1592 1220 1376 1221 1920 1962 1529 1532 1175 1887 1433 1429 1142 1288 1977 1113 1167 1937 1440 1061 1322 1379 1122 1913 1012 1904 1875 1236 1195 1807 1797 1740 1252 1507 1834 1052 1592 1006 1343 1010 1719 1802 1246 1610 1562 1615 1336 1322 1030 1281 1399 1019 1766 1704 1946 1464 1629 1257 1303 1317 1283 1223 1286 1207 1375 1181 1822 1765 1227 1697 1183 1837 1427 1687 1960 1595 1936 1861 1363 1539 1556 1513 1921 1966 1746 1320 1824 1741 1250 1980 1432 1452 1392 1590 1381 1494 1850 1316 1285 ชาญวิทย์: อุดมการณ์อันยาวนาน กับใบปลิวเอกสารที่รอการพิสูจน์ | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

ชาญวิทย์: อุดมการณ์อันยาวนาน กับใบปลิวเอกสารที่รอการพิสูจน์

 
แม้ในปี 2558 ชาญวิทย์ จะมีอายุ 60 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ไม่ต่างจากสมัยหนุ่มๆ ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวในเหตุการณ์เดือนตุลา ทั้งปี 2516 และ 2519 จนต้องสูญเสียอิสรภาพ ในครั้งนี้ (ปี 2558) ชาญวิทย์ต้องสูญเสียอิสรภาพอีกครั้ง เมื่อใบปลิวที่เขาแจกในงานชุมนุมทางการเมืองที่ท่าน้ำนนท์ เมื่อปี 2550 ถูกมองว่าเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112    
 
ชาญวิทย์เป็นชาวจังหวัดพัทลุง เขาจบการศึกษามัธยมปลาย จากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ในปี 2516 เขาสอบเข้าคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ แต่ก็เรียนไม่จบ เนื่อกจากเป็นโรคเครียด จึงลาออกขณะเรียนอยู่ปี 3 เพื่อไปรักษาตัว 
 
ชาญวิทย์สนใจการเมืองและทำงานเคลื่อนไหวร่วมกับภาคประชาสังคมมาตลอด เขาเข้าร่วมขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาเคยถูกศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้จำคุกมาแล้วครั้งหนึ่ง 
 
หลังออกจากคุกในช่วงปี 2520 เขาเข้าร่วมกับศูนย์นิสิตนักศึกษาภาคเหนือและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ชาญวิทย์เล่าถึงอุดมการณ์ของเขาในขณะนั้นว่า เขาต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 
 
หลังรัฐบาลพล.อ.เปรม มีคำสั่งที่ 66/2523 นิรโทษกรรมให้กับผู้ร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์ที่ยอมเข้ามอบตัว ชาญวิทย์ก็หยุดการเคลื่อนไหวทางการเมือง     
 
ในเดือนพฤษภาคม 2535 ชาญวิทย์เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง โดยร่วมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นผลให้เขาถูกจับกุมและถูกขังที่เรือนจำคลองเปรม 3 วัน ช่วงปี 2539 ชาญวิทย์เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ติดตามกฎหมายจากรัฐสภาให้กับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 
 
หลังการรัฐประหาร 2549 ชาญวิทย์วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และทำใบปลิวออกแจกจ่าย เนื่องจากต้องการให้เจตนารมณ์ของคณะราษฎรเกิดขึ้นจริง นั่นคือ "ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย" 
 
ใบปลิวที่ชาญวิทย์แจก ยาว 5 หน้า มีกล่าวถึงบุคคลในพระบรมวงศานุวงศ์ บุคคลสำคัญ และนักการเมือง อย่างน้อย 13 คน มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รวมอยู่ด้วย เนื้อหาของใบปลิวมีลักษณะเป็นการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ และวิเคราะห์พฤติกรรมในอดีตของบุคคลต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับโชคชะตา 
 
และใบปลิวเจ้าปัญหาทำให้ชาญวิทย์ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ในปี 2551 ระหว่างสู้คดี ชาญวิทย์ได้รับการประกันตัว แต่ต่อมาเขาไม่มารายงานตัวตามนัดศาล ทำให้กลายเป็นผู้ต้องหาหนีคดี และถูกออกหมายจับ 
 
เดือนมีนาคม 2558 มีเหตุปาระเบิดศาลอาญา ชาญวิทย์มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วย เขาถูกจับอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งก่อนถูกจับกุมเขาไปเป็นวิทยากรประเด็นประชาธิปไตย ให้กลุ่มประชาชนในจังหวัดขอนแก่น  และมักแจกใบปลิวเพื่อเผยแพร่แนวคิดในประเด็นต่างๆ เป็นประจำ
 
ในคดีปาระเบิด นอกจากมือระเบิดสองคนที่ถูกจับจากที่เกิดเหตุ ซึ่งให้การรับสารภาพไปแล้ว ชาญวิทย์และบุคคลอีกอย่างน้อย 20 คนที่อยู่ในกลุ่มไลน์เดียวกัน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารตามจับตัวได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่ให้การปฏิเสธ ในจำนวนนี้ได้รับการประกันตัว 1 คน
 
ระหว่างถูกควบคุมตัวในคดีปาระเบิดศาลอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวเขากลับมาดำเนินคดี 112 อีกครั้ง หลังคดีถูกจำหน่ายชั่วคราวไปกว่า 7 ปี 
 
 
"ผมต้องการให้สถาบันฯ มีความมั่นคงขึ้นตามเอกสารชิ้นนี้" และ "ประเมินสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น” ชาญวิทย์เบิกความไว้ตอนหนึ่ง ในวันสืบพยานที่ศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อเดือนกันยายน 2558   
 
จากใบปลิว 1 ชุด อัยการฟ้องชาญวิทย์โดยแยกเป็นความผิดตามมาตรา 112 จำนวน 4 กรรม คือ การหมิ่นประมาท 1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2) สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 3) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช 4) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งชาญวิทย์บอกกับศาลว่า เขาประเมินและวิจารณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์สังคมและโหราศาสตร์ที่ศึกษามา และไม่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท แต่จะทำให้สถาบันมั่นคงขึ้นดังเช่นโมเดลของประเทศญี่ปุ่น โดยข้อมูลบางส่วนมาจากเอกสารที่ได้จากงานศพ พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช และรวบรวมจากที่อื่นๆ  
 
ชาญวิทย์ยังต่อสู้ในประเด็นองค์รัชทายาทนั้นครอบคลุมถึงพระองค์ใดบ้างด้วย โดยเขาระบุว่า ตามกฎหมายมาตรา 112 คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลนั้นกำหนดให้องค์รัชทายาทเป็นชายเท่านั้น จึงไม่ครอบคลุมถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามที่โจทก์ฟ้อง

“การแจกใบปลิวเป็นปฏิบัติการทางการเมืองอย่างหนึ่ง ผมเป็นพลเมืองผมจึงต้องนำเสนอแนวคิดต่อสังคม ไม่อาจนั่งเฉยๆ" ชาญวิทย์แถลงต่อศาลเพื่อย้ำถึงจุดประสงค์ที่ทำ

"ไม่มีครอบครัว อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด" เขาพูดด้วยบุคลิกเด็ดเดี่ยว และท่าทีที่มั่นใจในตัวเองสูง เมื่อถามถึงครอบครัวและอุดมการณ์ที่ต่อสู้ หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ชาญวิทย์ขอสัมผัสมือกับผู้มาร่วมฟังการพิจารณาคดีในศาล เป็นสัญญาณถึงมิตรไมตรีต่อกันก่อนจากลา “ไม่เป็นไร ข้างนอกกับข้างในก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ต่างแค่ขนาดของกรง” เขากล่าวกับเพื่อนที่ตามไปฟังการพิจารณาคดี เมื่อถามถึงสภาพการคุมขังข้างใน นับถึงก่อนการพิพากษาเขาถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ มากว่า 8 เดือนแล้ว และยังต้องต่อสู้คดีปาระเบิดศาลอาญาอีกคดีหนึ่งที่ศาลทหาร  

 

ชนิดบทความ: