แฮกเกอร์: คัดค้าน #พรบคอม

อัปเดตล่าสุด: 10/01/2561

ผู้ต้องหา

“นัท”

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2512

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

สารบัญ

จากเหตุการณ์ชาวเน็ตบุกโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐหลายๆ แห่ง วันที่ 20 ธันวาคม 2559 ทหารอำนาจตามคำสั่งที่ 13/2559 ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นแฮกเกอร์หลายคน และขังไว้ที่เรือนจำพิเศษ ที่มทบ.11 เป็นเวลาเจ็ดวัน "นัท"เป็นหนึ่งในที่ถูกตั้งข้อหา เขาถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า เจาะข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ อั้งยี่ ตามมาตรา 209 ของประมวลกฎหมายอาญา, ครอบครองอาวุธปืน และยาเสพติด 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

"นัท" (นามสมมติ) ขณะถูกจับอายุ 19 ปี เป็นนักศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่ 1 

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, อื่นๆ

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ตามคำร้องขอฝากขังระบุว่า พฤติการณ์สืบเนื่องจากวันที่ 20 ธันวาคม 2559 เวลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามคำสั่งที่ 13/2559 เข้าตรวจค้นบ้านพักของ"นัท"พบของกลางจำนวนสิบรายการอาทิ ปืน โครงปืน กัญชา คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก เราท์เตอร์ไวไฟ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโทรศัพท์มือถือ และเนื่องจาก"นัท"มีลักษณะคล้ายผู้ติดยาเสพติดและพบกัญชาในครอบครอง เจ้าหน้าที่จึงนำตัว"นัท"ไปตรวจยาเสพติดพบว่า มีสารเสพติดในกลุ่มกัญชา 
 
"นัท" เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2563/2559 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2559 ในความผิดฐานอั้งยี่, ปลอมเอกสารและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, ร่วมกันล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ นำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยไม่ชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับตน, ร่วมกันกระทำด้วยประการใดโดยไม่ชอบเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, เสพและมียาเสพติดให้โทษประเภทห้า (กัญชา)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พร้อมของกลางจำนวนสิบรายการ
 
การกระทำของ"นัท" ถูกกล่าวหาว่า เป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 5,6,7,9,10,14(1) พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 4,7(5) 26 วรรคแรก, 57,76 วรรคแรก,92,102, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 4(1),(2),7,8,72 วรรคแรก, 72 ทวิวรรคแรก, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,209,264, 265, 268

 

พฤติการณ์การจับกุม

20 ธันวาคม 2559 ทหารในฐานะเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย เข้าจับกุมและตรวจค้นบ้านพักของ "นัท" พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หนังสือเรื่อง “Network security ฉบับก้าวสู้นักทดสอบและป้องกันการเจาะระบบ” นอกจากนี้ยังพบอาวุธปืน กระสุนและกัญชาอัดแห้ง ก่อนที่ทหารจะนำตัวไปควบคุมที่ มทบ.11 เป็นเวลา 7 วัน และนำมาส่งตัวให้ตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
ตามบันทึกการจับกุม ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2559 ระบุว่า "นัท"ถูกกล่าวหาว่า เป็นอั้งยี่, ปลอมเอกสาร, เจาะระบบคอมพิวเตร์, ทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์, รบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, มีอาวุธปืนและยาเสพติดไว้ในครอบครอง
โดยบันทึกการจับกุมระบุด้วยว่า คดีนี้เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 13/2559 เข้าจับกุมและควบคุมตัวไว้เป็นเวลา 7 วัน จึงประสานงานให้ตำรวจมารับตัว เนื่องจาก"นัท"มีหมายจับจากศาลอาญา ที่ 2563/2559 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2559 โดยเมื่อมารับตัว ตำรวจได้รับมอบของกลางที่ได้มาจากการที่เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยตรวจยึดได้ จากการใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ตรวจค้นบ้านของผู้ต้องหา คือ อาวุธปืนพกสั้นสองกระบอก ปืนยาวหนึ่งกระบอก พร้อมลูกกระสุนปืนลูกซอง 19 ยัด ปลอกกระสุนปืนลูกซองหนึ่งนัด กระสุนปืนขนาด .22 จำนวนหนึ่งนัด โครงปืนสองอัน กัญชาอัดแห้งจำนวนสามแท่ง คอมพิวเอตร์โน๊ตบุ๊กสีดำจำนวนหนึ่งเครื่อง เราท์เตอร์ไวไฟจำนวนหนึ่งเครื่อง โดยในการเข้าตรวจค้นอ้างว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่าบ้านของผู้ต้องหาจะมีอาวุธปืนที่มีไว้เป็นความผิด หากรอการออกหมายค้นจากศาลบุคคลที่กระทำความผิดจะหลบหนีหรือทรัพย์สินอาจถูกโยกย้าย หรือทำลาย จากการตรวจค้นพบของกลาง 
 
แต่ข้อมูลจากบันทึกการจับกุมไม่ปรากฏว่ามีการตรวจยึด อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และหนังสือเรื่อง “Network security ฉบับก้าวสู้นักทดสอบและป้องกันการเจาะระบบ” ซึ่ง
เป็นหลักฐานที่นำมาประกอบระหว่างการแถลงข่าว 
 

 

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.1290/2560

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
16 ธันวาคม 2559
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาผ่านร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในวาระสองและสาม ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหลายวัน มีกระแสบนโลกออนไลน์คัดค้านกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวาง และมีคนร่วมลงชื่อผ่านเว็บไซต์ Change.org เพื่อให้หยุดการพิจารณากฎหมายฉบับนี้กว่า 300,000 คน เพราะเป็นห่วงว่ากฎหมายฉบับนี้จะเปิดช่องให้รัฐมีอำนาจเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล และปิดกั้นการแสดงออกบนโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น  หลังกฎหมายผ่าน สนช. เฟซบุ๊กเพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway ประกาศสงครามไซเบอร์และโจมตีเว็บไซต์รัฐบาลหลายแห่ง เช่น เว็บไซต์กรมศุลกากร, เว็บไซต์กรมการเงินทหาร เว็บไซต์กองบัญชาการกองทัพไทย, เว็บไซต์กรมทางหลวงชนบท เว็บไซต์กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฯลฯ
 
20 ธันวาคม 2559
ทหารเข้าจับกุม"นัท" และเข้าค้นบ้านพัก ตรวจยึดหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หนังสือเรื่อง “Network security ฉบับก้าวสู้นักทดสอบและป้องกันการเจาะระบบ” นอกจากนี้ยังพบอาวุธปืน กระสุนและกัญชาอัดแห้ง ก่อนที่ทหารจะนำตัวไปควบคุมที่ มทบ.11 เป็นเวลาเจ็ดวัน
 
26 ธันวาคม 2559
ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวจับกุมผู้ที่คาดว่ามีส่วนร่วมในการเจาะระบบเว็บไซต์ของรัฐบาลรายแรก คือ "นัท"  อายุ 19 ปี โดยระบุว่า "นัท" เป็นผู้ส่งต่อข้อมูลการเจาะระบบไปให้ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กชื่อ “พลเมืองต่อต้าน ซิงเกิล เกตเวย์” 
 
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา กล่าวว่า กลุ่มต่อต้าน Single Gateway ที่รวมตัวกันตั้งเพจเฟซบุ๊ก ในชื่อ ซึ่งมีพฤติกรรมยุยงปลุกปลั่นให้ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่ โดยยกอ้างประเด็นการใช้ระบบซิงเกิลเกตเวย์มาปลุกระดม ให้เกิดการต่อต้าน กลุ่มนี้จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปส่งต่อเพื่อให้ทุกคนหลงเชื่อและเข้าใจข้อมูลที่บิดเบือน ทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ โดย"นัท" ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่หลงเชื่อกลุ่มพวกนี้ เข้ามาเจาะระบบของสำนักนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เข้าถึงข้อมูลได้ในระดับผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้เข้าถึงชั้นความลับ 
 
28 ธันวาคม 2559
ประชาไท รายงานว่า เจ้าหน้าที่พา"นัท" ไปฝากขังผลัดแรกที่ศาลอาญารัชดา หลังจากนั้นครอบครัวของ"นัท"ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นโฉนดที่ดินราคาประเมิน 400,000 บาท แต่ศาลยกคำร้อง โดยระบุว่า “พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะเป็นขบวนการก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน กรณีจึงยังไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน ยกคำร้อง คืนหลักประกัน” 

30 ธันวาคม 2559
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตำรวจได้กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีแฮกเกอร์อีกสามรายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งทั้งสามคนถูกตั้งข้อกล่าวหาคล้ายคลึงกับ"นัท"ฐานอั้งยี่และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยศาลอนุมัติออกหมายจับแล้ว หลังจากนี้จะมีการขยายผลต่อไป อย่างไรก็ตาม ภายหลังการจับกุมเหล่าแฮกเกอร์ เพจต้นทางอย่าง“พลเมืองต่อต้าน ซิงเกิล เกตเวย์”ยังคงโพสต์ข้อความและข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า มีการเจาะระบบเว็บไซต์ของรัฐอย่างต่อเนื่อง
 
18 มกราคม 2560
ช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.00 น. แม่ของ"นัท"ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่สอง โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ราคา 400,000 บาท ฉบับเดิม ระบุว่า "นัท"ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ การคุมขังในเรือนจำจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึก ทั้งยังคงไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ในส่วนของการควบคุมตัวและการสอบสวนของเจ้าพนักงานเบื้องต้นนั้นยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้กลลวงให้"นัท"รับสารภาพ ขณะที่แม่ของ"นัท"เองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการสอบสวน หากคิดตามหลักความเป็นจริง "นัท"ไม่ได้มีความสามารถในการเจาะระบบข้อมูลทางเทคโนโลยีของหน่วยงานราชการ ซึ่งถ้ามีความสามารถเช่นนั้นคงไม่ทิ้งร่องรอยให้ติดตามได้ "นัท"เพียงได้รับข้อมูลจากผู้อื่นมาเผยแพร่เท่านั้น ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 16.30 ศาลพิเคราะห์เห็นตามคำร้องจึงมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว"นัท"
 
21 มีนาคม 2560
อัยการยื่นฟ้อง "นัท" ต่อศาลอาญา โดยกล่าวหาว่า "นัท" ร่วมกับจำเลยอีกสามคนในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อ.472/2560 และกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมา กระทำความผิดหลายกรรม ได้แก่
 
1) ร่วมกันเป็นสมาชิกของเฟซบุ๊กกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแฮกเกอร์ ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและต่อต้านการประกาศใช้ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศ อันเป็นความผิดฐานอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209
 
2) ปลอมบัตรข้าราชการตำรวจ เพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสในการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ อันเป็นความผิดฐาน ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิคส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 265 268 และ 269/5
 
3) หลอกผู้ดูแลระบบว่า ตนเองเป็นตำรวจเพื่อเข้าถึงแอพลิเคชั่นชื่อ "ระบบรถยนต์สายตรวจ" อันเป็นความผิดฐานนำข้อมูลปลอมหรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)
 
4) เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการป้องกัน โดยไม่ชอบ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 5
 
5) ล่วงรู้วิธีการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของเว็บไซต์ต่างๆ แล้วนำไปบอกต่อให้กับสมาชิกของเฟซบุ๊กกลุ่มต่างๆ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 6
 
6) เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ในเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการป้องกัน โดยไม่ชอบ ทั้งหมด 11 ครั้ง ได้แก่ เว็บไซต์ของกองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 ครั้ง, เว็บไซต์ของกระทรวงกลาโหม 4 ครั้ง, เว็บไซต์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 3 ครั้ง, เว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศ 2 ครั้ง และเว็บไซต์ของโรงเรียนแสงโสม 1 ครั้ง อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 7
 
7) เข้าไปแก้ไขภาพหน้าเว็บไซต์ทั้งหมด 11 แห่ง ได้แก่ เว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 2, เว็บไซต์ของตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก, เว็บไซต์ของกองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, เว็บไซต์ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1, เว็บไซต์ของกองบังคับการตำรวจจราจร, เว็บไซต์ของจังหวัดศรีสะเกษ, เว็บไซต์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก, เว็บไซต์ของสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือ, เว็บไซต์ของสถานีโทรททัศน์กองทัพบกช่อง 5, เว็บไซต์ของกองทัพภาคที่ 2, เว็บไซต์ของกองบัญชาการกองทัพไทย อันเป็นความผิดฐาน แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 9
 
8) ทำให้เว็บไซต์ต่างๆ ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ทั้งหมด 11 ครั้ง ได้แก่ เว็บไซต์ของตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก, เว็บไซต์ของตำรวจภูธรภาค 7, เว็บไซต์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก, เว็บไซต์ของกรมการเงินทหารบก, เว็บไซต์ของสำนักปลัดกระทรวงการคลัง, เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ, เว็บไซต์รัฐบาลไทย, เว็บไซต์ระบบบริหารการเงินการคลังแบบอิเล็กทรอนิคส์ ของกรมบัญชีกลาง 2 ครั้ง และเว็บไซต์ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของกรมบัญชีกลาง 2 ครั้ง
 
7) เสพกัญชาและมีกัญชาแห้งไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 26, 57, 76, 92, 102

8) ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72, 72 ทวิ

รวมทั้งหมดจำเลยถูกยื่นฟ้องทั้งสิ้น 45 ข้อ จากการกระทำและข้อหาต่างๆ กัน
 
 
19 มิถุนายน 2560
ศาลอาญานัดให้ "นัท" มาศาล เพื่อตรวจพยานหลักฐาน พร้อมกับจำเลยอีกสามคนได้แก่ ดนัย จตุพงษ์ และชวลิตในคดีหมายเลขดำที่ อ.472/2560 ซึ่งถูกฟ้องว่ากระทำความผิดเช่นเดียวกัน จำเลยทั้งสี่คนมาศาลพร้อมกับทนายความของตัวเอง โดยจำเลยอีกสามคนไม่ได้รู้จักกับ "นัท" มาก่อน
 
ศาลขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 9.55 น. และสั่งอนุญาตให้รวมคดีทั้งสองเข้าพิจารณาด้วยกัน ตามที่อัยการโจทก์ร้องขอและฝ่ายจำเลยไม่ได้คัดค้าน 
 
อัยการโจทก์แจ้งว่า ในนัดตรวจพยานหลักฐานวันนี้ อัยการไม่ได้นำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมาให้ฝ่ายจำเลยตรวจดู เนื่องจากเอกสารมีปริมาณมาก และไม่สะดวกที่จะถ่ายเอกสารทั้งหมดมอบให้จำเลย จึงขอให้คดีนี้ไม่ต้องมีการตรวจพยานหลักฐานและให้เริ่มการสืบพยานไปเลย โดยจะนำเอกสารหลักฐานแต่ละชิ้นส่งให้ศาลในวันสืบพยาน นอกจากนี้ฝ่ายอัยการยังแถลงว่า มีพยานที่ต้องการจะนำสืบทั้งหมด 40 ปาก
 
ทนายของจำเลยคัดค้าน และขอให้มีการตรวจพยานหลักฐานก่อน ซึ่งศาลไม่อนุญาตตามที่อัยการร้องขอ และศาลสั่งให้อัยการนำเอกสารหลักฐานมาให้ฝ่ายจำเลยได้ตรวจดูก่อน อัยการแจ้งว่า วันนี้ยังไม่ได้นำเอกสารทั้งหมดมา จึงจะขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานไปนัดหน้า และฝ่ายอัยการไม่สะดวกที่จะถ่ายเอกสารทั้งหมดให้ จึงจะนำเอกสารมาให้จำเลยตรวจสอบดู และให้จำเลยยื่นคำร้องขอคัดถ่ายเอกสารตามระบบของศาลเอง
 
คู่ความทุกฝ่ายตกลงนัดกันวันที่ 4 กันยายน 2560 ซึ่งอัยการจะนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมาให้จำเลยตรวจดู และฝ่ายจำเลยจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ระหว่างการรอถ่ายสำเนาโดยเจ้าหน้าที่ของศาลถึงจะได้รับเอกสารทั้งหมด หลังจากนั้นจำเลยได้รับเอกสารครบถ้วนแล้ว จึงจะนัดวันพิจารณาคดีกันต่ออีกครั้งหนึ่ง
 
 
 
 

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา