล เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ตอบว่าจะต้องมีการทำหนังสือถึงพัสดีเวรเป็นรายลักษณ์อักษร และพยาบาลไม่สามารถจะเข้าไปในห้องผู้ป่วยได้จนกว่าจะพัสดีจะอนุญาต
 
เจ้าพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจประชาชื่นผู้รับแจ้งเหตุการตายของนายอำพลให้ปากคำว่า เมื่อรับแจ้งเหตุการตาย ตนได้ประสานกับผู้เกี่ยวข้องเช่นพนักงานอัยการ พนักงานปกครอง แพทย์นิติเวชเพื่อเข้าร่วมการชันสูตรหาสาเหตุการตาย เมื่อทำการชันสูตรศพไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกายจึงส่งศพของนายอำพลต่อไปที่ฝ่ายนิติเวชเพื่อทำการผ่าพิสูจน์โดยละเอียด ทั้งนี้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนไม่ได้เรียกตัวผู้เกี่ยวข้องเช่นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ดูแลความเรียบร้อยในโรงพยาบาล หรือแพทย์มาทำการสอบสวนแต่อย่างใด 
 
24 เมษายน 2556
 
ศาลนัดไต่สวนการตายนายอำพล ในวันนี้มีนายธันย์ฐวุฒิหรือหนุ่มเรดนนท์ จำเลยในคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ อีกคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของนายอำพลขณะอยู่ในเรือนจำ มาเบิกความเป็นพยาน 
 
ธันย์ฐวุฒิเบิกความถึงการตายของนายอำพล สรุปใจความได้ว่า
การบริการสุขภาพแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นไปอย่างจำกัดและไม่ได้มาตรฐาน สำหรับแดนแปดที่นายธันย์ฐวุฒิและนายอำพลถูกจองจำอยู่มีโควต้าให้ผู้ต้องขังมาพบแพทย์ได้วันละ20คนเท่านั้น ผู้ต้องขังแต่ละคนจะพบแพทย์ได้เพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น หากอาการยังไม่ดีก็ต้องรอโควต้าในอาทิตย์ต่อไป แพทย์จะมาแค่วันอังคารกับพฤหัสส่วนวันอื่นๆจะมีเพียงบุรุษพยาบาลทำหน้าที่เท่านั้น การตรวจวินิจฉัยโรคบ่อยครั้งเป็นเพียงการสังเกตภายนอก ไม่มีการตรวจโดยละเอียด ครั้งแีรกที่นายอำพลเคยไปพบแพทย์ ก็ไม่มีการตรวจโดยละเอียด เพียงสั่งยาแก้ปวดท้องให้เท่านั้น การจ่ายยาให้นักโทษบางครั้งก็เป็นการจ่ายยาที่ไม่เหมาะกับลักษณะของโรค ต่อมาเมื่ออาการของนายอำพลทรุดลงมากมีคนช่วยเรียกร้องให้นายอำพลเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีความพร้อมมากกว่าสถานพยาบาลภายในเรือนจำ 
 
ต้นเดือนเมษายน 2555 นายอำพลเริ่มมีอาการปวดท้อง ต่อมามีอาการท้องบวมโตและแข็งและไม่ถ่ายอุจจาระ จนวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 อาการทรุดหนักลง ไม่มีเรี่ยวแรง เดินไม่ได้ พอมีประกาศว่ามีคนมาเยี่ยมก็ลุกไม่ไหว มีอาการตาเหลือก ท้องใหญ่มาก ต้องใช้รถเข็นพาไป จนวันที่ 4 พฤษภาคม 2555 จึงมีประกาศให้นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ธันย์ฐวุฒิย้ำในตอนท้ายว่าผู้ต้องขังได้รับการปฏิบัติในการเข้ารับการบริการสาธารณสุขอย่างเท่าเทียมกันคือเลวร้ายเท่ากัน
 
 
7 พฤษภาคม 2556
นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ และนายอานนท์ นำภา ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนางรสมาลิน ตั้งนพกุล ยื่นฟ้องกรมราชทัณฑ์ต่อศาลปกครองกลาง เรียกค่าเสียหายกรณีที่นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง SMS เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
 
ใจความสำคัญในคำฟ้อง สรุปได้ว่า ผู้ตายอยู่ในความควบคุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่ 18 มกราคม 2554 – 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งทัณฑสถานและเรือนจำพิเศษมีอำนาจหน้าที่รักษาพยาบาลผู้ต้องขังป่วย และจัดสวัสดิการให้การสงเคราะห์และพัฒนาสุขภาพอนามัยต่อผู้ต้องขัง แต่เจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร หรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 
 
กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ละเลยเพิกเฉยต่อการเฝ้าระวังรักษามะเร็งไม่ให้ลุกลาม ทั้งที่ได้รับแจ้งตั้งแต่ต้นปี 2554 ละเลยการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการป่วย เพียงรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยากแก้หวัด วิตามิน มีการหยุดการดำเนินการรักษาใดๆ ในช่วงวันที่ 4-8 พฤษภาคม 2555 เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการ และไม่จัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยชีวิตผู้ต้องขังป่วยเมื่อฉุกเฉิน แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการรักษาพยารักษาพยาบาลที่ต่ำกว่ามาตรฐานโรงพยาบาลรัฐภายนอกเรือนจำทั่วไป ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 51 ที่รับรองว่าบุคคลมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน แม้ผู้ตายจะตกเป็นผู้ต้องขัง แต่ผู้ตายก็ยังคงมีสิทธิในการได้รับการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ 
 
ทั้งนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการรักษาพยาบาล และเป็นหนทางเดียวของผู้ต้องขังที่เจ็บป่วย ซึ่งหากผู้ตายได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็ไม่อาจถึงแก่ความตาย การตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากของเจ้าหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สังกัดกรมราชทัณฑ์การละเมิดทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย 
 
กรมราชทัณฑ์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งการละเมิดของเจ้าหน้าที่โดยเรียกร้องค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ 70,000 บาท ค่าเสียหายจากการไม่สามารถเข้าถึงการบริการสาธารณสุขที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ 1,000,000 บาท  ค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และการคุมขังบุคคลไม่ให้การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,070,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 365 วัน เป็นเงิน 155,550 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 2,225,250 บาท

1 กรกฎาคม 2556
เวลาประมาณ 10.00 น. นางสาวรสมาลิน ภรรยาของนายอำพล และนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ เดินทางไปที่ศาลปกครองตามนัดไต่สวนคำร้องขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในคดีที่ฟ้องกรมราชทัณฑ์เพื่อเรียกค่าเสียหาย โดยหากศาลไม่ยกเว้นค่าธรรมเนียม นางสาวรสมาลินในฐานะผู้ฟ้องคดี อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 40,000 บาท

นางสาวรสมาลินให้ถ้อยคำต่อศาลว่า ปัจจุบันอยู่ห้องเช่ากับบุตรซึ่งป่วย ไม่ได้ประกอบอาชีพ สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย สะใภ้และหลานรวม 8 คน ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านรวมค่าน้ำค่าไฟประมาณ 6,000 บาทต่อเดือน มีรายได้ที่ได้รับจากลูกประมาณเดือนละ 6,000-7,000 บาท หากไม่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมจะต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมศาล

ทั้งนี้ การฟ้องคดีนี้ไม่ได้มุ่งหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย แต่ต้องการสร้างมาตรฐานให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็วและทัดเทียมกับคนที่อยู่นอกเรือนจำจะได้ไม่มีผู้ประสบเหตุอย่างกรณีของนายอำพลอีก

ผู้สังเกตการณ์รายงานว่า ระหว่างการให้ถ้อยคำศาลได้เสนอให้ลดจำนวนค่าเสียหายที่เรียกร้องจากกรมราชทัณฑ์ ซึ่งจะทำให้เสียค่าธรรมเนียมน้อยลงแต่นางสาวพูนสุขยืนยันว่าจะไม่ลด เพราะเป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้สูงเกินไป และต้องการสร้างมาตรฐานให้เห็นถึงความเสียหายอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องของกรมราชทัณฑ์

 
8 สิงหาคม 2556  
ที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพนายอำพล ตั้งนพกุล โดยในวันนี้มี นพ.กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ  ซึ่งเป็นแพทย์ที่ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การตรวจชันสูตรพลิกศพนายอำพลที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์  เบิกความเป็นปากสุดท้าย 
 
น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความนายอำพล กล่าวถึงคำเบิกความของ นพ.กิติภูมิโดยสรุปว่า  สภาพศพของนายอำพลนั้นมีท้องโต หน้าท้องตึงใส เมื่อผ่าพบน้ำในช่องท้องจำนวนมากราว 2 ลิตร ไม่พบมะเร็งที่ลิ้น แต่พบมะเร็งที่จุดใหม่คือบริเวณตับ และปรากฏจุดมะเร็งตามผนังช่องท้อง มีความเห็นว่า นายอำพลเป็นมะเร็งในระยะลุกลาม แต่ไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็ง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากมีน้ำในช่องท้องจำนวนมาก  และตามประวัติการรักษาในเวชระเบียน พบว่าไม่มีการเจาะน้ำในช่องท้องออก ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะเนื่องจากน้ำไปดันกระบังลม มีผลต่อการสูบฉีดหัวใจ ซึ่งพบว่ามีการให้ยาขับปัสสาวะ ให้ยาลดการบีบตัวของหัวใจ แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
 
นพ.กิติภูมิกล่าวอีกว่า ในวันที่ 8 พ.ค.ซึ่งเป็นวันที่นายอำพลเสียชีวิตนั้น ตามเวชระเบียนพบว่ามีเพียงพยาบาลที่ให้ความช่วยเหลือกู้ชีพเบื้องต้นโดยการปั๊มหัวใจด้วยมือและเครื่องมือพื้นฐาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยในทุกแห่งต้องมีแพทย์ประจำการเพื่อร่วมปฏิบัติการกู้ชีพฉุกเฉิน มีการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ มีการให้ยากระตุ้นหัวใจด้วย แต่ปรากฏว่าไม่มีแพทย์อยู่ที่เกิดเหตุและไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว
 
ศาลจะมีคำสั่งวันที่ 30 ต.ค.นี้ เวลา 9.00 น. เพื่อระบุว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
 
30 ตุลาคม 2556
 
ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ศาลอ่านคำสั่งไต่สวนการตายของอำพล มีใจความสรุปว่า อำพลเสียชีวิตจากระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจล้มเหลว ซึ่งเป็นอาการสืบเนื่องจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย ระหว่างควบคุมตัวของเจ้าพนักงาน แม้ทางฝ่ายญาติของผู้เสียชีวิตให้การว่าผู้ตายไม่ได้อาหารและยาอย่างเหมาะสม มีการพูดจาเสียดสีเกี่ยวกับคดีของผู้ตาย ทั้งมอบหมายงานให้ทำอย่างหนัก แต่ทั้งหมดเป็นไปตามหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมคนจำนวนมากในสถานคุมขัง ผู้ตายเองยังได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนนักโทษ ไม่ปรากฏการทำร้ายร่างกายและได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลตามคำร้องขอของญาติ แพทย์เจ้าของไข้ได้วางแผนการรักษาด้วยความใส่ใจดังเห็นได้จากการตรวจเยี่ยมแม้ในวันหยุด การสั่งยาขับปัสสาวะของแพทย์ตลอดจนการกู้ชีพซึ่งกระทำโดยแพทย์มิได้ร่วมอยู่ด้วยแต่ก็มีการรายงานเป็นระยะ ยังไม่เพียงพอที่จะเห็นตามที่ญาติผู้เสียชีวิตกล่าวอ้างว่าการเสียชีวิตเกิดจากการละเลยและประมาทของเจ้าหน้าที่
 
 
 

คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลชั้นต้น
 
ศาลพิพากษาว่า ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่โจทก์ได้จาก DTAC และ TRUE นั้นเป็นหลักฐานที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บโดยระบบคอมพิวเตอร์ตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ให้บริการจัดเก็บไม่ถูกต้องลูกค้าย่อมไม่เชื่อถือ อาจเสียประโยชน์ทางธุรกิจได้ ดังนั้นจึงถือว่าหลักฐานข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่ได้รับถือเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ
 
สำหรับประเด็นสำคัญในคดีที่จำเลยตั้งประเด็นว่า หมายเลขอีมี่ หรือรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์อาจถูกปลอมแปลงได้ แต่จำเลยไม่สามารถหาตัวผู้เชี่ยวชาญมายืนยันได้ ส่วนประเด็นที่ว่า เอกสารในสำนวนฟ้องที่หมายเลขอีมี่หลักที่ 15 ไม่ตรงกับหมายเลขอีมี่ในเครื่องโทรศัพท์ คือในเอกสารบางจุดแสดงว่าเป็นเลข 0 บางจุดแสดงว่าเป็นเลข 2000 ขณะที่ในเครื่องโทรศัพท์จริงๆ เป็นเลข 6  ศาลวิเคราะห์ว่า หมายเลขอีมี่ 14 หลักแรกเท่านั้นที่มีความสำคัญ ตามที่พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา จากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวและได้พิสูจน์ด้วยการใช้เว็บไซต์สำหรับตรวจสอบเลขอีมี่แสดงให้เห็นในศาลแล้วว่า เมื่อพิมพ์รหัส 14 หลักแรกตามด้วยรหัสสุดท้ายหมายเลข 6 เท่านั้นจึงปรากฏข้อมูลว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรล่า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเลข 0-5 และ 7-9 ทั้งที่ควรปรากฏว่าเป็นเครื่องรุ่นอื่นแต่จากการทดสอบแล้วไม่ปรากฏว่าเป็นรุ่นใดเลย จึงยิ่งชี้ให้เห็นชัดว่าหมายเลข 14 หลักแรกเท่านั้นที่ใช้ในการระบุตัว ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
 
นอกจากนี้ เนื่องจากหมายเลขอีมี่ในคดีนี้ตรงกับหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรล่าที่นายอำพลใช้ และรับว่าใช้อยู่ผู้เดียว จึงยากที่จะมีผู้อื่นนำไปใช้ได้ และพบว่ามีการใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับซิมการ์ดสองเลขหมาย ซึ่งจากหลักฐานชี้ชัดว่า ซิมการ์ดทั้งสองหมายเลขถูกใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เคยถูกใช้งานในเวลาที่ซ้ำกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดได้นำซิมการ์ดมาสลับใช้อย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้ นอกจากนี้ข้อมูลการจราจรยังระบุว่าข้อความถูกส่งโดยเซลไซต์ จากย่านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย
     
การที่จำเลยอ้างว่า โทรศัพท์มือถือของจำเลยเสียจึงนำไปซ่อมที่ร้านค้าในห้างอิมพีเรียลสำโรง ศาลเห็นว่าจำเลยให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ แจ้งในชั้นจับกุมว่าโทรศัพท์มือถือเคยเสียและนำไปซ่อมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 แต่แจ้งในศาลว่านำไปซ่อมเมื่อเดือนเมษายน 2553 อีกทั้งยังจำร้านที่นำโทรศัพท์ไปซ่อมไม่ได้ ทั้งที่การนำไปซ่อมต้องไปที่ร้านถึงสองครั้งคือตอนนำไปซ่อม และไปรับคืน จึงถือว่าข้อมูลส่วนนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ
 
ที่จำเลยกล่าวอ้างว่า ส่งSMS ไม่เป็น และไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์ของนายสมเกียรตินั้น มีแต่จำเลยเท่านั้นที่รู้เห็น เป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง
 
แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าว ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุาการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบได้ด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบเพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน
 
ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง เพราะข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั้งประเทศว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทั้ง สองพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ทรงห่วงใยประชาชนทุกหมู่เหล่า และทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขต่อพสกนิกรชาวไทย  การกระทําของจําเลยจึงเป็นการนําเข้าสู่ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่ง ราชอาณาจักรด้วย จําเลยจึงมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง 
 
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) (3) การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็น กระทงความผิดไป ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จําคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทง เป็นจําคุก 20 ปี  
 
 

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

ดา ตอร์ปิโด