สมัคร

อัปเดตล่าสุด: 02/08/2560

ผู้ต้องหา

สมัคร

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2557

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

สมัครถูกกล่าวหาว่าทำลายพระบรมฉายาลักษณ์บริเวณทางเข้าหมู่บ้านป่าสัก อ.เทิง จ.เชียงราย ขณะที่มีอาการมึนเมา สมัครมีประวัติการรักษาอาการป่วยทางจิต ซึ่งปัจจุบันยังต้องกินยารักษาอยู่ ต่อมาเขาให้การรับสารภาพ เนื่องจากที่ผ่านมานัดสืบพยานมาหลายนัดแต่คดีก็ยังไม่เสร็จ จึงรู้สึกเครียด

ศาลทหารพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 5 ปี สำหรับความผิดตามประมวลประกฎหมายอาญามาตรา 112 และปรับ 50 บาท จากการพกพาอาวุธในที่สาธารณะ โดยไม่มีการกล่าวถึงอาการทางจิตของจำเลย
 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

สมัคร ก่อนถูกจับอายุ 49 ปี เป็นชาวจังหวัดเชียงราย อาชีพหลักเป็นชาวนา ช่วงที่ไม่ต้องทำนาก็จะเข้าไปรับจ้างในเมืองเชียงใหม่ เช่น ทำงานก่อสร้าง จัดสวน สมัครมีฐานะยากจน มีทรัพย์สินเพียงที่นามรดกที่ได้รับตกทอดมา

 

อ่านเรื่องราวของสมัคร ต่อได้ คลิกที่นี่

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ผู้ต้องหาเข้าทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านสันป่าสัก อ.เทิง จ.เชียงราย 

พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีข้อมูล

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

8 ก./2557

ศาล

ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ขณะก่อเหตุ ผู้ต้องหามีอาการมึนเมา นอกจากนี้ยังมีประวัติการรักษาอาการทางจิตอีกด้วย

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

8 กรกฎาคม 2557 

เวลากลางคืน ไม่ทราบแน่ชัดว่ากี่นาฬิกา สมัครทำลายพระบรมฉายาลักษณ์โดยดึงลงมากองที่พื้น เหลือเพียงแต่ซุ้มโครงที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นบริเวณทางเข้าหมู่บ้านสันป่าสัก ต.ปล้อง อ.เทิง จ.เชียงราย

เมื่อตำรวจได้รับแจ้งและเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบผู้ต้องหาอยู่บริเวณนั้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย 

10 พฤศจิกายน 2557

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ในช่วงบ่าย ศาลจังหวัดทหารบกเชียงรายนัดสอบคำให้การสมัคร แต่ทนายความแถลงต่อศาลขอให้เลื่อนวันนัดสอบคำให้การออกไปอีกนัดหนึ่ง เพราะจำเลยยังไม่พร้อมให้การ 

ทนายความยังแถลงต่อศาลด้วยว่า ในนัดก่อน ทนายจำเลยอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เคยยื่นคำร้องให้ศาลมีหมายเรียกไปขอประวัติการรักษาของจำเลยจากโรงพยาบาลสามแห่งมาแล้ว แต่ยังไม่มีเอกสารมา

ศาลตอบทนายความว่า ในนัดก่อน ทนายจำเลยอีกคนเพียงแต่แจ้งศาลว่าให้ขอประวัติการรักษาของจำเลย แต่ไม่ได้แจ้งสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลและไม่ได้ระบุหมายเลขประจำตัวของผู้ป่วย ศาลจึงไม่อาจออกหมายเรียกเอกสารให้ได้

ทนายจำเลยชี้แจงต่อศาลว่า ในปัจจุบันเพียงแต่แจ้งชื่อจำเลยก็สามารถค้นประวัติการรักษาได้แล้ว แต่ศาลชี้แจงว่า ศาลจำเป็นจะต้องมีเอกสารอ้างอิงอื่นๆเช่นสำเนาบัตรประจำตัวผู้ป่วยของจำเลยแนบไปด้วย ศาลไม่สามารถออกหมายเรียกโดยไม่มีเอกสารอ้างอิงใดๆให้ได้

ศาลสั่งให้ทนายจำเลยไปหาบัตรประจำตัวผู้ป่วยของจำเลยมายื่นต่อศาลภายใน 7 วัน นับจากวันนี้ พร้อมให้ระบุที่ตั้งของโรงพยาบาลและระบุชื่อเอกสารที่ต้องการให้ศาลมีหมายเรียกให้ชัดเจน ศาลนัดสอบคำให้การใหม่ในวันที่ 11 ธันวาคม 2557 

ทนายจำเลยเปิดเผยด้วยว่า คดีนี้ ศาลไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าฟัง เว้นแต่จะเป็นญาติใกล้ชิดของจำเลย แต่ในวันนี้ไม่มีผู้สังเกตการณ์ภายนอกมาศาลแต่อย่างใด

11 ธันวาคม 2557
 
ศาลจังหวัดทหารบกเชียงรายนัดสอบคำให้การเวลา 9.00 น. แต่ศาลเริ่มกระบวนพิจารณาในเวลาประมาณ 11.10 น. เมื่อศาลขึ้นบัลลังก์ ศาลขอหารือกับทนายจำเลยเป็นการเฉพาะ พร้อมทั้งขอให้ผู้มาฟังคดีคนอื่นได้แก่สารวัตรทหาร เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รวมทั้งจำเลยออกไปก่อน  หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ศาลจึงให้ทุกคนกลับเข้าห้องพิจารณาคดีอีกครั้ง
 
ศาลแจ้งทนายจำเลยว่า ศาลได้รับเอกสารจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลเทิงแล้ว แต่ไม่ได้รับเอกสารจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทนายจำเลยแถลงไม่ติดใจเอกสารจากโรงพยาบาลราชฑัณฑ์
 
ศาลถามจำเลยว่าพร้อมให้การหรือไม่ จำเลยตอบว่า พร้อมให้การ ศาลอ่านฟ้องให้จำเลยฟัง โดยระบุถึงการกระทำตามข้อกล่าวหาให้จำเลยฟังพร้อมกับถามว่าจำเลยเข้าใจหรือไม่ จำเลยบอกว่าเข้าใจ ศาลถามว่าจำเลยจะให้การอย่างไร จำเลยตอบว่าจำเหตุการณ์ไม่ได้ ศาลถามย้ำว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ทนายจำเลยถามจำเลยว่าได้ทำสิ่งที่บรรยายตามฟ้องหรือไม่ จำเลยรับว่าทำ ทนายจำเลยถามต่อไปว่าที่ทำไปรู้ตัวหรือไม่ จำเลยตอบว่า ไม่รู้ตัว พร้อมทั้งบอกว่าตนมีอาการป่วย มักได้ยินเสียงกระซิบเป็นระยะ 
 
ศาลอ่านทวนคำร้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ซึ่งมึความว่า จำเลยยอมรับว่ากระทำความผิดตามฟ้องทุกข้อกล่าวหา แต่กระทำไปโดยไม่รู้ตัวเพราะป่วยเป็นโรคจิตเภท ดังที่มีประวัติรับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลเทิง จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลถามโจทก์ว่าจะคัดค้านคำร้องของจำเลยหรือไม่ อัยการทหารแถลงต่อศาลว่า จำเลยไม่ได้รับสารภาพตามข้อกล่าวหาของโจทก์ จึงขอนำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นศาล  ทนายจำเลยพยายามขอให้อัยการตัดพยานในส่วนที่เป็นผู้เห็นเหตุการออก เนื่องจากจำเลยรับคำให้การพยานในชั้นสอบสวนทั้งหมด แต่อัยการก็ชี้แจงว่าการเรียกพยานเป็นสิทธิของโจทก์ และต้องนำพยานมาสืบในประเด็นความรับรู้ผิดชอบชั่วดีของจำเลยด้วย 
 
ทนายพยายามยกคำพิพากษาของศาลยุติธรรม ที่ให้รอการลงโทษจำเลยเพราะจำเลยมีอาการป่วยทางจิตมาชี้แจงต่อศาล แต่ศาลกล่าวกับทนายจำเลยว่า กระบวนพิจารณาในศาลทหารต่างไปจากศาลพลเรือน การสั่งสืบเสาะดูประวัติความประพฤติหรือประวัติอาการป่วยของจำเลยเป็นกระบวนของของศาลยุติธรรมที่ไม่มีในศาลทหาร เมื่อโจทก์มีความสงสัยในคำกล่าวอ้างของจำเลยเรื่องอาการป่วย โจทก์ก็มีสิทธิที่จะนำพยานมาสืบได้ กำหนดวันสืบพยานนัดแรกวันที่ 12 มกราคม 2558
 
12 มกราคม 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ประชาไท รายงานว่า ที่ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย  อัยการศาลทหารนำด.ต.ราชันย์ จันทร์สุข  สังกัดสถานีตำรวจภูธรเทิง ผู้ทำการจับกุม ขึ้นเบิกความเป็นพยานโจทก์ปากแรก 
 
ด.ต.ราชันย์เบิกความต่อศาลถึงเหตุในคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 เวลา 20.30 น. ที่ ต.ปล้อง อ.เทิง จ.เชียงราย ตนได้รับแจ้งเหตุจากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านสันป่าสัก ต.ปล้อง ว่ามีบุคคลกำลังพยายามทำลายพระบรมฉายาลักษณ์บริเวณซุ้มเฉลิมพระเกียรติทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบจำเลยกำลังฉีกดึงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ลงมากองกับพื้น และยังจับพานพุ่มเงินทองที่วางสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ลงกองกับพื้น เมื่อจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ทำลายจริง จึงแจ้งข้อกล่าวหา ยึดของกลาง และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน
 
ด.ต.ราชันย์เบิกความด้วยว่า ขณะทำการจับกุม จำเลยมีอาการคล้ายคนมึนเมา โดยมีกลิ่นสุราจากตัวจำเลย แต่ยังสามารถพูดจาโต้ตอบได้รู้เรื่อง ในวันจับกุม ด.ต.ราชันต์ขอให้จำเลยไปตรวจหาสารเสพติดด้วย แต่จำเลยไม่ยอมไป สาเหตุที่จะส่งตัวจำเลยไปตรวจหาสารเสพติด เป็นเพราะจำเลยมีท่าทางไม่เหมือนคนปกติ จึงต้องการจะส่งไปตรวจให้รู้แน่ว่า จำเลยเมาสุราหรือสารเสพติดอื่น แต่ไม่ทราบว่าจำเลยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือไม่
 
เมื่อเสร็จสิ้นพยานปากนี้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากต่อไปในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 8.30 น.
 
สมัครให้ข้อมูลกับทนายความเพิ่มเติมในภายหลังว่า ทุกวันนี้ ตนยังคงมีอาการหูแว่วอยู่บ่อยครั้งเมื่ออยู่คนเดียว โดยมีอาการเหมือนมีคนมากระซิบ หรือเสียงคนจับกลุ่มพูดกันอยู่ข้างหู ทำให้ยังต้องกินยารักษาอยู่ทุกวัน ปัจจุบันตนถูกนำตัวไปอยู่ในแดนพยาบาลภายในเรือนจำ
 
10 กุมภาพันธ์ 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
เวลา 9.50 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ และแจ้งเรื่องที่จำเลยแต่งตั้งทนายความเพิ่มอีกหนึ่งให้คู่ความทราบ 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ 2 วรวิทย์ ศรีคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 10 ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย วรวิทย์ อายุ 50 ปี มีอาชีพทำนา และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครองในหมู่บ้านที่สมัครอาศัยอยู่ มีหน้าที่รักษาความสงบภายในหมู่บ้าน อยู่ในตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงปัจจุบัน
 
วรวิทย์เบิกความว่าคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ที่ปากทางเข้าอ่างเก็บน้ำขุนปล้อง หมู่ 10 ต.ปล้อง มีคนรายงานทางโทรศัพท์ให้ตนทราบว่ามีบุคคลกำลังทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ จึงได้ออกไปดู เห็นบุคคลอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นสมัคร ตนจึงไปแจ้งตำรวจ ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว 200 เมตร เมื่อตำรวจมาถึง ได้ควบคุมตัวบุคคลนั้น ถึงได้รู้ว่าเป็นสมัคร
 
วรวิทย์เบิกความว่าตนเห็นสมัครกำลังดึงพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อตำรวจควบคุมตัว ได้เรียกให้ญาติพี่น้องของสมัครมาดู แต่ก็ไม่มีใครมา ส่วนตนได้แจ้งเรื่องไปทางผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านได้ตามมายังที่เกิดเหตุ โดยระหว่างจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจและตนได้สอบถามจำเลยว่าทำแบบนี้ทำไม จำเลยได้ตอบว่าผมไม่ชอบ จากนั้นจึงควบคุมตัวจำเลยไปที่สถานีตำรวจภูธรเทิง 
 
วรวิทย์เบิกความซุ้มที่เกิดเหตุนั้นเป็นซุ้มเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และเป็นที่เคารพถวายสักการะของชาวบ้าน มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ คู่กันอยู่ และยังมีโต๊ะหมู่บูชา พานพุ่ม และผ้าริ้ว ซุ้มนี้สร้างขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยงบประมาณของเทศบาล แต่ชาวบ้านได้ร่วมกันลงแรงก่อสร้าง และร่วมกันนำเงินรวมกันราว 2,000 บาท มาเป็นค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตอนจัดสร้างด้วย
 
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
 
นายวรวิทย์เกิดและโตที่หมู่ 10 ตำบลปล้องนี้ เป็นหมู่บ้านเดียวกับสมัคร ซึ่งเกิดและโตที่บ้านนี้เช่นเดียวกัน ทำให้พยานรู้จักสมัครเป็นอย่างดี หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง มีประมาณ 240 หลังคาเรือน และคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นญาติพี่น้องหรือรู้จักกันหมด เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คนในหมู่บ้านก็จะรับรู้กันได้หมด 
 
ทนายถามว่าทราบถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2557 ที่จำเลยได้เผารถจักรยานยนต์ของตนเองหรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าทราบ ตนได้เห็นซากรถขณะไปดูที่บ้านสมัครกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากเกิดเหตุในคดีนี้ จึงได้ทราบว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน สมัครได้เอารถไปซ่อม แล้วซ่อมไม่สำเร็จสักที เลยเผารถของตนเอง 
 
ทนายถามว่าสมัครเป็นคนที่มีอาการทางประสาท เคยไปหาหมอเพื่อทำการรักษาใช่หรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าใช่ และบุคคลอื่นในหมู่บ้านก็ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน  แล้วสมัครยังดื่มสุราด้วย
 
ทนายถามว่าย้อนไป 4-5 ปีก่อน สมัครเคยเผาบ้านของตนเองมาก่อนใช่หรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าไมได้เผา แต่ทุบบ้านของตนเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะความเครียดในเรื่องครอบครัว
 
ทนายถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดคุยกับสมัครนานพอสมควรระหว่างจับกุม และตนอยู่ในบริเวณนั้นด้วยใช่หรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าใช่ ทนายถามว่าสมัครมีอาการมึนเมาหรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าไม่มี ยังพูดคุยกันได้รู้เรื่อง 
 
วรวิทย์เบิกความว่าปกติในวันพ่อหรือวันแม่ จะมีการจัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติในหมู่บ้าน ด้วยความร่วมมือของคนในหมู่บ้าน เช่นเดียวกับซุ้มที่เกิดเหตุนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านจำเลยราว 50 เมตร โดยที่ในหมู่บ้านไม่เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อน 
 
ตอบอัยการโจทก์ถามติง
 
อัยการถามว่าเหตุการณ์ที่สมัครทุบบ้านของตนเอง เหตุเพราะภรรยาขอเลิกกันใช่หรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าเรื่องภายในครอบครัวจำเลย ตนไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าอาจจะมาจากความเครียด 
 
อัยการถามว่าระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามสมัครในที่เกิดเหตุ วรวิทย์กำลังติดต่อผู้ใหญ่บ้าน และญาติๆ ของสมัคร ทำให้ไม่ได้ยินโดยตลอดว่าตำรวจกับสมัครคุยอะไรกันใช่หรือไม่ วรวิทย์เบิกความว่าใช่
 
เสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้เวลา 10.34 น.
 
อัยการโจทก์ ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานโจทก์ปากที่ 3 คือเกตุ ทรายคำ มาเบิกความในนัดหน้า คู่ความตกลงนัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 10 มีนาคม 2558 เวลา 8.30 น.
 
10 มีนาคม 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า ศาลสั่งให้เลื่อนการสืบพยานปากที่ 3 ไปเป็นวันที่ 9 เมษายน 2558 แทน เนื่องจากพยานไม่มาศาลเพราะติดธุระ การเลื่อนครั้งนี้ไม่มีการแจ้งทนายล่วงหน้าเนื่องจากศาลก็พึ่งทรา่บว่าพยานจะไม่มาศาลในวันที่ 10 มีนาคม เช่นกัน
 
9 เมษายน 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า วันนี้ศาลจังหวัดทหารบกเชียงรายนัดสืบพยานโจทก์ แต่พยานซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านของจำเลยไม่มาศาล ศาลจึงสั่งให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 8 พฤษภาคม 2558 เวลา 8.30 น. ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่พยานปากนี้ไม่มาศาล โดยครั้งแรกในนัดเมื่อเดือนมีนาคมพยานปากนี้ก็ไม่มาศาลเช่นกัน 
 
8 พฤษภาคม 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งว่า พยานโจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงให้เลื่อนการสืบพยานไปเป็นวันที่ 8 มิถุนายน 2558 โดยศาลออกหมายเรียกพยานไปที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านสันป่าสัก ซ้ำอีกครั้ง การเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ เพราะพยานโจทก์ไม่มาศาล ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว  
 
8 มิถุนายน 2558
 
เฟซบุ๊กของ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านสันป่าสัก ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ เบิกความว่า เมื่อได้รับแจ้งเหตุการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ในวันที่ 8 ก.ค.57 จึงเดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายควบคุมตัวสมัครอยู่ พร้อมของกลางที่ถูกทำลาย โดยจำเลยมีอาการคล้ายคนมึนเมา และมีกลิ่นสุรา จึงนำตัวไปร้องทุกข์ดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเทิง
 
พยานทั้ง 2 ยังเบิกความถึงประวัติการรักษาอาการทางจิตของจำเลย และเหตุที่จำเลยเคยทุบบ้านและเผาจักรยานยนต์ของตนเองมาก่อนเกิดคดีนี้ด้วย
 
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน อัยการทหารแถลงว่าจะขอนำพยานโจทก์มาสืบอีกสองปากในนัดหน้า ศาลนัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 10 ก.ค.58 เวลา 8.30 น.
 
10 กรกฎาคม 2558
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย นัดสืบพยานโจทก์สองปาก คือ อดีตภรรยาของจำเลย และอดีตผู้ใหญ่บ้านที่รู้จักจำเลย
 
จำเลยแจ้งกับทนายว่า ตัดสินใจรับสารภาพเพื่อให้คดีจบในวันนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาคดีนี้นัดสืบพยานมาหลายนัดแต่คดีก็ยังไม่เสร็จ ทำให้รู้สึกเครียด ทนายจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ก่อนเริ่มการพิจารณา
 
เวลาประมาณ 10.30 น. ศาลขึ้นบัลลังก์สอบโจทก์แล้วทราบว่าพยานมาศาลปากเดียว คือ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ทนายจำเลยแจ้งต่อศาลว่าจำเลยประสงค์จะขอเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
 
ศาลถามจำเลยว่าต้องการรับสารภาพจริงหรือไม่ จำเลยยืนยัน ศาลถามโจทก์ว่ายังติดใจสืบพยานอีกหรือไม่ โจทก์ตอบว่าไม่ติดใจสืบพยานแล้ว ศาลจึงจดในรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่าจำเลยแถลงขอเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ และกำหนดวันฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 6 สิงหาคม 2558 เวลา 8.30 น.
 
ทนายจำเลยขอส่งคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 27 กรกฎาคม แต่ศาลบอกว่าต้องยื่นภายใน 15 วัน จึงกำหนดให้ยื่นภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2558
 
6 สิงหาคม 2558
 
ที่ศาลทหารจังหวัดเชียงราย ค่ายพญาเม็งราย ศ
 
ศาลขึ้นบัลลังก์ เวลาประมาณ 10.30 น. ในห้องมีผู้สังเกตการณ์คดีนั่งอยู่ก่อนแล้ว 4 คน ศาลอ่านคำพิพากษาโดยไม่มีการเอ่ยถึงคำแถลงปิดคดีของทนายจำเลยที่กล่าวถึงอาการทางจิตของจำเลย
 
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี สำหรับความผิดตามประมวลประกฎหมายอาญามาตรา 112 และปรับ 100 บาท จากการพกพาอาวุธในที่สาธารณะ แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 50 บาท
 
เมษายน 2560
 
มีรายงานจากนักโทษการเมืองในคดีอื่นว่า สมัครรับโทษครบและได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแล้ว รวมระยะเวลาที่ต้องถูกคุมขังประมาณ 2 ปี 9 เดือน

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา