ไนซ์ ดาวดิน: ชูป้ายต้านรัฐประหาร

อัปเดตล่าสุด: 28/11/2562

ผู้ต้องหา

ภานุพงศ์

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2558

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

นักศึกษากลุ่มดาวดิน 7 คนถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558  หลังออกมาแสดงสัญลักษณ์คัดค้านการรัฐประหาร โดยถือป้ายผ้าที่เขียนข้อความว่า “คัดค้านรัฐประหาร”  ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558

ภายหลังภาณุพงษ์ หรือ ”ไนซ์ ดาวดิน” หนึ่งในผู้ต้องหา ถูกดำเนินคดี “พูดเพื่อเสรีภาพ” จึงถูกเข้ากระบวนการดำเนินคดีในชั้นศาล ต่อจาก จตุภัทร์ หรือ“ไผ่ ดาวดิน” ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ 

หลังจากสืบพยานโจทก์ได้เพียงปากเดียว ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ศาลทหารขอนแก่นมีคำสั่งให้งดการสืบพยานและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากมีคำสั่งยกเลิก คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ภาณุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ หรือ “ไนซ์ ดาวดิน” จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นสมาชิกกลุ่มดาวดิน มีประสบการณ์ลงพื้นที่ไปทำงานกับชาวบ้านที่คัดค้านการทำปิโตรเลียมในจังหวัดกาฬสินธุ์

ข้อหา / คำสั่ง

อื่นๆ
ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองมากกว่า 5 คน

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

 นักศึกษากลุ่มดาวดิน 7 คนถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558  หลังออกมาแสดงสัญลักษณ์คัดค้านการรัฐประหาร โดยถือป้ายผ้าที่เขียนข้อความว่า “คัดค้านรัฐประหาร”  ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558



 

พฤติการณ์การจับกุม

22 พฤษภาคม 2558  ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น หลังนักศึกษากลุ่มดาวดิน ทั้ง 7 คน ออกมาแสดงสัญลักษณ์คัดค้านการรัฐประหาร ประมาณ13.27 น. เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ได้เข้าจับกุม ในระหว่างจับกุมเจ้าหน้าที่กล่าวว่า "ขอเชิญตัวแต่โดยดี ถ้าไม่ไปจะมีมาตรการเพิ่ม"  ก่อนที่ทั้ง7 คน จะถูกนำตัวไปมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร (มทบ.23)

และถูกนำตัวเข้าห้องขังทันที เวลา 21.00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลทหารขอนแก่น

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

21 ธันวาคม 2560

ที่ศาลมลฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น นัดสอบคำให้การ ในคดี “พูดเพื่อเสรีภาพ รัฐธรรมนูญกับคนอีสาน”

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาคดีในคดี "พูดเพื่อเสรีภาพ" อัยการทหารได้ขอทำการอายัดตัว ภานุพงษ์ หรือ “ไนซ์ ดาวดิน” และทำการยื่นฟ้องคดี ในความผิดฐาน ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/58 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากเหตุการณ์ไปร่วมชูป้ายต่อต้านรัฐประหาร ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น ตุลาการศาล มทบ. 23 ประทับรับฟ้องของอัยการทหาร และออกหมายขัง ภานุพงศ์ไว้ในระหว่างการพิจารณาคดี พร้อมทั้งนัดสอบคำให้การในวันที่ 22 มกราคม 2561 โดยภาณุพงษ์ได้ถูกนำตัวไปขังที่ทัณฑสถานบำบัดขอนแก่นตามหมายขังของศาล ทนายความของภานุพงษ์ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยวางเงินสดเป็นหลักประกันจำนวน 10,000 บาท ต่อมาในเวลา 16.50 น. ศาล มทบ.23 มีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว

22 มกราคม 2561

นัดสอบคำให้การ

ที่ศาลทหารจังหวัดขอนแก่น ศาลนัดสอบคำให้การ คดีที่อัยการทหารเป็นโจทก์ฟ้องภานุพงศ์ หรือ “ไนซ์ ดาวดิน” นักกิจกรรมกลุ่มดาวดินอีกหนึ่งคน ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 จากการจัดกิจกรรมชูป้ายคัดค้านรัฐประหารในโอกาสครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร ในกรณีเดียวกันกับจตุภัทร์ หรือ “ไผ่ ดาวดิน” หลังศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้ฟังแล้ว ภานุพงศ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอต่อสู้คดี จากนั้นอัยการแถลงขอสืบพยาน ด้านทนายจำเลยติดใจขอตรวจพยานหลักฐาน ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561

19 กุมภาพันธ์ 2561

นัดตรวจพยานหลักฐาน

ห้องพิจารณาคดีที่1 ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์เวลา 10.15 นาฬิกา บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดีเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย นอกจากทนายของจำเลย อัยการฝ่ายโจทก์และตัวจำเลยเองแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารจากสารวัตรทหารบกกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมุนษยชน เข้านั่งสังเกตการพิจารณาคดีด้วย ไนท์ได้พูดคุยทักทายผู้เข้ามาสงเกตการณ์ด้วยสีหน้าปกติ

โดยฝ่ายจำเลยได้ยื่นพยานบุคคลจำนวน 4 ลำดับและพยานเอกสารจำนวน 4 ลำดับ รวม 8 ลำดับ พยานบุคคลทั้งหมดเป็นนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์และนิติศาสตร์ ประกอบด้วยเช่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ศาสตราจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ส่วนพยานเอกสาร ประกอบไปด้วยเอกสารตัวบทกฎหมายและคำพิพากษา เช่นกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และหนังสือรวมประกาศ คำสั่งภายใต้ยุค คสช. ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 – 29 มีนาคม 2559

ทางด้านโจกท์ ยื่นพยานบุคคล 5 ลำดับพยานเอกสาร 10 ลำดับและพยานวัตถุอีก 1 รวมเป็น 16 ลำดับ พยานบุคคลเป็นชุดจับกุมในวันเกิดเหตุกับนักข่าวที่บันทึกภาพเหตุการณ์ พยานเอกสารเป็นในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ส่วนพยานวัตถุเป็นแผ่นซีดีบันทึกไฟล์ภาพเคลื่อนไหว

ศาลเริ่มถามทนายจำเลยก่อนว่ารับพยานของฝ่ายโจกท์ลำดับใดได้บ้าง ทนายโจทก์จึงแถลงต่อศาลว่าในส่วนพยานเอกสาร ยอมรับเฉพาะในส่วนที่จำเลยลงชื่อเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารเหล่า ส่วนเอกสารอย่างบันทึกการจับกุมไม่ยอมรับ เพราะจำเลยในคดีไม่ลงลายมือชื่อและพนักงานสอบสวนบันทึกพฤติกรรมแห่งคดีไม่ครบถ้วน ส่วนพยานบุคคลทั้งหมดและพยานวัตถุ ทนายฝ่ายโจกท์ไม่รับทั้งหมด

ศาลจึงถามทนายจำเลยว่าตามที่ ยืนพยานบุคคลมาจะใช้ต่อสู้คนประเด็นใด ทนายจำเลยตอบว่าพยานบุคคลที่เป็นนักวิชาการต้องการ เบิกตัวเพื่อบรรยายให้เห็นถึงว่าตัวคำสั่งคสช.ที่ 3/2558 ไม่มีสภาพเป็นกฎหมายและการกระทำของจำเลยเป็นการการทำอยู่ในหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ทั้งกิจกรรมที่จำเลยได้ทำไม่ได้เป็นการชุมนุมทางการเมือง

ศาลจึงถามฝั่งโจทก์ว่ายอมรับพยานฝั่งจำเลยในส่วนใดได้บ้าง อัยการฝั่งโจกท์จึงแถลงว่ายอมรับความถูกต้องของพยานเอกสารบุคคลทั้งหมด ส่วนพยานบุคคลไม่ยอมรับ

21 มีนาคม 2561

สืบพยานโจทก์ปากที่หนึ่ง: พ.อ.สุรศักดิ์ สำราญบำรุง ผู้จับกุมและผู้กล่าวหา

เริ่มสืบพยานเวลาประมาณ 14.00 น.

พ.อ.สุรศักดิ์ เบิกความว่า ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่ มณฑลทหารบกที่ 23 จังหวัดขอนแก่น ในตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 23 จังหวัดขอนแก่น ขณะเกิดเหตุรับราชการในมณฑลทหารบกที่ 23 ในตำแหน่งหัวหน้ากองข่าว มีหน้าที่ในการติดตามเฝ้าระวังข่าวสารที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติและดูแลผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้ผู้บังคับบัญชายังได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีหน้าที่เหมือนกับการข่าวเหมือนเดิมแต่เพิ่มในเรื่องการติดตามเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของมวลชนในเรื่องที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

พ.อ.สุรศักดิ์ เบิกความต่อว่าเป็นผู้กล่าวหาและจับกุมจำเลยทั้ง 7 คน มีผู้ถูกกล่าวหาคือ จตุภัทร์ ,อภิวัฒน์ ,พายุ ,ภานุพงศ์ ,สุวิชชา ,ศุภชัยและวสันต์  โดยจำนามสกุลของทั้ง 7 คนนี้ไม่ได้ และได้กล่าวหาทั้ง 7 คนในข้อหาชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป จากจำเลยทั้งหมดนั้นมีภานุพงศ์อยู่ในศาลและจตุภัทร์ถูกดำเนินคดีอีกคดีหนึ่งไปก่อนหน้านี้แล้วส่วนจำเลยที่เหลืออีก 5 คนได้ทำการหลบหนี ในการจับกุมนั้นได้มีผู้ร่วมจับกุมคือ ร.อ.อภินันท์ วันเพ็ชร ผู้บังคับกองร้อยสารวัตรทหาร มณฑลทหารบกที่ 23 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ขอนแก่น เข้าร่วมจับกุมด้วย เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ที่บริเวณลานอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

พ.อ.สุรศักดิ์เล่าถึงพฤติการณ์ก่อนวันเกิดหตุว่า ได้รับทราบจากแหล่งข่าวและการโพสต์ข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตว่าจะมีการชุมนุมของกลุ่มคนเหล่านี้ขึ้น โดยทราบจากแหล่งข่าวว่าจะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารและเป็นการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษากลุ่มดาวดิน ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน คือวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ได้มีนักศึกษาจำนวน 2 คน แจกใบปลิวที่มีข้อความต่อต้านรัฐประหารโดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดใบปลิวแล้วปล่อยตัวกลับบ้านไป ในวันเกิดเหตุ ได้มีการจัดกองกำลังร่วมระหว่างทหารกับตำรวจเพื่อเฝ้าระวังว่าจะมีการชุมนุมตามที่โพสต์หรือไม่ เวลาประมาณ 13.00 น. จำเลยกับพวกรวม 7 คน ได้มาที่บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยได้ชูป้ายที่มีข้อความว่าคัดค้านรัฐประหาร โดยมีป้ายอื่นๆบนกระดาษประมาณ 5 แผ่นซึ่งมีข้อความเชิงคัดค้านรัฐประหารเหมือนกัน นอกจากการชูป้ายแล้วยังมีการใช้คำพูดโจมตีระหว่างการชูป้ายด้วย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปแจ้งเตือนแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าไปแจ้งว่าเป็นการชุมนุมผิดกฎหมาย โดยกฎหมายในขณะนั้นคือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อที่ 12 ห้ามมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หลังจากที่แจ้งและขอให้ยุติแล้วแยกย้ายกลับแต่จำเลยทั้ง 7 คน ไม่ยอมหยุด เมื่อไม่ยอมหยุดเจ้าหน้าที่ก็จะขอให้ไปปรับทัศนคติที่สถานีสารวัตรทหาร ค่ายศรีพัชรินทร ในการเชิญตัวไปที่ค่ายศรีพัชรินทรนั้นจำเลยทั้ง 7 คน ได้ทำการต่อสู้ขัดขืน และเมื่อมาที่ค่ายศรีพัชรินทรเพื่อปรับทัศนคติแต่จำเลยทั้ง 7 คน ไม่ยอมปรับทัศนคติ

จึงได้ส่งตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายโดยจับกุมและส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวน สภ.ขอนแก่นซึ่งได้บันทึกไว้ตามบันทึกการจับกุม ในส่วนของแผ่นป้ายของกลางเจ้าหน้าที่ได้ยึดไว้เป็นของกลางและบันทึกไว้ในบัญชีของกลาง และพ.อ.สุรศักดิ์ยืนยันว่าในคดีนี้พนักงานสอบสวนได้นำภาพถ่ายการกระทำความผิดมาให้ยืนยันและลงลายมือชื่อซึ่งได้ทำการยืนยันและลงลายมือชื่อไว้ทุกภาพเพื่อเป็นพยานหลักฐานจำนวน 3 แผ่น

พ.อ.สุรศักดิ์เล่าต่อว่า ในวันเกิดเหตุนอกจาก ทหารและตำรวจแล้ว ยังมีผู้สื่อข่าวจาก ไทยพีบีเอส บันทึกภาพเคลื่อนไหวในการชุมนุมดังกล่าวไว้ โดยได้ขอข้อมูลบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากนักข่าวเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนด้วย และพ.อ.สุรศักดิ์ได้ยืนยันบันทึกคำให้การที่ได้ให้การกับพนักงานสอบและลงลายมือชื่อไว้ และไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 7 คนมาก่อน

หลังจากอัยการทหารถามเสร็จแล้วได้แถลงต่อศาลว่าจากวันนัดตรวจพยานหลักฐานได้มีการตกลงกันไว้ว่าเนื่องจากเป็นพยานโจทก์ 3 ปากเป็นพยานที่อยู่ในวันจับกุมถือว่าเป็นพยานคู่ (พยานที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน) ต้องมาศาลในเวลาเดียวกัน ซึ่งโจทก์ไม่สามารถนัดหมายพยานให้มาพร้อมกันทั้ง 3 คนได้ จึงขอให้โจทก์สืบพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากเสร็จก่อน แล้วจึงให้ทนายจำเลยถามค้าน พยานโจทก์ทั้ง 3 คน ในนัดเดียว ทนายจำเลยไม่คัดค้านที่โจทก์ขอ จึงไม่มีการถามค้านพยานโจทก์ โดยนัดหมายในวันต่อไปคือ วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.00 น. สืบพยานโจทก์ ร.อ.อภินันท์ วันเพ็ชร ผู้บังคับกองร้อยสารวัตรทหาร มณฑลทหารบกที่ 23

24 พฤษภาคม 2561

5 กันยายน 2561

นัดสืบพยาน พ.ต.ท.นรวัฒน์ คำพิโล ศาลเลื่อนสืบพยานออกไปเป็นวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 หลังพยานไม่มาศาลเพราะยังไม่ได้หมายศาลเนื่องจากเปลี่ยนที่อยู่

19 พฤศจิกายน 2561

นัดเสืบพยาน

ภานุพงศ์พร้อมด้วยทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมาถึงศาลทหารขอนแก่นในเวลาประมาณ 10.00 น. โดยในวันนี้พ่อและแม่ของจตุภัทร์หรือ “ไผ่ ดาวดิน”  นักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็นจำเลยที่ถูกดำเนินคดีจากการชูป้ายในวันเดียวกันไปก่อนหน้านี้แล้วเดินทางมาที่ศาลเพื่อให้กำลังใจภานุพงศ์ด้วย

เมื่อทั้งหมดมาถึงศาล มีเจ้าหน้าที่เข้ามาแจ้งว่าพยานโจทก์ยังเดินทางมาไม่ถึงศาลให้นั่งรอก่อน  ต่อมาในเวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ศาลเชิญทนายของภานุพงศ์เข้าไปพูดคุยในห้องอัยการทหาร

เมื่อทนายกลับออกมาก็แจ้งกับภานุพงศ์ว่าศาลทหารสั่งให้เลื่อนการสืบพยานออกไปเป็นวันที่ 4 กุมภาพันธุ์ 2562  เนื่องจาก พ.ต.อ. นรวัฒน์ คำภิโล พยานโจทก์ที่มีกำหนดมาเบิกความวันนี้ป่วยกระทันหันไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ภานุพงศ์จึงลงชื่อรับทราบการเลื่อนนัดจากนั้นจึงเดินทางกลับ
 
4 กุมภาพันธ์ 2562 
 
นัดฟังคำสั่งศาล
 
เวลา 08.30 น. ศาลทหารจังหวัดขอนแก่น นัดฟังคำสั่งศาลคดีไนซ์ ดาวดิน ชูป้ายต้านรัฐประหาร (กิจกรรมเดียวกับไผ่ ดาวดิน แต่อัยการฟ้องคดีแยกกันจึงทำให้แยกเป็นสองคดี)  ซึ่งศาลได้นัดฟังคำสั่งศาลในคดีเกี่ยวเนื่องกับเสรีภาพการแสดงออกอีกสองคดีด้วย คือ ได้แก่ คดีไผ่ ดาวดิน ชูป้ายต้านรัฐประหารที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น และคดีพูดเพื่อเสรีภาพฯ ซึ่งไนซ์ ดาวดิน เป็นจำเลยร่วมด้วย
 
ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เนื่องจากรวมพิจารณาสามคดี จำเลยทั้งสามคดีทยอยเดินทางมาที่ศาล ในวันนี้มีรังสิมันต์ โรม จำเลยในคดีพูดเพื่อเสรีภาพฯ ที่ต้องเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ที่ต้องเดินทางมาจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น 
 
โดยในวันนี้บรรยากาศบริเวณศาลทหารจังหวัดขอนแก่นเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ตั้งแต่ทางเข้าค่ายศรีพัชรินทร์ ไม่มีการแลกบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อเข้าบริเวณค่ายทหาร ซึ่งก่อนหน้าหากมาสังเกตการณ์คดีต้องทำการแลกบัตรประจำตัวประชาชนที่หน้าค่ายทุกครั้ง รวมถึงบริเวณอาคารศาล เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้มีท่าทีเข้มงวดกับประชาชนที่อยู่ในอาคารศาลเหมือนแต่ก่อน เพียงเน้นย้ำการปฏิบัติตามกฎพื้นฐาน เช่นห้ามถ่ายรูปในศาล และปิดมือถือก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีเท่านั้น
 
จนกระทั่งจำเลยทั้งสามคดี มาศาลครบในเวลาประมาณ 10.10 น. และเข้าสู่ห้องพิจารณาคดีในเวลา 10.20 น. ศาลเริ่มต้นพิจารณาคดีในเวลา 10.30 น. ใช้เวลาเพียงประมาณ 20 นาที ก็อ่านคำสั่งจำหน่ายคดีทั้งสามคดีแล้วเสร็จ โดยเริ่มจากคดีไนซ์ ดาวดิน ชูป้ายต้านรัฐประหาร ตามด้วยคดีไผ่ ดาวดินชูป้ายต้านรัฐประหาร และสุดท้ายคดีพูดเพื่อเสรีภาพฯ ซึ่งศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยให้เหตุผลเหมือนกันทั้งสามคดี ดังนี้
 
ศาลแจ้งให้คู่ความทราบว่า ตามที่มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 22/2561 เรื่องการให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ข้อที่ 1 ให้ยกเลิก คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 (7) ข้อที่ 12 ห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จึงเป็นกรณีบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังให้การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยทั้งหมดคน จึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคสอง และยังเป็นกรณีที่กฎหมายที่ออกใช้ภายหลังกระทำความผิดยกเลิกความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (5) ประกอบ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2495 มาตรา 45 จึงมีคำสั่งให้งดการสืบพยานและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ 
 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา