วัฒนา:โพสต์ว่าหมุดคณะราษฎรเป็นโบราณวัตถุ

อัปเดตล่าสุด: 15/05/2562

ผู้ต้องหา

วัฒนา เมืองสุข

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2560

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)

สารบัญ

วัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า หมุดคณะราษฎรเป็นวัตถุโบราณ ต่อมาเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ร้องทุกข์กล่าวโทษวัฒนาในความผิดฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) วัฒนาเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เพื่อรับทราบข้อกล่าว

ภูมิหลังผู้ต้องหา

วัฒนา เมืองสุข  เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปราจีนบุรี
 
นอกจากคดีนี้ วัฒนายังถูกตั้งข้อหากระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  จากกรณีที่วิจารณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งให้สัมภาษณ์กรณีที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกเจ้าหน้าที่ทหารติดตามและถ่ายภาพว่า เป็นเพราะ ยิ่งลักษณ์เป็นคนสวย ซึ่งวัฒนาวิจารณ์ว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวมีลักษณะเหยียดเพศ 
 
วัฒนา ถูกคสช.เรียกให้ไปรายงานตัวหลายครั้ง การเรียกในคดีนี้เป็นการเรียกรายงานตัวครั้งที่ 4 โดยครั้งแรก วัฒนาถูกเรียกรายงานตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดยคำสั่งคสช. ฉบับที่ 3/2557 ในยุครัฐบาลคสช. วัฒนาใช้เฟซบุ๊ก Watana Muangsook แสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง จนถูกเรียกรายงานตัวครั้งที่สองในวันที่ 17 กรกฎาคม 2558 และครั้งที่ 3 ในวันที่ 2 มีนาคม 2559

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อวัฒนา ในความผิดฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯมาตรา 14(1) จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า หมุดคณะราษฎร์ที่ติดตั้งที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นโบราณวัตถุ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ
 

พฤติการณ์การจับกุม

วันที่ 20 เมษายน 2560 ในช่วงบ่าย วัฒนา เมืองสุข เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ด้วยตัวเอง โดยยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือหมายจับ

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล


หมายเลขคดีดำ

อ.3158/2560

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
14 เมษายน 2560

เพจเฟซบุ๊กหมุดคณะราษฎร รายงานว่า หมุดคณะราษฎรที่เป็นหมุดที่ทำขึ้นเนื่องจากการอภิวัฒน์สยาม 2475 มีข้อความว่า ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ ได้ถูกรื้อถอนและแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่มีข้อความว่า ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง และ ขอประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน

โดยไม่ปรากฏว่า มีหน่วยงานใดออกมาแสดงความรับผิดชอบในการรื้อถอนหมุดคณะราษฎร จึงก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามว่า ใครเป็นผู้เปลี่ยนหมุดคณะราษฎร

16 เมษายน 2560

ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า พริษฐ์ รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ หลานของหลวงเสรี เริงฤทธิ์ หนึ่งในคณะราษฎรที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ได้ขอลงบันทึกประจำวันที่ สน.ดุสิต จากกรณีที่หมุดคณะราษฎรหายไปอย่างลึกลับ ต่อมานิสิตและนักศึกษาจากสามมหาวิทยาลัยคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มาขอลงบันทึกประจำวันกรณีหมุดคณะราษฎรหาย
 
17 เมษายน 2560

กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี การลงบันทึกประจำวันของพริษฐ์ รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์และกลุ่มนักศึกษาว่า ส่วนตัวมองว่า ตามกฎหมายผู้ร้องทุกข์จะต้องเป็นผู้เสียหายหรือเจ้าของทรัพย์มรดก ตำรวจถึงจะดำเนินการให้ แต่กรณีหมุดคณะราษฎรนี้ไม่ปรากฏว่า เป็นทรัพย์สินของใคร ตนจึงไม่รู้จะไปดำเนินการอย่างไร
 
วันเดียวกัน วัฒนา เมืองสุขโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

"ผมรู้สึกสังเวชในพฤติกรรมของรอง ผบ.ตร. ท่านหนึ่ง ที่ออกมาถามนิสิตนักศึกษาที่ได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต เพื่อให้ช่วยติดตามหมุดของคณะราษฎรที่หายไปว่าเป็นผู้เสียหายหรือไม่ ผมขอตอบคำถามแทนคนไทยเพื่อเป็นวิทยาทานว่า หมุดของคณะราษฎรเป็นสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของโบราณที่ประดิษฐ์ขึ้น ซึ่งโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นประโยชน์ในทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือเป็นสัญลักษณ์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 จึงถือเป็น ‘โบราณวัตถุ’ ตามมาตรา 1 แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 หมุดดังกล่าวจึงถือเป็นสมบัติของชาติ
 
การที่หมุดของคณะราษฎรสูญหายไป ผู้ที่เก็บหรือเบียดบังเอาไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ถือเป็นความผิดตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่คนไทยทุกคนย่อมเป็นผู้เสียหายที่จะแจ้งความดำเนินคดีได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะขอบคุณนิสิตนักศึกษาที่ใส่ใจติดตามเอาสมบัติของชาติกลับคืนมา ส่วนรัฐบาลที่กินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนต่างหากที่สมควรถูกประณาม ทั้งนี้เพราะสมบัติของชาติฝังอยู่กับพื้นบริเวณเขตพระราชฐาน แวดล้อมด้วยสถานที่ราชการด้านความมั่นคงทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีปัญญารักษาไว้ได้ พอสูญหายไปแทนที่จะแสดงความรับผิดชอบกลับบ่ายเบี่ยง แล้วจะเอาปัญญาอะไรมาปกป้องชาติ แบบนี้โบราณเรียกเลี้ยงไว้เสียข้าวสุก"
 
20 เมษายน 2560
 
ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีวัฒนาในความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น จากกรณีโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า หมุดคณะราษฎรที่ติดตั้งที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นโบราณวัตถุ ให้คนไทยเรียกร้องทวงคืน ซึ่งเป็นเท็จ ทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิด ออกมาเคลื่อนไหว และอาจเข้าข่ายเป็นการยุยงปลุกปั่นด้วย 
 
ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน วัฒนาเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา กล่าวว่า ตนทราบข่าวว่า ปอท.จะดำเนินคดีตนจากหนังสือพิมพ์ จึงเดินทางมาที่ปอท.ด้วยตนเอง โดยไม่มีการออกหมายเรียกเพื่อสอบถามพนักงานสอบสวนเรื่องข้อหาความผิด วัฒนากล่าวด้วยว่ามีนักวิชาการหลายคนที่แสดงความเห็นเหมือนกันว่า หมุดคณะราษฎรคือโบราณวัตถุ ถ้าความเห็นทางวิชาการเป็นความเท็จ เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีให้ครบทุกคนไม่ใช่ดำเนินคดีกับตนเพียงคนเดียว

ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวน วัฒนาให้สัมภาษณ์ว่าได้ชี้แจงเจตนาในการโพสต์ข้อความต่อพนักงานสอบสวนแล้วและจะกลับไปทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน โดยยืนยันว่า สิ่งที่โพสต์เป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงข้อเท็จจริง พร้อมกล่าวว่า จะไม่ออกมาเคลื่อนไหวกรณีหมุดคณะราษฎรอีกแล้ว
 
3 พฤษภาคม 2560
 
ประชาชาติออนไลน์รายงานว่าวัฒนา เมืองสุข เข้าพบ พ.ต.ท.อุทัย เหล่าสิน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรจำนวนห้าหน้าตามที่พนักงานสอบสวนขอไว้ 
 
6 ตุลาคม 2560
 
ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญา
 
9 ตุลาคม 2560
 
นัดสอบคำให้การ
 
ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า วัฒนามาที่ศาลอาญาตามที่ศาลนัดสอบคำให้การ ศาลอ่านบรรยายฟ้องให้วัฒนาฟังและถามว่าเข้าใจฟ้องโจทก์หรือไม่ วัฒนาตอบว่าเข้าใจและให้การปฏิเสธ หลังจากนั้นศาลนัดคู่ความตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 ธันวาคม 2560
 
18 ธันวาคม 2560
 
นัดตรวจพยานหลักฐาน
 
มติชนออนไลน์รายงานว่า อัยการแถลงว่าติดใจประสงค์จะนำพยานเข้าสืบรวม 11 ปาก ซึ่งมีพนักงานสอบสวน และผู้ที่ได้อ่านข้อความจากเฟซบุ๊กของวัฒนารวมอยู่ด้วย ส่วนฝ่ายจำเลยประสงค์จะนำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุ นักวิชาการ และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาเบิกความเป็นพยานจำเลยรวม 11 ปาก
 
ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 9 ตุลาคม 2561 
 
 
9 ตุลาคม 2561
นัดสืบพยานโจทก์
เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร พยานโจทก์ปากที่หนึ่ง


เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร เบิกความว่า "หมุดคณะราษฎรไม่จัดอยู่ในโบราณวัตถุ แต่เป็นเอกสารราชการ แต่ไม่มีหน่วยงานรัฐแสดงความเป็นเจ้าของ" อีกทั้งยังกล่าวว่า โบราณวัตถุ สามารถเป็นได้ทั้งที่ขึ้นทะเบียนและไม่ขึ้นทะเบียน ตามการรับรองของกรมศิลปากร วัฒนา จำเลย ถามค้านเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร ด้วยตนเองว่า หลังการโพสต์ข้อความที่เป็นเหตุในคดีดังกล่าว มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่ เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรกล่าวว่า ไม่ได้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านเมือง
 
 
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์สองคน พยานโจทก์ปากที่สองและสาม
 
 
ด้านนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ที่เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์สองคนเบิกความไปในทิศทางเดียวกันว่า การโพสต์ข้อความของจำเลยมีลักษณะเป็นการติชมหน่วยงานของรัฐในทางลบ
 
 
ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ผู้กล่าวหา พยานโจทก์ปากที่สี่
 
 
ขณะที่ตำรวจปอท. ผู้กล่าวหาในคดีนี้เข้าเบิกความต่อศาลว่า ได้รับการเข้าแจ้งความร้องทุกข์จากพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. จากนั้นได้เรียกตัวจำเลยมาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และยืนยันคำให้การสำนวนเอกสารที่อัยการได้รวบรวมยื่นเป็นหลักฐานต่อศาล
 
 
10 ตุลาคม 2561  
ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ผู้กล่าวหา พยานโจทก์ปากที่ห้า
ตำรวจ ปอท. ในฐานะพนักงานสอบสวนเบิกความยันยืนตามสำนวนการสอบปากคำจำเลย ที่อัยการรวบรวมยื่นเป็นหลักฐานต่อศาล
 
 
พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พยานโจทก์ปากที่หก
 
 
พ.อ.บุรินทร์ เบิกความตอบการถามค้านของวัฒนา จำเลยว่า โพสต์ทั้งหมดแบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหมุดคณะราษฎร ส่วนที่สองเป็นการระบุว่าหมุดคณะราษฎรเป็นโบราณวัตถุ ส่วนสุดท้ายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ ติเตียนการทำงานของรัฐบาล ในกรณีที่หมุดถูกฝังอยู่ในเขตพระราชฐาน การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลมีสามอย่าง คือ ชื่นชม แนะนำ และติเตียน เมื่อหมุดคณะราษฎรที่ฝังอยู่ตรงนั้นหายไป ประชาชนควรชื่นชมเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ตรงนั้นหรือไม่ พ.อ.บุรินทร์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ”เมื่อถูกซักค้านถึงประเด็นด้านที่ว่า พ.อ.บุรินทร์ในฐานะข้าราชการทราบหรือไม่ว่า ใครก็ตามที่รับเงินภาษีจากประชาชนสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ พ.อ.บุรินทร์กล่าวว่า “ไม่ได้”
 
 
นัดสืบพยานจำเลย
วัฒนา เมืองสุข จำเลย พยานจำเลยปากที่หนึ่ง
 

วัฒนาเบิกความต่อศาลว่า ที่ผ่านมาถูกคุกคามจาก คสช. มาโดยตลอด เนื่องจากมีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ คสช. เรื่อยมา กระทั่งถูกเรียกรายงานตัวครั้งแรกวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ที่กองทัพภาคที่ 1 และหลังจากนั้นก็ถูกเรียกรายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติโดยการนำตัวไปเข้าค่ายทหารอีกหลายครั้ง รวมถึงยังถูกลอบทำร้ายที่สนามฟุตบอล วัฒนาได้เข้าแจ้งความแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังสืบทราบได้ว่า พาหนะของคนร้ายมีเจ้าของเป็นทหารยศสิบเอก
 
 
อีกครั้งหนึ่งจำเลยได้เคยแสดงความเห็นพาดพิงถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีที่พาดพิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงวิจารณ์ว่า พลเอกประวิตรใช้คำพูดไม่เหมาะสม ไม่มีวุฒิภาวะ จึงถูกเจ้าหน้าที่ทหารเข้าล้อมบ้านในวันถัดมา ก่อนจะควบคุมตัวไปที่มณฑลทหารบกที่ 11 โดยระหว่างควบคุมตัวมีการ เอาผ้ามาคลุมหัวและปิดตา
 
 
วัฒนายังเบิกความว่า มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความเห็นไปในทางที่ว่าหมุดคณะราษฎรเป็นโบราณวัตถุ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
 
30 ตุลาคม 2561
นัดสืบพยานจำเลย
ร.ศ. โภคิน พลกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและนักกฎหมายมหาชน  พยานจำเลยปากที่สอง

 
 
ร.ศ.โภคิณเบิกความว่า หมุดคณะราษฎรถือเป็นโบราณวัตถุตามนิยามกฎหมาย ทั้งยังกล่าวว่า การแสดงความคิดเห็น เป็นหลักสากล ที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง และยังเป็นหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่รับรองการแสดงความคิดเห็นไว้ ความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ถือเป็นความเท็จ มองในทางกลับกัน ถ้ากรมศิลปากรบอกว่า ไม่ใช่ แล้วคนทั้งประเทศบอกว่า ใช่ อย่างนี้คนทั้งประเทศจะผิดหรือไม่ ความเห็นของวัฒนาเป็นการวิจารณ์ที่เป็นความเห็นทางวิชาการ ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของแผ่นดิน รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องติดตามเอาคืน
 

ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยานจำเลยปากที่สาม
 
 
ชาญวิทย์เห็นว่า หมุดคณะราษฎร “เป็นโบราณวัตถุ” เพราะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อันเป็นต้นกำเนิดของรัฐธรรมนูญฉบับแรก ทั้งนี้หมุดคณะราษฎรได้ถูกฝังเอาไว้ตั้งแต่ปี 2479 โดยคาดว่า ใช้งบประมาณของกระทรวงมหาดไทยในการทำหมุด และการวางหมุดเป็นรัฐพิธีที่ถูกให้ความสำคัญจากรัฐบาลนสมัยนั้น ดูจากประธานที่ไปร่วมพิธีวางหมุดเป็นข้าราชการระดับสูง และนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นให้ความสำคัญ
 
 
ซึ่งศ.ดร.ชาญวิทย์ก็ได้เคยให้ความเห็นในลักษณะนี้ผ่านสื่อมวลชน ทั้งนี้เห็นว่า นักวิชาการหลายท่านมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน อย่างเช่น ร.ศ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนการแสดงความคิดเห็นทางประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการตีความ มี 2 ระดับ คือ ความคิดเห็น และ ข้อเท็จจริง แต่ความคิดเห็นไม่นับว่าเป็นความเท็จ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็น
 
 
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พยานจำเลยปากที่สี่
 

พล.ท.ภราดร เบิกความว่า ในฐานะที่เคยทำงานในตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ขอให้ความเห็นว่า ฐานความคิดในการทำงานที่จะนิยามว่า อะไรที่กระทบต่อความมั่นคง คือต้องดูว่าเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามประเทศ หากไม่เป็นภัยคุกคาม ก็ไม่ถือว่าเป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้พล.ท.ภราดร ได้ดูหลักฐานการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของจำเลย มีความเห็นว่า ข้อความของจำเลยยังไม่ถือเป็นภัยคุกคาม ยังไม่ได้มีการชักชวน หรือปลุกระดม เป็นเพียงความคิดเห็นที่แสดงออกตามเสรีภาพ ซึ่งเป็นความเห็นของผู้โพสต์ ตามหลักรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิและเสรีภาพเอาไว้ เนื้อความของโพสต์ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล หรือความมั่นคง ไม่ได้มี “พลัง” หรือ “แรงจูงใจ” ที่ยุยงให้เกิดความวุ่นวาย
 

14 ธันวาคม 2561
นัดฟังคำพิพากษา
 

ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาเวลา 10.00 น. ทนายความของวัฒนาหนึ่งคนเดินทางมาถึงก่อน ส่วนวัฒนาและทนายความอีกหลายคนเดินทางมาถึงเวลา 10.00 น. พอดี เมื่อจำเลยเดินทางมาถึงศาลที่กำลังพิจารณาคดีอื่นอยู่ก็อ่านคำพิพากษาทันที โดยก่อนและหลังอ่านคำพิพากษาศาลถามย้ำหลายครั้งว่า มีนักข่าวอยู่ในห้องหรือไม่ ด้านทนายความก็แจ้งกับผู้สังเกตการณ์ว่า คดีนี้ศาลไม่อนุญาตให้จดบันทึก คำพิพากษา สรุปใจความได้ว่า การโพสต์เรื่องหมุดคณะราษฎรเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญ วัฒนาไม่มีความผิดตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ให้ยกฟ้อง หลังอ่านคำพิพากษาศาลแจ้งว่า ยังไม่อนุญาตให้คัดถ่ายคำพิพากษาในวันนี้ และไม่อนุญาตให้ทนายความจดคำพิพากษาด้วยมือ

 

คำพิพากษา

สรุปคำพิพากษาศาลชั้นต้น
 

ศาลเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นนักวิชาการ และทหารฝ่ายกฎหมายจาก คสช. เบิกความกล่าวหาจำเลยว่า นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อความอันเป็นเท็จ เพราะกรมศิลปากรบอกแล้วว่า หมุดคณะราษฎรไม่ใช่โบราณวัตถุ จำเลยเป็นบุคคลทางการเมืองมีความน่าเชื่อถือ ประชาชนอาจเชื่อตามที่จำเลยโพสต์แล้วเกิดความตื่นตระหนกว่าโบราณวัตถุหายไป ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความวุ่นวาย จำเลยประนามผู้นำประเทศ ถือว่า กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ศาลเห็นว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของพยานโจทก์เท่านั้น


สำหรับข้อหายุยงปลุกปั่น ตามมาตรา116 ศาลเห็นว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ ไม่มีข้อความที่ชวนให้ประชาชนออกไปก่อความวุ่นวาย หรือชุมนุม หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จำเลยถูกตั้งข้อหานี้สี่เดือนหลังการตั้งข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ระหว่างนั้นก็ไม่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงขึ้น และหากเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงจริงก็คงจะเห็นได้ชัดและควรจะต้องตั้งข้อหานี้ตั้งแต่แรก ส่วนการที่มีนักกิจกรรมไปยื่นเรื่องเพื่อให้หน่วยงานรัฐตามหาหมุดคณะราษฎร์ ก็ไม่ปรากฎหลักฐานว่า เกี่ยวข้องกับที่จำเลยโพสต์และไม่ใช่การกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงหรือเกิดความวุ่นวาย


สำหรับข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2) แม้กรมศิลปากรจะมีความเห็นว่า หมุดคณะราษฎร์ไม่ใช่โบราณวัตถุ ความเห็นนี้ก็ออกมาวันที่ 18 เมษายน 2560 หนึ่งวันหลังจากที่จำเลยโพสต์ข้อความ ยังมีนักกิจกรรมและนักวิชาการอีกหลายคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างในเรื่องความเป็นโบราณวัตถุ และทุกคนก็แสดงความคิดเห็นทางวิชาการแลกเปลี่ยนกันโดยสุจริต ข้อความที่จำเลยกล่าวว่า หมุดคณะราษฎร์เป็นโบราณวัตถุจึงไม่ใช่ข้อความอันเป็นเท็จ


ที่จำเลยวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ปล่อยปละละเลยให้หมุดคณะราษฎร์หายไปโดยไม่ติดตามหาคืน ก็เป็นการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการตามปกติ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย และปรากฏว่า มีนักกิจกรรมไปแจ้งความให้ติดตามหาหมุดคณะราษฎร์แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความจริง การแสดงความคิดเห็นส่วนนี้จึงไม่ใช่ข้อความอันเป็นเท็จเช่นเดียวกัน


ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โพสต์ของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34 มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ได้มีเจตนายุยงปลุกปั่นให้กระทบต่อความมั่นคง จึงไม่มีความผิด พิพากษาให้ยกฟ้อง

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

เอกภพ ห.: น้องตั้งอาชีวะ

พรชัย : โพสต์กษัตริย์เกี่ยวข้องกับการปราบผู้ชุมนุม

พิพัทธ์: โพสต์ภาพรัชกาลที่สิบในรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส