สหพันธรัฐไทคดีที่ 3: ชุมนุมใส่เสื้อดำที่เดอะมอลล์ บางกะปิ

อัปเดตล่าสุด: 17/03/2563

ผู้ต้องหา

เทอดศักดิ์

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2561

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

พนักงานอัยการศาลอาญา

สารบัญ

หนึ่งในชุดคดีของกลุ่มสพันธรัฐไท ‘สมศักดิ์’ และประพันธ์ ถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 และ 209 ของประมวลกฎหมายอาญาจากการสวมเสื้อสีดำที่หน้าอกมีสัญลักษณ์แถบสีขาวแดงขาวที่อาจเชื่อมโยงกับกลุ่มสหพันธรัฐไทที่บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไม่มีข้อมูล

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม 2561 จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ดังนี้

 

หนึ่ง จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องเป็นสมาชิกของ “องค์การสหพันธรัฐไท” กลุ่มดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

สอง จำเลยกับพวกได้ปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปให้ต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. จำเลยทั้งสองกับพวกได้นัดหมายสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวแดงติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายและมีอักษรสีขาวข้อความภาษาอังกฤษว่า “FEDERATION” อยู่กลางหน้าอกด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไทเดินในบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ซึ่งในวันดังกล่าวประชาชนสวมใส่เสื้อสีเหลือง การกระทำดังกล่าวแสดงออกถึงการต่อต้านพระมหากษัตริย์  อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ชักจูงให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

 

ขอให้ศาลพิจารณาลงโทษในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และการเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 ของประมวลกฎหมายอาญา

พฤติการณ์การจับกุม

ตำรวจได้ควบคุมตัว ‘สมศักดิ์’ ในวันที่ 2 เมษายน 2562 และประพันธ์ ในวันที่ 10 เมษายน 2562

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.1298/2562

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
5 ธันวาคม 2561
 
ตามรายงานการสืบสวนระบุว่า ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เวลา 11.00 น. ปรากฏกลุ่มคนสวมใส่เสื้อดำติดสัญลักษณ์ที่หน้าอกเสื้อรวมตัวกันที่ร้านแมคโดนัลด์ชั้นหนึ่ง ต่อมาเวลา 13.00 น. เริ่มมีการรวมตัวกันประมาณ 20 คน เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบสามารถควบคุมตัว ‘สมศักดิ์’ และประพันธ์ได้และนำตัวไปสอบสวนที่สน.ลาดพร้าว
 
 
21 พฤษภาคม 2562
 
พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม 2561 จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ดังนี้
 
หนึ่ง จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องเป็นสมาชิกของ “องค์การสหพันธรัฐไท” กลุ่มดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
 
สอง จำเลยกับพวกได้ปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปให้ต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. จำเลยทั้งสองกับพวกได้นัดหมายสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวแดงติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายและมีอักษรสีขาวข้อความภาษาอังกฤษว่า “FEDERATION” อยู่กลางหน้าอกด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไทเดินในบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ในวันดังกล่าวประชาชนสวมใส่เสื้อสีเหลือง การกระทำดังกล่าวแสดงออกถึงการต่อต้านพระมหากษัตริย์  อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ชักจูงให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
 
ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
 
22 พฤษภาคม 2562
นัดสอบคำให้การ
 
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
 
8 กรกฎาคม 2562
นัดตรวจพยานหลักฐาน
 
 
 
16 มกราคม 2563
นัดสืบพยานโจทก์
 
ที่ห้องพิจารณาคดี 913 เวลา 9.00 น. ทนายจำเลยและอัยการจำนวนห้าคน ในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้มารอที่ห้องพิจารณาคดี ต่อมาเวลา 9.20 น. พ.ต.ท. แทน ไชยแสง เจ้าหน้าสืบสวนกองกำกับการสอง กองบังคับการปราบปราม พยานโจทก์ได้มาถึงพร้อมกับทีมอัยการ ผู้เป็นโจทก์ในคดีนี้และประพันธ์ จำเลยที่สองถูกเบิกตัวขึ้นมาในห้องพิจารณาคดี เวลา 9.50 น. เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งเดินทางมาถึง จากนั้นเวลา 9.54 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์และเริ่มการสืบพยาน
 
 
พยานโจทก์ปากที่หนึ่ง พ.ต.ท.แทน ไชยแสง เจ้าหน้าสืบสวนกองกำกับการสอง กองบังคับการปราบปราม
 
พ.ต.ท.แทนเบิกความว่า เขาได้รับมอบหมายให้ทำการสืบสวนและบริหารข่าวกรอง รวมทั้งแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และกระทำการกระทบต่อความมั่นคง เกี่ยวกับคดีนี้ มีการสืบสวนทราบว่า มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ กลุ่มดังกล่าวมีหมายจับในคดีมาตรา 112 และหลบหนีไปอยู่ที่ต่างประเทศ 
 
 
ระหว่างการหลบหนีมีการปลุกระดมประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊กและยูทูป วิธีการคือ การจัดรายการถ่ายทอดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าไปรับฟัง โดยผู้ดำเนินรายการใช้นามแฝงว่า ลุงสนามหลวง แต่ในครั้งแรกที่จัดรายการใช้นามแฝงว่า ลุงสมชาย ป้าสมจิตร ช่วงแรกที่เริ่มเผยแพร่รายการนั้นยังไม่เปิดให้ประชาชนเข้าร่วมรายการหรือโฟนอิน แต่ก็มีการพูดเชิญชวนให้เข้าร่วม หลังจากที่เริ่มมีมวลชนผู้ดำเนินรายการก็เปิดให้ประชาชนโฟนอินเข้ามาในรายการ
 
 
เนื้อหาของรายการคือไม่เอาสถาบันพระมหากษัริย์ มีการกล่าวหาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของคสช. ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหาย ประชาชนยากจน ต้องยกเลิกหรือไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข การปกครองของสหพันธรัฐไทจะแบ่งประเทศไทยออกเป็นสิบมลรัฐ โดยมีกรุงเทพมหานครเป็นมลรัฐที่สิบ สมาชิกของสหพันธรัฐไทจะมีการระบุเป็นรหัส พ.ต.ท.แทนระบุว่า เขาจำไม่ได้แน่ชัดนักว่า มีจำนวนหรือแปดหลักหรือไม่ แต่เท่าที่จำได้คือ รหัสสองตัวแรกจะเป็นลำดับของมลรัฐ สองตัวต่อไปคือเขตและสี่ตัวสุดท้ายคือ รหัสสมาชิก
 
 
จากการสืบสวนและการเฝ้าฟังสื่อสังคมออนไลน์ทีมีการจัดรายการ กลุ่มแกนนำของสหพันธรัฐไท ประกอบด้วยชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวง และผู้ร่วมรายการอีกสองสามคน กลุ่มแกนนำเหล่านี้จะอยู่ที่ต่างประเทศและระดมมวลชน หลังจากที่สืบสวนมาเรื่อยๆพบว่า สหพันธรัฐไทเริ่มมีมวลชนมากขึ้น และในช่วงกลางปี 2561 เริ่มมีการจัดตั้งกลุ่มไลน์เพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่มสมาชิกที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หลังตั้งกลุ่มไลน์ได้มีการแบ่งกลุ่มไลน์ออกเป็นสิบกลุ่มไลน์ตามจำนวนมลรัฐและตั้งชื่อไลน์ตามมลรัฐเช่น อีสานตอนบน อีสานตอนล่าง ภายในกลุ่มไลน์มีการพูดคุยเรื่องการจัดกิจกรรม ซึ่งอยู่ภายใต้คำขวัญขององค์กรที่ว่า ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาปนาสหพันธรัฐไท กิจกรรมเช่น การเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และนำป้ายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสหพันธรัฐไทไปประชาสัมพันธ์ในที่ต่างๆ เมื่อออกปฏิบัติการแล้วก็จะมีการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้แกนนำรู้ว่า มีการจัดกิจกรรมที่ไหนบ้าง
 
 
แกนนำของสหพันธรัฐไทมีการกำหนดสัญลักษณ์ขององค์กร คือ ธงประจำองค์กร เป็นสีขาวแดงขาว และเสื้อสีดำจะเป็นเสื้อคอกลมหรือเสื้อโปโลก็ได้ ธงขาวแดงขาวที่หน้าอกด้านซ้าย ตรงกลางหน้าอกสกรีนหรือปักคำว่า สหพันธรัฐเป็นภาษาอังกฤษ พ.ต.ท.แทนจำตัวเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ อัยการจึงให้ดูภาพ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ข้อความตามภาพที่เขียนว่า FEDERATION มีการประกาศว่า ใครพอมีกำลังในการผลิตก็สามารถผลิตได้เลย ขายให้สมาชิกตัวละไม่เกิน 200 บาท อย่างไรก็ตามสมาชิกไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อดำที่มีสัญลักษณ์ของสหพันธรัฐไททั้งหมดก็ได้ ขอแค่เป็นเสื้อดำเท่านั้น
 
 
จากการตรวจสอบและเผ้าติดตามพบจำเลยทั้งสองในคดีนี้ คนแรกคือ ประพันธ์ จำนามสกุลไม่ได้ จำเลยที่สอง หรือป้าเปีย หรือใช้ชื่อในไลน์ว่า อวตารและตามด้วยรหัสสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไท คนที่สองคือ
เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่ง หรือเบียร์ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเทอดศักดิ์ และใช้ชื่อในไลน์ว่า Original Beer ตามด้วยรหัสสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไท โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวมีสายลับของรัฐเข้าไปอยู่คอยสังเกตการ์เก็บข้อมูลด้วย สายลับคนดังกล่าวได้แจ้งข้อมูลต่อพ.ต.ท.แทนว่า สมาชิกในกลุ่มไลน์มีการพูดคุยอวดกัน
 
 
เมื่อสืบสวนได้ข้อมูล พ.ต.ท.แทนจึงนำข้อมูลได้มาสรุปภาพรวมพบว่า องค์กรสหพันธรัฐไทแบ่งเป็นสามกลุ่มคือ หนึ่งกลุ่มผู้นำทางความคิดที่จะอยู่ในต่างประเทศ สอง กลุ่มผู้ปฏิบัติการในประเทศไทย มีลักษณะเป็นกองกำลังอาจมีการใช้อาวุธ ก่อความวุ่นวาย และสาม กลุ่มมวลชนที่จะแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ เผยแพร่แนวความคิดและชักชวนมวลชนให้มาเข้าร่วมองค์กร โดยประพันธ์ จำเลยที่สองเริ่มต้นทำกิจกรรมจากการแจกใบปลิวมีเนื้อหาเชิญชวนให้เป็นสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไท ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองแบบสหพันธรัฐจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร  หลังการแจกใบปลิวมีการโพสต์ภาพในเฟซบุ๊กของเธอและไลน์กลุ่ม แต่ไม่ระบุสถานที่ จึงไม่สามารถตรวจกล้องวงจรปิดเพื่อสืบไปถึงอัตลักษณ์ของผู้กระทำได้ ต่อมาจึงสืบสวนด้วยวิธีการอื่นๆจนแน่ใจว่า ประพันธ์เป็นผู้นำใบปลิวมาวาง
 
 
ส่วนเทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งสืบทราบว่า เขานำใบปลิวขนาดเอสี่ที่มีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไปวางที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนาและมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร ใบปลิวจะมีการทำสัญลักษณ์ว่า Ori ที่ย่อมาจาก Original Beer จึงได้สืบข้อมูลโดยดูจากกล้องวงจรปิดจนทราบว่า เทอดศักดิ์ เป็นผู้นำใบปลิวมาวางเพียงคนเดียวไม่ได้กระทำร่วมกับบุคคนอื่น นอกจากนี้ในการสืบสวนยังพบว่า ประพันธ์ จำเลยที่สองมีการโฟนอินเข้าไปในรายการของกลุ่มสหพันธรัฐไทเป็นระยะ ก่อนที่พ.ต.ท.แทนจะเปลี่ยนเป็นโฟนอินเข้าไปในรายการเป็นประจำ ขณะที่เทอดศักดิ์จากการเฝ้าติดตามรายการไม่พบว่า มีการโฟนอินเข้าไปในรายการ
 

วันที่ 5 ธันวาคม 2561 เป็นวันพ่อแห่งชาติ ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันองค์กรสหพันธรัฐไทมีการจัดรายการปลุกระดมให้มวลชนที่อยู่ในประเทศไทยสวมใส่เสื้อดำหรือเสื้อดำที่มีตราสัญลักษณ์ของกลุ่มสหพันธรัฐไทออกไปชุมนุมในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศหรือบริเวณที่ที่มีคนพลุกพล่านตามพื้นที่ที่สมาชิกอาศัยอยู่ ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป เพื่อแสดงออกว่า สหพันธรัฐไทมีมวลชนและแสดงออกให้คนรู้จัก กรณีที่มีคนสนใจก็ให้ชักจูงเป็นแนวร่วมในการเคลื่อนไหว อัยการถามพ.ต.ท.แทนว่า เหตุใดเสื้อต้องเป็นสีดำ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เนื่องจากวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันมงคลต้องสวมเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี การที่สมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทสวมเสื้อสีดำเป็นการแต่งตัวให้แตกต่างและแสดงออกให้เจ้าหน้าที่รัฐเห็นว่า กลุ่มนี้ไม่จงรักภักดี ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการให้ประเทศปกครองด้วยระบอบสหพันธรัฐ เมื่อทราบเรื่องจึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาให้แจ้งไปยังหน่วยงานความมั่นคง
 

ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เขาได้รับมอบหมายให้ไปสังเกตการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ วันดังกล่าวเขาสวมเสื้อสีดำ ติดธงและแฝงตัวไปกับกลุ่มสหพันธรัฐไท เดินทางไปถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาเปิดทำการคือ 11.00 น. จากนั้นจึงเดินสังเกตการณ์คนที่ใส่เสื้อดำว่า มีจำนวนเท่าไหร่ เท่าที่เห็นมีประมาณ 20-30 คน ทุกคนสวมเสื้อสีดำ บางคนติดสัญลักษณ์ของกลุ่มสหพันธรัฐไทชัดเจน หลังจากที่มวลชนเริ่มทยอยมารวมตัวกันเยอะขึ้น สังเกตเห็นเทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งสวมใส่เสื้อสีดำที่หน้าอกเขียนว่า FEDERATION น่าจะไม่มีกำไลอีเอ็มติดที่ข้อเท้า เดินตามประพันธ์ จำเลยที่สองมา ในการเบิกความพ.ต.ท.แทนมักจะเรียกประพันธ์ว่า ป้าเปีย
 
 
ต่อมาประพันธ์ จำเลยที่สองได้เริ่มพูดในทำนองว่า เราเป็นสหพันธรัฐไท จะดำเนินคดีเราก็ไม่กลัว เราจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสหพันธรัฐไทให้ได้ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียง ส่วนเทอดศักดิ์ จำเลยที่สองนั้นเห็นว่า มีการพูดคุยกับสมาชิกแต่ไม่ได้ยินว่า พูดอะไร ภาพรวมแล้วทั้งประพันธ์และเทอดศักดิ์มีลักษณธเป็นหัวโจก เป็นแกนนำในการพูดชักชวนผู้คน ในวันดังกล่าวนอกจากตนแล้วยังมีเจ้าหน้านอกเครื่องแบบของหน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบของสน.ลาดพร้าวแฝงตัวรวมไปด้วย วันดังกล่าวมีสมาชิกบางคนได้ทำการอัดวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้และอัพโหลดลงเว็บไซต์ยูทูปช่องสหพันธรัฐไทเพื่อให้สมาชิกได้เห็นว่า มีการจัดกิจกรรมแล้ว ต่อมาเมื่อมีการรวมตัวกันมากขึ้นอาจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชารับทราบจึงได้ให้ตำรวจในเครื่องแบบมาตรวจสอบกลุ่มคนเสื้อดำ ทำให้กลุ่มคนเสื้อดำสลายตัวไป เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวเทอดศักดิ์และประพันธ์ ซึ่งเป็นบุคคลเป้าหมายไปที่สน.ลาดพร้าว ซึ่งเขาได้ตามไปสังเกตการณ์ด้วยแต่ไม่ได้แสดงตัวนอกจากนี้วันดังกล่าวมีทนายจากองค์กรสิทธิมนุษยชนไปเป็นทนายให้จำเลยทั้งสองและร่วมรับฟังการสอบสวน
 
 
จำเลยมีลักษณะที่เปิดเผยชัดเจนว่าเป็นสมาชิกขององค์กรสหพันธรัฐไทและจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทั้งยังมีอุดมการณ์ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่องรายการของลุงสนามหลวงที่ออกอากาศทางยูทูปนั้น เขาทำการถอดเทปข้อความและทำรายงานการสืบสวนส่งต่อผู้บังคับบัญชา มีการทำเป็นไฟล์พาวเวอร์พอยท์นำเสนอ มีรายงานการประเมินและบัญชีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 และจัดทำแผนผังขององค์กรสหพันธรัฐไท นอกจากการรวบรวมหลักฐานเรื่องการเคลื่อนไหวในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 แล้วยังได้ติดตามการเคลื่อนไหวในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ที่มีการปลุกระดมให้ทำร้ายขบวนเสด็จของรัชกาลที่สิบ ปลุกระดมให้ลอบทำร้าย จุดประทัดยักษ์ ราดน้ำมันให้จักรยานพระที่นั่งล้ม เขาจึงได้แจ้งเตือนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ไปติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
 
 
อัยการถามพ.ต.ท.แทนถึงสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทในส่วนของฝ่ายปฏิบัติการ พ.ต.ท.แทนตอบว่า สำหรับสมาชิกในกลุ่มนี้เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นอาวุธ มีการวางเพลิง เผาซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน
 
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า จากรายงานการสืบสวนไม่ปรากฏว่า เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งเดินทางไปประเทศลาวใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ เท่าที่ตรวจสอบเทอดศักดิ์ไม่ได้เดินทางไปพบแกนนำ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า จากการสืบสวนไม่พบว่า เทอดศักดิ์ วางแผนเสนอแนะ กำหนดทิศทาง แนวทางของกลุ่ม พ.ต.ท.แทนตอบว่า เขาทำตามแกนนำต่างประเทศ ขณะที่การสื่อสารในไลน์กลุ่มก็มีความเป็นอิสระ ศาลถามเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนอีกครั้ง พ.ต.ท.แทนตอบว่า การที่จำเลยออกไปแสดงออกในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เป็นผลมาจากที่แกนนำชี้นำมวลชน ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ตามรายงานการสืบสวนของพ.ต.ท.แทน การแจกใบปลิวไม่ใช่การกระทำในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 พ.ต.ท.แทนตอบว่า เป็นเหตุสืบเนื่องกันตั้งแต่ช่วงวันที่ 10 สิงหาคม 2561 จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า เทอดศักดิ์มีความชื่นชอบและเข้าฟังรายการของลุงสนามหลวง โดยสภาพแล้วเทอดศักดิ์ไม่ใช่แกนนำ พ.ต.ท.แทนไม่รับว่า ใช่หรือไม่แต่อธิบายว่า เป็นผู้ฟังจริง ถ้าไม่ฟังก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
 
 
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ตามเอกสารที่นำส่งต่อศาลเทอดศักดิ์อยู่ในบัญชีรายชื่อของกลุ่มคนที่ไปร่วมกิจกรรมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นอย่างใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า เกี่ยวหรือไม่นั้น เขาไม่ทราบได้เนื่องจากเพิ่งได้ติดตามสืบสวนกลุ่มสหพันธรัฐไทเมื่อปี 2560 ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ในทางสืบสวนไม่พบว่า สหพันธรัฐไทมีการออกบัตรสมาชิกให้แก่สมาชิกกลุ่ม พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่เคยเห็นบัตรสมาชิก ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า พ.ต.ท.แทนไม่ได้ทำการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ของเทอดศักดิ์ว่า ตรงกับไลน์ที่ตรวจสอบพบใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เขาได้ทำการขอเบอร์โทรศัพท์จากบริษัทที่เทอดศักดิ์ทำงานอยู่ เมื่อนำเบอร์ไปตรวจสอบในโปรแกรมไลน์ก็ขึ้นชื่อว่า Original Beer ซึ่งเป็นไลน์ของเทอดศักดิ์ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า แต่พ.ต.ท.แทนไม่ได้ส่งรายงานการสืบสวนในส่วนนี้เข้าสำนวนมาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่
 

ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ในตอนที่พ.ต.ท.แทนทำการสืบทวนไม่พบคำพูดของเทอดศักดิ์ที่มีลักษณะเป็นการปลุกระดมหรือมีการใช้อาวุธใช้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ไม่ปรากฏว่า เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งเป็นผู้นัดแนะหรือปลุกระดมให้มาร่วมกิจกรรม และกลุ่มไลน์ที่พ.ต.ท.แทนเบิกความถึงก็เป็นกลุ่มปิด ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า พ.ต.ท.แทนไม่ได้มีการถอดเทปการพูดคุยในกิจกรรมแสดงออกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า จากการสืบสวนไม่พบว่า เทอดศักดิ์เคยถูกกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ภายในองค์กรสหพันธรัฐไทไม่ได้มีการมอบหมายหน้าที่กันอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้มีบทลงโทษหากไม่กระทำการใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีในทางลับ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามซ้ำว่า ไม่ได้มีการชี้เฉพาะเจาะจงใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบซ้ำอีกครั้งว่า เท่าที่เฝ้าติดตามฟังไม่มี แต่ในทางลับมี ศาลบันทึกว่า ทราบว่า มีการมอบหมายหน้าที่ในทางลับ
 
 

ทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 

ทนายจำเลยที่สองถามว่า วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ และอธิบายต่อว่า วุฒิพงศ์หรือที่ใช้ชื่อว่า สหายหมาน้อย มีการจัดรายการอยู่ช่วงหนึ่งทางยูทูป จากนั้นชูชีพได้จัดรายการเป็นหลัก ทนายจำเลยที่สองถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ หายตัวไป พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่รู้ ไม่ได้ติดตามต่อเพราะหน้าที่ของเขาคือการติดตามการจัดรายการ เมื่อเขาไม่ได้จัดรายการก็ไม่รู้ความเคลื่อนไหวต่อแล้ว ทนายจำเลยที่สองถามว่า ประพันธ์มีการติดต่อกับวุฒิพงศ์หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่มี ทนายจำเลยที่สองถามว่า ชูชีพเป็นผู้ก่อตั้และสมาชิกสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า พบว่า ชูชีพมีการจัดรายการมาตั้งแต่ปี 2560-2562 ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เท่าที่ติดตามปี 2561 ยังมีการจัดรายการอยู่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า หลังจากวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ยังได้มีการติดตามอีกหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้มีการติดตาม ส่วนประพันธ์ จะมีการติดต่อกับชูชีพด้วยช่องทางการสื่อสารอื่นด้วยหรือไม่ เขาก็จำไม่ได้
 

พ.ต.ท.แทนเบิกความยืนยันว่า ประพันธ์มีการโฟนอินเข้าไปในรายการจริง ทนายจำเลยที่สองถามว่า จำได้หรือไม่ว่า พูดว่าอะไร พ.ต.ท.แทนตอบว่า ยืนยันว่า ประพันธ์มีการโฟนอินเข้าในรายการจริง ย้ำด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังว่า “นั่งฟังอยู่ ได้ยินกับหูตัวเอง” ทนายจำเลยที่สองถามว่า แนะนำตัวด้วยชื่อตัวเองไหม พ.ต.ท.แทนตอบว่า “โดยหลักคนไม่มีคนบ้าที่ไหนไปตัวเองหรอก” ทนายจำเลยที่สองถามว่า มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงว่า ประพันธ์เป็นผู้โฟนอิน พ.ต.ท.แทนตอบว่า “หลักฐานอยู่ที่การพูดคุย ฟังแล้วก็รู้ว่า เป็นประพันธ์” ทนายจำเลยที่สองถามย้ำอีกครั้งว่า มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยง พ.ต.ท.แทนตอบว่า สายลับแจ้งว่า ประพันธ์พูด เรามาฟังดูก็ใช่” ทนายจำเลยที่สองถามว่า หมายถึงอย่างไร ฟังแล้วจำเสียงได้เลยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า  ประพันธ์มีการโฟนอินและสมาชิกในกลุ่มไลน์มีการพูดถึง
 
 

ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนมีชื่อชั้นยศของสายลับที่อ้างถึงหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า จำไมได้ว่า ชื่ออะไร ทนายจำเลยที่สองถามว่า สายลับได้ส่งรายละเอียดข้อความที่กลุ่มไลน์คุยกันให้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า สายลับส่งให้ แต่ไม่ได้ส่งรายละเอียดดังกล่าวให้แก่พนักงานสอบสวนเพราะไลน์ลบข้อมูลในโทรศัพท์ไป พ.ต.ท.แทนย้ำว่า “ไลน์มันลบไปเอง ระบบลบเอง มันเยอะ ระบบไลน์เป็นผู้ลบเอง”  ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนได้แคปหรือถ่ายภาพหน้าจอไว้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้แคปเนื่องจากว่าเป็นความลับ ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนมีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาหรือไม่และผู้บังคับบัญชามีชื่อชั้นยศใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีการรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่จำชื่อไม่ได้เพราะมีการโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา
 
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามว่า ข้อความที่หายไปได้ห้การกับพนักงานสอบสวนไหมว่า หายไป พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้ให้การไว้ พ.ต.ท.แทนพูดต่อทำนองว่า “ในการโฟนอิน ผู้ชมทางบ้านมีการโฟนอิน ทนายสิทธิฯก็โฟนอิน” โดยไม่แน่ชัดว่า การเรียกว่า ทนายสิทธิฯหมายถึงทนายจำเลยที่สองหรือไม่ แต่ทนายจำเลยที่สองนิ่งเฉยและถามต่อว่า ตำรวจไม่ได้มีการนำเสียงไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ในลักษณะของการเปรียบเทียบความถี่ของเสียงใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบว่าจะมีการตรวจสอบเปรียบเทียนความถี่เสียงหรือไม่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า ในทางการข่าวปัจจุบันชูชีพเสียชีวิตแล้วใช่หรือไม่  พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ ทนายจำเลยที่สองถามว่า ในการสืบสวนไม่มีหลักฐานว่า ประพันธ์โฟนอินไปหาสยาม วัฒน์และกฤษณะด้วย ทนายจำเลยที่สองถามว่า องค์กรสหพันธรัฐไทมีการเคลื่อนไหวในปี 2560-2562 ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนระบุว่า ถึงปัจจุบันก็มีการปลุกระดมอยู่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า กิจกรรมในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของกลุ่มสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่า บุคคลที่จัดรายการมีหมายจับในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และหลบหนีไปที่ลาว พ.ต.ท.แทนตอบว่า ปัจจุบันอยู่ แต่จะหลบหนีไปที่ไหนไม่ทราบได้
 
 

ทนายจำเลยที่สองถามว่า เวลาจัดรายการของสหพันธรัฐไทจะมีแต่เสียงไม่มีภาพใช่หรือไม่ พ.ต.แทนตอบว่า ในรายการมีแต่เสียงแต่พอเสียงมาจะทราบเลยว่า เป็นใคร ทนายจำเลยที่สองถามว่า ในการประกาศให้มวลชนที่อยู่ในประเทศกระทำการใดๆ เป็นการประกาศอย่างเปิดเผย ส่วนมวลชนจะกระทำตามหรือไม่ ไม่มีการตรวจสอบย้อนกลับใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เมื่อมีการปลุกระดม มวลชนจะมีการจัดกิจกรรมและถ่ายภาพไปโพสต์ในไลน์กรุ๊ป ในทำนองที่ว่า แกนนำจะทราบได้ว่า มวลขนทำกิจกรรมหรือไม่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า การแจกใบปลิวเป็นการปลุกระดมของชูชีพใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่สองถามว่า การออกมาจัดกิจกรรมที่ห้างเดอะมอลล์บางกะปิเกิดจากชูชีพด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า “การปลุกระดมก็นเป็นส่วนหนึ่ง คนที่มีสติสัมปชัญญะก็ถือเป็นแนวร่วม ก็ถือว่าออกมาเองนั่นแหละ”
 
 

ทนายจำเลยที่สองถามถึงการใช้สัญลักษณ์เป็นเสื้อสีดำ พ.ต.ท.แทนตอบในทำนองว่า มีการกำหนดให้ใช้เสื้อสีดำเพราะเป็นสีที่ตรงข้ามกับความจงรักภักดี ทนายจำเลยที่สองถามว่า การใช้เสื้อสีดำเป็นการใช้ตั้งแต่ก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2561 แล้วใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่  แต่คนปกติมีสามัญสำนึกจะไม่ใส่ ทนายจำเลยที่สองให้พ.ต.ท.แทนดูภาพว่า ในวันดังกล่าวมีบุคคลอื่นๆ ใส่เสื้อสีดำด้วย แต่พ.ต.ท.แทนตอบว่า มันเป็นภาพระยะไกล มองเห็นไม่ชัดเจน ทนายจำเลยที่สองถามว่า ไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ให้สวมใส่เสื้อสีเหลืองในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทางการแต่มีการเชิญชวนให้คนสวมใส่เสื้อสีเหลือง ศาลขอให้ทนายจำเลยที่สองผ่านคำถามนี้ไป
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามต่อว่า พ.ต.ท.แทนมีการบันทึกภาพหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่มีการบันทึกภาพ และอธิบายด้วยเสียงที่สูงขึ้นว่า “คือผมไปสืบสวนหาคนที่ไม่สุจริต ไม่ได้หาคนที่สุจริต คนทั่วไปที่สุจริตเขาใส่เสื้อสีเหลืองกัน” ทนายจำเลยที่สองถามว่า แล้วได้บันทึกภาพไว้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้บันทึก ทนายจำเลยที่สองถามว่า แล้วบุคคลที่ใส่เสื้อสีอื่นๆไม่ใช่เสื้อสีเหลือง พ.ต.ท.แทนได้ทำการทักท้วงไหม พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้ทักท้วงและไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปทักท้วง ทนายจำเลยที่สองถามว่า วันดังกล่าวเจ้าพนักงานที่อยู่ในพื้นที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อเหลืองใช่หรือไม่ ศาลแย้งว่า “ทนาย…เสื้อเหลือง เสื้อดำไม่ใช่ประเด็น อ่านให้ครบสิ ใส่เสื้อดำมันไม่ได้ผิด แต่เจตนาคืออะไร” ทนายจำเลยที่สองกล่าวทำนองว่า โจทก์บรรยายฟ้องมาเรื่องการสวมเสื้อดำและความไม่จงรักภักดี ถ้าไม่มีในคำฟ้องก็คงไม่ถาม ศาลตอบว่า ศาลจะวินิจฉัยเอง
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามถึงเรื่องการวางเพลิงเผาซุ้มว่า ประพันธ์ จำเลยที่สองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางเพลิงใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่สองถามต่อว่า ได้มีการสืบสวนในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เขาเป็นพนักงานข่าวกรอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำคดี ทนายจำเลยที่สองถามว่า แล้วพ.ต.ท.แทนได้มีการเรียกพยานหลักฐานในคดีดังกล่าวมาหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่มี หน้าที่ของเขาคือ การส่งข่าว แจ้งข่าวเท่านั้น ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนไม่ได้มีการเรียกพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวมาสอบถามใช่หรือไม่ ศาลแย้งว่า ทนายแยกออกหรือไม่ระหว่างชุดสืบสวนและสอบสวน ทนายจำเลยที่สองตอบว่า แยกออก แต่เพียงต้องการถามว่า เขาได้ข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวอย่างไร ศาลสรุปข้อเท็จจริงว่า ตจากการสืบสวนมาจากกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่ได้บอกว่า ประพันธ์เป็นผู้วางเพลิง
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามคต่อถึงบุคลิกขอประพันธ์ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เป็นคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ช่วงดังกล่าวเป็นเวลา 12.00 น. ศาลถามว่า ทนายจะถามอีกนานหรือไม่ ทนายจำเลยที่สองตอบว่า อีกประมาณ 10-15 นาที ศาลขอให้เลื่อนการสืบพยานปากนี้ไปช่วงเวลา 13.30 น. แทน
 
 
เวลา 13.42 น. เริ่มสืบพยานในปากนี้ต่อ ทนายจำเลยที่สองถามว่า หลังจากทราบข่าวกิจกรรมของกลุ่มสหพันธรัฐไท พ.ต.ท.แทนดำเนินการอย่างไร พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีการประชุม ทำรายงานเสนอต่อหน่วยเหนือหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบเพื่อทำการเฝ้าระวัง และแจ้งต่อหน่วยงานที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนได้ลงพื้นที่ที่ไหนบ้าง พ.ต.ท.แทนตอบว่า ที่เดอะมอลล์บางกะปิที่เดียว ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนได้มีการประสานงานกับสน.ลาดพร้าวหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เขาไม่ใช่ผู้ประสานงานเพราะไม่มีอำนาจ แต่ทราบว่า ในวันดังกล่าวมีตำรวจนอกเครื่องแบบจากสน.ลาดพร้าวมาด้วย
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามว่า พ.ต.ท.แทนทำอะไรบ้างในวันเกิดเหตุ พ.ต.ท.แทนตอบว่า วันเกิดเหตุมีการเตรียมอุปกรณ์โทรศัพท์และกล้องถ่ายรูปไปด้วย ไม่มีการแสดงตัวว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทนายจำเลยที่สองถามว่า ประชาชนทั่วไปที่เดินผ่านไปมาทราบถึงกิจกรรมหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ แต่ตำรวจทราบ กลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีการห้ามประชาชนทั่วไปเข้าร่วม ถ้าคนทั่วไปเข้าถ่ายรูปกิจกรรมก็จะยิ่งชอบเพราะอยากเป็นข่าว และเชื่อด้วยว่า ประพันธ์ทราบว่า เขาเป็นตำรวจเนื่องจากรูปลักษณ์ค่อนข้างชัดเจน
ทนายจำเลยที่สองถามว่า ได้มีการบันทึกหลักฐานในการพูดคุยไว้หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า บันทึกภาพและเสียงไว้เพื่อส่งและรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ส่งไฟล์เสียงของประพันธ์ให้แก่พนักงานสอบสวน ทนายจำเลยที่สองถามว่า ทราบหรือไม่ว่า มีการจับกุมในที่เกิดเหตุ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ และหลังจากวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ก็ไม่ได้มีการติดตามตัวประพันธ์ต่อแล้ว
 
 
อัยการถามติง
 
 
อัยการถามว่า หลังจากการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และไลน์ พ.ต.ท.แทนได้มีการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีการตรวจสอบและพบว่า เป็นเทอดศักด์ จำเลยที่หนึ่งและประพันธ์ จำเลยที่สอง อัยการถามว่า ประพันธ์ทราบใช่หรือไม่ว่า พ.ต.ท.แทนเป็นตำรวจ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เชื่อว่า ประพันธ์ทราบ แต่ไม่แคร์
 
 

พยานโจทก์ปากที่สอง พ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ กองกำกับการหนึ่ง กองบังคับการปราบปราม
 

พ.ต.ท.เสวกเบิกความว่า ที่เกี่ยวข้องมาเป็นพยานในคดีนี้เนื่องจากว่า พนักงานสอบสวนในคดีนี้เรียกเขามาให้ปากคำเนื่องจากเขาเคยเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่เกี่ยวกับสหพันธรัฐไทมาก่อน ในการสอบปากคำพนักงานสอบสวนให้เล่าว่า เรื่องราวของสหพันธรัฐไทและจำเลยแต่ละคนทำหน้าที่อะไร ช่วงเดือนสิงหาคม 2561 เขาได้รับมอบหมายให้สืบสวนคดีสหพันธรัฐไท ซึ่งจำเลยในคดีนี้ทั้งสองคนเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย โดยเป็นคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 พฤติการณ์ของเทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งคือ เป็นแนวร่วมกับองค์กรสหพันธรัฐไท แจกใบปลิวที่มีเผยแพร่เนื้อหาแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐไทที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์
 
 
เช่นเดียวกับประพันธ์ จำเลยที่สองที่ทำหน้าที่ในการแจกใบปลิว โดยจากการสอบสวนทราบว่า ประพันธ์ฟังรายการทางยูทูปและนำมาปฏิบัติ  สมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทแต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองและนำข้อมูลเข้าไปในไลน์กลุ่มเพื่อแสดงว่า แต่ละคนได้ทำกิจกรรมอะไรไปแล้วบ้าง ไลน์กลุ่มเป็นไลน์กลุ่มเฉพาะสมาชิก คัดเลือกสมาชิกเข้าไปโดยแบ่งจากพื้นที่ที่สมาชิกอาศัยอยู่เช่น ภาคตะวันออก เขาจำไม่ได้ว่า ไลน์ของจำเลยทั้งสองคนชื่อว่าอะไร ข้อมูลต่างๆที่ได้มาในชั้นสอบสวนสันติบาลจะเป็นผู้รวบรวมมาให้ การกระทำดังกล่าวเป็นการร่วมกันสิบคน ร่วมด้วยกับบุคคลที่เป็นแกนนำเช่น วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณหรือโกตี๋ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และสยาม ธีรวุฒิ บุคคลดังกล่าวหลบหนีอยู่ พ.ต.ท.เสวกเบิกความต่อว่า ยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ร่วมกระทำการดังกล่าวคือ กฤษณะ  จำนามสกุลไม่ได้ กฤษณะเป็นแอดมินเพจชื่อที่มีคำนำหน้าว่า ทรราชย์ จำชื่อเต็มไม่ได้  และในการสอบสวนเขาพบว่า ประพันธ์เคยซื้อเสื้อดำมีสัญลักษณ์ธงขาวแดงขาวและมีคำว่า Federation จากกฤษณะ
 

พ.ต.ท.เสวกเบิกความต่อว่า คดีที่เขาเป็นพนักงานสอบสวนเขามีความเห็นสั่งฟ้อง สืบพยานเสร็จแล้ว รอฟังคำพิพากษาอยู่
 
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ในคดีที่พ.ต.ท.เสวกเป็นพนักงานสอบสวนนั้น จำเลยทั้งสองคนถูกทหารควบมคุมตัวไปสอบปากคำที่ค่ายทหารก่อนจะได้เป็นบันทึกการซักถามมาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า คำให้การในชั้นสอบสวนก็นำมาจากการบันทึกการซักถามของทหารใช่หรือไม่ พ.ต.ทงเสวกตอบว่า ไม่ใช่ เขาได้ทำการสอบปากคำจำเลยด้วยตนเองและจำเลยได้ให้ข้อเท็จจริงเหมือนกับที่ทหารสอบปากคำมา ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ในคดีสหพันธรัฐไทที่พ.ต.ท.เสวกเป็นพนักงานสอบสวนอาศัยหลักฐานจากทหารทั้งหมดใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ไม่ใช่ มีหลักฐานประกอบจากสันติบาลด้วย ศาลกล่าวต่อทนายจำเลยที่หนึ่งว่า ขอให้ถามเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้
 
 
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า วัตถุประสงค์ของสหพันธรัฐไทคือ การล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาปนาสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยที่หนึ่งให้พ.ต.ท.เสวกดูแผนผังที่พ.ต.ท.แทนทำไว้แล้วถามว่า ตรงกับแผนผังในคดีของพ.ต.ท.เสวกหรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ไม่แน่ใจว่า จะเป็นแผนผังเดียวกันกับในคดีที่เขารับผิดชอบ ทนายจำเลยที่หนึ่งถามว่า ข้อเท็จจริงในคดีที่พ.ต.ท.เสวกรับผิดชอบคือ สหพันธรัฐไม่มีบัตรยืนยันตัว ไม่ทราบว่า ใครเป็นใครใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่า กลุ่มไลน์มีการตั้งชื่อตามมลรัฐคล้ายกับในดคีนี้ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่
 
 
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
ทนายจำเลยที่สองถามว่า คดีที่พ.ต.ท.เสวกรับผิดชอบนั้นพฤติการณ์การกระทำความผิดคือ เป็นอั้งยี่ มีการจัดตั้งกลุ่มสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่ คดีนั้นมีจำเลยห้าคนและจำเลยทั้งสองเป็นจำเลยในดคีดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทนายจำเลยที่สองกล่าวว่า อย่างที่พ.ต.ท.เสวกตอบไปแล้วว่า คดีดังกล่าวมีพฤติการณ์อั้งยี่เหมือนกับคดีนี้ แต่ความแตกต่างคือ คดีที่พ.ต.ท.เสวกรับผิดชอบพฤติการณ์คือ การแจกใบปลิว แต่คดีนี้พฤติการณ์คือการสวมใส่เสื้อดำ พ.ต.ท.เสวกรับว่า ใช่
 
 
อัยการถามติง
 
 
อัยการถามว่า พ.ต.ท.เสวกทราบถึงพฤติการณ์ของคดีนี้หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ไม่ทราบพฤติการณ์ในคดีนี้ รู้แต่ว่า เป็นจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในดคีที่เขารับผิดชอบ แต่มีการฟ้องในข้อหาเดียวกันคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 อัยการถามว่า แล้วที่ไปตอบทนายจำเลยที่สองว่า มีพฤติการณ์เดียวกันหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่จริงการกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้และคดีที่เขารับผิดชอบเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกัน และถามในทำนองที่ว่า ดังนั้นเมื่อต่างกรรมต่างวาระกันก็เป็นการกระทำที่แยกขาดจากกัน ตามกฎหมายแล้วสามารถฟ้องแยกกันได้ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.เสวกตอบว่า ใช่
 
 
17 มกราคม 2563
พยานโจทก์ปากที่สาม มะสูดี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
 
 
มะสูดีเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางปะปิ วันที่ 4 ธันวาคม 2561 มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจแจ้งผู้บังคับบัญชาและมีการร่วมประชุมกัน ระบุว่า วันที่ 5 ธันวาคม 2561 มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า สหพันธรัฐไทจะมาที่ห้างสรรพสินค้า โดยมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการล้มล้างระบอบการปกครอง มีการแต่งกายสวมใส่เสื้อดำ และมีสัญลักษณ์เป็นธงขาวแดงขาว วันเกิดเหตุวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าฯ ใกล้กับร้านแมคโดนัลด์ มีอัศวเมศร์ พนักงานรักษาความปลอดภัยและผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานอยู่บริเวณใกล้กัน
 
 
ต่อมาเริ่มมีคนสวมเสื้อดำเข้ามาบริเวณห้างสรรพสินค้าฯ  มีทั้งคนที่ติดสัญลักษณ์ขาวแดงขาวเช่น โบว์สีขาวแดงขาวที่หน้าอกเสื้อและไม่มีสัญลักษณ์ จากนั้นบุคคลสองคนเดินมาจากป้ายรถเมล์เข้ามาที่ห้างสรรพสินค้าฯ คนหนึ่งเป็นผู้ชายสวมเสื้อสีดำ และอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง สวมเสื้อดำและมีสัญลักษณ์สีขาวแดงขาวที่หน้าอก บุคคลดังกล่าวคือ ประพันธ์ จำเลยที่สอง เหตุที่จำได้เนื่องจากวันดังกล่าวประพันธ์ได้ถลกขากางเกงขึ้นให้ดูกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้า และทั้งสองมีสัญลักษณ์ตามที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้บอกไว้ในครั้งประชุมร่วมกัน จากการสังเกตพบว่า มีกลุ่มคนที่สวมเสื้อดำประมาณ 20-30 คนโดยรวมตัวกันที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ โดยจำเลยที่หนึ่งและจำเลยที่สองออกมาพูดคุยกับกลุ่มคนดังกล่าว ลักษณะคือ จำเลยทั้งสองเป็นผู้นำคุย โดยที่เขาก็ไม่ทราบเนื้อหาของการพูดคุยในวันดังกล่าวด้วย จากนั้นจำเลยที่หนึ่งได้เดินข้ามสะพานลอยไปที่ฝั่งตรงข้ามห้างและเดินกลับมาพร้อมกับน้ำดื่มหลายขวดมาแจกจ่ายให้แก่กลุ่มคนเสื้อดำ
 

เวลาประมาณ 14.00 น. ตำรวจและทหารได้เชิญตัวจำเลยทั้งสองไปพูดคุย โดยพาไปที่รถของตำรวจที่จอดอยู่ด้านหน้าห้างฯ เขาเข้าใจว่า ตำรวจน่าจะพาจำเลยทั้งสองไปพูดคุยที่สน.ลาดพร้าว ส่วนกลุ่มคนเสื้อดำที่เหลือทราบว่า ตำรวจได้ขอดูบัตรประชาชนและใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพไว้
 
 
พยานโจทก์ปากที่สี่ อัศวเมศร์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
 
 
อัศวเมศร์ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเขาประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าบางกะปิ วันที่ 4 ธันวาคม 2561 มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของทหารและตำรวจเข้าประชุมขอความร่วมมือกับแผนกรักษาความปลอดภัยของห้าง จากการประชุมได้ข้อมูลว่า วันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 -15.00 น. จะมีกลุ่มสหพันธรัฐไทมารวมตัวกันที่หน้าห้างฯ การแต่งกายของคนกลุ่มนี้คือจะสวมเสื้อดำและมีสัญลักษณ์สีขาวแดงติดที่เสื้อ
 
 
วันเกิดเหตุวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เขาเริ่มงานเวลา 9.00-18.00 น. วันดังกล่าวห้างฯเปิดเวลา 10.00 น. เขาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย พร้อมไปกับเพื่อนพนักงานคือ มะสูดี พยานโจทก์ปากที่สาม จนกระทั่งเวลาประมาร 13.00 น. เขาพบเห็นกลุ่มบุคคลประมาณ 20-30 คน ที่แต่งกายมีสัญลักษณ์ตามที่ตำรวจแจ้งมา สองคนในกลุ่มคนดังกล่าวคือ เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่งและประพันธ์ จำเลยที่สอง เขาจำได้ว่า ประพันธ์สวมเสื้อดำ ติดโบว์ขาวแดงขาวที่ศีรษะ และมีกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้า ตอนแรกนั้นจำเลยทั้งสองเดินมาจากป้ายรถเมล์เข้ามาสั่งอาหารภายในร้านแมคโดนัลด์ ต่อมามีกลุ่มคนเสื้อดำมารวมตัวกันที่ด้านหน้าร้านแมคโดนัลด์ จำเลยทั้งสองจึงออกมาพูดคุย แต่เขายืนอยู่ห่างจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวจึงไม่ทราบว่า พูดคุยเรื่องอะไรกัน แต่ลักษณะของจำเลยทั้งสองมีความเป็นผู้นำของกลุ่ม
 
 
อัยการถามว่า การใส่เสื้อสีดำในวันดังกล่าวเป็นเรื่องปกติหรือไม่ อัศวเมศร์ตอบว่า ไม่น่าจะปกติ วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งปกติแล้วคนจะสวมใส่เสื้อเหลืองกัน แต่ว่าก็มีคนสวมเสื้อสีหลากหลายกันไป อัศวเมศร์เบิกความต่อว่า จากนั้นจำเลยที่เป็นผู้ชาย [เทอดศักดิ์ จำเลยที่หนึ่ง] ได้ข้ามสะพานลอยไปที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำดื่มและแจกจ่ายให้แก่กลุ่มคนเสื้อดำที่นั่งอยู่หน้าห้างฯ เวลาประมาณ 14.00 น.มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้ามาแสดงตัวและเชิญตัวจำเลยทั้งสองไปที่สน.ลาดพร้าว ส่วนคนที่สวมเสื้อดำที่เหลือตำรวจได้ขอถ่ายบัตรประชาชนไว้ หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับไป
 
 
พยานโจทก์ปากที่ห้า ภัสสร ทนายความในฐานะพยานความเห็น
 
 
ภัสสรเบิกความว่า เขาจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกอบอาชีพทนายความ เคยเป็นทนายความอาสาที่สน.ลาดพร้าว วันที่ 13 มกราคม 2562 พนักงานสอบสวนสน.ลาดพร้าวได้เรียกตัวเขามาให้ความเห็นทางกฎหมาย เมื่อไปถึงพนักงานสอบสวนแจ้งเขาว่า วันที่ 5 ธันวาคม 2561 มีกลุ่มบุคคลชื่อว่า กลุ่มสหพันธรัฐไท รวมกันชุมนุมและปลุกปั่นผู้คนตามห้างสรรพสินค้า เท่าที่ติดตามข่าวเขาทราบว่า กลุ่มดังกล่าวต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นรูปแบบสหพันธรัฐ เขาเล่าต่อว่า วันดังกล่าวตำรวจไปที่ห้างฯแห่งหนึ่งแล้วไปเจอกลุ่มคนที่แสดงสัญลักษณ์เกี่ยวพันกับกลุ่มสหพันธรัฐไท มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาว มีธงขาวแดงขาว จากนั้นพนักงานสอบสวนถามเขาว่า การกระทำของกลุ่มสหพันธรัฐไทที่มีแนวคิเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาจึงให้ความเห็นไปว่า พฤติการณ์แสดงออกถึงความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แบ่งแยกการปกครองเป็นการกระทำที่มีความผิดต่อความมั่นคง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
 

ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยที่หนึ่งถามค้าน
 
 
ทนายจำเลยถามว่า พนักงานสอบสวนบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสหพันธรัฐไท ทำให้ภัสสรทราบใช่หรือไม่ ภัสสรตอบว่า เขาทราบมาก่อนแล้วว่า สหพันธรัฐไทคืออะไร แต่จำเลยทั้งสองในคดีนี้จะเป็นสมาชิกหรือไม่ เขาไม่ทราบ ทนายจำเลยถามว่า องค์กรสหพันธรัฐไทจะจัดตั้งแต่เมื่อใด ภัสสรทราบหรือไม่ ภัสสรตอบว่า ไม่ทราบ ทนายจำเลยถามว่า วันดังกล่าวพนักงานสอบสวนไม่ได้มีการถอดเทปข้อความที่จำเลยทั้งสองพูดและถามความเห็นภัสสรใช่หรือไม่ ภัสสรตอบว่า ไม่ได้ฟังเทปเสียงที่จำเลยทั้งสองพูดคุยในวันเกิดเหตุ ทนายจำเลยถามว่า ลำพังแค่สวมเสื้อดำไม่สามารถล้มล้างระบอบการปกครองได้ใช่หรือไม่ ภัสสรตอบว่า ไม่ทราบว่า กลุ่มคนที่สวมเสื้อดำจะล้มล้างการปกครองหรือไม่ ทนายจำเลยถามว่า ในการให้ความเห็นภัสสรให้ความเห็นตามข้อมูลที่พนักงานสอบสวนสรุปให้ฟังใช่หรือไม่ ภัสสรรับว่าเป็นเช่นนั้น ทนายจำเลยถามว่า จำเลยที่หนึ่งกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงหรือไม่ ภัสสรก็ไม่ทราบ ภัสสรรับว่า ไม่ทราบำ
 
 
ทนายจำเลยที่สองถามค้าน
 
 
ทนายจำเลยถามว่า ภัสสรไม่เคยทำคดีเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 มาก่อนใช่หรือไม่ ภัสสรรับว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่า ที่ภัสสรเบิกความว่า ภัสสรไม่ได้แจ้งกับพนักงานสอบสวนว่า ทราบเรื่องสหพันธรัฐไทมาก่อนและพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ถามภัสสรใช่หรือไม่ ภัสสรตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยพยายามจะถามชื่อของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนว่า ภัสสรรู้จักหรือไม่ แต่ศาลไม่บันทึกเพราะไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทนายจำเลยถามว่า ภัสสรทราบเรื่องสหพันธรัฐไทจากที่ใด ภัสสรตอบว่า จากทางเฟซบุ๊ก ยูทูปและไลน์ ส่วนใครมีหน้าที่ใดในองค์กร เขาไม่ทราบ ภัสสรเบิกความรับว่า ไม่ทราบว่า การใส้เสื้อดำที่มีสัญลักษณ์จะเป็นการปลุกปั่นหรือไม่
อัยการไม่ค้าน
 
 
พยานโจทก์ปากที่หก สุกัญญา ผู้ดูแลอพาร์ตเมนท์
 
 
สุกัญญาเบิกความว่า เป็นผู้ดูแลอพาร์ตเมนท์ที่ประพันธ์ จำเลยที่สองพักอยู่ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ เธอทราบว่า จำเลยที่สองเปิดร้านนวดที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เคยได้ยินจำเลยที่สองพูดว่า สหพันธรัฐไทครั้งหนึ่ง แต่เธอไม่ได้สนใจฟังจึงไม่ทราบรายละเอียด เธอพอรู้อยู่บ้างว่า จำเลยที่สองเป็นเสื้อแดง เคยเห็นบ้างที่จำเลยที่สองติดริบบิ้นสีขาวแดง ระหว่างที่จำเลยที่สองพักอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ที่เธอดูแล เธอไม่เคยเห็นเพื่อนของจำเลยที่สองมาที่อพาร์ตเมนท์ จำเลยที่สองไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ
 
 
พยานโจทก์ปากที่เจ็ด พ.ต.ต.ชยุต ภูมิภัทรภักดี กองกำกับการสาม กองบังคับการตำรวจสันติบาล
 
 
18 มกราคม 2563
นัดสืบพยานโจทก์
พยานโจทก์ปากที่แปด ร.ต.อ.อนันต์ ศรีเนตร ฝ่ายสืบสวนสน.ลาดพร้าว ในฐานะผู้กล่าวหา
 
 
พยานโจทก์ปากที่แปด พ.ต.ท.สำรวย แสนสม พนักงานสอบสวน

 

9 มีนาคม 2563

นัดฟังคำพิพากษา

 

ศาลอาญาได้นัดหมายที่ห้องพิจารณาคดีที่ 914 เวลา 9.15 น. เทอดศักดิ์ ทีได้รับการประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีมาถึงห้อง ไม่นานประพันธ์ที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำถูกเบิกตัวขึ้นมาจากใต้ถุนศาล เวลา 9.35 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษายกฟ้องสองจำเลยคดีสหพันรัฐไท เพราะเห็นว่า ความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 เป็นการฟ้องซ้ำในคดีที่มีคำพิพากษาไปแล้ว ส่วนความผิดยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โจทก์ยังไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่า จำเลยทั้งสองได้กล่าวข้อความยุยงปลุกปั่นจริง สั่งยกฟ้อง 

 

คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลชั้นต้น
 
 
ฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 จำเลยทั้งสองในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่สองและสามในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3157/2561 คดีดังกล่าวทั้งสองถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 การกระทำความผิดเกิดระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน -12 กันยายน 2561 จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐไท ในคดีนี้การกระทำความผิดเกิดระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม 2561 จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นสมาชิกองค์กรสหพันธรัฐไทเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐไท
 

เห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นคนละช่วงเวลากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3157/2561 แต่จำเลยทั้งสองยังคงความเป็นสมาชิกขององค์กรสหพันธรัฐไทถือเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นความผิดกรรมเดียว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 3157/2561 ไปก่อนแล้ว ดังนั้นสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
 

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือไม่
 
 
โจทก์มีพ.ต.ท.แทน ไชยแสง ตำรวจสันติบาลเบิกความเป็นพยานว่า จากการสืบสวนพบกลุ่มคนที่ถูกหมายจับในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านและมีการใช้เว็บไซต์ยูทูปในการปลุกระดม เนื้อหาของรายการมีลักษณะเป็นการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีการกล่าวหาว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังคสช.ล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
 

วันที่ 4 ธันวาคม 2561 ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวงได้จัดรายการบนเว็บไซต์ยูทูป ชักชวนให้คนสวมเสื้อดำในห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. พ.ต.ท.แทนจึงแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2561 พบจำเลยที่หนึ่งสวมเสื้อดำ จำเลยที่สองสวมเสื้อดำติดโบว์เล็กๆสีขาวแดง พ.ต.ท.แทนเบิกความว่า ได้ยินจำเลยที่สองกล่าวว่า พวกเราเป็นสมาคมสหพันธรัฐไท
 

โจทก์ยังมีร.ต.อ.อนันต์ ศรีเนตร รองสารวัตรสืบสวน สน.ลาดพร้าวมาเบิกความว่า ได้รับหนังสือด่วนจากนครบาลว่า ในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 จะมีกลุ่มสหพันธรัฐไทมารวมตัวกัน จึงเข้าตรวจสอบในเพจเฟซบุ๊กพบว่า มีการให้ข้อมูลว่าจะนัดรวมตัวกันแต่ไม่ได้บอกสถานที่ อย่างไรก็ตามการข่าวบอกว่า จะมาที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อไปถึงพบว่า จำเลยที่หนึ่งสวมใส่เสื้อดำมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า FEDERATION และจำเลยที่สองสวมใส่เสื้อดำ มีริบบิ้นสีขาวแดงติดด้วย มีกำไลอีเอ็มอยู่ที่ข้อเท้า และได้ยินคำพูดในลักษณะล้มล้างการปกครอง แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่พบในเพจเฟซบุ๊ก
 

นอกจากนี้โจทก์ยังมีมะสูดี และอัศวเมธพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างที่เบิกความทำนองเดียวกันว่าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. มีบุคคลสวมเสื้อดำมารวมกลุ่มกันที่หน้าห้าง บ้างติดสัญลักษณ์ บ้างไม่ติด ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ออกไปพูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อดำที่รวมตัวกันหน้าร้านแมคโดนัลด์ ก่อนที่จำเลยที่หนึ่งจะเดินข้ามสะพานลอยเพื่อซื้อน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กลุ่มคนเสื้อดำ
 

เห็นว่า พยานโจทก์ปากพ.ต.ท.แทนและร.ต.อ.อนันต์เบิกความว่า จำเลยทั้งสองกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พยานไม่ได้รู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อนและทราบว่า [จำเลยทั้งสอง] อาจมีเหตุมิชอบเกี่ยวกับความมั่นคง ย่อมต้องแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิด แต่ในทางนำสืบไม่ปรากฏว่า โจทก์จะแสดงหลักฐานหรือปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งสองได้กล่าวในทำนองเช่นนั้นจริง พิพากษายกฟ้อง

 

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา