เอกชัย เปิดเพลงประเทศกูมีหน้ากองทัพบก

อัปเดตล่าสุด: 29/07/2563

ผู้ต้องหา

เอกชัย

สถานะคดี

ชั้นศาลอุทธรณ์

คดีเริ่มในปี

2562

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 พรรคเพื่อไทยจัดปราศรัยหาเสียงที่ลานคนเมือง โดยช่วงหนึ่งของการปราศรัยมีการพูดถึงนโยบายการลดงบประมาณกองทัพ

ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคำปราศรัยของพรรคเพื่อไทยตอนหนึ่งว่า ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน

ในวันเดียวกันยังมีกระแสข่าวว่า ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้กรมกิจการพลเรือนทหารบกนำเพลงแนวปลุกใจทหาร รวมทั้งเพลง หนักแผ่นดิน ไปเปิดในสถานีวิทยุกองทัพบกที่มีกว่า 160 สถานีทั่วประเทศ แต่ข่าวดังกล่าวก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนสุดท้ายมีการประกาศยกเลิกการเปิดเพลงตามสถานี แต่ให้เปิดเป็นเสียงตามสายในค่ายทหารแทน
 
จากกรณีดังกล่าวทำให้เอกชัยประกาศว่าจะไปทำกิจกรรมเปิดเพลงประเทศกูมีที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562

เมื่อถึงวันดังกล่าว เอกชัยพร้อมโชคชัย นำลำโพงไปเปิดเพลงประเทศกูมีและทำกิจกรรมจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลาเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเพลงหนักแผ่นดินเคยถูกใช้ปลุกระดมให้คนใช้ความรุนแรงต่อกัน

เอกชัยและโชคชัยทำกิจกรรมได้ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถูกเชิญตัวไปที่สน.นางเลิ้ง ทั้งสองถูกตั้งข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ข้อหานี้ทั้งเอกชัยและโชคชัยให้การปฏิเสธ นอกจากข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมเอกชัยยังถูกตั้งข้อหาใช้เ้ครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติมด้วย สำหรับข้อหานี้เอกชัยให้การรับสารภาพและถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 200 บาท 
 
ในเดือนมีนาคม 2562 อัยการฟ้องคดีต่อศาลแขวงดุสิต จากนั้นจึงมีการสืบพยานระหว่างวันที่ 3 ถึง 4 กรกฎาคม 2562 อัยการนำพยานเข้าสืบรวม 4 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์รวมสามนายและพนักงานสอบสวนหนึ่งนาย ฝ่ายจำเลยมีเอกชัยเข้าเบิกความเป็นพยานให้ตัวเองเพียงปากเดียว
 
ต่อมาวันที่ 25 กันยายน 2562 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาว่าเอกชัยและโชคชัยมีความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ลงโทษปรับเป็นเงินคนละ 2000 บาท
 
 
 
 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

เอกชัย เป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ช่วงปี 2561 เขาเข้าร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจนถูกดำเนินคดีในความผิดฐานขัดคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 และความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 รวมสามคดี ได้แก่ คดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพ ที่หน้ากองทัพบก และที่หน้าองค์การสหประชาชาติ

นอกจากเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเลือกตั้งเอกชัยยังเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปมนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วิงศ์สุวรรณ อย่างต่อเนื่องด้วย 
 
โชคชัย  ประกอบอาชีพทำป้ายไวนิล และมักร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจนถูกดำเนินคดีจากการร่วมกิจกรรมของคนอยากเลือกตั้งรวมสี่คดี ได้แก่ คดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ หน้าหอศิลป์กรุงเทพ ที่ถนนราชดำเนินใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่หน้ากองทัพบก และที่หน้าองค์การสหประชาชาติ นอกจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเลือกตั้ง

โชคชัยยังร่วมกับเอกชัยทวงถามหาความรับผิดชอบเรื่องนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในหลายๆโอกาส 

ข้อหา / คำสั่ง

พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

คำฟ้องของคดีนี้พอสรุปได้ว่า ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึง 19 กุมภาพันธ์ เอกชัยและโชคชัย ร่วมกันโพสต์เฟซบุ๊กบนบัญชีเฟซบุ๊กของเอกชัยมีข้อความทำนองว่าในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 เอกชัยและโชคชัยจะไปที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกเพื่อเปิดเพลงประเทศกูมีให้ทหารฟัง

ต่อมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดการชุมนุมที่บุคคลอื่นสามารถเข้าร่วมได้ มีการปราศรัยเกี่ยวกับ ผบ.ทบ. ที่มีพฤติการณ์ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง มีการจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา โดยมีการนำตุ๊กตาหมีมาแขวนไว้บนต้นไม้และใช้เครื่องเสียงเปิดเพลงประเทศกูมีให้ทหารและประชาชนทั่วไปที่อยู่บริเวณนั้นฟัง

จำเลยทั้งสองประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะแต่ไม่ได้แจ้งการชุมนุมล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด จึงการชุมนุมที่ไม่ชอบ  
 

พฤติการณ์การจับกุม

เอกชัยและโชคชัยถูกควบคุมตัวจากหน้ากองบัญชาการกองทัพบกไปที่สน.นางเลิ้ง เมื่อรถที่ใช้ควบคุมตัวไปถึงสน.นางเลิ้งเอกชัยเดินเข้าไปในสน.ส่วนโชคชัยวิ่งออกจากสน.ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตามไปควบคุมตัว โชคชัยโพสต์ข้อความชี้แจงในเวลาต่อมาว่าเขานัดผู้ใหญ่คนหนึ่งว่าจะไปทำงานให้ และเจ้าหน้าที่ก็สามารถออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาในภายหลังได้ ด้วยความร้อนใจที่รับปากผู้ใหญ่ไว้เขาจึงวิ่งออกจากสน. เพื่อไปทำธุระ

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.487/2562

ศาล

ศาลแขวงดุสิต

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ภาพ cover จากเฟซบุ๊ก ฟอร์ด เส้นทางสีแดง

15 กุมภาพันธ์ 2562
 
มติชนสุดสัปดาห์ออนไลน์ รายงานว่า ระหว่างการปราศรัยของพรรคเพื่อไทยที่ลานคนเมือง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งทำนองว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะตัดงบกลาโหมสิบเปอร์เซ็นต์มาสร้างคนรุ่นใหม่ สร้างกองทุนคนเปลี่ยนงาน สร้างทักษะใหม่ เพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพในโลกยุคใหม่ 
 
18 กุมภาพันธ์ 2562
 
โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ รายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) มีผู้สื่อข่าวไปสอบถามเกี่ยวกับกรณีที่มีพรรคการเมืองเสนอให้ตัดงบประมาณกองทัพ พล.อ.อภิรัชต์ตอบว่า "บอกให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน" 
           
ในวันเดียวกันเอกชัยโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า "เนื่องจากกองทัพบกสั่งให้สถานีวิทยุกองทัพบกทั่วประเทศกว่า 100 แห่งเปิดเพลง "หนักแผ่นดิน" เพื่อสร้างบรรยากาศความกลัวการรัฐประหาร
 
ด้วยเหตุนี้วันพุธ (20 ก.พ. 2562) เวลา 09.30 น. ผม-โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ จะเดินทางไปที่กองทัพบกเพื่อเปิดเพลง "ประเทศกูมี" ให้ทหารฟัง ใครมีเพลงอื่นอยากแนะนำ……เชิญ"   
 
ขณะที่โชคชัยก็โพสต์ข้อความว่า "เอกชัย หงส์กังวาน ไปเปิดเพลงหนักแผ่นดิน ที่หน้ากองทัพบกให้ อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ฟังมั้ย”  
 
เนื่องจากแนวคิดที่จะเปิดเพลงหนักแผ่นดินในคลื่นวิทยุของกองทัพบกถูกวิกาษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง พล.อ.อภิรัชต์จึงสั่งให้งดการนำเพลงดังกล่าวไปเปิดในวิทยุ ในเย็นวันเดียวกัน คงให้เปิดเป็นเสียงตามสายภายในกองบัญชาการกองทัพบกและในหน่วยทหารทั่วประเทศแทน  
 
20 กุมภาพันธ์ 2562
 
เอกชัยและโชคชัย ไปทำกิจกรรมที่หน้ากองทัพบก โดยเอกชัยเริ่มปราศรัยทำนองว่า เพลงหนักแผ่นดินเป็นเพลงที่เปิดในยุคก่อนเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา 2519 ซึ่งขณะนั้นพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ น่าจะอายุประมาณ 15 – 16 ปีจึงน่าจะเคยได้ยินเพลงนี้และอาจจะประทับใจอะไรบางอย่างจึงได้มาแนะนำให้ฟัง ซึ่งเอกชัยเห็นว่าเพลงหนักแผ่นดินเชยไปแล้วจึงอยากแนะนำให้ฟังเพลงประเทศกูมีแทน จากนั้นเอกชัยนำตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่เตรียมไปแขวนกับต้นไม้เพื่อจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ตอนที่มีคนเอาเก้าอี้ตีศพที่ถูกแขวนคอ โดยภาพคนใช้เก้าอี้ตีศพที่ถูกแขวนคอนอกจากจะถูกใช้เป็นภาพสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่เกี่ยวข้องกับเพลงหนักแผ่นดินแล้ว ยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบของมิวสิควิดีโอเพลงประเทศกูมีที่เอกชัยนำมาเปิดด้วย 
 
ระหว่างที่เอกชัยกับชายที่ปกปิดใบหน้าอีกคนหนึ่งกำลังเอาตุ๊กตาหมีไปแขวนคอเพื่อจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่บริเวณนั้นได้เข้ามายึดตุ๊กตาไป เอกชัยจึงต้องจำลองเหตุการณ์เก้าอี้ตีศพกับโชคชัยแทนโดยที่ระหว่างจำลองเหตุการณ์ก็ได้ใช้โทรศัพท์มือถือเปิดเพลงประเทศกูมีผ่านลำโพงด้วย หลังจากทำกิจกรรมไปได้ครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่ก็ใช้ลำโพง L-Rad ซึ่งเป็นลำโพงกำลังสูงที่ใช้ในงานควบคุมฝูงชนเปิดเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาล 9 กลบเสียงเพลงประเทศกูมีจากนั้นจึงควบคุมตัวทั้งสองไปที่ สน.นางเลิ้ง 
 
ดู คลิปเหตุการณ์ความยาวประมาณ 5 นาที คาดว่าบันทึกโดยวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร
 
 
หลังเอกชัยและโชคชัยถูกควบคุมตัวไปถึง สน.นางเลิ้ง ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยทันทีที่รถที่ควบคุมตัวเอกชัยและโชคชัยมาจอดที่ สน.นางเลิ้ง โชคชัยก็วิ่งออกจาก สน.อย่างรวดเร็วจนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องวิ่งตาม 
 
ต่อมา โชคชัยโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า "ผมตั้งใจไปธุระด่วนครับมันสำคัญด้วยนัดผู้ใหญ่ไว้
งานสำคัญกว่าต้องมานั่งอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ ตำรวจออกหมายเรียกมาวันอื่นได้ครับ ดีที่ผู้ใหญ่เค้าเข้าใจเห็นภาพตอนวิ่งแล้วว่าผมพยายามแล้วแต่ไปไม่ถึงที่นัดหมาย ครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำเสียงานครับ" 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหาว่า เอกชัยและโชคชัยถูกตั้งข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ทั้งสองให้การปฏิเสธ ส่วนข้อหาใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เอกชัยรับสารภาพและชำระค่าปรับเป็นเงิน 200 บาท  (ภาพใบเสร็จ) จากนั้นเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวเอกชัยและโชคชัยโดยไม่ต้องวางเงินประกัน และคืนตุ๊กตาหมีที่ยึดไประหว่างการทำกิจกรรมให้ด้วย 
 
22 มีนาคม 2562
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องเอกชัยและโชคชัยต่อศาลแขวงดุสิต ศาลนัดพร้อมและสอบคำให้การทั้งสองในวันที่ 22 เมษายน 2562 
 
22 เมษายน 2562
 
นัดพร้อม สอบคำให้การ
 
ศาลแขวงดุสิตนัดเอกชัยและโชคชัยสอบคำให้การ ในเวลา 9.00 น. อย่างไรก็ตามในวันนี้เอกชัยมาถึงศาลล่าช้าเนื่องจากเดินทางไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในตอนเช้า ศาลจึงตำหนิและกำชับให้มาตรงเวลาในนัดต่อไป สำหรับกระบวนการของคดี ศาลอ่านและบรรยายฟ้องให้เอกชัยและโชคชัยฟัง ทั้งสองรับกับศาลว่าเข้าใจฟ้องและขอให้การปฏิเสธ โจทก์แถลงว่าติดใจนำพยานเข้าสืบรวมสี่ปาก ส่วนจำเลยแถลงจะนำพยานเข้าสืบสองปาก ในส่วนของการส่งเอกสารหลักฐานอัยการส่งเพียงบันทึกการแจ้งสิทธิของผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหา บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา และรายงานทะเบียนประวัติอาชญากรของจำเลยต่อศาลเพื่อให้ฝ่ายจำเลยตรวจสอบแต่เอกสารอื่นๆ เช่น ซีดีบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกคำให้การผู้ต้องหา และบันทึกคำให้การพยานชั้นสอบสวน อัยการไม่ได้อ้างส่งต่อศาลเพื่อให้ฝ่ายจำเลยตรวจสอบ ทนายอานนท์ นำภา แถลงคัดค้านเพราะเห็นว่ากระทบต่อการสู้คดีของจำเลยแต่อัยการอ้างว่าเอกสารหลักฐานเหล่านั้นเป็นเอกสารประกอบบันทึกคำให้การพยานชั้นสอบสวน จึงขอสงวนสิทธิไม่ส่งเอกสารดังกล่าว ทนายอานนท์ นำภา ซึ่งเป็นทนายของเอกชัยและโชคชัยยื่นคำแถลงคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีและขอถอนการเป็นทนายของจำเลยทั้งสองซึ่งสรุปได้ว่า 
 
ในนัดตรวจพยานหลักฐานของคดีนี้ โจทก์ไม่ได้ส่งเอกสารในขั้นตอนการตรวจพยานหลักฐาน โดยอ้างว่าเป็นเอกสารประกอบคำให้การพยาน ซึ่งเป็นการจงใจทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดี เพราะหากโจทก์อ้างว่าได้ส่งเอกสารเป็นเอกสารประกอบคำให้การในชั้นสอบสวน ก็เท่ากับว่าในชั้นตรวจพยานหลักฐานโจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างส่งเอกสารหลักฐานใดๆ เพราะบรรดาเอกสารและพยานวัตถุย่อมต้องประกอบอยู่ในคำให้การของชั้นสอบสวนอยู่แล้ว จึงขอคัดค้านกระบวนพิจารณาในนัดนี้และคัดค้านการไม่ส่งเอกสารและพยานวัตถุ และเมื่อตัวทนายจำเลยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้อย่างเต็มที่ก็ขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายจำเลยในคดีนี้ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านจึงขอให้ศาลอนุญาต 
 
หลังทนายอานนท์แถลงขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยในคดีนี้ ศาลถามเอกชัยและโชคชัยว่าจะแต่งทนายมาสู้คดีเองหรือให้ศาลแต่งตั้งให้ ทั้งสองแถลงว่าจะจัดหาทนายด้วยตัวเอง ศาลจึงกำชับว่าในนัดหน้าให้จำเลยทั้งสองแต่งตั้งทนายมาให้เรียบร้อย หากไม่ดำเนินการศาลจะแต่งตั้งทนายให้ในนัดหน้าแต่จะไม่อนุญาตให้การไม่มีทนายความเป็นเหตุในการเลื่อนการพิจารณาคดี จากนั้นศาลสั่งให้คู่ความไปกำหนดวันนัดพิจารณาคดีกันเองที่ศูนย์นัดความ ซึ่งทั้งสองฝ่ายว่างสืบพยานตรงกันในวันที่ 3 และ 4 กรกฎาคม 2562 
 
3 กรกฎาคม 2562
 
นัดสืบพยานโจทก์
 
ศาลแขวงดุสิตนัดเอกชัย และโชคชัยสืบพยานเป็นวันแรก ตั้งแต่เวลาประมาณ 9.30 น. มีเจ้าหน้าที่การทูตจากสถานทูตสวีเดน ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์มานั่งรอสังเกตการณ์การพิจารณาคดี โชคชัยจำเลยที่สอง และทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนสองคนซึ่งเป็นทนายของจำเลยทั้งสองมารออยู่ในห้องพิจารณาคดีตั้งแต่เวลาประมาณ 9.00 น.
 
เอกชัย จำเลยที่หนึ่งเดินทางมาถึงศาลในเวลาประมาณ 10.00 น. เนื่องจากการจราจรย่านลาดพร้าวซึ่งเอกชัยพักอาศัยอยู่ติดขัดเพราะมีฝนตกลงมาในตอนเช้า เอกชัยให้ข้อมูลในภายหลังว่าเขาออกจากบ้านตั้งแต่เวลาประมาณ 6.30 น. แล้วแต่รถติดมากจึงมาถึงศาลล่าช้า
 
ทั้งนี้ระหว่างที่มาฟังการสืบพยานคดีนี้เอกชัยอยู่ในโครงการคุ้มครองพยานจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ลาดพร้าวติดตามมาดูแลความปลอดภัยให้ เมื่อเอกชัยมาถึงศาล ศาลกำชับเอกชัยเรื่องให้รักษาเวลาซึ่งเอกชัยก็ชี้แจงต่อศาลเรื่องสภาพการจราจร
 
จากนั้นศาลจึงให้อัยการนำพยานเข้าเบิกความ คดีนี้อัยการแถลงขอนำพยานเข้าสืบรวมสี่ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สังกัดสน.นางเลิ้งขณะเกิดเหตุทั้งหมด ส่วนทนายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบสองปากคือจำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
 
สืบพยานโจทก์ปากที่หนึ่ง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จารุสินธุพงศ์ รองผู้กำกับการสืบสวน สน.นางเลิ้ง
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความตอบอัยการว่า ขณะเกิดเหตุเขารับราชการตำรวจอยู่ที่สน.นางเลิ้งในตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวน เกี่ยวกับคดีนี้มีการตรวจสอบพบว่าในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 เอกชัย และโชคชัย จำเลยที่หนึ่ง และจำเลยที่สอง ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กนัดหมายกันเพื่อชุมนุม
 
ในเวลาประมาณ 9 โมงเศษ ปรากฎข้อความบนเฟซบุ๊กของโชคชัย เชิญชวนเอกชัยไปเปิดเพลงหนักแผ่นดินให้ ผบ.ทบ. ฟังที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก อัยการให้ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ดูเอกสารที่เป็นบันทึกภาพหน้าจอเฟซบุ๊กของเอกชัย และโชคชัย จากนั้นถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่าจำได้หรือไม่ว่าได้ดูบันทึกภาพหน้าจอดังกล่าวตอนไหน พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า จำไม่ได้
 
อัยการถามต่อว่า ในการเข้าไปดูเฟซบุ๊กของ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ใช้วิธีการใด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่าใช้เฟซบุ๊กของตำรวจนายหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นบุคคลไหน ตำรวจนายดังกล่าวไม่ได้เป็นเพื่อนกับเอกชัยบนเฟซบุ๊ก แต่สามารถเข้าไปดูเฟซบุ๊กได้เพราะโพสต์ดังกล่าวถูกตั้งค่าเป็นสาธารณะ
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อว่า หลังโชคชัยโพสต์ข้อความในตอนเช้า ในช่วงเย็นเอกชัยก็โพสต์ข้อความตอบโชคชัยทำนองว่า การที่ ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้เปิดเพลงหนักแผ่นดิน สร้างความหวาดกลัวต่อการรัฐประหาร
 
เอกชัย และโชคชัยจึงจะไปเปิดเพลงประเทศกูมีให้ ผบ.ทบ. ฟังในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ในเวลา 9.00 น. หากใครมีเพลงอื่นอยากแนะนำเชิญ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อว่าโพสต์ดังกล่าวของเอกชัยตั้งค่าเป็นสาธารณะซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าไปดูได้ ซึ่งตามภาพบันทึกหน้าจอโพสต์ของเอกชัยมีคนกดแชร์ 28 คน 
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อว่า หลังจากนั้นในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ โชคชัยแชร์โพสต์มาจากบุคคลอื่นซึ่งน่าจะเป็นโพสต์ของเอกชัย และเขียนข้อความเพิ่มเติมว่า วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 9.30 น. ที่หน้ากองทัพบก อัยการถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความว่า ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ที่เอกชัย และโชคชัยนัดหมายกันทำกิจกรรมเป็นวันและเวลาราชการปกติ ทั้งสองเดินทางมาที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยโชคชัยจะเดินมาถึงที่เกาะกลางถนนตรงข้ามกองทัพบกก่อน ส่วนเอกชัยตามมาภายหลังโดยถือลำโพงขนาด 350 วัตต์มาด้วย นอกจากลำโพงของที่เอกชัยนำมาก็มีหมีตัวใหญ่กับเก้าอี้ 
 
อัยการถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่า เมื่อโชคชัยเดินเข้ามาที่เกาะกลาง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ดำเนินการอย่างไร พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ได้เข้าไปถามโชคชัยว่าได้แจ้งการชุมนุมหรือไม่ เมื่อโชคชัยตอบว่าไม่ได้แจ้ง จึงบอกกับโชคชัยว่ากิจกรรมที่เอกชัย และโชคชัยจะทำเข้าข่ายเป็นการชุมนุมสาธารณะ เมื่อไม่ได้แจ้งการชุมนุมก็อาจจะถูกดำเนินคดี 
 
อัยการถามว่าขณะที่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ แจ้งเรื่องนี้กับโชคชัย ตัวของเอกชัยอยู่ที่ใด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เอกชัยอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่พูดคุยกับโชคชัยจึงน่าจะได้ยินบทสนทนาดังกล่าว อัยการถามต่อว่า ในบริเวณที่เกิดเหตุขณะนั้นมีบุคคลใดอยู่บ้าง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า มีนักข่าว และประชาชนประมาณ 20 คน ซึ่งแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ส่วนเอกชัย และโชคชัยแม้จะทราบว่าการกระทำอาจเข้าข่ายความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุม แต่พวกเขาก็ยืนยันที่จะดำเนินการต่อไป
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อว่า เอกชัย และโชคชัยนำตุ๊กตาไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ในบริเวณนั้น ก่อนที่จะเริ่มเปิดเพลง ประเทศกูมี ทั้งสองได้ผลัดกันพูดให้สื่อมวลชน และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นฟัง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จำเนื้อหาสิ่งที่ทั้งสองพูดไม่ได้โดยละเอียด แต่พอทราบคร่าวๆ ว่ามีการพูดถึงการรัฐประหาร เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จากนั้นจึงเปิดเพลงประเทศกูมี และแสดงท่าทางเอาเก้าอี้ตีตุ๊กตาให้สื่อถ่ายภาพ ตัวของ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ได้เข้าไปแจ้งเอกชัย และโชคชัยอีกครั้งว่าสิ่งที่ทั้งสองทำอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ แต่ทั้งสองก็ยังทำกิจกรรมต่อไป 
 
อัยการเปิดคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ดูซึ่งปรากฎว่ามีภาพ และเสียงโชคชัยพูดเรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหม ส่วนเอกชัยพูดถึงเพลงหนักแผ่นดิน ระหว่างที่อัยการเปิดคลิป เอกชัยได้ลุกจากที่นั่งมายืนดูคลิปดังกล่าวอยู่ด้านหลัง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ด้วย
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อว่า ระหว่างที่เอกชัยเปิดเพลงประเทศกูมี และทำท่าจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลาก็มีเสียงเพลงความฝันอันสูงสุดดังขึ้น จากนั้น พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ก็เชิญตัวเอกชัย และโชคชัยไปที่สน.นางเลิ้งเพื่อสอบสวนซึ่งทั้งสองคนก็ยอมไปแต่โดยดี 
 
อัยการถามว่าเหตุใดพ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จึงเห็นว่าการกระทำของเอกชัย และโชคชัยเป็นความผิด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า การแสดงออกของทั้งสองเป็นการกระทำในพื้นที่สาธารณะ ปรากฎต่อคนทั่วไป และผู้ที่เห็นด้วยสามารถเข้าร่วมได้ นอกจากนั้นก่อนการจัดกิจกรรมทั้งสองก็มีการประกาศบนเฟซบุ๊ก เชิญชวนคนมาร่วมทำกิจกรรมและให้ร่วมแนะนำเพลงที่ควรนำมาเปิด
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความว่า เขารู้จักเอกชัย และโชคชัยในฐานะนักกิจกรรมทางการเมืองแต่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยจับกุมหรือดำเนินคดีทั้งสองมาก่อนและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองใดๆ
 
ตอบทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่า ในฐานะที่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยคดีนี้ ตัวของ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุมฯดีใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ใช่
 
ทนายจำเลยถามว่า ตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯกำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุม แต่หากการกระทำไม่ใช่การชุมนุมก็จะไม่เป็นความผิดใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์รับว่า ใช่
 
ทนายจำเลยถามว่า เจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯ คือการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชุมนุม และการแจ้งการชุมนุมก็เป็นไปเพื่อให้เจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ใช่ และขยายความว่า เมื่อมีการแจ้งการชุมนุม เจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งจะทำการสรุปสาระสำคัญของการชุมนุมซึ่งจะมีการกำหนดเงื่อนไขหรือแนวปฏิบัติให้กับผู้ชุมนุมด้วย เช่น ห้ามกีดขวางทางเข้าออกสถานที่ราชการ หรือกีดขวางการจราจร
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ทราบหรือไม่ว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯมีการบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า เขาไม่ทราบว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯจะสอดคล้องกับกติกาที่ทนายจำเลยอ้างถึงหรือไม่ แต่ยืนยันหมายเหตุของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯว่าเป็นไปตามเอกสารหลักฐานที่เป็น พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ทนายจำเลยอ้างส่ง พ.ร.บ.ชุมนุม และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองต่อศาล
 
ทนายจำเลยให้ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ดูกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองข้อ 19 ส่วนที่กำหนดว่า "บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง" แล้วถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่า การดำเนินคดีถือเป็นการแทรกแซงใช่หรือไม่
 
พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ประเทศไทยมีกฎหมายบังคับใช้โดยเฉพาะก็ต้องบังคับไปตามนั้น ส่วนกติการะหว่างในหมายเหตุของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯที่ทนายจำเลยอ้างถึงก็เป็นเพียงการเขียนไว้กว้างๆ แต่การบังคับใช้กฎหมายต้องอิงตามบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ชุมนุม การดำเนินคดีกับจำเลยคดีนี้จึงไม่ใช่การแทรกแซงดังที่ทนายจำเลยอ้าง
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีบทบัญญัติหมวดสิทธิเสรีภาพของประชาชน พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ทราบ
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า เอกชัย และโชคชัยเคยทำกิจกรรมลักษณะคล้ายๆ กับกิจกรรมที่เป็นเหตุแห่งคดีนี้มาก่อน เช่น การยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล หรือที่ปปช. และทั้งสองไม่เคยถูกดำเนินคดีจากการทำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าว พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ทราบ และขยายความว่าการไปยื่นหนังสือของเอกชัย และโชคชัยที่ทนายจำเลยอ้างถึงเป็นการไปยื่นในสถานที่ที่ทางราชการจัดไว้ให้ จึงไม่มีการดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ
 
ทนายจำเลยถามต่อว่าก่อนหน้านี้เอกชัย และโชคชัยเคยมายื่นหนังสือที่กองบัญชาการกองทับบกซึ่งเป็นที่เกิดเหตุในคดีนี้ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบเรื่องนี้หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่าทราบ และกล่าวต่อว่าครั้งนั้นเป็นการมายื่นหนังสือแต่ไม่มีการแสดงเหมือนคดีนี้
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า วันเกิดเหตุ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เดินทางไปถึงพื้นที่เกิดเหตุกี่โมง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไปถึงก่อน 9.00 น. 
 
ทนายจำเลยถามว่า ก่อนจะถึงวันเกิดเหตุตัว พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เคยมีการพูดคุยเรื่องการรับสถานการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์รับว่าใช่ ทนายจำเลยถามต่อว่า ในวันเกิดเหตุ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า มีเจ้าหน้าที่มาจากหน่วยใดบ้าง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เขาทราบเฉพาะเจ้าหน้าที่สังกัดสน.นางเลิ้ง ซึ่งมีชุดสืบสวนรวมห้าคน ทนายจำเลยถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบที่ยืนประจำการในที่เกิดเหตุน่าจะมีถึง 200 คนใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่าน่าจะมีไม่ถึง 200 คน ดังที่ทนายจำเลยถาม 

ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่า ตามคลิปวิดีโอหลักฐานของอัยการ ปรากฎภาพชายสวมชุดสีเทาเดินไปหาเอกชัยขณะลงจากรถ  พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า ชายชุดเทาเหล่านั้น คือเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร 
 
ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ถึงคลิปวิดีโอหลักฐานว่า ตามคลิปดังกล่าวปรากฎภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบยืนคล้องแขนอยู่หลังเอกชัย และโชคชัยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ใช่ เมื่อทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ได้ยืนคล้องแขนร่วมกับตำรวจคนอื่นๆ ด้วยหรือไม่  พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ไม่ได้ยืนคล้องแขนกับตำรวจคนอื่นๆ

ทนายจำเลยถามต่อว่าในวันเกิดเหตุเมื่อเอกชัยนำตุ๊กตาหมีไปแขวนกับต้นไม้เพื่อจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่ต่อมาตุ๊กตาตัวดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดึงออกไป พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เป็นผู้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เขาไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังที่ทนายจำเลยถาม 
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย จำได้หรือไม่ว่าในวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบคล้องแขนล้อมจำเลยทั้งสองไว้ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เขาจำได้เพียงแค่มีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานอยู่ด้านหลังจำเลยทั้งสอง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความยืนยันด้วยว่าในคลิปวิดีโอหลักฐานมีตัวเขาปรากฎอยู่ด้วย
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ใครเป็นผู้จัดทำเอกสารหลักฐานที่ปรินท์มาจากภาพบันทึกหน้าจอเฟซบุ๊กของเอกชัย และโชคชัย พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เป็นชุดสืบสวนของสน.นางเลิ้ง
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ข้อความที่จำเลยทั้งสองโพสต์ไม่ได้มีลักษณะเป็นการเขียนเชิญชวนให้คนมาร่วมชุมนุม แต่เป็นการแจ้งว่าจำเลยจะไปที่ไหนในวันที่เท่าไหร่ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ขอยืนยันข้อความตามเอกสารที่เป็นภาพบันทึกหน้าจอของเอกชัย
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ข้อความบนเฟซบุ๊กของเอกชัยที่ว่า ใครมีเพลงอะไรแนะนำเชิญ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ใช้พิจารณาประกอบว่าการกระทำของเอกชัยเป็นการกระทำความผิดใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ต่อว่ามีใครมีคอมเมนท์แนะนำเพลงหรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ไม่ทราบ
 
ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่าทราบหรือไม่ว่า เหตุที่จำเลยทั้งสองมาเปิดเพลงประเทศกูมีเป็นเพราะ ผบ.ทบ. เคยสั่งให้มีการเปิดเพลงหนักแผ่นดิน พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบเรื่องที่ ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้เปิดเพลง และไม่ทราบว่ากรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองมากระทำการในคดีนี้หรือไม่ ส่วนเพลงหนักแผ่นดินเคยได้ยินมาก่อน ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เคยได้ยินเรื่องที่ ผบ.ทบ. สั่งเปิดเพลงหนักแผ่นดินผ่านทางสื่อสาธารณะหรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่เคย   
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ในวันเกิดเหตุ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เป็นผู้เชิญตัวจำเลยทั้งสองใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามต่อว่า เพลงความฝันอันสูงสุดเปิดโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ใช่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความต่อด้วยว่า เพลงความฝันอันสูงสุดเปิดขึ้นหลังกิจกรรมของเอกชัย และโชคชัยจบลง ส่วนการเชิญตัวเอกชัย และโชคชัยเกิดขึ้นหลังจากกิจกรรมยุติแล้ว
 
ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่า ในคดีนี้มีการทำบันทึกการจับกุมผู้ต้องหาหรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า ไม่มีเพราะคดีนี้ไม่มีการจับกุม เป็นเพียงการเชิญตัวไปที่สถานีตำรวจจึงไม่มีบันทึกการจับกุม
 
ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ต่อว่า ในที่เกิดเหตุนอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบแล้วมีเจ้าหน้าที่สายข่าว หรือเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เขาเห็นคนสวมชุดแบบพลเรือนแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร ทนายจำเลยที่หนึ่งแถลงหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกสีดำมาจากหน่วยใด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบเพราะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
 
ทนายจำเลยถามว่า ตามคลิปวิดีโอขณะที่มีการเชิญตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจมีลักษณะดันตัวจำเลยทั้งสองใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ได้เป็นลักษณะการดันแต่เป็นการเดินตาม ทนายจำเลยถามต่อว่าเมื่อเป็นการเชิญตัว หากในวันเกิดเหตุเอกชัย  และโชคชัยไม่ไปสถานีตำรวจสามารถทำได้ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ทั้งสองคนจะไม่ไปก็ได้ 
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ระยะทางจากเกาะกลางถนนตรงข้ามกองบัญชาการกองทัพบก กับสน.นางเลิ้งห่างกันแค่ไหน พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ห่างออกไปประมาณ 300 – 400 เมตร ทนายจำเลยถามเชิงตั้งข้อสังเกตว่าระยะทางระหว่างพื้นที่ทำกิจกรรมก็ไม่ห่างกันมากเหตุใดจึงต้องนำตัวเอกชัย และโชคชัยขึ้นรถที่ติดลูกกรง พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ที่ให้ทั้งสองคนขึ้นรถเป็นเพราะมีแอร์จะได้นั่งไปสบายๆ 
 
ทนายจำเลยถามว่า นอกจากจำเลยทั้งสองในวันเกิดเหตุมีคนกลุ่มอื่นมาทำกิจกรรมในบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุคดีนี้หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่า มีกลุ่มของพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น และกลุ่มของอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือฟอร์ด เส้นทางสีแดง โดยกรณีของพริษฐ์ไม่มีการแจ้งการชุมนุม ส่วนกรณีของอนุรักษ์มีการแจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย 
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า เครื่องเสียงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้ในวันเกิดเหตุมีกำลังเท่าใด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบ ทนายจำเลยถามต่อว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วเอกชัย และโชคชัยตั้งใจไปทำกิจกรรมตรงหน้าป้ายกองทัพบกแต่มีเจ้าหน้าที่บอกให้มาทำตรงจุดเกิดเหตุคดีนี้แทน พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบ
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า บุคคลใดเป็นผู้ออกคำสั่งให้ยึดตุ๊กตาหมี หรือบุคคลใดเป็นผู้ยึดตุ๊กตา พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่ทราบ 
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ทราบหรือไม่ว่า ตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯการจะให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมต้องมีการประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ได้แจ้งให้ทั้งเอกชัย และโชคชัยทราบแล้ว
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า เหตุใดจึงไม่มีการขอให้ศาลสั่งเลิกการชุมนุม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวยุติไปแล้ว และกิจกรรมดังกล่าวก็ใช้เวลาเพียง 15 นาที จึงไม่สามารถขอให้ศาลออกคำสั่งให้ยุติการชุมนุมได้ 
 
ทนายจำเลยถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ว่า ทราบหรือไม่ว่าเพลงประเทศกูมียาวกี่นาที พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่เคยฟังจึงไม่ทราบ และไม่ทราบว่าเอกชัยกับโชคชัยเปิดเพลงประเทศกูมีจบ หรือยังเมื่อตอนที่มีเสียงเพลงความฝันอันสูงสุดดังขึ้นมา
 
ทนายจำเลยถามว่า ในท้องที่สน.นางเลิ้งบุคคลใดมีหน้าที่รับแจ้งการชุมนุม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ผู้กำกับสน.นางเลิ้งเป็นผู้มีหน้าที่รับแจ้งการชุมนุม และในวันเกิดเหตุผู้กำกับก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย และเมื่อตัวเขาเข้าไปเจรจากับเอกชัย และโชคชัยผู้กำกับก็อยู่ด้วย
 
ทนายจำเลยที่สองแถลงหมดคำถาม
 
ตอบอัยการถามติง
 
อัยการถามว่า ที่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความว่า เจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯนอกจากจะเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมแล้วยังมีเจตนารมณ์อะไรอีก พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า มีเจตนารมณ์คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่จะทำการสรุปสาระสำคัญการชุมนุมซึ่งจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตาม
 
อัยการถามว่า ที่บอกว่าการดำเนินคดีกับจำเลยคดีนี้ไม่ใช่การแทรกแซงการใช้เสรีภาพการแสดงออกของทั้งสองเป็นเพราะเหตุใด พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่าจำเลยทั้งสองสามารถแจ้งการชุมนุมจากนั้นก็สามารถแสดงออกได้ตามที่ต้องการ และในวันเกิดเหตุแม้จะมีการแจ้งทั้งสองว่าสิ่งที่กระทำอยู่เข้าข่ายผิดกฎหมายแต่เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้ทั้งสองแสดงออกได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง 
 
อัยการถามว่าที่ทนายจำเลยพูดถึงกรณีที่เอกชัย และโชคชัยเคยไปยื่นหนังสือโดยไม่ถูกดำเนินคดี กรณีดังกล่าวต่างจากคดีนี้อย่างไร พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ตอบว่ากรณีอื่นๆทั้งสองไปยื่นหนังสือในที่ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้แต่ในคดีนี้ชัดเจนว่าทั้งสองต้องการมาชุมนุม 
 
อัยการถามว่าที่ทนายจำเลยให้ดูว่าเอกชัย และโชคชัยโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กในลักษณะเป็นการชวนกันมาทำกิจกรรมแบบส่วนตัว แท้จริงเป็นเช่นไร พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า การโพสต์ข้อความของทั้งสองเปิดต่อสาธารณะบุคคลทั่วไปจึงรับรู้ และมาร่วมกิจกรรมได้ อัยการถามต่อว่าที่เอกชัยโพสต์ว่าให้คนมาแนะนำเพลงมีระบุไว้ หรือไม่ว่า ให้มาคอมเมนท์แนะนำเพลงไว้บนเฟซบุ๊ก พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า ไม่มีเขียนไว้เช่นนั้น 
 
อัยการถามว่าที่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ เบิกความว่ามีกลุ่มของอนุรักษ์ หรือฟอร์ด เส้นทางสีแดง มาทำกิจกรรมในวันเดียวกับที่เอกชัย และโชคชัยมาทำกิจกรรม มีการดำเนินคดีกับอนุรักษ์หรือไม่ พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ตอบว่า อนุรักษ์มีการแจ้งการชุมนุมจึงไม่มีการดำเนินคดี
 
อัยการแถลงหมดคำถาม
 
เนื่องจากการสืบพยานปากแรกจบในเวลาที่เลยเที่ยงไปแล้วศาลจึงให้เลื่อนไปสืบพยานปากที่สองต่อในช่วงบ่ายในเวลา 13.30 น.  
 
ในช่วงบ่ายศาลเริ่มการพิจารณาคดีในช่วงบ่ายในเวลาประมาณ 13.30 น.
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สอง ร.ต.อ.บุญยงค์ น้อยอ่อนหล้า เจ้าหน้าที่สายตรวจประจำวันเกิดเหตุ
 
ร.ต.อ.บุญยงค์ เบิกความว่า ปัจจุบันเขารับราชการอยู่ที่สน.บางชัน ขณะเกิดเหตุรับราชการอยู่ที่สน.นางเลิ้งในตำแหน่งรองสารวัตรป้องกันปราบปราม ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าสายตรวจ เกี่ยวกับคดีนี้เขาทราบเหตุล่วงหน้าหนึ่งวันในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562

ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความว่า ได้รับทราบจากผู้บังคับบัญชาจากทางไลน์ว่า ชุดสืบสวนรายงานมาว่า เอกชัย และโชคชัยมีการโพสต์เฟซบุ๊กว่าจะไปเปิดเพลงประเทศกูมีที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกให้ทหารฟังในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ร.ต.อ.บุญยงค์ ขยายความว่าแอปพลิเคชันไลน์ที่พูดถึงเป็นกรุ๊ปไลน์ของเจ้าหน้าที่ที่ผู้บังคับบัญชาใช้สั่งการ

สำหรับโพสต์ของเอกชัย และโชคชัย ร.ต.อ.บุญยงค์ระบุว่า ไม่ได้ไปเปิดดูเอง สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความว่าผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เขาเป็นหัวหน้าสายตรวจมีหน้าที่นำกำลังไปรักษาความสงบที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก
 
 ร.ต.อ.บุญยงค์ เบิกความถึงวันเกิดเหตุว่า ได้ไปที่หน้ากองทัพบกในเวลาประมาณแปดนาฬิกาเศษ โดยในทีมมีพลขับหนึ่งนาย และเจ้าหน้าที่สายตรวจอีกสองนาย รวมเป็นสี่นาย ไปปฏิบัติหน้าที่โดยแต่งเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในพื้นที่เกิดเหตุนอกจากจะมีชุดปฏิบัติการของร.ต.อ.บุญยงค์แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นๆ มาประจำการด้วยแต่ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมาจากหน่วยใด

ต่อมาในเวลาประมาณ 9.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เอกชัย และโชคชัยนัดหมายเพื่อทำกิจกรรม เห็นจำเลยทั้งสองมาถึงที่เกิดเหตุด้วยรถส่วนตัว พร้อมทั้งนำตุ๊กตาหมี และลำโพงขนาด 350 วัตต์มาด้วย ขณะนั้นผู้บังคับบัญชา ทั้งผู้กำกับ และรองผู้กำกับสน.นางเลิ้งต่างก็อยู่ในที่เกิดเหตุนอกจากนั้นก็มีสื่อมวลชนมารอทำข่าวด้วย
 
ร.ต.อ.บุญยงค์ เบิกความต่อว่าเมื่อเอกชัย และโชคชัยมาถึงที่เกิดเหตุ ทั้งสองจอดรถที่ฝั่งตรงข้ามจากนั้นจึงเดินมาที่เกาะกลางถนนซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ เมื่อทั้งสองมาถึงผู้กำกับ และรองผู้กำกับสน.นางเลิ้งเข้าไปแจ้งเอกชัย และโชคชัยว่าทั้งสองไม่ได้แจ้งการชุมนุมตามกฎหมายซึ่ง พ.ร.บ.ชุมนุมฯกำหนดว่าผู้ประสงค์จัดการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาเริ่มการชุมนุม แต่เอกชัย และโชคชัยยืนยันว่าทั้งสองไม่ได้มาชุมนุม และยืนยันว่าจะทำกิจกรรมต่อไป

จากนั้นทั้งสองคนมีการปราศรัยเรื่องที่ ผบ.ทบ. ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และเรื่องเพลงหนักแผ่นดิน เมื่อทั้งสองคนปราศรัยเสร็จได้นำตุ๊กตาหมีมาจำลองเหตุการณ์พฤษภาทมิฬด้วยการนำตุ๊กตาหมีไปผูกกับต้นไม้ (เข้าใจว่าน่าจะเป็นการเบิกความโดยสับสนระหว่างเหตุการณ์พฤษภา 35 กับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 – iLaw) จากนั้นก็เปิดเพลงประเทศกูมีด้วยเครื่องเสียงที่เตรียมมา

อัยการเปิดคลิปวิดีโอให้ร.ต.อ.บุญยงค์ดูแล้วถามว่า ร.ต.อ.บุญยงค์อยู่ในคลิปหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ตัวเขาไม่ปรากฎในคลิปแต่ยืนยันว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ สำหรับการชุมนุมดำเนินไปประมาณ 20 นาทีจึงยุติ
 
อัยการถามว่า ตามคลิปวิดีโอมีชายสี่ถึงห้าคนเดินข้ามถนนมากับเอกชัยด้วย ร.ต.อ.บุญยงค์ทราบหรือไม่บุคคลเหล่านั้นเป็นใคร ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ทราบ อัยการถามว่าที่ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคล้องแขนกัน ตัวของ ร.ต.อ.บุญยงค์ได้ไปยืนคล้องแขนด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ได้ไปยืนคล้องแขนด้วย ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความด้วยว่าตามคลิปวิดีโอจะปรากฎเหตุการณ์ขณะที่ผู้กำกับสน.นางเลิ้งเข้ามาขอให้เอกชัย และโชคชัยยุติการทำกิจกรรมแต่ทั้งสองยังดำเนินการต่อไป

ต่อมาระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเปิดเพลงประเทศกูมีก็มีเสียงเพลงความฝันอันสูงสุดดังขึ้นมาจากนั้นผู้กำกับ และรองผู้กำกับสน.นางเลิ้งได้เชิญตัวเอกชัย และโชคชัยไปที่สน. ตัวเขาเดินทางไปที่สน.พร้อมกับเอกชัยและโชคชัย เมื่อไปถึงสน. พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ รองผู้กำกับ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยทั้งสอง อัยการแถลงหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่า ร.ต.อ.บุญยงค์รับราชการที่สน.นางเลิ้งตั้งแต่เมื่อใดจนถึงเมื่อใดและเป็นระยะเวลาเท่าใด  ร.ต.อ.บุญยงค์  ตอบว่าเขารับราชการที่สน.นางเลิ้งประมาณห้าปี ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2562 ทนายจำเลยถามว่า ตำแหน่งรองสารวัตรป้องกันปราบปรามมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้าใช่หรือไม่ และที่ ร.ต.อ.บุญยงค์ไม่ได้จับกุมเอกชัย และโชคชัยเป็นเพราะทั้งสองไม่ได้ทำความผิดใช่หรือไม่

ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่าตัวเขามีอำนาจจับกุมบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า แต่ที่ไม่ได้จับกุมจำเลยทั้งสองเป็นเพราะผู้บังคับบัญชาแจ้งว่าให้เชิญตัวไปที่สน.เนื่องจากทั้งสองทำความผิด
 
ทนายจำเลยถามว่า ร.ต.อ.บุญยงค์เห็นโพสต์เฟซบุ๊กของจำเลยที่เป็นหลักฐานในคดีนี้จากที่ใด ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า เห็นจากไลน์ของสน.นางเลิ้ง

ทนายจำเลยขอให้ร.ต.อ.บุญยงค์เล่าถึงสภาพสถานที่ในเช้าวันเกิดเหตุ  ร.ต.อ.บุญยงค์เล่าว่า ในวันเกิดเหตุเขากับพวกนำรถกระบะของสน.นางเลิ้งไปขับวนตรวจการณ์รอบๆ หน้ากองบัญชาการกองทัพบก พบว่ามีเจ้าหน้าที่ประมาณ 20 นายประจำการอยู่ที่เกาะกลางถนนหน้ากองบัญชาการกองทัพบก

เมื่อทนายจำเลยถามในรายละเอียดว่า บริเวณหน้าป้ายกองทัพบกมีการกั้นแผงเหล็กไว้หรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ทราบ ทนายจำเลยถามว่านอกจากเจ้าหน้าที่ของสน.นางเลิ้งแล้ว มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นร่วมปฏิบัติการด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า มีแต่จะมาจากสังกัดใดไม่ทราบ
 
ทนายจำเลยถามว่า ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ร.ต.อ.บุญยงค์ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนใด ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่จะมีการจัดการชุมนุม ก่อนเวลาที่เอกชัย และโชคชัยนัดหมายกันชุมนุม ชุดปฏิบัติงานได้ขับรถวนรอบๆ พื้นที่ ต่อมาเมื่อลงจากรถ และเดินเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุก็พบว่าเอกชัย และโชคชัยมาถึง และกำลังเดินเข้ามาในพื้นที่

ทนายจำเลยถามต่อว่า แล้วทราบหรือไม่ว่าขณะที่เอกชัยเดินเข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินมาด้วย ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ขณะเกิดเหตุยังไม่ทราบ มาทราบภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่สายสืบจากตำรวจนครบาล
 
ทนายจำเลยถามต่อว่า ร.ต.อ.บุญยงค์ทราบหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วเอกชัยและโชคชัยตั้งใจไปเปิดเพลงที่บริเวณป้ายกองทัพบก ไม่ใช่ตรงสถานที่เกิดเหตุ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ทราบ ทราบเพียงว่าจะมีการชุมนุมที่หน้ากองทัพบก แต่ไม่ทราบว่าเป็นบริเวณใดโดยจำเพาะเจาะจง

ทนายจำเลยให้ร.ต.อ.บุญยงค์ดูคลิปวิดีโอแล้วถามว่า ตามคลิปวิดีโอที่ให้ดู ปรากฎภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคล้องแขนอยู่ด้านหลังเอกชัยและโชคชัย กั้นระหว่างทั้งสองคนกับขอบทางเท้าที่จะข้ามไปกองบัญชาการกองทัพบกใช่หรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์รับว่า ใช่
 
ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความตอบทนายจำเลยที่หนึ่งต่อว่า ก่อนจะมีการเปิดเพลงประเทศกูมี ทั้งเอกชัย และโชคชัยได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ที่มาทำกิจกรรมต่อสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว โดยมีการพูดถึงเรื่องงบประมาณกองทัพรวมทั้งกรณีที่ ผบ.ทบ. สั่งให้เปิดเพลงหนักแผ่นดิน ทั้งเอกชัย และโชคชัยต่างพูดด้วยว่า ทั้งสองไม่ได้มาชุมนุมแต่มาทำกิจกรรม

ทนายจำเลยถามว่าร.ต.อ.บุญยงค์ได้ไปร่วมคล้องแขนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นที่ล้อมจำเลยด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ได้ร่วมคล้องแขนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่ทนายจำเลยถาม ทนายจำเลยถามต่อว่าในวงที่จำเลยทั้งสองยืนอยู่ นอกจากผู้กำกับ และรองผู้กำกับสน.นางเลิ้งแล้วมีบุคคลอื่นอยู่กับจำเลยทั้งสองด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ล้อมจำเลยทั้งสอง นอกจากผู้กับกับ และรองผู้กำกับสน.นางเลิ้งแล้วก็ไม่มีบุคคลอื่นยืนอยู่ข้างใน สำหรับผู้สื่อข่าวจะยืนอยู่ด้านนอกวงด้านหน้าจำเลยทั้งสอง

ทนายจำเลยถามต่อว่าร.ต.อ.บุญยงค์เคยฟังเพลงหนักแผ่นดินหรือเพลงประเทศกูมีหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่าเขาไม่เคยฟังทั้งสองเพลง
 
ทนายจำเลยถามร.ต.อ.บุญยงค์ว่า ทราบข่าวที่ ผบ.ทบ. สั่งการให้เปิดเพลงหนักแผ่นดินหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่เคยได้ยิน ทนายจำเลยถามว่า เมื่อเอกชัยและโชคชัยถูกเชิญตัวไปที่สน.นางเลิ้ง ร.ต.อ.บุญยงค์เดินทางไปในรถคันเดียวกันหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ขึ้นรถไปกับจำเลยแต่ไม่ได้นั่งด้วยกัน เขานั่งอยู่ด้านหน้ารถส่วนเอกชัย และโชคชัยนั่งด้านหลังกระบะ

ทนายจำเลยถามว่า ตอนที่รองผู้กำกับและผู้กำกับสน.นางเลิ้งเชิญตัวเอกชัย และโชคชัยไปที่สถานีร.ต.อ.บุญยงค์ได้ยินหรือไม่ว่าทั้งสองพูดคุยกับโชคชัย และเอกชัยว่าอะไรบ้าง ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ไม่ได้ยิน ทนายจำเลยถามว่า ตอนที่เอกชัย และโชคชัยกำลังจะขึ้นรถตำรวจ เจ้าหน้าที่มีการดันตัวทั้งสองใช่หรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า อาจจะมีการดันกันบ้างเนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีปริมาณคนหนาแน่นทั้งเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าว ทนายจำเลยที่หนึ่งแถลงหมดคำถาม
 
ทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่า เมื่อเอกชัย และโชคชัยถูกเชิญตัวขึ้นรถแล้วมีบุคคลอื่นนั่งด้านหลังกระบะไปด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่ามีเจ้าหน้าที่สายตรวจอีกนายหนึ่งนั่งไปด้วย

ทนายจำเลยถามว่า ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งมีการประชุมเตรียมความพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ ร.ต.อ.บุญยงค์ ได้เข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า เขาไม่ได้ร่วมการประชุมเพราะการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระดับสารวัตรขึ้นไป สำหรับการสั่งการให้มาปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความว่า ได้รับการสั่งการผ่านทางไลน์
 
ทนายจำเลยถามว่า บริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเกาะกลางหน้ากองบัญชาการกองทัพบก มีป้ายรถเมล์อยู่หรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า บนเกาะกลางถนนหน้ากองทัพบกไม่มีป้ายรถเมล ส่วนเกาะกลางถนนปกติจะมีคนเดินผ่านไปมามากน้อยเพียงใด ตัวเขาไม่ทราบ

ทนายจำเลยถามว่า ระหว่างที่เอกชัย และโชคชัยเปิดเพลงประเทศกูมีมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเพลงขึ้นแทรก ร.ต.อ.บุญยงค์ทราบหรือไม่เป็นเพลงอะไร ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า จำไม่ได้

ทนายจำเลยถามว่าจำเลยทัังสองมีการนำตุ๊กตาหมีมาด้วยแต่ถูกเจ้าหน้าที่ยึดไป ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ตอนที่อยู่ในที่เกิดเหตุตัวเขาไม่เห็นว่ามีการยึดตุ๊กตาหมี  ร.ต.อ.บุญยงค์เบิกความด้วยว่าตามวิดีโอคลิปที่ทนายจำเลยเปิดให้ดู เหตุการณ์ตอนที่เอกชัย และโชคชัยถูกเชิญตัวขึ้นรถของตำรวจ ปรากฎภาพผู้กำกับการสน.นางเลิ้งจับแขนของเอกชัย ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
 
ตอบอัยการถามติง
 
อัยการถามว่า ที่ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบทนายจำเลยว่าเกาะกลางถนนบริเวณตรงข้ามกองทัพบกไม่มีป้ายรถประจำทาง บริเวณดังกล่าวเป็นทางสาธารณะที่คนใช้สัญจรผ่านไปมาใช่หรือไม่ ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่า ใช่

อัยการถามว่า ที่ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบทนายจำเลยว่า ผู้กำกับสน.นางเลิ้งจับแขนเอกชัยตอนเชิญตัวไปที่สน.นางเลิ้ง เป็นการจับแขนแบบแน่นหรือจับลักษณะใด ร.ต.อ.บุญยงค์ตอบว่าเป็นลักษณะแตะตัวชี้ทางไปที่รถ ไม่ใช่จับแบบแน่น
 
อัยการแถลงหมดคำถาม ศาลสั่งให้นำพยานปากที่สามเข้าสืบต่อทันที
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สาม พ.ต.อ.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผู้กำกับการสน.นางเลิ้ง
 
พ.ต.อ.กัมปนาท เบิกความว่าปัจจุบันรับราชการเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เกี่ยวข้องในคดีนี้เพราะขณะเกิดเหตุรับราชการเป็นผู้กำกับการสน.นางเลิ้ง

พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุมฯว่า ในขณะที่เขาเป็นผู้กำกับฯสน.นางเลิ้ง มีหน้าที่รับแจ้งการชุมนุมที่จะจัดขึ้นในเขตรับผิดชอบของสน.นางเลิ้ง สำหรับประชาชนที่ประสงค์จะทำการชุมนุมก็สามารถทำได้แต่ต้องแจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงก่อนการชุมนุม

การแจ้งการชุมนุมสามารถดำเนินการได้ทั้งทางแฟกซ์ อีเมล หรือมาแจ้งด้วยตัวเองที่สถานีตำรวจ
 
เกี่ยวกับวัตุถุประสงค์ที่ให้แจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุม พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความตอบอัยการว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดกำลังมาดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมได้ ขณะเดียวกันก็ดูแลไม่ให้การชุมนุมไปกระทบสิทธิบุคคลอื่น

ในกรณีที่แจ้งการชุมนุมไม่ทันตามที่กฎหมายกำหนดผู้จัดการชุมนุมก็สามารถแจ้งขอผ่อนผันได้ เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หลังรับแจ้งการชุมนุม พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความตอบอัยการว่า ผู้รับแจ้งการชุมนุมจะต้องทำเอกสารสรุปสาระสำคัญการชุมนุมส่งให้ผู้แจ้งการชุมนุมภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับจากที่ได้รับแจ้งการชุมนุม
 
เกี่ยวกับพฤติการณ์คดีนี้ พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความว่า การชุมนุมเกิดขึ้นในเวลา 9.30 น. ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 บริเวณเกาะกลางถนนหน้ากองบัญชาการกองทัพบกเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของสน.นางเลิ้ง ตัวเขาซึ่งเป็นผู้กำกับการสน.นางเลิ้งในขณะนั้นมีหน้าที่เป็นผู้รับแจ้งการชุมนุม แต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยคดีนี้มีการแจ้งการชุมนุมมายังสน.นางเลิ้ง หรือแจ้งขอผ่อนผันเวลาการแจ้งการชุมนุมแต่อย่างใด

สำหรับอีเมลที่จะใช้ในการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์หรือโทรสารที่จะใช้ติดต่อสน.นางเลิ้งเพื่อแจ้งการชุมนุม พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความว่า มีการประกาศไว้ทั้งบนเว็บไซต์อและติดป้ายประกาศที่บริเวณสถานี พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความด้วยว่าอในวัน และเวลาเกิดเหตุตัวเขาได้ไปดูแลเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุด้วย อัยการแถลงหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
พ.ต.อ.กัมปนาทตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ทราบเหตุว่าจะมีการชุมนุมก่อนหน้าวันเกิดเหตุหนึ่งวันคือ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งทางสน.นางเลิ้งได้มีการประชุมนายตำรวจระดับผุ้บังคับบัญชาในบ่ายวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อเตรียมรับสถานการณ์

ทนายจำเลยถามว่ามีบุคคลใดเข้าร่วมการประชุมบ้าง พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า มีรองผู้กำกับฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวน และฝ่ายปราบปรามร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการรับสถานการณ์
 
ทนายจำเลยถามถึงกำลังเจ้าที่ที่ปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า มีทั้งกำลังของสน.นางเลิ้ง และมีกำลังจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1 มาร่วมดูแลสถานการณ์

สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าว ทราบเพียงแต่ว่ามีฝ่ายข่าวของสน.นางเลิ้ง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของนครบาล 1 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในที่เกิดเหตุ ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวตำรวจจากหน่วยงานอื่นหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวทหารมาร่วมปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่นั้นไม่ทราบ
 
พ.ต.อ.กัมปนาทตอบทนายจำเลยต่อว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าเอกชัยและโชคชัยเป็นผู้จัดการชุมนุม ได้แก่ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เอกชัยเขียนว่า "ใครมีเพลงอะไรแนะนำ เชิญ" ซึ่งข้อความนี้เห็นว่าเป็นการเชิญชวนคนออกมาชุมนุม

ส่วนที่ทนายจำเลยถามว่าจำเลยเขียนข้อความลักษณะดังกล่าวโดยมีเจตนาให้คนมาแนะนำเพลงในคอมเมนท์ใต้โพสต์หรือไม่นั้นเขาไม่ทราบเจตนาของเอกชัย
 
พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความตอบทนายจำเลยต่อว่า ในวันเกิดเหตุอยู่ในที่ชุมนุมกับจำเลย ก่อนการเปิดเพลงทั้งเอกชัย และโชคชัยมีการพูดถึงวัตถุประสงค์ที่ทั้งสองมาเปิดเพลง แต่จำรายละเอียดการปราศรัยของทั้งสองไม่ได้

เมื่อทนายจำเลยให้ดูวิดีโอคลิปเหตุการณ์ พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความยืนยันว่า ภาพเหตุการณ์ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคล้องแขนเป็นวงล้อมรอบเอกชัยและโชคชัย มีภาพของพ.ต.อ.กัมปนาท กับพ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จารุสินธุพงศ์ รองผู้กำกับสน.นางเลิ้งในขณะนั้นปรากฎอยู่กับภาพร่วมกับเอกชัย และโชคชัยด้วย
 
ทนายจำเลยถามพ.ต.อ.กัมปนาทว่า ทราบหรือไม่ว่าที่จำเลยทั้งสองมาเปิดเพลงเป็นเพราะ ผบ.ทบ. มีการสั่งการให้เปิดเพลงหนักแผ่นดิน พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ไม่ทราบข่าวดังกล่าว ตัวเขาเคยฟังเพลงหนักแผ่นดินแต่จำเนื้อเพลงไม่ได้
 
ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่าในวันเกิดเหตุมีกลุ่มคนมาให้กำลังใจ ผบ.ทบ. ด้วย พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว และไม่ทราบว่ามีการดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวหรือไม่ ทนายจำเลยอ้างส่งภาพข่าวจากเฟซบุ๊กวาสนา นาน่วม ต่อศาล

ทนายจำเลยถามว่า ในวันเกิดเหตุที่มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลพื้นที่การชุมนุมเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกกับคนที่มาชุมนุมใช่หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทรับว่า ใช่

ทนายจำเลยถามต่อว่า วัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดให้มีการแจ้งการชุมนุมเป็นไปเพื่ออะไร พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า เพื่อรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ชุมนุม และประชาชนทั่วไป

ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า จำไม่ได้ว่ามีหรือไม่มี
 
ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.อ.กัมปนาทรับราชการที่สน.นางเลิ้งตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่าตั้งแต่ปี 2559 – 2562 ทนายจำเลยถามต่อว่า ทราบหรือไม่ว่าทั้งเอกชัย และโชคชัยเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ทราบและบอกว่าถ้ามีข่าวว่าทั้งสองจะมาทำกิจกรรมในพื้นที่รับผิดชอบเขาจะสั่งการให้มีการติดตาม

ส่วนจำเลยทั้งสองจะเคยทำกิจกรรมลักษณะเดียวกับคดีนี้ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหรือสำนักงานปปช. หรือไม่ตัวเขาไม่ทราบ และไม่ทราบว่าทั้งสองไม่เคยถูกแจ้งข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมจากการทำกิจกรรมดังกล่าว
 
ทนายจำเลยถามว่า การทำกิจกรรมของเอกชัย และโชคชัยในวันเกิดเหตุใช้เวลาประมาณกี่นาที พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า เมื่อทั้งสองทำกิจกรรมไปประมาณ 15 นาทีเขาก็มอบหมายให้พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ซึ่งเป็นรองผู้กำกับเชิญตัวทั้งสองไปที่สน.นางเลิ้ง

ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.อ.กัมปนาทมีอำนาจจับกุมบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้าใช่หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทรับว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่าที่กรณีนี้พ.ต.อ.กัมปนาทไม่ได้ทำการจับกุมจำเลยทั้งสองเป็นเพราะไม่ได้ทำความผิดใช่หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ที่ไม่ได้จับกุมเพราะได้เชิญตัวทั้งสองไปที่สน.เพื่อให้พนักงานสอบสวนพิจารณาว่าการกระทำของทั้งสองเป็นความผิดหรือไม่แล้ว
 
ตอบทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความตอบทนายจำเลยที่สองว่า ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 เมื่อทางสน.นางเลิ้งมีการประชุมเตรียมรับสถานการณ์แล้วก็มีการประสานไปยังตำรวจนครบาล 1 ซึ่งเมื่อมีการประสานไปทางนครบาลหนึ่งก็มีการส่งเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนมา โดยพื้นที่สน.นางเลิ้งอยู่ภายใต้เขตการดูแลของตำรวจนครบาล 1 ด้วย

ทนายจำเลยถามว่ากองบัญชาการกองทัพบก สำนักงานองค์การสหประชาชาติ และทำเนียบรัฐบาล อยู่ในการดูแลของสน.นางเลิ้งใช่หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่าทำเนียบรัฐบาลอยู่ในความรับผิดชอบของสน.ดุสิต ส่วนพื้นที่สหประชาชาติ และกองบัญชาการกองทัพบกอยู่ในความรับผิดชอบของสน.นางเลิ้ง
 
ทนายจำเลยถามว่าในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 หลังการชุมนุม ทางสน.นางเลิ้งมีการทำรายงานสรุปสถานการณ์ส่งไปยังตำรวจนครบาล 1 ใช่หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ทางสน.มีการทำสรุปสถานการณ์รายงานตามลำดับชั้นส่งไปที่นครบาล 1

ทนายจำเลยถามต่อว่าในการทำสรุปสถานการณ์มีการรายงานเรื่องกลุ่มคนฝั่งธนรักสันติมามอบดอกไม้ให้ ผบ.ทบ. หรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่าจำไม่ได้ ทนายจำเลยถามว่า กลุ่มคนฝั่งธนรักสันติที่มาให้กำลังใจ ผบ.ทบ. มีการแจ้งการชุมนุมหรือไม่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่าจำไม่ได้ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
 
ตอบอัยการถามติง
 
อัยการถามว่าที่พ.ต.อ.กัมปนาทเบิกความตอบทนายจำเลยเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ จริงๆ แล้วพ.ต.อ.กัมปนาททราบว่า บุคคลใดบ้างที่เป็นเจ้าหน้าที่ พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า ทราบเฉพาะเจ้าหน้าที่สายสืบของสน.นางเลิ้ง

อัยการถามว่า ที่เห็นว่าโพสต์ของเอกชัยที่เชิญชวนคนมาแนะนำเพลง แท้จริงแล้วเป็นการเชิญชวนคนมาชุมนุมเป็นเพราะเหตุใด พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่า เป็นเพราะในโพสต์ดังกล่าวมีการแจ้งวันเวลา และสถานที่ชุมนุมไว้ชัดเจน

อัยการถามว่าพื้นที่เกาะกลางถนนหน้ากองทัพบกซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ เป็นพื้นที่ที่ทางราชการจัดไว้ให้ประชาชนมายื่นหนังสือหรือเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนใช้สัญจรไปมา พ.ต.อ.กัมปนาทตอบว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่พื้นที่สำหรับการยื่นหนังสือ อัยการแถลงหมดคำถาม
 
การสืบพยานปากนี้แล้วเสร็จในเวลาเกือบ 17.00 น. ศาลและคู่ความรวมทั้งพนักงานสอบสวน พยานโจทก์อีกคนหนึ่งที่มารอเบิกความจึงหารือร่วมกันว่าจะสืบพยานต่อหรือไม่ โดยศาลชี้แจงว่าศาลยินดีสืบพยานต่ออีกหนึ่งปากแต่กว่ากระบวนการจะเสร็จอาจกินเวลาถึงหกโมงเย็นหรือเกือบหนึ่งทุ่ม พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้งแจ้งศาลว่าในวันถัดไปไม่ติดราชการนอกสถานที่ สามารถมาศาลได้

ขณะที่ทนายจำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลว่าฝ่ายจำเลยมีคำถามจะถามพยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนจำนวนมาก น่าจะเลื่อนไปสืบพยานปากนี้ในวันถัดไป ขณะที่อัยการแถลงไม่คัดค้าน ศาลจึงสั่งให้เลื่อนการสืบพยานปากนี้ออกไปเป็นวันถัดไปคือวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 โดยให้สืบพยานปากนี้ก่อนสืบพยานจำเลย   
 
4 กรกฎาคม 2562
 
สืบพยานโจทก์ปากที่สี่ พ.ต.ท.ไพรัช ไสยเลิศ พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้ง
 
พ.ต.ท.ไพรัช เบิกความตอบอัยการว่า ปัจจุบันรับราชการเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ที่สน.มักกะสัน เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการสอบสวน สน.นางเลิ้ง และทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้
 
พ.ต.ท.ไพรัช เบิกความต่อว่าในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ในเวลาประมาณ 10.00 น. พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จารุสินธุพงศ์ รองผู้กำกับการสืบสวนสน.นางเลิ้ง พาตัวเอกชัยและโชคชัยมาส่งให้กับเขา และกล่าวโทษทั้งสองว่าทั้งสองจัดการชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกในเวลา 9.30 น. ของวันเดียวกัน

จากการสอบสวนพบว่าบุคคลทั้งสองมีการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะเชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมโดยมีการระบุว่าบุคคลทั้งสองจะมาชุมนุม อัยการให้พ.ต.ท.ไพรัชดูภาพบันทึกหน้าจอ ที่บันทึกมาจากสถานะของเอกชัย และโชคชัยที่โพสต์ข้อความว่าทั้งสองจะมาชุมนุม พ.ต.ท.ไพรัชเบิกความว่าภาพดังกล่าวเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเป็นผู้นำมามอบให้ตัวเขา
 
พ.ต.ท.ไพรัช เบิกความว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่ในท้องที่รับผิดชอบของสน.นางเลิ้ง ผู้กำกับสน.นางเลิ้งเป็นผู้มีหน้าที่รับแจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ อัยการถามว่าพ.ต.ท.ไพรัชได้สอบปากคำพ.ต.อ.กัมปนาท ผู้กำกับสน.นางเลิ้งในขณะนั้นไว้ด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ได้สอบปากคำไว้แล้วโดยได้ความว่าไม่ได้รับแจ้งการชุมนุมจากจำเลยทั้งสอง
 
อัยการนำแผ่นซีดีบันทึกเหตุการณ์ที่เป็นหลักฐานในคดีมาให้พ.ต.ท.ไพรัชดูแล้วถามว่าเคยเห็นหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า แผ่นซีดีดังกล่าว พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยทั้งสองเป็นผู้นำมามอบให้เขา อัยการถามว่า พ.ต.ท.ไพรัชแจ้งข้อหาใดกับจำเลยทั้งสองบ้าง พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า แจ้งข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมกับจำเลยทั้งสอง ส่วนเอกชัยจำเลยที่หนึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติมด้วย

เอกชัยให้การรับสารภาพในข้อหานี้จึงได้ทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 200 บาท ส่วนข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมทั้งเอกชัย และโชคชัยให้การปฏิเสธ อัยการนำใบเสร็จรับเงินค่าปรับในความผิดฐานใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตของเอกชัยให้พ.ต.ท.ไพรัชยืนยันว่า ใบเสร็จดังกล่าวเป็นใบเสร็จที่เขาออกให้เอกชัยจริง
 
อัยการถามว่าในชั้นสอบสวนเอกชัย และโชคชัยได้ให้การเกี่ยวกับการคุมตัวไม่ชอบไว้ด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่าไม่มีการให้การเรื่องดังกล่าวไว้ โดยจำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อในเอกสารบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา และเอกสารบันทึกคำให้การด้วย

พ.ต.ท.ไพรัชเบิกความด้วยว่า ที่มีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นเพราะจำเลยทั้งสองมีการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ประชาชนมาชุมนุม และมีผู้ใช้เฟซบุ๊กข้อมาแชร์ข้อความเชิญชวนของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองกลับไม่แจ้งการชุมนุม อัยการแถลงหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่าในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ที่มีการประชุมระดับผู้บังคับบัญชาของสน.นางเลิ้งเพื่อรับสถานการณ์ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 พ.ต.ท.ไพรัชได้เข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ได้เข้าร่วมประชุมด้วย

ทนายจำเลยถามต่อว่าการประชุมดังกล่าวพูดคุยกันเรื่องอะไร พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เป็นการมอบนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ชุมนุม และประชาชนทั่วไป ทนายจำเลยถามว่าในการประชุมมีการมอบนโยบายเรื่องการจับกุมด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่มี
 
ทนายจำเลยถามว่า ในคดีนี้นอกจากจำเลยทั้งสองพ.ต.ท.ไพรัชมีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลอื่นด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่มี และเบิกความต่อว่า คดีนี้ตัวเขาเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาเองหลังจากที่พ.ต.ท.สุทธิโรจน์มาร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งสอง

ทนายจำเลยถามว่า ในวันเกิดเหตุผู้กล่าวหา หรือจำเลยทั้งสองเดินทางมาพบกับพ.ต.ท.ไพรัชก่อน พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่าทั้งผู้กล่าวหา และจำเลยมาพบกับเขาในเวลาเดียวกัน และระหว่างที่พ.ต.ท.สุทธิโรจน์กล่าวโทษจำเลยทั้งสองกับตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน จำเลยทั้งสองก็นั่งอยู่ด้วย
 
ทนายจำเลยถามว่า หากในวันเกิดเหตุ การกระทำของจำเลยเป็นการทำกิจกรรม พ.ต.ท.ไพรัชก็จะสั่งไม่ฟ้องใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ใช่

ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.ไพรัชเคยเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับพ.ร.บ.ชุมนุมฯหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เคย ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.ไพรัชสามารถแยกได้หรือไม่ว่า การกระทำใดเป็นการทำกิจกรรม การกระทำใดเป็นการชุมนุม พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เขาสามารถแยกได้ 
 
พ.ต.ท.ไพรัชเบิกความต่อว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความเห็นสั่งฟ้องเอกชัย และโชคชัยคือข้อความบนเฟซบุ๊กที่เอกชัยโพสต์แจ้งเวลา และสถานที่ชุมนุม รวมทั้งระบุว่าเขาจะมาชุมนุมกับโชคชัย

ทนายจำเลยถามว่า ข้อความที่จำเลยที่หนึ่งโพสต์ไม่ได้มีลักษณะเป็นการชวนบุคคลอื่นมาร่วมชุมนุมใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่าใช่ แต่ก็มีข้อความส่วนที่เชิญชวนคนมาแนะนำเพลงซึ่งตัวเขาเข้าใจว่าเป็นการเชิญชวนบุคคลอื่นมาร่วมชุมนุม

ทนายจำเลยถามต่อว่า พ.ต.ท.ไพรัชทราบหรือไม่ว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าวเอกชัยมีเจตนาเชิญชวนให้คนมาแนะนำเพลงด้วยการตอบในคอมเมนท์ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่ทราบเจตนาของเอกชัย
 
ทนายจำเลยให้พ.ต.ท.ไพรัชดูภาพข่าววันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งปรากฎภาพเอกชัยทำกิจกรรมที่หน้ากองทัพบกเพื่อเรียกร้องให้กองทัพวางตัวเป็นกลางทางการเมืองแล้วถามพ.ต.ท.ไพรัชว่า ในครั้งนั้นมีการแจ้งข้อกล่าวหากับจำเลยทั้งสองหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่มี

การแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้เป็นการแจ้งข้อกล่าวหานี้กับจำเลยทั้งสองเป็นครั้งแรกสำหรับเหตุที่เกิดในท้องที่สน.นางเลิ้ง

ทนายจำเลยถามว่า ในวันเกิดเหตุนอกจากกลุ่มของจำเลยทั้งสองที่มาทำกิจกรรมคัดค้าน ผบ.ทบ. แล้ว ก็มีกลุ่มคนมาทำกิจกรรมมอบดอกไม้ให้กำลังใจด้วย พ.ต.ท.ไพรัชได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลดังกล่าวหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลดังกล่าว และไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำบุคคลกลุ่มดังกล่าวมาส่งให้เขาตั้งข้อกล่าวหา

ทนายจำเลยถามว่า ในวันเกิดเหตุพ.ต.ท.ไพรัชอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ทนายจำเลยที่หนึ่งหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามว่า ในเอกสารบันทึกการแจ้งสิทธิผู้ต้องหามีรายชื่อของพ.ต.ท.ไพรัชหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่มีชื่อเขา เป็นพนักงานสอบสวนนายอื่นที่ลงลายมือชื่อ

ทนายจำเลยถามว่า ในบันทึกการแจ้งสิทธิมีการแก้ไขข้อความจากคำว่าถูกจับกุมเป็นถูกแจ้งข้อกล่าวหาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เป็นไปตามเอกสาร ทนายจำเลยถามต่อว่า ในการสอบปากคำพ.ต.ท.สุทธิโรจน์ พ.ต.ท.ไพรัชได้ถาม พ.ต.ท.สุทธิโรจน์ หรือไม่ว่า ได้รับการแต่งตั้งจาก ผบ.ตร. ให้เป็นเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุมหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่ได้ถาม
 
ทนายจำเลยถามว่า ในการโพสต์ข้อความโต้ตอบกับเอกชัยเรื่องการมาชุมนุม โชคชัยมีการเชิญชวนเอกชัยคนเดียวโดยมีการระบุชื่อชัดเจน เหตุใดพ.ต.ท.ไพรัชจึงมีความเห็นสั่งฟ้องโชคชัย
พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เนื่องจากโพสต์ของโชคชัยมีการตั้งค่าเป็นสาธารณะที่คนทั่วไปสามารถอ่านได้

ทนายจำเลยให้พ.ต.ท.ไพรัชดูนิยามของพ.ร.บ.ชุมนุมฯแล้วถามว่า หากเป็นการกระทำที่คนทั่วไปเข้าร่วมไม่ได้ก็ไม่ถือเป็นการชุมนุมสาธารณะใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า นิยามของพ.ร.บ.ชุมนุมฯเป็นไปตามที่ปรากฎในตัวบท
 
ทนายจำเลยถามเกี่ยวกับการใช้เครื่องเสียงว่า ในวันเกิดเหตุมีการใช้เครื่องเสียงสองเครื่อง คือเครื่องของจำเลย และเครื่องของเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ตัวเขาทราบเพียงแต่ว่ามีเครื่องเสียงของจำเลยเพียงเครื่องเดียว

ทนายจำเลยถามว่า ในการทำสำนวนคดีนี้ พ.ต.ท.ไพรัชได้เรียกผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 มาสอบปากคำหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่ได้เรียก ทนายจำเลยถามว่า ได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบทั้งที่เป็นทหาร และตำรวจมาสอบปากคำหรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ไม่ได้เรียก และไม่ได้เรียกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนมาสอบปากคำ

ทนายจำเลยถามว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่นายใดคือผู้ควบคุมเหตุการณ์ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า พ.ต.อ.กัมปนาทคือผู้ดูแลสถานการณ์ ทนายจำเลยที่สองแถลงหมดคำถาม
 
ตอบอัยการถามติง
 
อัยการถามพ.ต.ท.ไพรัชว่า ที่ในการมอบนโยบายไม่มีการมอบนโยบายเรื่องการจับกุมเป็นเพราะเหตุใด พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่าการจับกุม หรือเชิญตัวไม่จำเป็นต้องมีการมอบเป็นนโยบาย

อัยการถามว่า ข้อความที่เอกชัยโพสต์ไม่ได้มีลักษณะเป็นการปิดกั้นไม่ให้บุคคลอื่นมาร่วมการชุมนุมใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่าใช่ อัยการถามต่อว่า ข้อความที่จำเลยบอกให้คนมาแนะนำเพลงก็ไม่ได้มีการระบุว่าให้มาแนะนำไว้บนคอมเมนท์ใต้โพสต์ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ใช่
 
อัยการถามว่า ภาพข่าวเหตุการณ์ที่จำเลยทั้งสองแถลงข่าวหน้ากองทัพบกที่ทนายจำเลยให้ดูต่างจากเหตุการณ์ในคดีนี้อย่างไร พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ตามภาพข่าวมีลักษณะเป็นการให้สัมภาษณ์ หรือยื่นหนังสือร้องเรียน

อัยการถามว่า ที่ทนายจำเลยถามว่า ไม่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่มาให้กำลังใจ ผบ.ทบ. พ.ต.ท.ไพรัชก็ไม่ทราบใช่ หรือไม่ว่า จะมีเจ้าหน้าที่คนอื่นดำเนินการใดๆหรือเปล่า พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ใช่

อัยการถามว่าที่ทนายจำเลยถามถึงการแก้ไขข้อความบนบันทึกการแจ้งสิทธิ แท้ที่จริงเป็นอย่างไร พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เป็นเพียงการแก้ไขให้สอดคล้องกับเอกสารบันทึกเหตุการณ์ประจำวันซึ่งจำเลยทั้งสองก็ได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย
 
อัยการถามว่า ที่ไม่มีการเรียกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาสอบปากคำเป็นเพราะเหตุใด พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า เป็นเพราะไม่ทราบว่าบุคคลที่แต่งกายด้วยชุดแบบพลเรือนเป็นใคร ใครเป็นเจ้าหน้าที่ ใครไม่ใช่

อัยการถามว่า การชุมนุมสาธารณะ หากมีการประกาศต่อสาธารณะแม้ในการชุมนุมจริงจะมีเพียงสื่อมาทำข่าวก็ถือว่าเป็นการชุมนุมสาธารณะแล้วใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ไพรัชตอบว่า ใช่ อัยการแถลงหมดคำถาม และแถลงหมดพยาน
 
หลังสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นศาลสั่งให้ทนายจำเลยนำพยานฝ่ายจำเลยเข้าสืบต่อทันที    
 
สืบพยานจำเลยปากที่หนึ่ง เอกชัย จำเลยที่หนึ่งเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
 
เอกชัยเบิกความตอบทนายจำเลยว่า เนื่องจากเป็นนักเขียนอิสระจึงต้องติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เมื่ออ่านข่าวเจอกรณีที่ไม่ถูกต้องก็จะออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะทำในลักษณะไปยื่นหนังสือร้องเรียน โดยทุกครั้งที่ไปยื่นหนังสือเขาจะมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วย
 
เกี่ยวกับบทบาทในฐานะนักกิจกรรมทางการเมือง เอกชัยเบิกความว่า เริ่มเคลื่อนไหวในปี 2560 นักข่าว และเจ้าหน้าที่ตำรวจมักถามว่าจะไปทำกิจกรรมที่ไหนอย่างไร จึงทำการตกลงกับผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ว่า หากจะไปทำกิจกรรมก็จะประกาศให้ทุกคนรับทราบทางเฟซบุ๊ก

เอกชัยเบิกความเกี่ยวกับการใช้งานเฟซบุ๊กว่า ทุกอย่างที่เขาโพสต์บนเฟซบุ๊กจะเป็นการโพสต์ต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตามในการรับบุคคลใดเป็นเพื่อนบนเฟซบุ๊กจะรับเฉพาะคนรู้จักเท่านั้น เพราะกลัวมีคนมาโพสต์ข้อความ หรือภาพที่ผิดกฎหมาย เอกชัยเบิกความด้วยว่า ตัวเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตามบนเฟซบุ๊ก โดยเจ้าหน้าที่ที่มาติดตามมักจะเป็นบัญชีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อหรือภาพประกอบปลอม
 
เอกชัยเบิกความต่อว่า ในการทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงปี 2561 โชคชัยซึ่งเป็นจำเลยที่สองในคดีนี้มักจะมาร่วมทำกิจกรรมกับเขา เมื่อเอกชัยเบิกความถึงช่วงนี้ศาลทักท้วงขึ้นมาว่า โชคชัยออกไปเข้าห้องน้ำครู่ใหญ่แล้ว และเอกชัยมีการเบิกความพาดพิงถึงโชคชัย จึงให้ไปตามโชคชัยเพื่อมาฟังคำเบิกความหากมีเรื่องที่คลาดเคลื่อนจะได้ให้ทนายแก้ต่างให้ตัวเองได้ ทีมทนายจึงให้คนไปตามโชคชัยกลับมาที่ห้องพิจารณาคดี

เอกชัยเบิกความต่อว่า ในช่วงต้นปี 2561 เขาทำกิจกรรมเกี่ยวกับนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนที่จะทำกิจกรรมเขามักจะโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแจ้งเจ้าหน้าที่ และผู้สื่อข่าวทุกครั้ง
 
เอกชัยเบิกความต่อว่า การทำกิจกรรมเกี่ยวกับนาฬิกาเขามักจะไปที่ทำเนียบรัฐบาล หรือที่กระทรวงกลาโหมขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประวิตร ไปที่ใด นอกจากนั้นก็ไปทำกิจกรรมที่ปปช.ด้วย

ทนายจำเลยถามว่า ในการไปทำกิจกรรมเรื่องนาฬิกาเอกชัยมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยหรือไม่ เอกชัยตอบว่า เขาจะแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยทุกครั้ง เช่น เคยทำป้ายไวนิลเป็นรูปนาฬิกาหรูไปยืนถือ
 
เอกชัยเบิกความว่า บางครั้งจะไปทำกิจกรรมคนเดียว บางครั้งจะไปกับโชคชัยสองคน หากไม่นับการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ตัวเขา และโชคชัยยังไม่เคยถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมมาก่อน

ทนายจำเลยถามว่า เวลาเอกชัย และโชคชัยไปทำกิจกรรมกันสองคนเคยแจ้งการชุมนุมหรือไม่ เอกชัยตอบทนายว่า เขาไม่เคยแจ้งการชุมนุมเพราะเป็นการไปทำกิจกรรมกันสองคนจึงไม่ใช่การชุมนุม เอกชัยเบิกความด้วยว่า เมื่อครั้งที่มีคำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนบังคับใช้ เขาจะไปทำกิจกรรมกับโชคชัยสองคนเพื่อไม่ให้เกินจำนวนที่ห้ามชุมนุม
 
ทนายจำเลยนำเอกสารบันทึกภาพหน้าจอของเอกชัยมาให้ดูแล้วถามว่า เป็นการโพสต์ข้อความเพื่ออะไร เอกชัยตอบว่า เป็นการโพสต์ข้อความลักษณะเดียวกับที่เขาโพสต์เวลาที่จะไปทำกิจกรรมครั้งก่อนๆ โดยในโพสต์จะเกริ่นถึงสถานการณ์ หรือมูลเหตุที่ทำให้ต้องออกไปทำกิจกรรม นอกจากนั้นก็จะโพสต์ระบุอย่างชัดว่าจะไปทำกิจกรรมกับใคร ที่ใด และเวลาไหน
 
ทนายจำเลยถามเอกชัยถึงมูลเหตุที่ออกไปทำกิจกรรมอันเป็นเหตุแห่งคดีนี้ เอกชัยตอบว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้เป็นช่วงเวลาที่พรรคการเมืองกำลังหาเสียงเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองบางพรรคนำเสนอนโยบายเรื่องการปรับลดงบกระทรวงกลาโหม และการให้เลิกบังคับเกณฑ์ทหาร

ซึ่งหลังจากนั้น พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกก็ให้สัมภาษณ์ว่าให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน และยังสั่งการให้นำเพลงหนักแผ่นดินไปเปิดในคลื่นวิทยุของกองทัพบก

เอกชัยเบิกความต่อว่า เมื่อทราบข่าวนี้ก็ได้ไปหาข้อมูลเพลงหนักแผ่นดิน ก็พบว่าเป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีการปราบปรามนักศึกษา
 
เอกชัยเบิกความต่อว่า ตัวเขาเห็นว่าเพลงหนักแผ่นดินไม่เข้ากับยุคสมัย และขณะนั้นเพลงประเทศกูมีกำลังดัง ตัวเขาไม่ทราบว่า ผบ.ทบ. เคยฟังเพลงประเทศกูมีหรือไม่ เลยตั้งใจจะนำเพลงประเทศกูมีไปเปิดให้ฟัง

ซึ่งเมื่อคิดดังนั้นเขาก็โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเพื่อแจ้งข่าวว่าจะไปเปิดเพลงประเทศกูมี  สำหรับเหตุที่เลือกเปิดเพลงประเทศกูมีเป็นเพราะมีเนื้อหาสะท้อนสังคม  เอกชัยเบิกความว่า แนวคิดของ ผบ.ทบ. เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในเวลาต่อมา ผบ.ทบ. จึงสั่งให้ยกเลิกการเปิดเพลงหนักแผ่นดิน
 
เอกชัยเบิกความเกี่ยวกับสถานที่ทำกิจกรรมของเขาซึ่งเป็นเหตุในคดีนี้ว่า เคยทำกิจกรรมที่ป้ายกองทัพบกมาก่อนแล้ว ในวันเกิดเหตุก็ตั้งใจจะไปจัดกิจกรรมในที่เดียวกัน เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอยู่เต็มบริเวณป้ายกองทัพบก จึงได้ย้ายมาทำกิจกรรมที่จุดเกิดเหตุ

เอกชัยเบิกความด้วยว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งบอกกับเขาว่าไม่ให้ทำกิจกรรมตรงป้ายแต่ให้มาทำตรงจุดเกิดเหตุแทน เอกชัยเบิกความต่อว่าเมื่อเขามาถึงที่เกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเดินมาหาเขาที่รถยนต์ เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นเป็นคนพาเอกชัยเดินข้ามถนนไปที่เกาะกลางถนนซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ

ทนายจำเลยถามว่า เอกชัยทราบได้อย่างไรว่าบุคคลที่เดินมาหาเขาที่รถเป็นเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นไม่ได้สวมเครื่องแบบ เอกชัยตอบว่า เขาเคยรู้จักคนเหล่านั้นโดยเคยพบกันเมื่อเขาทำกิจกรรมครั้งก่อนๆ
 
ทนายจำเลยให้เอกชัยดูภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุแล้วถามว่า ในภาพคนที่ทำกิจกรรมมีใครบ้าง เอกชัยตอบว่ามีเพียงเขากับโชคชัยเท่านั้น เอกชัยเบิกความต่อว่าพอเขาจะเดินไปที่กองบัญชาการกองทัพบกก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบประมาณ 30 นาย กั้นไม่ให้เขาเดินข้ามไปยังกองบัญชาการกองทัพบก

ทนายจำเลยถามเอกชัยว่า ในวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติการอย่างไร เอกชัยตอบว่าเจ้าหน้าที่มีการยืนคล้องแขนล้อมเขากับโชคชัยในลักษณะเป็นเกือกม้า ทำให้บุคคลอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่ได้ สำหรับบริเวณที่เขาหันหน้าออกไปซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่ยืนคล้องแขนก็มีผู้สื่อข่าวหลายคนยืนล้อมอยู่ เขากับโชคชัยจึงถูกล้อมอยู่ในวงที่ครึ่งหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ อีกครึ่งหนึ่งเป็นนักข่าว
 
ทนายจำเลยของให้เอกชัยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมที่เอกชัยตั้งใจมาทำ เอกชัยตอบว่า เขาตั้งใจจะจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 โดยเตรียมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาเพื่อจำลองเหตุการณ์คนเอาเก้าอี้ตีศพ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภาพพื้นหลังมิวสิควิดีโอเพลงประเทศกูมีด้วย อย่างไรก็ตามระหว่างที่เขากำลังเปิดเพลงประเทศกูมีก็มีเจ้าหน้าที่มาแย่งตุ๊กตาหมีไปโดยที่ยังไม่ทันได้เอาตุ๊กตาหมีไปแขวนกับต้นไม้

เอกชัยเบิกความด้วยว่า เมื่อเจ้าหน้าที่มาแย่งตุ๊กตาเขาก็โวยวายออกมาด้วยความโกรธ แต่ก็ทำกิจกรรมต่อโดยทำท่าใช้เก้าอี้ตีโชคชัยแทนตุ๊กตาหมีที่ถูกแย่งไป
 
เอกชัยเบิกความว่า ระหว่างที่เขาเปิดเพลงประเทศกูมียังไม่ทันจบก็มีเสียงเพลงความฝันอันสูงสุดจากลำโพงของเจ้าหน้าที่ดังขึ้นกลบเสียงเพลงของเขา จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกเขาว่าให้ไปที่สน.เพื่อเอาตุ๊กตาหมีคืน

ทนายจำเลยถามว่า เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกให้เอกชัยไปเอาตุ๊กตาคืนตอนไหน เอกชัยตอบว่า ตอนที่เขากำลังทำท่าเอาเก้าอี้ตีโชคชัย ซึ่งเขาก็บอกเจ้าหน้าที่ไปว่าทำไมต้องไปเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

ทนายจำเลยขอให้เอกชัยเบิกความถึงเหตุการณ์ขณะที่ตำรวจเชิญตัวเขาขึ้นรถไปที่สน.นางเลิ้ง เอกชัยเบิกความว่า เขาจำเหตุการณ์โดยละเอียดไม่ได้ จำได้ว่าตำรวจตั้งแถวคล้ายกั้นเส้นทางเดินให้เขาไปที่รถของตำรวจ เมื่อขึ้นรถมีตำรวจมานั่งด้านหลังกับเขา และโชคชัย เอกชัยเบิกความด้วยว่า เห็นตุ๊กตาหมีของเขาอยู่ท้ายรถตำรวจ
 
เอกชัยเบิกความว่า เขาคิดว่าการทำกิจกรรมของเขาเป็นสิ่งที่ทำได้และน่าจะไม่ต้องแจ้งการชุมนุมเพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันนี้โดยไม่แจ้งการชุมนุมแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆ
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งแถลงหมดคำถาม ทนายจำเลยที่สองแถลงว่าไม่มีคำถาม
 
ตอบอัยการถามค้าน

เอกชัยตอบคำถามค้านอัยการว่า เฟซบุ๊กของเขาใช้งานในลักษณะเฟซบุ๊กสาธารณะ มีผู้ติดตามเฟซบุ๊กของเขาประมาณ 10000 คน ขณะที่สื่อมวลชนบางคนก็ติดตามความเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมของเขาผ่านทางเฟซบุ๊ก

อัยการถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สื่อมวลชนจะทราบเรื่องการทำกิจกรรมของเอกชัยจากเฟซบุ๊ก และติดตามมา เอกชัยตอบว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น อัยการถามต่อว่า หากเอกชัยต้องการทำกิจกรรมเป็นการส่วนตัวก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องโพสต์บนเฟซบุ๊กใช่หรือไม่ เอกชัยตอบว่า การโพสต์เฟซบุ๊กเป็นสิ่งที่เขาตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนว่าจะใช้เป็นช่องทางสื่อสาร

นอกจากนั้นตัวเขาเคยถูกทำร้ายจากการทำกิจกรรม การโพสต์เฟซบุ๊กจึงเป็นการสื่อสารถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาคอยดูแลความปลอดภัยให้เขาด้วย แต่ในการทำกิจกรรมก็มีแค่เขากับโชคชัยเท่านั้น
 
อัยการถามว่า ในการโพสต์เฟซบุ๊กของเอกชัยไม่ได้มีการเขียนห้ามไม่ให้ผู้อื่นมาร่วมกิจกรรมด้วยใช่หรือไม่ เอกชัยตอบว่า ในข้อความที่เขาโพสต์มีการระบุชื่อโชคชัยชัดเจน แต่ที่เขาโพสต์เฟซบุ๊กโดยตั้งค่าเป็นสาธารณะเป็นเพราะเขาตกลงกับสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามเขาไว้

อัยการถามเอกชัยถึงข้อความที่บอกให้คนอื่นมาแนะนำเพลงว่าข้อความดังกล่าวเอกชัยไม่ได้เขียนว่าให้คนมาคอมเมนท์ชื่อเพลงไว้ท้ายโพสต์ใช่หรือไม่ เอกชัยตอบว่า ถึงแม้จะไม่ได้เขียนแต่อ่านข้อความนั้นแล้วก็ไม่น่าจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ จึงไม่ได้เขียนไว้ให้ซับซ้อน

อัยการถามว่า หากมีคนเห็นด้วยกับกิจกรรมของเอกชัย และอยากแนะนำเพลงก็สามารถมาบอกเอกชัยในที่ชุมนุมได้ใช่หรือไม่ เอกชัยตอบว่า ไม่ได้เพราะหากมาบอกหน้างานเขาก็ไม่สามารถจะเตรียมเพลงมาได้ทัน อัยการถามว่า ที่ผ่านมาเวลาเอกชัยไปยื่นหนังสือจะไม่ได้แจ้งการชุมนุม แต่กิจกรรมที่เป็นเหตุในคดีนี้ไม่ใช่การยื่นหนังสือใช่หรือไม่ เอกชัยตอบว่า การเปิดเพลงก็เป็นการยื่นหนังสือรูปแบบหนึ่ง

อัยการถามว่า บริเวณป้ายหน้ากองทัพบกเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนเดินไปเดินมาได้ใช่หรือไม่ เอกชัยรับว่าใช่ เอกชัยตอบอัยการด้วยว่า ในวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมตัวเขากับโชคชัยไว้ จึงต้องทำกิจกรรมกันเพียงสองคน
 
อัยการแถลงหมดคำถาม
 
ตอบทนายจำเลยถามติง
 
เอกชัยเบิกความตอบคำถามติงของทนายจำเลยเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องการทำกิจกรรมว่า เป็นข้อตกลงที่เขาทำไว้กับสื่อมวลชน และตำรวจว่าจะใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางแจ้งข่าวการทำกิจกรรม สำหรับกิจกรรมนี้แท้จริงเขาต้องการไปทำกิจกรรมที่บริเวณป้ายกองทัพบกแต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้นจึงต้องทำกิจกรรมบริเวณเกาะกลางถนนที่เกิดเหตุแทน

เอกชัยเบิกความตอบทนายด้วยว่าเขาเคยมาทำกิจกรรมที่กองทัพบกครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่จัดให้เขายืนตรงข้างๆ ป้ายกองทัพบกซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่กีดขวางทั้งคนที่ต้องการเข้าออกกองทัพบก และคนที่สัญจรไปมา
 
ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
 
ทนายจำเลยแถลงร่วมกันว่าหมดพยาน ศาลแขวงดุสิตนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 กันยายน 2562 เวลา 9.30 น.
 
25 กันยายน 2562 
 
นัดฟังคำพิพากษา
 
เอกชัยและโชคชัยพร้อมด้วยทนายของทั้งสองทยอยมาถึงห้องพิจารณาคดี 401 ศาลแขวงดุสิตในเวลาประมาณ 8.50 น. เอกชัยมาที่ศาลโดยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบติดตามมาดูแลความปลอดภัยด้วย

ก่อนหน้านี้เอกชัยเคยถูกทำร้ายร่างกายระหว่างเดินทางไปทำกิจกรรมและไปที่ศาล เขาจึงขอให้เจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยระหว่างมาศาลในวันนี้
 
ในห้องพิจารณาคดีนอกจำเลยทั้งสองในวันนี้ยังมีอเลกซานเดอร์ โนวาค ตัวแทนจากสถานทูตเยอรมนีมาร่วมสังเกตการณ์อ่านคำพิพากษาด้วย
 
ศาลขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 10.00 น. เมื่อขึ้นบัลลังก์ศาลเรียกชื่อให้จำเลยทั้งสองยืนขึ้นจากนั้นจึงอ่านคำพิพากษาซึ่งพอสรุปได้ว่า 
 
เอกชัยและโชคชัยนัดหมายกันไปเปิดเพลงประเทศกูมีให้ผู้บัญชาการทหารบกฟังที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ก่อนวันเกิดเหตุทั้งสองมีการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ แจ้งวัน เวลา และสถานที่ที่จะไปเปิดเพลง

เอกชัยยังมีการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้คนมาแนะนำเพลงที่อยากให้เขานำไปเปิดให้ผบ.ทบ.ฟังบนเฟซบุ๊กของเขาด้วย 
 
พื้นที่ที่เอกชัยและโชคชัยไปกระทำการเปิดเพลงคือบริเวณเกาะกลางถนนตรงข้ามกองบัญชาการกองทัพบกซึ่งเป็นทางสาธารณะที่คนทั่วไปสัญจรผ่านไปมาได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเข้าข่ายเป็นการชุมนุมสาธารณะและจำเลยทั้งสองจึงเข้าข่ายเป็นผู้จัดการชุมนุมที่มีหน้าที่แจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า

เมื่อไม่ปรากฎว่าทั้งสองแจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า จำเลยทั้งสองจึงมีความผิด ให้ลงโทษปรับคนละ 2000 บาท
 
29 กรกฎาคม 2563
 
นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
 
ศาลอุทธรณ์นัดจำเลยทั้งสองคนฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 401 ศาลแขวงดุสิต ในเวลา 9.00 น. แต่โชคชัย จำเลยที่สองมาถึงศาลในเวลาประมาณ 10.30 น. จากนั้นในเวลา 10.39 น. ศาลขึ้นบัลลังก์และสอบถามโชคชัยถึงเหตุผลที่มาสาย โชคชัยตอบศาลว่ารถติดมากซึ่งศาลก็เตือนโชคชัยว่าการมาศาลควรมาให้ตรงเวลา

จากนั้นศาลอ่านคำพิพากษาโดยย่อ พิพากษายืนลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2000 บาทโดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า การกระทำของจำเลยที่สองเข้าข่ายเป็นการชุมนุมสาธารณะ และจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการชุมนุมจริง เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองไม่แจ้งการชุมนุมการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงถือเป็นความผิด 
 
หลังฟังคำพิพากษา เอกชัยให้สัมภาษณ์ว่า คาดเดาอยู่แล้วว่าคำพิพากษาจะออกมาลักษณะนี้ แต่ตัวเขาไม่เห็นด้วย เพราะสิ่งที่เขาทำในวันเกิดเหตุไม่ใช่การชุมนุม เป็นเพียงการจัดกิจกรรม เขาไม่ได้เชิญชวนใครมาร่วมกิจกรรมด้วย เขาแค่ประกาศว่าเขาจะมาทำกิจกรรมกับโชคชัย แล้วในความเป็นจริงในวันเกิดเหตุก็ไม่ได้มีบุคคลอื่นมาร่วมกิจกรรม มีเพียงตำรวจที่มาล้อมหน้าล้อมหลัง ส่วนจะต่อสู้คดีในชั้นฎีกาหรือไม่ เขาจะพิจารณาและปรึกษาทนายความอีกทีหนึ่ง

 

คำพิพากษา

สรุปคำพิพากษาศาลชั้นต้น

พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
 
พยานโจทก์เบิกความในทำนองเดียวกันว่า จากการสืบสวนพบว่ามีการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนไปเปิดเพลงประเทศกูมีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก

เมื่อตรวจสอบพบว่าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 9.02 น.โชคชัยจำเลยที่สองทำการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าวต่อมา เวลา 16.00 น. เอกชัยจำเลยที่หนึ่งโพสต์ข้อความชักชวนโชคชัยจำเลยที่สองในการทำกิจกรรมดังกล่าว โดยระบุสาเหตุว่า

มาจากการกองทัพบกได้สั่งการให้สถานีวิทยุทั่วประเทศกว่า 100 สถานีเปิดเพลงหนักแผ่นดิน โดยจำเลยทั้งสองจะทำกิจกรรมที่หน้ากองทัพบกในวันที่20 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 9.30 น.
 
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 โชคชัยจำเลยที่สองโพสต์อีกครั้งว่า วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 9.30 น. ที่หน้ากองทัพบกเอกชัยจำเลยที่หนึ่งแชร์โพสต์ดังกล่าว และเขียนข้อความเพิ่มเติมโดยยืนยันจะจัดกิจกรรมเปิดเพลงประเทศกูมี
 
ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 8.00 น. ร.ต.อ.บุญยงค์ น้อยอ่อนหล้า เจ้าหน้าที่สายตรวจในวันเกิดเหตุ พร้อมด้วยสายตรวจรวมสามคน ได้ตรวจตราที่หน้ากองทัพบกต่อมามี พ.ต.อ.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผู้กำกับการ สน.นางเลิ้ง และพ.ต.ท.สุทธิโรจน์ จารุสินธุพงศ์ รองผู้กำกับการ สืบสวนสน.นางเลิ้ง เดินทางมาสมทบ เวลา 9.30 น.

จำเลยทั้งสองเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมเครื่องขยายเสียง, เก้าอี้พลาสติก และตุ๊กตาหมีมาด้วย พ.ต.อ.สุทธิโรจน์ แจ้งโชคชัยจำเลยที่สอง โดยมีเอกชัยจำเลยที่หนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ ว่า การกระทำของทั้งสองเป็นการชุมนุมสาธารณะต้องแจ้งการชุมนุมล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการชุมนุม

โชคชัยกล่าวว่าเขาและเอกชัยยังไม่ได้แจ้งการชุมนุม พ.ต.อ.สุทธิโรจน์ จึงกล่าวต่อโชคชัยจำเลยที่สองอีกครั้งว่า ถ้าไม่แจ้ง การชุมนุมจะไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่จำเลยทั้งสองเดินไปที่ใต้ต้นมะขามพูดคุยกับประชาชนบริเวณดังกล่าวมีการกล่าวถึงการรัฐประหาร 2519 และเปิดเพลงประเทศกูมีไปด้วย

ต่อมา พ.ต.อ.สุทธิโรจน์ กล่าวอีกครั้งว่าไม่ได้รับแจ้งการชุมนุมกิจกรรมดังกล่าวจึงผิดตามกฎหมายแต่จำเลยทั้งสองยืนยันว่าจะทำกิจกรรมต่อไปจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสองส่ง สน.นางเลิ้ง
 
เห็นว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาตราสี่ ระบุว่า“การชุมนุมสาธารณะ” หมายความว่าการชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้องสนับสนุนคัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวน หรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่
 
และในทางนำสืบของจำเลยก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้โพสต์ข้อความเรื่องกิจกรรมในวันดังกล่าวบนเฟซบุ๊ก จึงเจือสมไปกับที่โจทก์กล่าวว่าเหตุที่โพสต์เพราะเห็นว่าเพลงดังกล่าวไม่เข้ากับยุคสมัยจึงนำเพลงประเทศกูมีที่เข้ากับยุคสมัยมากกว่าไปเปิดให้ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชากองทัพบก ฟังที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกตามที่แจ้ง และมีการจัดกิจกรรมปราศรัย

ขณะที่โชคชัยจำเลยที่สอง ก็ระบุว่าการจัดกิจกรรมนั้นเป็นไปเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่บริเวณหน้าป้ายกองทัพบกประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองต้องการจัดกิจกรรมต่อสาธารณะถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชักชวนประชาชนเข้าร่วมโดยตรงก็ตาม
 
เอกชัยจำเลยที่หนึ่ง เบิกความว่าเคยจัดกิจกรรมทางการเมืองมาหลายครั้งแล้วประมาณ 60-70 ครั้ง เฟซบุ๊กของเอกชัยก็มีผู้ติดตามประมาณ 10,000 คนมีการตั้งค่าเป็นสาธารณะประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองเป็นที่รู้จัก และได้ทำการโพสต์เชิญชวนอย่างเปิดเผย

เอกชัยจำเลยที่หนึ่ง โพสต์เฟซบุ๊กทำนองว่าเอกชัย และโชคชัย จะไปที่หน้ากองทัพบกเพื่อเปิดเพลงประเทศกูมีให้ทหารฟังใครมีเพลงอื่นแนะนำเชิญได้เป็นการประกาศว่าจำเลยทั้งสองจะทำการจัดกิจกรรมต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีการโพสต์อีกว่าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 09.30 น. จะจัดกิจกรรมเปิดเพลงประเทศกูมี

เฟซบุ๊กที่โพสต์ข้อความดังกล่าวตั้งค่าเป็นสาธารณะประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมได้จึงเป็นการแจ้งยืนยันให้ทราบวันเวลาและสถานที่ในที่สาธารณะอย่างชัดเจนไม่ได้มีการห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมจึงถือเป็นการเชิญชวนนัดหมายให้มาร่วมกิจกรรม
 
ที่จำเลยต่อสู้ว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ใช่การชุมนุมโดยเอกชัยจำเลยที่หนึ่ง ระบุว่าที่ผ่านมาจัดกิจกรรมหลายครั้งบางครั้งก็จัดกิจกรรมคนเดียวบางครั้งก็จัดกิจกรรมร่วมกับโชคชัยจำเลยที่สอง แต่ไม่เคยถูกดำเนินคดีการชุมนุมสาธารณะมาก่อน
 
ในวันเกิดเหตุตำรวจมีการล้อมจำเลยทั้งสองไว้มีเพียงกลุ่มนักข่าวที่สามารถเข้าไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้เป็นการเบิกความในลักษณะทำนองว่ากิจกรรมในวันดังกล่าวมีการปิดกั้นประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมได้จึงไม่ใช่การชุมนุมสาธารณะ
 
พิจารณาแล้วบริเวณดังกล่าวประชาชนสามารถสัญจรไปมามีลักษณะสาธารณะตำรวจไม่ได้มีการกีดกัน หรือห้ามประชาชนทั้งเอกชัยจำเลยที่หนึ่งรับว่ามีกลุ่มนักข่าวสามารถเข้าไปในพื้นที่ทำกิจกรรมได้ และเมื่อพิจารณาร่วมกับเรื่องเครื่องขยายเสียงจึงฟังได้ว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงออกต่อประชาชนทั่วไปสามารถรับฟังหรือเข้าร่วมได้จึงเข้าลักษณะของการชุมนุมสาธารณะตามกฎหมายแล้ว
 
จำเลยทั้งสองมีการโพสต์เฟซบุ๊กกำหนดวันเวลา และสถานที่จำเลยทั้งสองถือเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มีหน้าที่ต้องแจ้งการชุมนุมตามมาตรา 10 วรรคหนึ่งและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดวิธีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2558
 
พิเคราะห์ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะก่อนการจัดชุมนุมสาธารณะตำรวจได้แจ้งข้อหาว่าไม่แจ้งการชุมนุมก่อนการชุมนุมเป็นเวลา 24 ชั่วโมงพยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักในขณะที่พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ปรับเงินคนละ 2,000 บาท
 
สรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงการจัดกิจกรรม ไม่ใช่การชุมนุมสาธารณะ เห็นว่า มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ บัญญัติว่า “การชุมนุมสาธารณะ” หมายความว่า การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน
คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่ 

ดังนั้น การชุมนุมสาธารณะจึงเป็นการรวมตัวของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อสนับสนุน เรียกร้อง หรือคัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมการชุมนุมกับจำเลยทั้งสองได้ 
 
แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าการกระทำของพวกตนเป็นเพียงการทำกิจกรรม แต่เมื่อกิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในที่สาธารณะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสองต่อสาธารณะว่าจำเลยทั้งสองไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้บัญชาการทหารบก บริเวณที่จำเลยทั้งสองไปทำกิจกรรมก็เป็นที่สาธารณะ เป็นสถานที่เปิดไม่มีการปิดกั้น บุคคลอื่นสามารถเข้าร่วมกับจำเลยทั้งสองได้ จึงถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการชุมนุมสาธารณะแล้ว 
 
ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ประสงค์จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะมารวมตัวในวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองมีการประกาศวัน เวลาและสถานที่จัดกิจกรรมบนเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสอง โดยตั้งค่าการประกาศ (โพสต์ข้อความ) เป็นสาธารณะซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กของจำเลยที่หนึ่งซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก ประชาชนทั่วไปที่ไปดูจึงย่อมทราบวัน เวลาและสถานที่นัดหมายของจำเลยทั้งสองและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ 
 
และจำเลยทั้งสองยังเป็นผู้จัดเตรียมสิ่งของต่างๆ เช่น ตุ๊กตาหมี และเครื่องขยายเสียง รวมทั้งเก้าอี้ที่ใช้ในการชุมนุมสาธารณะ และจำเลยทั้งสองยังแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะในสถานที่เกิดเหตุด้วย จึงถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ กรณีนี้จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองโพสต์มีลักษณะเป็นการเชิญชวนให้คนทั่วไปเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่ เมื่อได้ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด
 
ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าการทำกิจกรรมของพวกตนถูกแทรกแซงขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่ เห็นว่าหากจำเลยเห็นเจ้าหน้าที่กระทำการไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็สามารถดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ได้ แต่ไม่อาจอ้างการกระทำของตำรวจมาเป็นข้อยกเว้นการกระทำความผิดของตน 
 
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าในวันเกิดเหตุบุคคลทั่วไปไม่สามารถร่วมการชุมนุมได้เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคล้องแขนกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามา เห็นว่า ภาพเคลื่อนไหวในแผ่นซีดีที่บันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ไม่ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคล้องแขนล้อมจำเลยที่สองในทันที และตำรวจก็ไม่ได้ประกาศห้ามบุคคลอื่นร่วมชุมนุมกับจำเลยทั้งสอง เจ้าหน้าที่เพียงแต่คล้องแขนกันแถวเดียวไม่ได้เป็นลักษณะกีดกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าร่วม

เจ้าหน้าที่เพิ่งมาคล้องแขนล้อมจำเลยทั้งสองเมื่อมีเจ้าพนักงานแจ้งกับจำเลยทั้งสองว่าการชุมนุมของจำเลยทั้งสองเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบ เพื่อควบคุมตัวจำเลยทั้งสอง และเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตอนท้ายของการชุมนุมเท่านั้น 
 
ที่จำเลยอ้างว่าเคยไปทำกิจกรรมลักษณะเดียวกันมาหลายครั้งแต่ไม่ถูกดำเนินคดี เห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้จำเลยทั้งสองพ้นจากความผิดมาได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,000 บาทนั้นชอบแล้ว พิพากษายืน

 

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา