ณัชกฤช: หมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์

อัปเดตล่าสุด: 02/12/2559

ผู้ต้องหา

ณัชกฤช

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2548

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี

สารบัญ

ณัชกฤชจัดรายการวิทยุชุมชน ชื่อ “ช่วยกันคิดช่วยกันแก้”คำพูดตอนหนึ่งถูกนำไปกล่าวโทษว่าเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ณัชกฤช เป็นเจ้าของสถานีวิทยุชมชนและผู้จัดรายการวิทยุชุมชนชื่อรายการ “ช่วยกันคิดช่วยกันแก้”ที่อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี  

ข้อหา / คำสั่ง

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ณัชกฤชถูกกล่าวหาว่า กล่าวข้อความซึ่งเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4 ระหว่างจัดรายการออกอากาศทางวิทยุชุมชน 

พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีข้อมูล

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลจังหวัดชลบุรี

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

5 เมษายน 2548

ณัชกฤชจัดรายการวิทยุชุมชนชื่อรายการ ช่วนกันคิดช่วยกันแก้ กระจายเสียงในพื้นที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ระหว่างจัดรายการ มีโทรศัพท์จากผู้ฟังเข้ามาสอบถาม ว่าทำไมณัชกฤชสอบตก ในการเลือกตั้งท้องถิ่น

คำพูดที่ณัชกฤชตอบคำถามผู้ฟังตอนหนึ่งถูกนำไปกล่าวโทษว่าเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล

วันที่ 3 พฤษภาคม 2550

ศาลจังหวัดชลบุรี  พิพากษาว่า ณัชกฤชมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยคำพิพากษาสรุปความได้ว่า

ข้อความตามฟ้องเปรียบเทียบว่าในยุคของรัชกาลที่ 4 มีการปกครองที่ไม่ดี ไม่มีอิสระต้องเป็นทาส ทำให้รัชกาลที่ 4 เสียพระเกียรติ ประชาชนไม่เคารพสักการะ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง 

การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี และให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี เพราะจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน  

ต่อมาพนักงานอัยการอุทธรณ์ให้ขอให้ศาลสั่งจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ

ที่มา นิติราษฎร์

28 กรกฎาคม 2552

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องจำเลย โดยให้เหตุผลว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบเพราะขาดองค์ประกอบความผิด 

คำว่าพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในความเห็นของศาลอุทธรณ์ หมายถึงพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ขณะมีการกระทำความผิด

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาทกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ซึ่งไม่ได้ครองราชย์ขณะที่จำเลยกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบ แม้จำเลยจะรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

ต่อมาพนักงานอัยการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปที่ศาลฎีกา

8 พฤษภาคม 2556

ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยให้เหตุผลว่า

คดีตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้ระบุว่าพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังคงครองราชย์อยู่ในขณะทำความผิดหรือไม่

ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ระบุว่าพระมหากษัตริย์ที่ถูกกระทำจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังคงครองราชย์อยู่ 

แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าบทบัญญัตินี้อยู่ในลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร แสดงให้เห็นว่าแม้การกระทำความผิดจะกระทบต่อพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว แต่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 

เนื่องจากประเทศไทยมีความยึดโยงกับพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สร้าง จากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนก็ตาม

แต่สถานะของพระมหากษัตริย์ยังคงได้รับความเคารพสักการะ ให้เป็นประมุขของประเทศ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชต้นราชวงศ์มากระทั่งรัชกาลปัจจุบัน

ประชาชนจึงผูกพันกับพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นที่เคารพสักการะ ดังนั้นการหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ก็ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ยังคงครองราชย์อยู่ และยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชนอันจะนำไปสู่ความไม่พอใจและอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงฟังขึ้น

ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น เห็นว่า   จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้สำนึกในการกระทำ จึงมีเหตุที่ให้รอการลงโทษเพื่อให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ที่มา นิติราษฎร์

 

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา