1803 1110 1504 1850 1653 1429 1628 1521 1979 1932 1213 1372 1005 1421 1630 1217 1231 1611 1214 1309 1364 1778 1151 1002 1919 1519 1050 1785 1702 1840 1880 1765 1385 1846 1837 1468 1894 1193 1544 1174 1130 1594 1585 1236 1584 1619 1133 1574 1758 1119 1575 1796 1832 1513 1185 1839 1381 1496 1811 1252 1809 1859 1253 1462 1853 1606 1169 1897 1391 1377 1097 1892 1648 1444 1120 1853 1568 1873 1143 1833 1917 1424 1840 1087 1731 1807 1680 1306 1086 1786 1448 1137 1350 1837 1345 1490 1107 1348 1235 บันทึกเหตุการณ์ เมื่อการชุมนุมของพลเมืองลพบุรีเพื่อประชาธิปไตย เผชิญหน้ากับ ‘ฝ่ายตรงข้าม’ | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

บันทึกเหตุการณ์ เมื่อการชุมนุมของพลเมืองลพบุรีเพื่อประชาธิปไตย เผชิญหน้ากับ ‘ฝ่ายตรงข้าม’

 

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 กลุ่มพลเมืองลพบุรีเพื่อประชาธิปไตยซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ในจังหวัดลพบุรีนัดหมายจัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในเวลา 17.00 ที่บริเวณวงเวียนพระนารายณ์
 
วงเวียนแห่งนี้ตั้งอยู่กลางสี่แยกใจกลางเมือง หน้าศาลากลางและสถานที่ราชการสำคัญ โดยมีอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตั้งโดดเด่นอยู่กลางวงเวียน เป็นสถานที่ให้ประชาชนสักการะบูชา มีลักษณะครึ่งวงกลม ด้านหน้าอนุสาวรีย์เป็นลานโล่ง ด้านข้างสองฝั่งเป็นสวนหย่อมและด้านหลังเป็นบริเวณลานจอดรถ
 
เจ้าหน้าที่ไอลอว์เดินทางไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมาใช้สิทธิเข้าชื่อ 50,000 ชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงพื้นที่ในเวลาประมาณ 15.30 และได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่กลุ่มคนเห็นต่างกันสองกลุ่มเผชิญหน้ากัน
 
 
ปะทะคารมรอบที่หนึ่ง แจ้งเจตจำนงค์
 
เวลาประมาณ 15.30 มีเยาวชนผู้จัดกิจกรรมไปถึงพื้นที่ล่วงหน้า 2 คน และมีกลุ่มประชาชนประมาณ 5-6 คนที่อยู่บริเวณนั้น โดยมีบุคคลที่น่าเอ่ยถึงในช่วงเวลานี้สองคน ดังนี้
 
ชายคนที่หนึ่ง วัยกลางคน แต่งชุดไทยโบราณเต็มตัว มีหนวดเล็กน้อย ท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส ถือธงชาติเข้ามาตั้งไว้บริเวณโต๊ะสำหรับวางเครื่องสักการะอนุสาวรีย์พระนารายณ์
 
ชายคนที่สอง วัยกลางคน ผิวดำแดง ผมหยิก ใส่เสื้อสีเหลืองแขนยาวเขียนด้านหลังว่า "ทหารพระนารายณ์ รักในหลวง"
 
กลุ่มประชาชนดังกล่าวเดินเข้ามาพูดคุยกับผู้จัดกิจกรรม โดยชายคนที่หนึ่งพูดจาด้วยท่าทียิ้มแย้มและราวกับเป็นนักแสดง แจ้งว่า กลุ่มของพวกเขาไม่ต้องการให้จัดกิจกรรมบริเวณวงเวียนพระนารายณ์ เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับประชาชนมาเคารพกราบไหว้ ไม่ต้องการให้มีการลบหลู่ เพราะจะกลายเป็นการลบหลู่หัวใจของคนลพบุรี
 
ด้านผู้จัดกิจกรรมอธิบายว่า สาเหตุที่เลือกพื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ แต่ต้องการมาทำกิจกรรมเพื่อสักการะพระนารายณ์เช่นกัน เนื่องจากทราบว่าสมเด็จพระนารายณ์มีความสามารถในทางการค้าขายและตอนนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจจึงต้องมาขอพึ่งบารมีท่าน อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มาคัดค้านการชุมนุมไม่ยินยอมโดยอ้างว่า การชุมนุมครั้งนี้ประกาศว่าจะใช้แฮชแท็ก #กูลูกหลานจอมพล ป. ดังนั้นจึงขอให้ไปจัดที่อนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือให้ไปจัดที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่
 
ระหว่างการพูดคุยกันชายคนที่สองก็ถ่ายภาพถ่ายวิดีโอไปด้วย แล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ระหว่างนั้นมีประชาชนที่จะเข้าร่วมการชุมนุมเดินเข้ามาร่วมฟังด้วยและถามชื่อของชายคนที่สอง ชายคนที่สองไม่ยอมบอกชื่อและเริ่มมีการโต้เถียงด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงขึ้น ชายคนที่หนึ่งจึงบอกให้แยกออกห่างจากกันก่อน
 
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ไอลอว์ถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้ ชายคนที่สองไม่พอใจอย่างมาก และถามว่าถ่ายรูปของเขาใช่หรือไม่ เมื่อตอบรับว่า ใช่ เขาขอให้ลบภาพออก เจ้าหน้าที่ไลออว์ลบภาพออกตามคำขอ แต่ขอถ่ายภาพชายคนที่หนึ่งไว้แทน ชายคนที่หนึ่งตอบว่า ไม่มีปัญหาเพราะเป็นคนลพบุรี รู้จักกันกับกลุ่มผู้จัดเป็นอย่างดี วันนี้ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน 
 
 
 
1499
 
 
หลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มได้แยกย้ายกันไปนั่งหลบแดด โดยกลุ่มผู้จัดการชุมนุมหลบแดดอยู่ทางซ้ายมือของอนุสาวรีย์ ส่วนกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมหลบแดดอยู่ทางขวามือของอนุสาวรีย์ สถานการณ์ตึงเครียดเล็กน้อยแม้ไม่มีบทสนทนากันต่อ ฝ่ายผู้จัดการชุมนุมได้เอาผลไม้ไปวางสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์ และเริ่มยกอุปกรณ์เวทีเข้าพื้นที่ โดยผู้จัดการชุมนุมได้ประสานงานกับทางตำรวจ สภ.เมืองลพบุรีเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและได้รับคำตอบจากตำรวจว่า ให้ไปเจรจากันที่สถานีตำรวจ ผู้จัดจึงส่งตัวแทนไปสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นทีมผู้จัดกิจกรรมก็เริ่มทยอยมาสมทบเพื่อเตรียมงานและยืนยันจะเดินหน้าต่อเพราะสิ่งที่ทำไม่ได้ผิดกฎหมาย
 
 
ปะทะคารมรอบที่สอง หลังขอตั้งโต๊ะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
 
ระหว่างที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประชาชนสองกลุ่มยังไม่จบ ผู้จัดกิจกรรมเดินเข้ามาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ไอลอว์ว่าได้เตรียมโต๊ะและพื้นที่สำหรับตั้งโต๊ะเพื่อเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้แล้ว และในแผนการโต๊ะจะอยู่ด้านข้างลานอนุสาวรีย์พระนารายณ์ เนื่องจากเครื่องเสียงและเต้นท์อำนวยการอยู่ทางด้านซ้ายของอนุสาวรีย์ โต๊ะแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงควรอยู่ทางด้านขวา แต่บริเวณใกล้เคียงกับจุดตั้งโต๊ะมีกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้ชุมนุมบริเวณนั้นนั่งหลบแดดอยู่รวมประมาณ 10 คน
 
เวลาประมาณ 16.15 น. เนื่องจากการเตรียมอุปกรณ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และข้าวของต่างๆ ต้องใช้เวลานาน เจ้าหน้าที่ไอลอว์จึงต้องการพูดคุยกับกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้จัดชุมนุมเพื่อลดความขัดแย้ง โดยเดินเข้าไปยกมือไหว้สวัสดีประชาชนทุกคนพร้อมกับแนะนำตัวว่ามาจากไอลอว์ เดินทางมาจากกรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีเจตนาที่จะลบหลู่คนลพบุรี ไม่มีเจตนาที่จะลบหลู่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือพระมหากษัตริย์พระองค์ใด สาเหตุที่ต้องมาอยู่บริเวณนี้เพราะผู้จัดกิจกรรมให้มาอยู่ ถ้าหากผู้จัดกิจกรรมจะย้ายสถานที่ไปที่ไหนก็ยินดีย้ายไปตามความต้องการ
 
ช่วงแรกกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้จัดชุมนุมเข้ามาพูดคุยถามไถ่ด้วยไมตรีจิต ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมีอายุ ใส่หน้ากากอนามัย แต่หลังจากพูดคุยสักพักบทสนทนาเริ่มรุนแรงขึ้น น้ำเสียงและกริยาก็เริ่มรุนแรงขึ้นกลายเป็นการชี้หน้าและกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ไอลอว์ทำนองว่า คนกรุงเทพฯ ไม่เข้าใจและจะมาทำลายจิตใจคนลพบุรี
 
"อยู่ที่นี่ก็สงบสบายดีแล้ว อย่ามาสร้างความวุ่นวาย"
 
"เป็นลูกหลานจอมพลป. ก็ไปจัดหน้าจอมพลป. อย่ามาจัดตรงนี้"
 
"หนูไม่รู้จักพระนารายณ์เหรอ ไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์สิ คนรุ่นนี้ไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์"
 
"ไม่แก้หรอก รัฐธรรมนูญ ไม่ต้องแก้"
 
เจ้าหน้าที่ไอลอว์ไม่ได้ตอบโต้ กลุ่มเยาวชนที่จะเข้าร่วมการชุมนุม 2 คนซึ่งเดินมาฟังการโต้เถียงอยู่ ได้เปิดบทสนทนาต่อโดยถามว่า "รู้ได้อย่างไรว่า คนลพบุรีเห็นแบบนี้ทุกคน" กลุ่มหญิงมีอายุจึงเดินเข้าไปต่อว่าเยาวชนคนนั้น ด้านเยาวชนก็ยืนยันว่า ตัวเองเป็นคนลพบุรีเหมือนกันและเห็นว่าการชุมนุมนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศชาติ การทำสิ่งที่ดีจึงสามารถทำที่ไหนก็ได้ 
 
หลังจากนั้นบทสทนาเริ่มรุนแรงขึ้นโดยมีผู้ชายเข้ามาร่วมด้วย เมื่อเยาวชนถามว่า มีคนลพบุรีกี่คนที่เห็นเช่นนั้น ชายมีอายุจึงเริ่มขึ้นเสียงทำนองว่า “จะเอาคนพันนึงไหม?” “จะวัดกันด้วยปริมาณไหม?” บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น ผู้ชุมนุมคนอื่นจึงเข้ามาห้ามปรามการโต้เถียงและแยกเยาวชน 2 คนออกไป ฝ่ายผู้คัดค้านการชุมนุมก็มีชายใส่ชุดไทยมาแยกกลุ่มของตัวเองออกไปเช่นกัน
 
บรรยากาศยังคงตึงเครียด ผู้จัดการชุมนุมจึงมาแจ้งไอลอว์ให้ย้ายโต๊ะสำหรับการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งให้ห่างจากกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุม และมาช่วยกันยกโต๊ะกับเต้นท์ย้ายฝั่งไป
 
เจ้าหน้าที่ไอลอว์สังเกตเห็นว่า ช่วงเวลาดังกล่าวชายคนที่หนึ่งได้โทรศัพท์รายงานสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา และปรึกษาในสายโทรศัพท์ว่าควรทำอย่างไรต่อไป จากชายบุคลิกร่าเริงแจ่มใส แต่เมื่อคุยโทรศัพท์เขากลับใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมและค่อนข้างเครียด
 
 
ชุลมุนรอบที่สาม ประกาศ "ไม่อนุญาตให้จัด"
 
เวลาประมาณ 16.40 ใกล้ถึงเวลานัดหมายการชุมนุมแล้ว ผู้ชุมนุมเริ่มยกรั้วเหล็กไปกั้นหน้าเวที นำป้ายผ้าไปติดที่รั้ว และเริ่มเปิดเครื่องเสียงทดสอบระบบ กลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมซึ่งมีประมาณ 15-20 คนจึงเคลื่อนไหวชัดเจนโดยการเคลื่อนตัวเข้ามาด้านหน้าบริเวณที่จะตั้งเวที และถือธงชาติขนาดใหญ่ 2 ผืนมาโบก ชายคนที่หนึ่งที่ใส่ชุดไทยถือโทรโข่งขนาดเล็กและประกาศออกมาชัดเจนว่า “คนลพบุรีไม่อนุญาตให้จัดการชุมนุมในพื้นที่บริเวณนี้” โดยใช้น้ำเสียงดุดัน ด้านผู้จัดการชุมนุมก็ยังคงทยอยขนอุปกรณ์เข้ามาด้วยท่าทีไม่สนใจ
 
จนกระทั่งชายคนที่หนึ่งประกาศว่าจัดชุมนุมบริเวณนี้ไม่ได้ เพราะผู้จัดไม่เคยขออนุญาต และไม่เคยได้รับอนุญาตจากใคร ผู้จัดการชุมนุมจึงเอาหนังสือสรุปสาระสำคัญตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะที่ออกโดยผู้กำกับ สภ.เมืองลพบุรีมายื่นให้ดู พร้อมกับทำเสียงล้อเลียนเยาะเย้ย ทำให้กลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมเกิดความไม่พอใจ คว้าหนังสือดังกล่าวมาดูพร้อมกับตอบโต้ว่า “เด็กพวกนี้ก้าวร้าว นิสัยไม่ดี”
 
หลังจากนั้นกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมเดินไปทั่วพื้นที่ ชายคนที่สองถ่ายไลฟ์เฟซบุ๊กตลอดเวลา และวิจารณ์กลุ่มเยาวชนเป็นระยะๆ โดยประกาศผ่านเฟซบุ๊กของให้ประชาชนชาวลพบุรีช่วยกันออกมารวมตัวเพื่อต่อต้านคนที่มาลบหลู่คนลพบุรี (แต่ไม่มีใครมาเพิ่ม) ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่ได้ตอบโต้ด้วยคำพูดมากนัก แต่ทำหน้าตาล้อเลียน ชูสามนิ้วให้ และมีการโต้เถียงกันเล็กน้อยประปราย
 
1500
 
 
ชายคนที่สองกล่าวโจมตีผู้จัดชุมนุมว่า เอารั้วมาตั้งกีดขวางทำให้เข้าไปสักการะสมเด็จพระนารายณ์ไม่ได้ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเปิดทางให้และบอกว่าสามารถเข้าไปได้ ขณะเดียวกันมีชายคนที่สาม ใส่เสื้อคอโปโลสีแดงเดินไปรื้อเชือกที่ผู้ชุมนุมขึงกั้นระหว่างรั้วเพื่อจะเข้าไป ผู้ชุมนุมก็กรูกั้นเข้าไปขวางการรื้อเชือก ชายคนที่สามแสดงท่าทีไม่พอใจโดยยืนยันว่าต้องการเข้าไปสักการะ ผู้ชุมนุมกล่าวว่าให้เข้าไปได้ แต่รื้ออุปกรณ์ของผู้ชุมนุมไม่ได้ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดพอสมควร ผู้ชุมนุมจึงชวนให้ผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้หญิงจำนวนหนึ่งมานั่งจับมือกันบริเวณหน้าอนุสาวรีย์ในจุดที่จะเป็นสถานที่ตั้งเวที และทีมงานที่จัดเวทีก็เดินหน้าติดตั้งอุปกรณ์ต่อไป
 
ในช่วงเวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่ไอลอว์สังเกตเห็นว่า มีตำรวจในเครื่องแบบ 3 คนทำหน้าที่ดูแลการจราจรอยู่บนถนนห่างออกไปจึงวิ่งไปหาและตะโกนข้ามฝั่งถนนบอกให้ตำรวจมาช่วยควบคุมสถานการณ์ ตำรวจเดินข้ามถนนเข้ามาใกล้ๆ เพราะได้ยินคำขอไม่ชัดเจน
 
"คุณตำรวจไปช่วยหน่อยครับ เดี๋ยวเขาจะตีกันแล้ว" เจ้าหน้าที่ไอลอว์ตะโกน แต่ตำรวจจราจรสื่อสารด้วยท่าทางกลับมาให้พอเข้าใจได้ว่า เขาจะไม่ไปบริเวณที่ชุมนุมและจำเป็นต้องอยู่ประจำจุดดูแลการจราจร
 
 
ตำรวจมาช้ามาก ไม่ได้ห้ามและไม่ได้ให้
 
เวลาประมาณ 16.50 น. ตำรวจหนุ่มในเครื่องแบบ 2 นายเดินเข้ามาในพื้นที่ที่กำลังชุลมุน กลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมกรูเข้าไปหาตำรวจและพยายามอธิบายให้ตำรวจยับยั้งการชุมนุม แต่ตำรวจในเครื่องแบบไม่ได้ตอบโต้ สักพักหนึ่งตำรวจผู้ใหญ่แต่งกายนอกเครื่องแบบอีก 2 คนได้เดินเข้ามาพูดคุย โดยอธิบายว่าตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ตำรวจไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการชุมนุม มีเพียงหน้าที่รับแจ้ง ซึ่งกรณีนี้ได้รับแจ้งแล้ว และไม่อาจยืนยันได้ว่าการชุมนุมนี้ผิดกฎหมายใดหรือไม่
 
ด้านผู้คัดค้านการชุมนุมพยายามอธิบายว่า การชุมนุมมีลักษณะลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการตั้งเวที ตั้งรั้วขวาง ทำให้ลักษณะทางกายภาพของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกเปลี่ยนแปลงไปย่อมจะต้องผิดกฎหมายแน่ๆ จึงขอให้ตำรวจเข้าห้ามการชุมนุม แต่ตำรวจแจ้งกลับว่า ทางตำรวจจะพิจารณาว่าการกระทำใดผิดกฎหมายหรือไม่และจะดำเนินการภายหลัง ผู้คัดค้านการชุมนุมยังคงรุมล้อมพูดคุยกับตำรวจผู้ใหญ่รายนั้นอยู่พักใหญ่ ขณะที่การตั้งเวทีก็ดำเนินไป ถัดออกไปประชาชนทั้งสองกลุ่มก็ยังคงชุลมุนโต้เถียงกันประปราย
 
เวลาประมาณ 17.15 ตำรวจในเครื่องแบบพร้อมหมวกกันน็อคและเสื้อเกราะประมาณ 15 นายจึงเข้ามาในพื้นที่และยืนเรียงแถวกั้นผู้ชุมนุมสองกลุ่มออกจากกัน โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายยืนห่างออกจากแถวของตำรวจ 3 ก้าว
 
ช่วงแรกกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมทั้งสองฝ่ายยังตะโกนโวยวายใส่ตำรวจบ้าง และตะโกนใส่กันเองบ้าง แต่สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก จนกระทั่งการชุมนุมเริ่มขึ้นด้วยการปราศรัยของนักเรียนและการเล่นดนตรี กลุ่มผู้คัดค้านจึงเริ่มสงบลงและรวมตัวกันอยู่ด้านขวาของอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็มีคนเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กิจกรรมเดินหน้าต่อไปได้ตามกำหนด
 
จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น.หลังผู้ชุมนุมเคารพธงชาติพร้อมกับการชูสามนิ้ว กลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมก็รวมตัวกันถ่ายภาพและเดินทางกลับ ส่วนการชุมนุมก็เดินหน้าต่อไปตามที่ผู้จัดวางแผนไว้
 
 
1501
 
1502
 
1503
 
 
 
Article type: