วัยรุ่นหกคนเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ในจังหวัดขอนแก่น

อัปเดตล่าสุด: 12/09/2562

ผู้ต้องหา

ไตรเทพ และพวกรวม 6 คน

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2562

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

17 พฤษภาคม 2560 ทหารและตำรวจเข้าจับกุมตัวเด็กและวัยรุ่นในตำบลบ้านแท่น อ.ชนบท จำนวน 7 คน อายุ 14 ถึง 20 ปี และควบคุมตัวในค่ายทหารเป็นเวลา 6 วัน ก่อนจะส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำบันทึกจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวไปขออำนาจศาลจังหวัดพลขอฝากขังในวันที่ 23 พฤษภาคม 2560

หลังครบกำหนดฝากขังรวม 48 วัน ผู้ต้องหาทุกคน ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งหมด ถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหมิ่นประมาทฯ พระมหากษัตริย์จากการร่วมกันประชุมวางแผน และเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพลในวันเดียวกัน ขณะที่เยาวชนชายอายุ 14 ปี ถูกแยกฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น

2 ตุลาคม 2560 จำเลยวัยรุ่นทั้ง 4 คน ให้การรับสารภาพ ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นๆ ขอให้การปฏิเสธ ต่อมา จำเลยทั้ง 6 คน ได้ปรึกษาหารือกับทนายความและอัยการจังหวัด และแถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะให้การรับสารภาพทุกข้อหาตามที่โจทก์ฟ้อง

31 มกราคม 2561 ศาลจังหวัดพล อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ให้จำเลยที่ 1 ถึง 6 มีความผิดตามฟ้องและเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 มีอายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ให้ลดมาตราส่วนโทษเหลือ 1 ใน 3 โดยพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 2 ปี 16 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 5 ปี

และมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 ให้จำเลยที่ 1 ถึง 4 มีความผิดตามฟ้องและเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยที่ 1, 3 และ 4 มีอายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ให้ลดมาตราส่วนโทษเหลือ 1 ใน 3 และจำเลยรับสารภาพลดโทษอีกครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก คนละ 3 ปี 16 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 คงเหลือจำคุก 6 ปี 6 เดือน

11 เมษายน 2561 ทนายความจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย 18 กันยายน 2561 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560โดยจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 มีโทษจำคุกรวม 3 ปี ส่วน ส่วนจำเลยที่ 2 มีโทษจำคุกรวม 4 ปี 6 เดือน และพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คนในฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ

และพิพากษาแก้ศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560ให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4 มีโทษจำคุกรวม 3 ปี ส่วน ส่วนจำเลยที่ 2 มีโทษจำคุกรวม 4 ปี 6 เดือน และพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 คนในฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ พร้อมจ่ายค่าเสียหาย 958,117.72 บาท

 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไตรเทพ อายุไม่เกิน 20 ปี มีอาชีพรับจ้างซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่กับบ้าน หลังจบ ปวช.แล้ว ไม่ได้เรียนต่อ และได้ขวนขวายทำงานเลี้ยงตัวเองและช่วยเหลือครอบครัว
 
ฟลุค เคยประกอบอาชีพทำงานรับจ้างได้ในกรุงเทพได้ 1 ปี เพิ่งกลับมาบ้านก่อนกระทำผิด
 
ฟิล์ม อายุไม่เกิน 20 ปี ยังเรียนอยู่ ปวช.
 
เบล อายุไม่เกิน 20 ปี เพิ่งสมัครเข้าเรียน ปวช.
 
เต้ย อายุไม่เกิน 20 ปี กำลังเรียน กศน.
 
แทน อายุไม่เกิน 20 ปี กำลังเรียน กศน.
 
เยาวชนอายุ 14 ปี ไม่เปิดเผยชื่อ

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา, อื่นๆ
เป็นอั้งยี่ (ป.อาญา ม.209), เป็นซ่องโจร (ม.210), ร่วมกันวางเพลิงฯ (ม.217), ทำให้เสียทรัพย์ (ม.238)

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ตามคำฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ที่พนักงานอัยการยื่นต่อศาลระบุว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 จำเลยทั้งหกคน ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันก่อเหตุวางเพลิงเผาซุ้มซึ่งตั้งอยู่ร่องกลางถนนสายบ้านไผ่-บรบือ อันเป็นความผิดฐาน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ อั้งยี่ และซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 90, 209, 210, 217 และ 358 รวมถึงเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
 
ตามคำฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 จำเลยสี่คน ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 209  และจำเลยทั้งสี่กับพวกรวม 7 คน ได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันก่อเหตุวางเพลิงเผาซุ้มดังกล่าวในเขต ต.ชนบท อ.ชนบท จำนวน 2 ซุ้ม อันเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 โดยเวลาต่อมาได้ไปวางเพลิงจนซุ้มฯ ได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 958,000 บาท และเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กับ 217 ตามลำดับ
 

พฤติการณ์การจับกุม

17 พฤษภาคม 2560 ทหารและตำรวจเข้าจับกุมตัวเด็กและวัยรุ่นในตำบลบ้านแท่น อ.ชนบท อายุ 14 ถึง 20 ปี โดยมีวัยรุ่น 3 คน ถูกเจ้าหน้าที่ยกกำลังไปควบคุมตัวมาจากสถานศึกษาเพื่อนำตัวไปสถานีตำรวจภูธรชนบท โดยที่ญาติไม่สามารถเข้าเยี่ยมและจัดส่งอาหาร หรืออยู่ร่วมขณะสอบปากคำได้ จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกส่งตัวไปมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ. 23) ในตอนกลางดึก
 
18 พฤษภาคม 2560 ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ออกเดินทางจาก มทบ.23 เข้ากรุงเทพ โดยมีการปิดตาช่วงก่อนที่รถผ่านเข้าไปยังสถานที่ในกรุงเทพ ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็น มทบ.11
 

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.1268/2560

ศาล

ศาลจังหวัดพล

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

17 พฤษภาคม 2560

ทหารและตำรวจเข้าจับกุมตัวเด็กและวัยรุ่นในตำบลบ้านแท่น อ.ชนบท อายุ 14 ถึง 20 ปี โดยมีวัยรุ่น 3 คน ถูกเจ้าหน้าที่ยกกำลังไปควบคุมตัวมาจากสถานศึกษาเพื่อนำตัวไปสถานีตำรวจภูธรชนบท โดยที่ญาติไม่สามารถเข้าเยี่ยมและจัดส่งอาหาร หรืออยู่ร่วมขณะสอบปากคำได้ จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกส่งตัวไปมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ. 23) ในตอนกลางดึก

18 พฤษภาคม 2560

ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ออกเดินทางจาก มทบ.23 เข้ากรุงเทพ โดยมีการปิดตาช่วงก่อนที่รถผ่านเข้าค่าย ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็น มทบ. 11

22 พฤษภาคม 2560

ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน  ถูกส่งตัวกลับมาที่ สภ.ชนบท ตำรวจทำบันทึกจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา

23 พฤษภาคม 2560

ตำรวจนำผู้ต้องหาวัยรุ่น 6 คน ไปฝากขังระหว่างสอบสวนที่ศาลจังหวัดพล  โดยไม่ให้ญาติติดตามไปด้วย ก่อนที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งแรก มีกำหนด 12 วัน  และเจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งหกคนไปขังที่เรือนจำอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ส่วนเยาวชนอายุ 14 ปี ถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดขอนแก่น

16 สิงหาคม 2560

นัดส่งฟ้อง

หลังครบกำหนดฝากขังรวม 48 วัน ผู้ต้องหาทุกคน ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งหมด ถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหมิ่นประมาทฯ พระมหากษัตริย์ เพิ่มเติม และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพลในวันเดียวกัน ขณะที่เยาวชนชายอายุ 14 ปี ถูกแยกฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น

2 ตุลาคม 2560

นัดสอบคำให้การสองคดี

ศาลจังหวัดพลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น คดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 โดยศาลได้อ่านคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยฟัง เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จนถึงวันที่ 3 พฤกษาคม 2560 จำเลยได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันก่อเหตุวางเพลิงเผาซุ้มซึ่งตั้งอยู่ร่องกลางถนนสายบ้านไผ่-บรบือ อันเป็นความผิดฐาน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ อั้งยี่ และซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 90, 209, 210, 217 และ 358 รวมถึงเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ในวันดังกล่าว จำเลยทั้ง 6 ให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่น ๆ ขอให้การปฏิเสธ ศาลจึงตรวจพยานหลักฐานและนัดวันสืบพยาน โดยโจทก์มีพยานบุคคลรวม 22 ปาก คู่ความแถลงว่า พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ และจัดทำรายงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ จำเลยไม่ติดใจสืบ คงเหลือพยานบุคคลที่จะต้องสืบรวม 21 ปาก นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12 ถึง 15 ธันวาคม 2560 และวันที่ 16 มกราคม 2561 รวม 5 วัน ส่วนจำเลยมีพยานบุคคลรวม 12 ปาก นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 17 ถึง 19 มกราคม 2561 รวม 3 วัน

และในวันเดียวกัน ศาลจังหวัดพลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น คดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 โดยศาลได้อ่านคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยฟังว่า จำเลยทั้ง 4 กับพวก ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 (เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่) และจำเลยทั้งสี่กับพวกรวม 7 คน ได้ประชุมวางแผนและแบ่งหน้าที่กันก่อเหตุวางเพลิงเผาซุ้มดังกล่าวในเขต ต.ชนบท อ.ชนบท จำนวน 2 ซุ้ม (เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร) โดยเวลาต่อมาได้ไปวางเพลิงจนซุ้มฯ ได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 958,000 บาท และเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (เป็นความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์)

ในวันดังกล่าว จำเลยทั้ง 4 คน ให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นๆ ขอให้การปฏิเสธ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ถึง 4 ของคดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 ซึ่งโจทก์ขอให้นับโทษจำคุกต่อจากคดีดังกล่าวด้วย ศาลจึงตรวจพยานหลักฐานและนัดวันสืบพยาน โดยโจทก์มีพยานบุคคลรวม 22 ปาก คู่ความแถลงว่า พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ และตรวจพิสูจน์ของกลาง รวม 2 ปาก จำเลยไม่ติดใจสืบ คงเหลือพยานบุคคลที่จะต้องสืบรวม 20 ปาก นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19 ถึง 22 ธันวาคม 2560 และวันที่ 23 มกราคม 2561 รวม 5 วัน ส่วนจำเลยมีพยานบุคคลรวม 10 ปาก นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 24 ถึง 26 มกราคม 2561 รวม 2 วัน

20 พฤศจิกายน 2560

ศาลจังหวัดพลนัดพร้อม

ศาลจังหวัดพลนัดพร้อมโจทก์จำเลยคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น คดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ซึ่งมีจำเลยหกคน และคดีหมายเลขดำที่ 1268/2560 ซึ่งมีจำเลยสี่คน ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพลยื่นคำร้องขอรวมพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน

จำเลยทั้งหมดได้ขอปรึกษาหารือกับทนายความ และอัยการจังหวัดพล เสร็จแล้วจึงแถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะให้การรับสารภาพทุกข้อหาตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อจำเลยทั้ง 6 แถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะให้การรับสารภาพทั้งสองคดี ศาลจึงอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟัง และถามคำให้การอีกครั้ง จำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การรับสารภาพตามที่โจทก์ฟ้องทุกข้อกล่าวหา

โจทก์และจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ แต่จำเลยขอยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพเป็นหนังสือภายใน 15 วัน และศาลเห็นควรให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้ง 4 รายงานต่อศาล เพื่อศาลใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจก่อนมีคำพิพากษา ทั้งนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 31 มกราคม 2561

31 มกราคม 2561

นัดฟังคำพิพากษา

ศาลจังหวัดพล อ่านคำพิพากษาในคดีคดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ว่า จำเลยที่ 1 ถึง 6 มีความผิดตามฟ้องซึ่งการกระทำของจำเลยทั้ง 6 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 มีอายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ให้ลดมาตราส่วนโทษเหลือ 1 ใน 3 ของแต่ละกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76

ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี

ในความความผิดเป็นซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคแรก พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี

ส่วนความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงฯ, ทำให้เสียทรัพย์ และหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 217, 358 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 4 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 7 ปี

รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 5 ปี 20 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 รวมจำคุก 10 ปี  แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 2 ปี 16 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 5 ปี

พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจเห็นว่า จำเลยทั้ง 6 ร่วมกันวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย นับเป็นการกระทำที่อุกอาจร้ายแรง ไม่มีเหตุรอการลงโทษ

ส่วนคดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 ศาลอ่านคำพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทย จำเลยกระทำความผิดโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์มีความร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจึงสมควรให้ลงโทษสถานหนัก

โดยการกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1, 3 และ 4 มีอายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ศาลจึงสั่งลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4 ฐานเป็นอั้งยี่ คนละ 8 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี ส่วนความผิดฐานเป็นซ่องโจร จำจำคุกเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี

ส่วนความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงฯ และหมิ่นประมาทฯ พระมหากษัตริย์ฯ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 10 ปี รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 7 ปี 20 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 รวม 13 ปี  จำเลยรับสารภาพลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 3 ปี 16 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 คงเหลือจำคุก 6 ปี 6 เดือน ให้นับโทษต่อจากคดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 ริบของกลางคราบน้ำมันดีเซล 1 กระป๋อง

รวมสองคดี จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ต้องโทษจำคุก 5 ปี 32 เดือน จำเลยที่สองต้องโทษจำคุก 11 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 5 และ 6 ต้องโทษจำคุกคดีเดียว 2 ปี 16 เดือน

11 เมษายน 2561

จำเลยยื่นอุทธรณ์

ทนายความของทั้ง 4 คน ได้เข้ายื่นอุทธรณ์ที่ศาลจังหวัดพล คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ตามระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร หรือให้จำเลยเสียค่าปรับ หรือทำงานบริการสังคม โดยจำเลยทั้งหกยินยอมถือปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อขอโอกาสให้จำเลยทั้งหกปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม พร้อมทั้งดูแลครอบครัวต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สังคมมากกว่าการจำคุกจำเลยทั้งหกไว้เป็นเวลานาน

18 กันยายน 2561

นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ว่า การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 140,000 บาท และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเท่านั้น เพราะจำเลยทั้งหกมุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินอันได้แก่ ซุ้มประตูซึ่งเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้งเท่านั้น ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งหกมีความมุ่งหมายที่จะกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งหกย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ไม่ใช่มาตรา 210 วรรค 2 ทั้งนี้ กำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้สำหรับความผิดฐานนี้เหมาะสมแล้ว

ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นกับความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 คนละ 2 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 จำนวน 3 ปี

เมื่อรวมโทษกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ได้แก่ความผิดฐานอั้งยี่และซ่องโจร ทำให้โทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 เหลือคนละ 3 ปี ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เหลือ 4 ปี 6 เดือน และให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1268/2560 ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่มุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ซุ้มประตูอันเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่มีความมุ่งหมายที่จะกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่เห็นพ้องด้วย และความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งสี่ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ไม่ใช่มาตรา 210 วรรค 2

ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น จำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี เมื่อรวมโทษกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอีกว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้งสี่หรือไม่ ศาลเห็นว่า  การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย แม้จำเลยทั้งสี่จะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และมีเหตุจำเป็นอื่น ๆ ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสี่

โดยสรุปสองคดี จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ต้องโทษจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 2 ต้องโทษจำคุก 8 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 5 และ 6 ต้องโทษจำคุก 3 ปี

และที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 958,117.72 บาท สูงเกินไปหรือไม่ ศาลเห็นว่า ได้ความจากผู้ร้องว่า ซุ้มประตูที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกับพวกวางเพลิงเผานั้นก่อสร้างในปี 2550 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงิน 958,117.72 บาท หลังเกิดเหตุซุ้มประตูไม่สามารถใช้การได้ ต้องรื้อและสร้างขึ้นใหม่ ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าซุ้มประตูดังกล่าวเมื่อก่อสร้างขึ้นแล้วย่อมมีความเสื่อมไปตามธรรมชาติและตามสภาพการใช้งาน ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จึงสูงเกินไป เห็นว่า แม้ซุ้มประตูที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกับพวกวางเพลิงเผาจะใช้งานไปนานหลายปี แต่ก็ไม่ปรากฏว่าซุ้มประตูดังกล่าวชำรุด บกพร่อง หรือเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 958,117.72 บาท จึงเหมาะสมแล้ว

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา