สองปีบรรยากาศความเศร้า สองปีเหตุการณ์ “รุมกระทืบ” เปิดคำพิพากษา ยกฟ้อง 112 แต่ให้จำคุก 8 เดือน หนุ่มโรงงานโพสต์ขายเหรียญ

 

18 ตุลาคม 2559 วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ระหว่างที่ประชาชนชาวไทยยังตกอยู่ในบรรยากาศความโศกเศร้า ด้วยข่าวการเสด็จสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็มีข่าวไม่ดีเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อกีฬาสีม่วง ถูกประชาชนหลายสิบคนในชุดสีดำลากตัวออกมา ตบหัว เตะ และบังคับให้นั่งลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ปรากฏภาพเคลื่อนไหวเป็นคลิปที่แชร์ต่อกันบนเฟซบุ๊ก

 

ข้อมูลต่อมาทราบว่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวอายุ 19 ปี มีนามสมมติว่า “เค” เป็นคนจังหวัดพิษณุโลกที่เดินทางมาทำงานรับจ้างในโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรม สาเหตุที่ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจเนื่องจาก “เค” โพสต์ภาพเหรียญกษาปณ์ในกลุ่มขายของมือสอง และประกาศว่า จะขายทุกเหรียญในราคา 5 บาท ซึ่งก็มีคนแสดงความเห็นตอบโต้ในทำนองว่า โพสต์ดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนั้น และมีผู้แกะรอยจากเฟซบุ๊กจนทราบที่ทำงานของ “เค” และไปตามเอาตัว “เค” ออกมารับการลงโทษทางสังคม ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทอง ก็พอตัว “เค” ออกจากที่เกิดเหตุไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

 

“เค” ถูกฝากขังและส่งตัวเข้าเรือนจำ เนื่องจากเขาไม่มีเงินเพียงพอจะยื่นขอประกันตัว และบรรยากาศในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายก็เป็นกังวลต่อคดีนี้มาก นักกิจกรรมหลายคนนำโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันช่วยกันลงแรงทำกิจกรรมรับบริจาคเงินเพื่อช่วยประกันตัวของ “เค” พร้อมกับติดต่อทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษชนเข้าช่วยเหลือทางกฎหมาย หลังระดมเงินได้ 200,000 บาทและยื่นขอประกันตัว “เค” ศาลจังหวัดชลบุรีอนุญาตให้ประกันตัวในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 รวมเป็นระยะเวลาเดือนเศษที่ “เค” ต้องอยู่ในเรือนจำ

 

หลังได้ประกันตัว ข่าวความเคลื่อนไหวคดีของ “เค” อาจจะหายไปจากความรับรู้ของสังคมบ้าง ส่วนหนึ่งเพื่อความปลอดภัยของตัวจำเลยเมื่อต้องเดินทางกลับมาในพื้นที่ความขัดแย้ง และอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากศาลจังหวัดชลบุรีสั่งห้ามเผยแพร่เนื้อหาในการพิจารณาคดีก่อนจะมีคำพิพากษา แต่ “เค” และแม่ยังต้องเดินทางจากบ้านที่พิษณุโลกมายังจังหวัดชลบุรีอีกหลายต่อหลายครั้ง เพื่อมาเข้าฟังการพิจารณาคดี ซึ่งในคดีนี้ฝ่ายอัยการโจทก์ยื่นขอสืบพยานเป็นจำนวนถึง 13 ปาก ส่วนใหญ่เป็นประชาชนที่พบเห็นการโพสต์ขายเหรียญแล้วรู้สึกไม่พอใจ จึงมาเบิกความแสดงความคิดเห็นต่อข้อความดังกล่าว ทำให้ใช้เวลาพิจารณาคดีไปรวมแล้ว 6 วัน และต้องเลื่อนออกไปหลายครั้ง

 

ด้าน “เค” ก็ยอมรับต่อศาลว่า ได้โพสต์ข้อความตามที่ถูกฟ้องจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ในการต่อสู้คดีนี้ “เค” เบิกความต่อศาลว่า การโพสต์ขายเหรียญนั้นเป็นการโพสต์เล่นๆ ไม่ตั้งใจจะขายจริง เพราะเห็นว่า ก่อนหน้านี้มีคนนำเหรียญและธนบัตรมาโพสต์ขายกันในเพจนี้จำนวนมาก และเมื่อถูกตำหนิก็แสดงความเห็นไปโดยเจตนาตอบโต้คนที่เข้ามาตำหนิ ไม่ได้เจตนาดูหมิ่นรัชกาลที่ 9 หลังจากนั้นเห็นว่ามีคนมาตำหนิก็จึงลบโพสต์ทันที เพราะกลัวคนเข้าใจผิด แต่มีคนถ่ายภาพหน้าจอไว้ แล้วเอาไปโพสต์ซ้ำในเพจพร้อมเชิญชวนให้คนมาทำร้าย ก่อนเกิดเหตุไม่เคยฝักใฝ่ทางการเมือง ไม่รู้และไม่เข้าใจเรื่องทางการเมือง วันเกิดเหตุมีคนทั้งชายและหญิงบุกเข้ามาที่หอพักพร้อมทำร้ายที่ใบหน้าและร่างกาย ก่อนจะถูกล็อคคอลงมาด้านล่างเพื่อบังคับให้กราบพระบรมฉายาลักษณ์ ระหว่างนั้นก็ถูกทำร้ายตลอด จนตำรวจเข้ามาพาตัวไป มิเช่นนั้นก็จะถูกทำร้ายเพิ่มเติมอีก

 

5 กรกฎาคม 2561 ศาลจังหวัดชลบุรีอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ โดยพิพากษาว่า การโพสต์ขายเหรียญไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยหลอกลวง อาจทำให้เกิดความเสียหายให้ต่อประชาชน เป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) ให้จำคุก 8 เดือน และให้ริบโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้โพสต์ข้อความ ซึ่งในวันเดียวกันทนายความก็ยื่นขอประกันตัวต่อด้วยหลักทรัพย์เดิม เพื่อใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และ “เค” ยังได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีต่อไป

 

คำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรี พอสรุปได้ดังนี้

 

ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือโพสต์ขายเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ ที่ปรากฏพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพร้อมข้อความประกอบ และแสดงความคิดเห็น มีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงประการเดียวว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

 

ศาลเห็นว่า เหรียญกษาปณ์เป็นเงินตราประเภทหนึ่ง ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เหรียญกษาปณ์แต่ละชนิดที่นำออกใช้จะมีมูลค่าเท่าใดขึ้นอยู่กับราคาซึ่งกำหนดไว้หน้าเหรียญ เหรียญกษาปณ์เป็นสังหาริมทรัพย์ที่สามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ ในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่ประชาชนทั่วไปหาไว้เป็นของสะสม ราคาของเหรียญในฐานที่เป็นทรัพย์สินย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการหรือความนิยมของผู้ซื้อและความพอใจของผู้ขาย ราคาขายจึงอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาที่หน้าเหรียญ การขายเหรียญในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าเหรียญจึงมีผลเพียงแต่ลดทอนมูลค่าของเหรียญกษาปณ์ แต่ไม่มีผลเป็นการลดทอนคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์บนเหรียญกษาปณ์ที่แสดงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

 

ทั้งการที่พสกนิกรชาวไทยซึ่งอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชต่างรักเคารพเทิดทูนพระองค์ท่าน ก็โดยเหตุที่ว่า ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันมีคุณประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทยนานัปการ ความรักเคารพเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระองค์ท่านจจึงไม่แปรผันไปตามมูลค่าของเหรียญกษาปณ์ที่สูงขึ้นหรือต่ำลง การที่จำเลยโพสต์ภาพเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ พร้อมข้อความประกาศขายเหรียญทั้งหมดในราคาเดียว ไม่ว่าจะมีเจตนาขายเหรียญกษาปณ์นั้นหรือไม่ จึงไม่เป็นการใส่ความพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่่น่าจะทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ไม่เป็นการดูถูกเหยียดหยามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

จำเลยต้องการโพสต์เพื่อสร้างความตลก แต่ผู้ที่รับสารไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เมื่อถูกตำหนิจำเลยจึงโกรธ และแสดงความคิดเห็นโดยใช้คำสรรพนามไม่สุภาพต่อว่าผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “เหมาเหรียญ 10 เหรียญละ 5 บาท ใช่ไหมคะ” ซึ่งเป็นการสอบถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขายโดยตรง จำเลยกลับไม่ตอบ แต่ตอบโต้คนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทางตำหนิจำเลยทันที แสดงเจตนาที่อยู่ภายในใจว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจะขายเหรียญจริง โพสต์ของจำเลยจึงเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยหลอกลวง การกระทำของจำเลยมีผลเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของเพจ ทำให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกของเพจที่มีอยู่ประมาณ 90,000 คน และผู้ดูแลรู้สึกสับสน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)

 

ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2560 ยกเลิกความในมาตรา 14 เดิม และให้ใช้ความใหม่แทน ปรากฏว่า กฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลย

 

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ที่แก้ไขใหม่ ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 19 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา 76 จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

ดูรายละเอียดคดีนี้เพิ่มเติมได้ที่นี่