รุ่งศิลา : บทกวีหลังกรงขัง

***อัพเดทล่าสุดวันที่ 10 มิถุนายน 2562
 
“รุ่งศิลา” เป็นนามปากกาของสิรภพ จำเลยคดี 112 เขาเป็นกวีที่มีเว็บบล็อกและเฟซบุ๊กที่เขียนบทความและบทกลอนเกี่ยวกับการเมือง
 
 
เดือนมิถุนายน 2557 สิรภพถูกควบคุมตัวโดยทหารขณะกำลังเดินทางผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ไปยังจังหวัดอุดรธานี ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวของ คสช. หลังจากนั้น เขาถูกเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) อายัดตัวไปสอบสวนต่อในข้อหาหมิ่นประมาทพระกษัตริย์ฯ ต่อมาเขาถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 จากการเขียนบทความและบทกลอนลงบล็อกจำนวน 3 ชิ้น ซึ่งถือเป็นความผิดรวม 3 กรรม
 
 
ก่อนถูกส่งตัวไปฝากขังเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ทำให้เขาถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นมา นับรวมถึงปัจจุบันเป็นเวลา 4 ปี 11 เดือน 16 วัน หรือ 1811 วัน
 
 
คดีนี้ อัยการทหารได้มีการสั่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2557 และศาลทหารนัดถามคำให้การตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปีแล้ว คดีสืบพยานโจทก์ไปได้ทั้งหมดเพียง 3 ปาก โดยฝ่ายโจทก์มีการระบุพยานที่จะสืบจำนวนทั้งหมด 10 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยจะสืบทั้งหมด 3 ปาก
 
อีกทั้ง อัยการทหารยังแถลงขอให้ศาลพิจารณาเป็นการลับ เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอาจกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักร ซึ่งศาลทหารก็ได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับโดยตลอด ผู้สังเกตการณ์คดีโดยทั่วไปไม่สามารถเข้าฟังการพิจารณาได้
 
 
อลอว์นำบทความและกวีของ “รุ่งศิลา” มาเผยแพร่ เนื้อความอันหนักแน่นไปด้วยเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ถ้อยแถลงของบรรดานักคิด-นักเขียนทางการเมือง ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวบอกเล่าความคิด ความเชื่อของเขาที่มีต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพ 
 
-1-
 
*ราษฎรผู้ไม่เชื่อฟัง*
 
บทความ รุ่งศิลา
 
 
บอกผู้คนต่อๆกันไปด้วยว่า…พวกเขา…ต้องหยุด มีคุณอีกนับเป็นพันๆคน ทุกๆวันจำนวนของคุณเพิ่มมากขึ้น  วันหนึ่ง…จะมีคุณนับจำนวนล้านล้าน และทุกคนพูดด้วยเสียที่เข้มแข็งเป็นหนึ่งเดียวกัน
 
 
“สิทธิขบถ”…ย่อมกระหึ่มทั่ว… “เมื่อใดที่ผู้ปกครองใช้อำนาจในการปกครองอย่างไม่สุจริต  อำนาจนั้นก็จะไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป ประชาชนก็มีสิทธิ์จะดื้อแพ่ง ต่อต้านอำนาจนั้น เพื่อล้มล้างอำนาจอันไม่ชอบธรรมนั้นลงได้ ถือว่าประชาชนมีสิทธิ์ในการกระทำเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์”…จอห์น ล็อค นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ คศ.1632
 
 
การที่ผู้ถูกกดขี่ ลุกขึ้นแข็งข้อต่อต้าน อำนาจผู้เผด็จการ ลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจกดขี่ เป็นภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์อันมิอาจบ่ายเบี่ยง   ในสังคม…ตลอดประวัติศาสตร์และปัจจุบัน มนุษย์ชาติมิได้ถูกสร้างให้เกิดมามีจิตใจที่พร้อมจะยอมรับ อำนาจกดขี่ ข่มเหง รังแกใดๆ
    
 
“มนุษย์นั้นมีสิทธิที่จะถูกพรากไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น…ชีวิต-เสรีภาพ-และการแสวงหาความสุข …เมื่อไดก็ตาม ที่ระบบของการปกครองกลายเป็นตัวทำลาย ซึ่งจุดหมายปลายทางดังกล่าว ก็ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างได้” … คำประกาศอิสรภาพ จิตวิญญาณประชาธิปไตย ของสหรัฐอเมริกา โดย โทมัส เจฟเฟอร์สัน [Thomas Jefferson] ใน “ปฏิวัติอเมริกา”-American Revolution ปีคศ.1775
 
 
การปะทะกันระหว่างความขัดแย้งของเก่ากับใหม่ คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ อีกทั้งการต่อสู้บนแนวทางอหิงสาเป็นเพียงความฝัน สำหรับสมรภูมิที่อีกฝ่ายไม่ยอมอหิงสาด้วย… .การต่อสู้ของประชาชนที่เริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ เข้ากระทำต่อชนชั้นปกครอง “เผด็จการ”ผู้กุมอำนาจรัฐ…และเมื่อคนของประชาชนคนหนึ่งล้มลง ประชาชนอีกหลายคนจะลุกขึ้นแทน…กงล้ออันทรงพลังของประวัติศาสตร์ไม่สามารถ และไม่ถูกบังคับให้หยุดได้… เมื่อผู้นำคนแล้วคนเล่าล้มลง เริ่มต้นจากคนน้อยขยายไปสู่คนจำนวนมาก… เสรีชนต่อสู้กับเผด็จการ
 
 
“เมื่อน้ำเสีย ปลาก็สำลัก… เมื่อรัฐบาลรุนแรง ประชาชนก็ขบถ”
 
 
จุดมุ่งหมายของกองทัพ ทหารควรมีไว้เพื่อต่อสู้อริราชศัตรู ป้องกันประเทศมีไว้เพื่อระงับความรุนแรง มิใช่สร้างความรุนแรงหรือทำการก่อกบฏปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองของประชาชน การฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆของบ้านเมือง โดย “คณะทหารกบฏ” ผู้ยึดอำนาจสำเร็จ หัวหน้ากบฏ ถือเป็น… “รัฏฐาธิปัตย์”เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะทำอะไรก็ได้ ใช้อำนาจอธิปไตยโดยสิทธิ์ขาดของตนแต่ผู้เดียว
 
 
“รัฏฐาธิปัตย์” เป็นอันตราย เพราะอำนาจอยู่ในกำมือของคนไม่กี่คน… เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนดี จะตรวจสอบได้อย่างไร คานอำนาจได้อย่างไร… รัฏฐาธิปัตย์ สามารถพัฒนาตัวมันไปสู่ความเป็นเผด็จการเต็มตัว  แนวคิดความหมายของคำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก ยุคสมัยที่จอมเผด็จการนาชี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ [Adolf Hitler]ผู้นำเยอรมัน ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่2 WWⅡเล็กน้อย โดย “เนติบริกร”ผู้ตระบัดสัตย์ต่อจรรยาบรรณวิชาชีพอธิบายสร้างความชอบธรรมให้แก่ ฮิตเลอร์ ในการควบอำนาจปกครองรัฐเยอรมนี  ไว้กับตนแต่เพียงผู้เดียว ในเชิงนิติปรัชญาตามระบบกฎหมาย ลายลักษณ์อักษร [Civil Law]ว่า…
 
 
“ถ้าใครมีอำนาจสูงสุดในบ้านเมือง คนนั้นก็ต้องเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย”
 
 
เผด็จการ “รัฏฐาธิปัตย์”ที่กุมอำนาจรัฐ มีกฎหมาย,กองทหาร ที่ติดอาวุธพร้อมสรรพและคุกตะราง…ปฏิเสธการดำรงอยู่แห่งสิทธิมนุษยชน ควบคุมความคิดของคนในสังคม ตั้งแต่การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิด,จำกัดสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร กล่อมเกลาความคิด ด้วยการสร้างคำอธิบาย ชวนเชื่อที่ประดิษฐ์รู้เพิ่มขึ้นมากมาย,ปฏิเสธการปรับตัวในการเผชิญทัศนะที่แตกต่าง
 
 
“การควบคุมความทรงจำของสังคมโดยรัฐเผด็จการ” … George Orwell-ยอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนชื่อดัง สะท้อนไว้ในนิยาย “1984” ถึงการที่เผด็จการ Big Brother “ผู้ใหญ่” ลบความทรงจำของสมาชิกสังคมที่มีเกี่ยวกับอดีต ทำให้มีชีวิตอยู่แต่กับปัจจุบัน จึงไม่มีโอกาสจดจำความผิดพลาดเลวร้ายของผู้มีอำนาจได้
 
 
“ความกลัวคุก เป็นตัวขัดขวางสำคัญยิ่งในการต่อสู้  นักเคลื่อนไหวที่มีประสบการณ์โดดเด่นหลายคนได้ท้าทายตำรวจ, ศาล และคุก อย่างมีนัยยะสำคัญคือ มลทิน ที่เกิดกับผู้ต้องโทษได้มลายไป  จากการรณรงค์ ท้าทายอำนาจรัฐ…  การติดคุกเป็นเครื่องหมายของเกียรติยศ”…Nelson Mandela – เนลสัน แมนเดลา
 
 
บางคนใช้ชีวิตไปจนตายโดยไม่รู้ เส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเขาล่องลอยไปตามกระแสสมและไม่รู้ว่า…  แท้จริงแล้วตัวเองกำลังไปทางไหน นั้นเป็นชะตากรรมของคนส่วนใหญ่…จงบอกผู้คนทั้งหลาย ซึ่งมีชีวิตที่แตกต่าง ให้รับรู้ในเส้นทางของหน้าที่ ความเสียสละ เพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อๆไป บอกพวกเขาตรงไปตามทางนั้นโดยปราศจากข้อสงสัย
 
 
“ถ้ากองทัพ ปฏิวัติวันนี้ พรุ่งนี้อาจมีดอกไม้ แต่…มะรืนต้องเจอกับสงครามแน่นอน”
 วาทะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำรัฐประหาร กันยายน,2549
 
 

-2

 *ผู้ชนะกลับกลายสภาพเป็นโจร*

เราคือประชาชน นี่คือแผ่นดินของเรา
                                               
บทความ รุ่งศิลา
 
“แม้การยึดอำนาจแต่ละครั้ง จะอ้างว่า ทำเพื่อความยุติธรรมในสังคม แต่ผู้ที่เข้ามาสู่อำนาจถ้าไม่โสโครกมาก่อน หากในเวลาอันไม่ช้า อำนาจที่ตนได้รับมาก็พาใจให้ตนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความโลภ ความโกรธ ความหลงจนยากที่จะลงจากหลังเสือ ที่ตนหาญขึ้นไปขี่ จนกว่าจะถูกสลัดหรือเขี่ยให้ตกลงมาโดยคนอื่น คณะอื่น หรือถูกหักหลังโดยพวกตัวเอง”
 

 

                            …”จนกว่าเราจะพบกัน”…ของ ศรีบูรพา
 
“ระบบประชาธิปไตย” เป็นระบบที่ยอมรับความแตกต่าง คิดต่าง แล้วต่อสู้กันด้วยเหตุผล การเสนอความเห็นหรือ แนวคิดอุดมการณ์ออกมา บนเวทีสาธารณะ ชูแนวทาง นโยบายให้ประชาชนส่วนใหญ่ พิจารณาตัดสิน สุดท้ายประชาชนจะตอบสนองอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้ง
 
“ประชาธิปไตย” ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด และไม่อาจแก้ปัญหาได้โดยพลันทันใจ ดังเช่นวิธีการของ “เผด็จการอำนาจ” หากแต่เป็นระบอบที่เกื้อกูลความเป็นมนุษย์ มากที่สุด
 
“ประชาธิปไตย” อธิบายว่า ตัวเราเป็นเจ้าของร่างกาย และจิตวิญญาณของเรา ดังนั้นการก้าวล่วงกล้ำเกิน ถือว่าล่วงล้ำสิทธิขั้นพื้นฐาน…ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่บอกว่า มนุษย์มีตัวตน หาใช่ ทาส, ไพร่ ที่ปราศจากการระบุถึง ระบอบปกครองแต่โบราณ มิได้ทำให้ตระหนักในคุณค่า ว่า ทุกวัน คือ “มนุษย์” หากแต่เป็นแค่เพียง “สิ่งของเครื่องใช้” เท่านั้น
 
“ประชาธิปไตย” บอกว่าเราต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกคนถกเถียง แสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่…” เผด็จการอำนาจนิยม” บอก ทุกคนโปรดทราบ…ห้ามเถียง…ให้เชื่อ…โปรดฟังอีกครั้ง
 
“ประชาธิปไตย” บอกว่า แผ่นดินนี้เป็นของประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
French Revolution – การปฏิวัติฝรั่งเศส…นำไปสู่การอธิบายว่า
“เราคือประชาชน, นี่คือแผ่นดินของเรา”
 
 
คณะทหาร…เข้ามารัฐประหารยึดอำนาจบ้านเมือง เพื่อสถาปนา ประชาธิปไตยแบบของเขา การนำเสนอ…ให้ปรับประชาธิปไตยเข้ากับสภาพของไทย เป็นวาทกรรมประดิษฐ์ของฝ่ายทหาร หรือ นักร่างรัฐธรรมนูญของทหารซึ่งเป็นข้ออ้างเพื่อรักษา “ระบอบเผด็จการ”คงไว้, ที่ผ่านมาทหารขึ้นมาเป็นผู้อำนาจสัญลักษณ์ตัวแทนของระบอบเก่า ซึ่งมักใช้ข้ออ้างว่า… “ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องความมั่นคงของชาติ”
 
 
“ประชาธิปไตยแบบไทย” คือประดิษฐกรรมภาษา ซึ่งระบอบ “เผด็จการทหาร” สร้างขึ้นแล้ว โฆษณาชวนชื่อ ยัดเยียดชุดความคิดให้เราจดจำไว้… มันคือชุดคำอธิบาย จากยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพลถนอม กิตติขจร ที่เป็นวาทกรรม ของผู้นำอนุรักษ์อำนาจนิยม ผู้ได้ประโยชน์…, แต่กรรมตกเป็นของ ประชาชน
 
 
สิทธิของคนในฐานะพลเมืองถูกพรากไปโดยน้ำมือของรัฐ และโดยอาศัยกฎหมายของรัฐ…เสรีภาพ และ สิทธิมนุษยชน ถูกละเมิดอย่างเลวร้าย
 
 
 
“ชนะเป็นเจ้า, แพ้เป็นโจร”…ที่แล้วมาการรัฐประหารทุกครั้ง ผู้ชนะกลับกลายสภาพเป็นโจรได้โดยง่ายเช่น  หลัง พ.ศ.2490… กลุ่มบ้านราชครู ตระกูล ชุณหะวัน รวมทั้ง เขย [พล.ต.เผ่า ศรียานนท์] และบริวารที่ใกล้ชิด ร่ำรวย ขึ้นอย่างมหาศาล,…หลัง พ.ศ.2500…กลุ่มตระกูลธนะรัชต์,กิตติขจรและ จารุเสถียรก็รวยขึ้น และกุมอำนาจทางการเมืองยิ่งกว่ากลุ่มราชครู
 
 
หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจ การปกครองได้อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ แล้ว สถาปนา”รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งคนเพียง ผู้เดียวที่ต้องรับบทแสดง2บทบาท ในเวลาเดียวกันคือเป็นทั้ง… หัวหน้าคณะรัฐประหาร[ตัวจริง] และนายกรัฐมนตรี นับแต่…
จอมพล ป.พิบูลสงคราม  พ.ศ.2490
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์   พ.ศ.2501
จอมพล ถนอม กิตติขจร   พ.ศ.2506
พลเอก  สุจินดา คราประยูร พ.ศ.2535
และ อาจรวมถึง หัวหน้าคณะรัฐประหารล่าสุด พ.ศ.2557
 
 
กองทัพเตรียมการไว้ให้รัฏฐาธิปัตย์ และหมู่บริวารอย่างแข็งขัน เพื่อวันที่ ปลดเกษียณ ปล่อยมือจาก…… คณะรักษาความสงบแห่งชาติ… ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล…โดยอภินิหาร ทางกฎหมาย ของรัฐธรรมนูญในอุดมคติ จากฝีมือของ คณะเนติบริกร ที่รับใช้เผด็จการตลอดมา
 
 
ข้ารัฐการ ไร้ความกล้าหาญทางจริยธรรม กระทำการกันไปอย่างปราศจากความละอายใดๆ อ้างถึงการเข้ารับตำแหน่งต่างๆว่า เพื่อรับใช้ชาติบ้านเมือง ทั้งที่เป็นการยอบตัวรับใช้ เผด็จการอำนาจ โดยเห็นแก่ตัวรอด  มินำพากับหลักสิทธิเสรีภาพ หรือสิทธิมนุษยชน
 
 
การยึดอำนาจของทหารแต่ละครั้ง แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “ทหารเป็นรัฐภายในรัฐ” พร้อมเสมอที่จะฉีกรัฐธรรมนูญทั้ง, จะไล่รัฐบาลออก,จะยุบสภา,จะโยกย้ายข้าราชการ ก็ย่อมทำได้ทั้งสิ้น  ต้องยอมรับความจริงว่าทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศ มิได้มีหน้าที่บริหารประเทศและร่างกฏหมาย ทหารต้องรักษาวินัยอยู่ในกรมกอง ไม่ใช่หน้าที่มายึดอำนาจรัฐบาลจากประชาชน แล้วเพิ่มงบประมาณกองทัพ เพื่อจัดชื้ออาวุธ… เพื่อเอาไปรบกับใคร… [นอกจากความสามารถในการฆ่าฟันประชาชนของตัวเอง ดังที่แล้วมา]
 
 
การใช้ “กระบวนการรัฐประหาร” มาแก้ปัญหาทางการเมือง เป็นสิ่งที่นอกเหนือจะเหตุและผล ฉะนั้น… การตอบโต้การรัฐประหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับประกันได้ว่า จะเป็นไปด้วย “กระบวนการของเหตุและผล” เพราะการใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจ ไม่ใช่หลักกฏหมาย ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ผล..,ภารกิจต่างๆที่เผด็จการสั่ง ซ้ายหัน ขวาหัน อย่างไรก็ได้.., ต้องมี “ผู้กล้าท้าทายอำนาจ” อันไม่ชอบธรรมไว้บ้าง อย่ายอมสยบอย่างเชื่องๆตามๆกันไป แม้จะถูกขู่เข็ญด้วยกฎหมายอันร้ายแรง,จะถูกทำลายล้างอย่างใดก็ตาม จากพฤติกรรมนอกกฎหมาย
 
 
ขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ ที่มีพลัง เกิดจากการที่ประชาชนทนระบอบเก่าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทนต่อระบอบเผด็จการอำนาจที่เป็นอยู่ไม่ได้
 
 
ท้ายสุด… ด้วยคำกล่าวของ Aleksandr Ivanovich Herzen
 
 
“We think we are the doctors, we are the disease”

 

บางคนบางพวก เข้าใจนึกคิดเอาเองว่าตนเป็น “แพทย์” มาเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บของสังคม…โดยหาสำเหนียกไม่ว่า ที่แท้จริง เป็นเพียง “เชื้อโรค” ร้าย

-3-

*ผู้นำ…ที่ดีที่สุด รับรู้กันเพียงว่ามีตัวตน*
 

บทความ รุ่งศิลา

 

“การเมืองคือเรื่องของการต่อสู้ต่อรอง” ในความเห็นของผม การกอบกู้ประเทศไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือของ ผู้นำเผด็จการอำนาจทีเปี่ยมด้วยเมตตา
 

 

“บุคคลผู้ทรงปัญญา” … เป็นความหวังของประชาชน ที่จะนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มั่นคงด้วย สิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ และความเสมอภาค เป็นความมั่นคงของประชาชนในชาติ หาใช่ความมั่นคงของปลุกคนหรือชาติตระกูลใด
 

 

ความเป็นระเบียบของสังคม ที่เข้าใจและรู้จักกันในนาม “ความมั่นคง” ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ของการปกครอง…เสรีประชาธิปไตย ต้องได้รับการสถาปนาขึ้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันเสแสร้งแบบไทยๆ และโดยไม่หวนกลับ

 

“เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้คนในสังคมจะยินยอมพร้อมใจกันลุกขึ้น มาทำการปฏิวัติสังคม อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่มีใครเป็นผู้นำ ที่เริ่มต้นในการก่อหวอด หรือจุดไฟกองแรกขึ้น”…จอห์น ล็อค นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ค.ศ.1632
 

การนำที่ล้มเหลวพ่ายแพ้ซ้ำซาก…เพราะไม่จริงใจในการต่อสู้หรือจริงใจแต่โง่เขลา… ทำสงครามไม่เป็นแต่คิดว่าตัวเองเก่ง ผู้นำที่มวลชนเคยเชื่อถือศรัทธา กลับกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่อ่อนล้า ไม่กล้าต่อสู้ หว่งอยู่แต่การปกป้องสิทธิประโยชน์ของตนมากกว่า สิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน, ประเทศชาติ
 

เราเสียเวลาและโอกาสที่ดีที่สุด ไปกับความพยายามอันเปล่าประโยชน์ เพื่อรับใช้คนไร้ค่า และเห็นแก่ตัว ที่ถือประโยชน์ของตน เหนือประโยชน์ของมวลชน ที่พวกเขาเสแสร้งทำเป็นปกป้อง…ในปัจจุบัน ผู้คนตื่นตัวมีความรับรู้ทางสังคมการเมือง มากกว่าเดิม เกินกว่าวาทกรรมที่ว่า

 

“ราษฎรยังด้วยการศึกษา ยังไม่พร้อมชิงสุกก่อนห่าม”
 

เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ความเร็วสูง… ทำให้มวลชนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รับรู้เหตุผลอันไม่ต้องตรงตามหลักการประชาธิปไตย เข้าใจถึงกระบวนวิธีของระบอบประชาธิปไตย บริบททางการเมืองที่มีการแตกขั้วขัดแย้ง ทำให้เราจำได้ในสิ่งที่เคยถูกทำให้ลืม รู้ในสิ่งที่เคยถูกปกปิดเข้าใจในประเด็นที่คลุมเครือ

 

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้…ผู้คนที่ออกความเห็นในโลกโซเบอร์ เริ่มออกมายืนในที่สาธารณะ การออกมายืนเงียบๆหรือประกอบท่าทางอย่างมีนัยยะก็พัฒนายกระดับเป็นการเดินขบวนที่เปล่งเสียงเรียกร้อง และเพิ่มจำนวนเติบโตขึ้น จนมากพอจะล้ม “รัฐทรราชย์” ซึ่งกดขี่ประชาชนได้
 

ปรากฏการณ์อาหรับสปริง [Arab Spring ]… เป็นแบบอย่างการประท้วงของประชาชนคนหนุ่มสาว การลุกฮือของคนจำนวนมากเกิดขึ้นโดยมิอาจคาดหมาย…  “ราษฎร ผู้ไม่เชื่อฟังและไม่ยอมให้ปกครองอีกต่อไป”…  การต่อต้านอย่างกว้างขวางก็เกิดขึ้น แน่นอนว่า อาจมีการจับอาวุธขึ้นเพื่อแก้แค้น ขบวนมวลชนแบบอาสาๆ มีลักษณะการที่เป็นการจัดตั้ง กองกำลังของตนเองพร้อมอาวุธ ซึ่งหากจุดติดแล้ว มันคุมกันไม่ได้ และไม่อยู่ภายใต้กรอบอำนาจการสั่งการของใครคนใดคนหนึ่ง…  จะไม่ปรากฏตัวผู้นำ ไม่มีใครเป็น “วีรบุรุษ”นั้นเพราะทุกคนคือ…วีรบุรุษ
 

“ผู้นำที่ดีเป็นเลิศที่สุดนั้นเพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักสรรเสริญ
ชั้นรอง กว่านั้นเป็นที่เกรงกลัว และเกลียดชัง
ถ้า… ท่านไม่ยกย่องประชาชน ประชาชนก็ไม่ยกย่องท่าน
ผู้นำที่ดี ย่อมพูดน้อย เมื่องานเสร็จสมประสงค์
คนทั้งหลายก็จะกล่าวว่า…การงานที่สำเร็จนั้น ก็ด้วยพวกเขาทำกันขึ้นมาเอง”
                                     

…เลาจื้อ ปรัชญาเมธี จีนสมัยพุทธกาล
 

ประชาธิปไตย จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ มีผู้นำทางการเมืองที่กล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน เสียสละ ทำตามกติกา ยอมตนรับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ โดยไม่หวงอำนาจไว้  หรือ หาทางยึดอำนาจ มาเป็น”เผด็จการ”เสียเอง
 

การยึดอำนาจรัฐประหาร [Coup d’etat] เป็นเงื่อนไขอันอาจนำไปสู่ “สงครามกลางเมือง” [Civil War]…ณ. ขณะเวลานี้สังคมเต็มไปด้วยความเกลียดชังสั่งสม ซึ่งกันและกัน ผู้คนเริ่มปฏิบัติต่อกันอย่างขมขื่น…ศักดิ์ศรี และการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ… การทรมานร่างกาย ทำให้เกิดบาดแผลทางร่างกาย… แต่การหมิ่นหยาม ก่อให้เกิดแผลเป็นกับศักดิ์ศรีของคน ซึ่งการบำบัดรักษาเป็นเรื่องยากกว่ามาก… ประชาชนไม่จำเป็นต้องยอมรับการกระทำอันดูหมิ่น เหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละวันที่ “ผู้เผด็จการอำนาจ” จะออกคำสั่งซ้ายหันขวาหัน บังคับบัญชาให้ต้องเดินตามกติกาของตน…แม้มิว่านั่นจะชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม ด้วยสายตาที่มอง… “มนุษย์มิได้เป็นอะไร มากไปกว่าสัตว์เลี้ยง”
 

มวลชน…ก้าวหน้ามาไกลแล้วมีประสบการณ์มากขึ้น และก่อเกิดบัญญาจากการเดินทาง เรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูกราษฎรที่ต่ำต้อย ค่อยๆพัฒนาความเชื่อมั่น และพึ่งพาตัวเอง… การโค่นล้ม เผด็จการถูกกดขี่นั้นใดรับมอบอำนาจจากมวลมนุษยชาติ และเป็นความปรารถนาสูงสุดของเสรีชนทุกคน
 

ผู้เป็น…นักสู้เพื่อเสรีภาพ นั้นต้องจัดความรู้สึกส่วนตัวที่จะหลงตัวเองว่าเป็น ปัจเจกบุคคล แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวมวลชน…บนจิตสำนึกว่า…กำลังต่อสู้เพื่อปลดปล่อยมวลชนหลายล้านคน…มิใช่เพื่อ เกียรติยศ ของคนเพียงคนเดียว
   

“Disaster situations make heroes out of ordinary people”
“สถานการณ์ สร้างวีรบุรุษ จากคนธรรมดาที่มิได้มีอะไรโดดเด่น”

 

 

-4-

*อดอล์ฟ ฮิตเลอร์*
ได้รับสถาปนาเป็น”รัฏฐาธิปัตย์” เพราะมีอำนาจสูงสุดในบ้านเมือง
 
 
บทความ รุ่งศิลา
 
 
ประเทศเยอรมัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกือบสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน เพราะ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งชนะเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และทำการควบอำนาจ เบ็ดเสร็จ สถาปนาตนเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” จอมเผด็จการ ที่ร้ายกาจที่สุด เป็นผู้ชนวน ก่อสงครามโลกครั้งที่2 – World WarⅡ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า60ล้านคน
 
 
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ [Adolf Hitler] เป็นชาวเยอรมันสัญชาติออสเตรีย โดยกำเนิด สมัครร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่1 พศ.2467 ยศสิบโท ได้รับเหรียญกล้าหาญ “อิสริยาภรณ์กางเขนเหล็ก ชั้น 1” ซึ่งน้อยนักที่ทหารชั้นผู้น้อยจะได้รับเกียรติ หลังสงครามสงบ ฮิตเลอร์ เข้าสู่การเมืองเป็นผู้นำ”พรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติเยอรมัน” ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่ ว่า “พรรคนาซี”[Nazi Party ]
 
 
ฮิตเลอร์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ระหว่างปี พ.ศ.2476-2477
และ ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมันตั้งแต่ปี พ.ศ.2477-2488
 
 
พรรคนาซี – Nazi Party ได้รับความนิยมจากชนชั้นแรงงานและคนยากจนอย่างล้นหลาม แล้วแพร่ความนิยมไปสู่แวดวงอื่นๆ มีบุคคนสำคัญเข้าร่วมด้วย จำนวนมาก รวมทั้งเงินสนับสนุนพรรคมหาศาล… หนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญคือ เฮนรี่ ฟอร์ด[Henry Ford]  ชาวอเมริกัน ผู้ให้กำเนิด รถยนต์ ฟอร์ด-FORD อันโด่งดังทั่วโลก
           
 
ปี พ.ศ. 2466…. ฮิตเลอร์ ก่อรัฐประหาร “กบฏโรงเบียร์” ณ. นครมิวนิคล้มเหลว ถูกจับข้อหา “กบฏ” โดนตัดสินจำคุก5ปี แต่รับโทษเพียง1ปี1เดือน ก็ได้รับการอภัยโทษ
 
ปี พ.ศ.2473… ได้รับการเลือกตั้ง เข้ามามีบทบาททางการเมือง
 
ปี พ.ศ.2475… พรรคนาซีและฮิตเลอร์ ได้รับความนิยมอย่างสูง… จึงลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับ ปธน.เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก แต่พ่ายแพ้
 
ปี พ.ศ.2476… ได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรีเยอรมัน จาก ปธม.ฮินเดนบูร์ก ด้วยแรงกดดันของฝ่ายที่นิยมในตัวของ ฮิตเลอร์… ถือเป็นการเริ่มต้นของ “จักรวรรดิ์ไรช์ที่3” ภายใต้…อุดมการณ์นาซี อันมีลักษณะ “เผด็จการเบ็ดเสร็จ”และ “อัตตาธิปไตย”
 
ปี พ.ศ.2477… ปธน.ฮินเดนบูร์ก ถึงแก่อสัญกรรม… เพื่อการควบคุมทางการเมืองไม่ต้องกังวลเรื่องการกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาไรช์สทัก… รัฐบาลฮิตเลอร์ ยื่นญัตติผ่าน “รัฐบัญญัติมอบอำนาจนิติบัญญัติเต็มแก่คณะรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงขาดลอย441-84เสียง เปลี่ยนโฉมรัฐบาลของฮิตเลอร์ เป็น… “เผด็จการตามกฎหมายโดยพฤตินัย” และนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองอื่นๆจนหมดสิ้น ทั้งห้ามตั้งพรรคการเมืองใหม่ ทำให้ “พรรคนาซี” กลายเป็นพรรคการเมือง ที่ถูกต้องตามกฏหมายเพียงพรรคเดียวในเยอรมัน
 
 
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในฐานะประมุขรัฐ จึงดำรงตำแหน่งเป็นทั้ง… “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด”และ “ผู้นำฝ่ายบริหาร” โดยเพื่อมิให้การควบรวมอำนาจนี้ดูน่าเกลียดเกินไป และลดทอนแรงเสียดทาน จากฝ่ายที่ต่อต้าน จึงทำการเปลี่ยนชื่อเรียกตำแหน่งใหม่ “เดอร์ ฟเรอห์”[Der Fuhrer] ซึ่งมีความหมายว่า “ท่านผู้นำ” ทำหน้าที่”ประมุขประเทศ”[Head of State]และ”ผู้นำรัฐบาล”[Prime Minister] ในคราวเดียวกัน ฮิตเลอร์จึงเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” [Sovereign] มีอำนาจสูงสุด ทำให้เยอรมนีก้าวไปสู่ความเป็น… “เผด็จการสมบูรณ์แบบ”
 
 
ในการควบรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีนี้ได้มีความพยายามของนักกฏหมายฝ่ายนิยมนาซี เพื่อที่จะนอบน้อม เข้าใจฮิตเลอร์ ด้วยการประดิษฐ์ คำอธิบายในทางนิติปรัชญา โดยได้ร่าง เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร[Civil Law] สนับสนุนการรวบอำนาจสูงสุด ของประเทศเยอรมนี มาไว้ในคนคนเดียว เพียงตำแหน่งเดียว บนความหมาย ว่า
 
 
“ถ้าผู้ใด มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ผู้นั้นก็ต้องดำรงตนในฐานะ รัฏฐาธิปัตย์ เป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย”
 
 
ด้วยคำอธิบายดังกล่าว…รวมกับกระแสความนิยมนโยบายของฮิตเลอร์จึงได้รับความเห็นชอบ โดยผลลงประชามติสนับสนุน ถึง90% จากประชาชนชาวเยอรมัน ผู้มาใช้สิทธิออกเสียง…คำว่า “รัฏฐาธิปัตย์”[Sovereign ] จึงบังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเพื่อสนองการรับรองอำนาจแก่ จอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
 
 
“ฮิตเลอร์ คือ พรรค…ฮิตเลอร์คือ เยอรมัน และเยอรมันคือฮิตเลอร์”…ท้ายจบคำปราศรัยต่อหน้าแถวกองกำลังองครักษ์ ฮิตเลอร์ หน่วยSAและSS จำนวนก่วา 150,000คน ณ. เมืองนูแรมเบิร์ก 8 กันยายน พศ.2479
 
 
คำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ปรากฏครั้งแรกในประเทศไทย จาก คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 45/2496…โดยได้วางแนวทาง อธิบายว่า…การฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆของบ้านเมือง โดยคณะกบฏผู้ยึดอำนาจสำเร็จหัวหน้ากบฏ ถือเป็น “องค์รัฏฐาธิปัตย์” มีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้…คำพิพากษานี้ถือเป็นการให้คำรับรอง การรัฐประหาร รัฐไทย นับตั้งแต่ช่วงหลัง พศ.2490 จนถึงยุคปัจจุบัน
 
 
“รัฏฐาธิปัตย์” สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็น “เผด็จการเต็มตัว” ไม่ต่างจาก…ประเทศเกาหลีเหนือ เพราะอำนาจอธิปไตย ตกอยู่ในกำมือของคนเพียงคนเดียว นับเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศ เทียบเท่ากับการยื่นอาวุธแห่งการสร้างความชอบธรรมให้กับ “ผู้เผด็จการอำนาจ” ที่จะบังคับ ข่มขู่ จับกุม คุมขัง หรือ เข่นฆ่าประชาชน
 
รัฏฐาธิปัตย์ เป็น สิ่งอันตราย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนดี เราจะตรวจสอบเขาได้อย่างไร จะคานอำนาจได้อย่างไร
ปราชญ์โบราณ กล่าวไว้นานนับพันปี แล้วว่า…
“มีแต่คนดีเท่านั้น ที่จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ราษฎร
คนเลว เมื่อมีอำนาจ จะใช้อำนาจ เพื่อตัวเองและหมู่พวก”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
-5-
*วิถีสยาม วัฒนธรรมการแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันอย่างย่อมยับ*
                                              
บทความ รุ่งศิลา
      

 
 
อาวุธ “ความกลัว” ทำให้ผู้คนกลัวจนไม่กล้าคิด พลเมืองที่หวาดกลัว จะไม่กล้าปริปาก หรือคัดค้านศัตรูของสิทธิเสรีภาพ คือ อำนาจ…ปรากฎการณ์ “ปากกระบอกปืนปิดปากเสรีภาพ” ด้วยความเกรงกลัว…และการยอมจำนนของผู้ด้อยอำนาจ ยังคงเป็นความจริง…อำนาจของผู้มีอาวุธยิ่งใหญ่กว่าเสียงของประชาชนเสมอ
 
 
เผด็จการ มักพูดว่า “Might is Right”…อำนาจคือธรรม… หรือ “The end justifies the mean” เพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองจะทำ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ว่าจะถูกต้องหรือไม่ แต่การใช้อำนาจเช่นนั้นไม่ยั่งยืนถาวร ไม่เป็นอำนาจที่แท้จริง เพราะอำนาจนั้นขาดความเป็นธรรม หากผู้มีอำนาจใช้อำนาจอิทธิพล เข้ามาเป็นผู้ปกครอง แล้วใช้อำนาจนั้นหาผลประโยชน์โดยไม่ถูกต้อง
 
 
ฌอง ฌาคส์ รุสโช[Jean Jacque Rousseau ] นักปราชชญานักคิด ชาวฝรั่งเศส ศตวรรษที่18 กล่าวไว้ว่า…
 
 
“การใช้กำลังจะอยู่ได้ไม่นาน ตราบที่การใช้กำลังอำนาจไม่ได้แปลงไปสู่สิทธิอันชอบธรรม ถ้าอำนาจไม่ได้ถูกแปลงไปเป็นสิทธิ์ อำนาจจะไม่เคยจริงอยู่กับใครได้ตลอด”
 
 
ผู้ปกครองเช่นนี้ จะถูกต่อต้าน  ตามแนวทางของระบอบปกครองนั้น ถ้าเป็นระบอบเผด็จการ ก็จะถูกโค่นอำนาจด้วยกำลัง กรณีการได้อำนาจมาโดยผลการอย่างไร้ยางอาย แล้วตั้งนายกฯ เถื่อนสำเร็จ ด้วยอำนาจเถื่อน แปลความหมายถึง…การใช้อำนาจบังคับ และประชาชนไม่ได้เลือก…สิ่งที่เราจะได้ก็คือ “ระบอบการปกครองเถื่อน” ซึ่งในทางเดียวกันฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็ย่อมจะสามารถใช้วิธีการเถื่อนๆ เลียนแบบล้มล้างอำนาจ “รัฐเถื่อน”ได้เช่นกัน เป็นไปตาม… “ทฤษฎีแสวงหาเสรีภาพจากปากกระบอกปืน”
 
 
การก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เป็นเงื่อนไขอันอำนาจไปสู่ “สงครามกลางเมือง” [Civil War]… ตามที่องค์กรอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป[International Crisis Group ]… ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์ประเทศไทย ระบุแนวโน้ม… เหตุการณ์ยึดอำนาจรัฐบาลกรุงเทพฯ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า…
    
 
… อาจจะซ้ำรอย รัฐประหาร ปีพ.ศ.2524 และปี พ.ศ.2549 เพราะหลังจากนั้นเกิด…เหตุการณ์นองเลือด พฤษภาทมิฬ’2535 และ… เหตุการณ์สลายการชุมนุมราชประสงค์โดยการใช้กระสุนจริง 99ศพ เมษา/พฤษภา’ 2553…
 
 
…หลังจาก กรณี 6 ตุลาคม 2519 เริ่มตั้งแต่ข้อแท้จริงที่ว่า…การสังหารหมู่นักศึกษา โดยความยินยอมพร้อมใจ ของประชาชน ผู้จงรัก…, มวลชนจัดตั้งติดอาวุธ กลุ่มพลังหิวรุนแรงฝ่ายขวาพิมาต และเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ จุดเริ่มต้นจากการที่ นักศึกษาถูกใส่ร้าย ป้ายสีว่าแสดง “ละครหมิ่นสถาบัน” ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 
 
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 “วันมหาวิปโยค”… ตามด้วย 6 ตุลาคม 2519 “วันฆ่าพิราบ”… ต่อมาเป็น พฤษภาคม 2535 “พฤษภาทมิฬ”… และ ท้ายล่าสุด พฤษภาคม 2553 “ยุทธการรุมยิงนกในกรง”…เป็นแค่เพียงความบังเอิญของปรากฏการณ์ซ้ำซาก ที่กลบเกลื่อนด้วยการไม่ยอมพูดถึง ไม่สรุปบทเรียน เพื่อที่จะลืมและประนีประนอม ให้อยู่ร่วมกันได้ในสังคม หรือว่า… แท้จริงเป็นวิถีวัฒนธรรมการฆ่าฟันเท่าที่เคยปรากฏมาแต่เก่าก่อน
 
 
การแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันอย่างย่อมยับ อย่างในสมัยอยุธยา เป็นความปกติในความคิดแบบไทยๆ [สยาม] ถือเป็นธรรมดา… “สมบัติผลัดกันชม”… การขึ้นมามีอำนาจจึงต้องฆ่าฟันวงศ์วานว่านเครือ ผู้ครองอำนาจคนเก่าชนิด “ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก”  เพื่อความปลอดภัยแก่การรักษาอำนาจที่ชิงมาได้
มีวลีแดกดันที่ว่า
    
 
“ประเทศไทย ไปไม่ถึงไหน เพราะทหารบ้าอำนาจ นักการเมืองละโมภ และประชาชนโง่เขลา”
 
 
ปัจจุบัน เป็นยุคที่เรียกได้ว่า ทุกหนแห่งอะไรก็ต้องทหาร หรือ “ยุคทหาร” …บนเจตนาที่จะกวาดล้างเสรีภาพของประชาชนพลเมือง ในทุกช่องทาง แสดงออกทางที่การเมือง ให้ราบเรียบโดยสิ้นเชิง อันเป็นการถอยหลังไปเกาะอยู่กับ หลักความคิดแห่งยุคสมัย อยุธยา นั้นทีเดียว
 
 
“เผด็จการ” กลัวการวิพากษ์วิจารณ์ ที่จะเปิดเผยให้เห็นเนื้อแท้แห่งข้อแท้จริง เหตุนั้นจึงมีความหวาดผวา หวั่นเกรง ต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปวง ความกลัวนี้เป็นสำนึกอันเกิดแต่ปมด้อยในทางภูมิปัญญา ซึ่งมีผลสะท้อนล้ำลึกร้าวรานใจจากความล้มเหลวอันไม่เป็นท่าของตนและคณะ ที่มิอาจสามารถกระทำการได้ผลสำเร็จเลอเลิศสมปรารถนา ดังที่ได้โฆษณาชวนเชื่อไว้ จึงเป็นสาเหตุให้ต้องกำจัดการวิพากษ์วิจารณ์เสียโดยเด็ดขาด
 
 
การโฆษณาชวนเชื่อ[Propaganda] อย่างมีทักษะไม่ลดละ โฆษณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ผู้คนคล้อยตาม ถึงแม้เรื่องนั้นจะบิดเบือนความจริง… เหตุของความผิดเพี้ยนทางความคิด ด้วยการสร้างจิตวิทยามวลชนจนเกิดเป็นอุปทานหมู่… ในประเทศเผด็จการ ที่พลเมืองจะถูกโฆษณาชวนเชื่อให้มีความคิดความเชื่อเป็นไปตามที่ “ผู้นำเผด็จการ” ต้องการ
 
 
“ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร มันยิ่งน่าเชื่อถือไปเท่านั้น… ฝูงชนมหาศาลถูกหลอก
ด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกด้วยเรื่องเล็กๆ”…
                                …ดร. โจเซฟ เกิบเบิลส์ รมต. กระทรวงโฆษณาการ ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

 
 
การกลับดำเป็นขาว ด้วยวิธีของเผด็จการอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่จะต้องประสบความล้มเหลว เพราะเป็นการสถาปนาอุดมการณ์ หรือ หลักการกระทำที่รวบรวมโกหกหลอกลวง เข้ามาผนึกวิญญาณไว้ด้วยกัน โดยปราศจากข้อเท็จจริงของหลักเหตุผล ที่เกาะแน่นอยู่กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งย่อมทรงพลังและมีชัยชนะเสมอ
 
 
“ในวิกฤติการณ์ ที่ได้เกิดขึ้นซ้ำซาก มวลชนไม่ค่อยเชื่อแล้วว่าอำนาจใดๆ จะคุ้มครองพวกเขาได้ สังคมที่มีวุฒิภาวะ ไม่ต้องการผู้วิเศษ ระบบที่หวังว่าจะมีคนดี นำพาประเทศให้รุ่งเรืองไปได้เรื่อยๆ เป็นความเพ้อเจ้อที่ไม่อยู่จริง เป็นความเพ้อฟันของอำนาจนิยม ที่ยัดเยียดชุดความคิดเหล่านี้สู่…ประชาชน”
                              

 
 
 
 
 
 
-6-
*จุดจบของ…เผด็จการนักรัฐประหาร*
 
บทความ รุ่งศิลา
 
 
“รัฐบาลใด…ที่กดขี่ปราบปรามการคัดค้านอย่างสันติ มิได้แสดงถึงความเข้มแข็งใดๆ แต่กลับเป็นการแสดงความอ่อนแอ และความหวั่นกลัวออกมาต่างหาก…ระบอบที่กลัวประชาชนของตนย่อมพลังทลายในที่สุด ในทางกลับกันสถาบันที่แข็งแกร่งใด ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความเห็นพ้องยอมรับ ของคนใต้ปกครอง ย่อมดำรงอยู่ได้ยาวนาน” แม้บุคคลหนึ่งคนใดจะตายจากไปก็ตาม…ส่วนผู้นำคนใด ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้อยู่ในตำแหน่งแห่งอำนาจ ถือเป็นความล้มเหลวอย่างยิ่ง ในการสร้างประเทศชาติ เพื่อประชาชนของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถอยู่ในอำนาจได้นิรันดร์”
                                                                            
สุนทรพจน์…ปธน.บารัค โอบามา ณ.ที่ประชุมใหญ่ สหประชาชาติ
                                                                                                                               วันที่…28 กันยายน 2559
 
จุดจบของเผด็จการอำนาจในอดีต ที่ได้อำนาจรัฐ มาโดยการรัฐประหาร สะท้อนให้เห็นได้จาก
 
 
1. กดทับจำกัดสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนเป็นเวลานาน ผลจาก…กฎหมายของเผด็จการ ด้วยการปิดปากสื่อสารมวลชน จำกัดการรับรู้ข่าวสารข้อมูล บิดเบือนข้อเท็จจริงโดยการโฆษณาชวนเชื่อ ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน
 
 
2. กระทำในสิ่งเดียวกันที่ยกเป็นเหตุผลในการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งใช้เป็นเหตุผลซ้ำๆ แทบทุกครั้ง คือ นักการเมือง ทุจริตคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมือง แต่เมื่อการครองอำนาจผ่านไป การณ์ปรากฏว่า ผู้ทำรัฐประหารและพวกพ้องกลับร่ำรวยมั่งคั่ง ผิดกว่าเดิม เช่น…
         – การยึดทรัพย์ เผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์
         – การยึดทรัพย์ เผด็จการ ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
         – การเปิดเผยทรัพย์สิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร’2534 ภายหลังสิ้นชีวิต ของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ที่มีการฟ้องร้องแย่งชิงสมบัติกันในหมู่ ภรรยา มูลค่านับพันล้านบาท… ล่าสุด รัฐประหารกรุงเทพ’ 2557 กรณี วิกฤติศรัทธา “อุทยานราชภักดิ์” ได้บ่อนทำลาย ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ความสะอาดของ ผู้นำทหารที่ก่อการรัฐประหาร… ซึ่งยังไม่นับกรณีอื่นๆ ที่กำลังเปิดเผยตัดตามมา
 
 
3. การนำเอากฎหมายหมิ่นเบื้องสูงมาตรา 112 มาใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่ผู้ถูกคน สร้างบรรยากาศแห่งความน่าสะพรึงกลัวในทุกอณูของสังคม เพราะพลเมืองที่หวาดกลัวจะไม่กล้าปริปากหรือคัดค้าน … ภายหลังเหตุการณ์ประกาศยึดอำนาจ “รัฐประหารกรุงเทพ’ 2557” มีบุคคลจำนวนมากที่ถูกคำสั่งเรียกเข้ารายงานตัวกับคณะรัฐประหาร แล้วได้รับการปล่อยตัว โดยมีข้อแม้ไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง ถ้าฝ่าฝืนจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นฯ มาตรา 112… แสดงว่ามีการนำเอากฎหมายอาญามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือข่มขู่ผู้ต่อต้าน
 
 
การตีความตามใจตน เปิดทางให้ใครก็สามารถแจ้งความฟ้องร้องกล่าวโทษได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการใส่ร้ายป้ายสี ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและลิดรอนสิทธิมนุษยชนชนโดยกลไกของรัฐ ประเด็นสำคัญที่ขาดความเป็นธรรม คือการไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว โดยต้องถูกคุมตัวขังคุกทันที หลังถูกแจ้งความกล่าวหา
 
 
ทฤษฎีว่าด้วย “ความจงรักภักดี” นั้น เป็นเครื่องมืออันทรงประโยชน์ของ “เผด็จการอำนาจ” ที่ไว้ช่วยกวาดต้อน ความไม่พอใจทั้ง หลายทั้งปวง ให้มุ่งไปสู่ทิศทางเดียวโดยเฉพาะคือ…นโยบายกวาดล้างประชาชน ผู้คิดต่างทางการเมือง… เสรีชนที่มิยอมก้มหัว ซึ่งคัดค้าน ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบด้วย “อาวุธความจงรักภักดี” ประสิทธิภาพสูง
 
 
กรณี… หมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ มาตรา 112 ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะนำหายนะมาให้ “คณะรัฐประหารกรุงเทพ”จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สั่นคลอน อย่างน่าเป็นกังวล
 
 
กรณีตัวอย่าง…ประเทศเยอรมนี ในสมัยพระเจ้าวิลเฮล์มไกเซอร์ที่ 2 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการจับดำเนินคดี พลเมืองเยอรมัน เข้าคุก มากที่สุดในคดี หมิ่นพระบรมเดชนุภาพฯ…สุดท้ายแล้วสถาบันกษัตริย์ของ เยอรมัน ก็ปลาสนาการ ไปก่อนสิ้นรัชสมัย ของพระองค์เสียอีก
 
 
ภาวะ “เผด็จการ” ปราศจากความมั่นคง ผู้นำที่แข็งกร้าวในวันนี้ จะกลายเป็นประกายไฟไปสำหรับการปฏิวัติในวันพรุ่งนี้… “เผด็จการอำนาจ”สามารถคุมขังฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ไม่สามารถจำขังความคิดทั้งหลายได้,… สามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ แต่ไม่อาจสามารถเปลี่ยนความมดเท็จ เป็นสัจจะได้
 
 
“รัฐบาลที่กลัวประชาชนของตัวเอง สุดท้ายแล้วจะพังพินาศ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
-7-
*อสูรร้าย ใน ทฤษฎีครองความเป็นเจ้า*
                                               
บทความ รุ่งศิลา
 
 
“ทฤษฎีครองความเป็นเจ้า” [Hegemony Theory] ของ อินโดนิโอ กรัมซี – Antonio Gramsci กล่าวว่า… ชนชั้นนำของสังคม นอกจากจะปกครอง ด้วยวิธีการใช้กำลังบังคับโดยตรง จาก ระบบทหาร, กฎหมาย, ศาล ฯลฯ แล้วยังมีการใช้กลไกสร้างการยอมรับทางอุดมการณ์ และค่านิยมให้กับประชาชน ด้วย… “การครองความเป็นใหญ่ทางอุดมการณ์” [Hegemony]
 
 
ยุคที่… จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ช่วงแรก ปีพ.ศ.2481-2487 และช่วงที่สอง ปี พ.ศ. 2491-2500 … การรวมศูนย์อำนาจจะอยู่ที่รัฐ อีกทั้งมีความพยายามอย่างมาก ที่จะเปลี่ยนความคิดความเชื่อและความนับถือจงรักภักดี ของประชาชนที่มีตามประเพณีในระบอบเดิม…มาเป็น “ความจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญ” และให้หันมาสู่ระบอบใหม่ ซึ่งปลูกฝังให้เชื่อ ผู้นำประเทศ แทน โดยรู้จักกันในชื่อ “รัฐนิยม” ที่หาแตกต่างกับคำว่า”ประชารัฐ”ของรัฐทหาร ในยุคปัจจุบัน…ไม่
 
 
“รัฐเผด็จการ” นั้นเมื่อครอบครองอำนาจในปัจจุบันได้แล้ว…ก็คือขยับเข้าควบคุมอดีต และอนาคตด้วยวาทกรรม “ประชาธิปไตยแบบไทย” คือชุดคำอธิบาย ซึ่งระบอบเผด็จการทหาร สร้างขึ้นมาแล้วโฆษณาชวนเชื่อให้พลเมืองรัฐไทยจดจำไว้ โดย… “ทหาร” …. ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ตัวแทนของระบอบเก่า เมื่อขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง มักประกาศตนว่า  กระทำการ “ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติ” … ซึ่งยกเป็นข้ออ้างเพื่อคงไว้รักษา “ระบอบเผด็จการ” มุ่งหวังกระชับอำนาจไว้ในกำมือของพวกตนอย่างเนิ่นนาน
 
 
“Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely”
“อำนาจ…มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การฉ้อฉล แล้วอำนาจที่สมบูรณ์ นำไปสู่การช่อชนอย่างสมบูรณ์…
คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ของโลกเกือบทั้งหมด มักเป็นคนเลว ยิ่งมีอำนาจมากเท่าใด ก็มีโอกาสทำชั่วมากขึ้นเท่านั้น”

            
…ลอร์ด แอดตัน-Lord Acton นักประวัติศาสตร์อังกฤษ ค.ศ.1834-1902
 
 
ปัจจุบันโลกยุคใหม่…ได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าที่คนกลุ่มหนึ่งจะจัดการความเป็นไปของสังคมได้ตามใจชอบตลอดไป เพราะผู้มีความรู้ความคิดไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป… ข้ออ้างที่ว่ามี “คนดี” เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง…นับเป็นอันตรายยิ่ง เพราะคนดีจะอธิบายคนที่มีความคิดเห็นต่างว่าเป็น “คนชั่ว”ไปหมด
 
 
สังคมไทยวันนี้…พัฒนามาไกลเกินที่ใครจะมากำหนดควบคุมให้ย้อนหลังกลับไปสู่ยุค 30- 40 ปีที่แล้ว… ผู้วางแผนการรัฐประหารอาจคิดฝันเอาไว้อย่างหนึ่ง แต่พอเข้ารับผิดชอบ แบกรับปัญหาจริงๆ คงกระอักกระอ่วนใจกับการที่ต้องยอมรับความจริงว่า ความฝันที่พยายามจะฝืนกระแสสังคมใน พอ.ศอ.นี้ คงเป็น เรื่องยากที่จะเกิดขึ้น
 
 
การรัฐประหารกรุงเทพ’22 พฤษภาคม 2557… ดูเหมือนวันนั้น ผู้นำทหารจะได้รับแต่ดอกไม้ พวกเขายิ้มแย้มยินดีกับความสำเร็จ ในการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลพลเรือน ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีเสียงเชียร์ของกลุ่มผู้นิยมรัฐประหารเป็นแรงใจ ผู้คนส่วนหนึ่งเคลิบเคลิ้มไปกับความเชื่อดังเดิมที่ว่า…กองทัพ คือผู้แก้ปัญหาทั้งปวง… ผู้นำกองทัพสะอาดบริสุทธิ์… ทหารคือผู้รับมอบ “ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์” ในการสร้างชาติ
 
 
ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น กรณี…6 ตุลาคม 2519’ วันล้อมฆ่า… นำมาสู่การอธิบายบรรยากาศทางการเมือง หลังรัฐประหาร’2557… ว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้ง เพราะเมื่อรัฐทหาร รวมกับมวลชนที่สนับสนุนและสื่อสารมวลชนเอีองข้าง สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่างนั้นไม่ใช่คน…แล้วใช้ความรุนแรง นำไปสู่การรุมสังหารโหด… สิ่งเหล่านี้จะวนครบรอบวงจรหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล ซึ่งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ รวมถึงนานาอารยะประเทศต่างเฝ้าติดตามดูอยู่อย่างใกล้ชิด
 
 
การหมิ่นแคลนประชาชนว่าไม่รู้เท่าทัน  ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ …แต่ยิ่งสร้างแรงกดดันให้แก่สังคม ที่สุดแล้วจะนำพาประเทศไปสู่ความเลวร้ายอย่างน่าเศร้า
 
 
ประเทศไทย ในปัจจุบัน พลเมืองทุกคนสามารถเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ หากว่าพวกเขาเหล่านั้น ทำตัวขวางอำนาจ “เผด็จการทหาร” ที่มีความร้ายกาจมิด้อยไปกว่า…เผด็จการ…ในยุคไหนๆ แม้จะ พยายามเสแสร้งแสดงออก ซึ่งภาพลักษณ์อันสุภาพเรียบร้อย มีหลักมีเกณฑ์ แทรกความรอบรู้ทางวิชาการ… ไม่ขับรถถังออกมาจอดจังก้าข่มขวัญกลางถนน… ไม่กระโชกโฮกฮากหยาบเถื่อน…จับผู้คนไปยังเป็นประจานกลางเมือง
 
 
ที่ว่า…. หากแต่ใช้กระบวนการยุติธรรม “ตุลาการภิวัตน์” มาดำเนินการเก็บกวาดแทน ด้วยกรรมวิธี… ข่มขู่ คุกคาม จับกุม คุมขัง อุ้มหายสาบสูญ…ส่งเข้าสถานที่กักกันประชาชน ผู้ต่อต้าน คิดเห็นต่างก็ คือ”คุก” จับยัดเพิ่มจำนวนผู้ต้องขังให้มากขึ้นทุกวันจนแน่นขนัด… โดย ไม่ให้สิทธิประกันตัว เพื่อประชาสัมพันธ์ ในเชิงรุกว่า “รัฐบาลทหาร”มีศักยภาพ ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข กวาดล้าง อาชญากร และอาชญากรรม  ดูแลบ้านเมืองได้ดีกว่า… “รัฐบาลพลเรือน”
 
 
ในสงครามความขัดแย้งทางความคิดนั้น ไม่อาจเอาชนะโดยกำลังได้อย่างแน่นอน ตรงกันข้าม หากยิ่งปราบปรามก็ยิ่งรุนแรง, ยิ่งตีก็ยิ่งโต… ความอัดอั้นคับแค้นใจ อาจกลายเป็นความโกรธแค้นได้ในที่สุด ผลที่ตามมาก็คือ…การลุกขึ้นมาก่อ จลาจล ของฝูงชน หรือ การใช้ความรุนแรงสุดขั้ว จนกลายเป็น “การปฏิวัติ”[Revolution]ได้
 
 
เปิดและปิดท้าย…ด้วยคำกล่าวของ  อันโตนิโอ กรัมชี [Antonio Gramsci ] นักปฏิวัติสังคม ชาวอิตาลี
                                   
“ในภาวะคลุมเครือหวั่นไหว
                คราสิ่งใหม่มิทันเกิดกระเสือกกระสน
          แลสิ่งเก่ามิยอมตกตายยังดิ้นรน
             อสุรร้าย…จึงเผยตน ปรากฏกาย”

                                    
 
 
 
 
 
 
 
 
 
-8-
*โอชิมานดิแอส… บทกวีแด่เผด็จการ*
บทความ รุ่งศิลา
 
 
ขอมอบบทกวีนี้ให้แก่…ทรราช “เผด็จการผู้อหังการ์” และพวกยโสหยิ่งผยอง ลืมตัว ทั้งหลาย…
ในประเทศ
 
=โอซิมานดิแอส – Ozymandias=
 
 
“ฉันพบกับนักเดินทาง ผู้มาจากเมืองโบราณ ซึ่งเล่าว่า… มีเสาหินแกะสลักมหึมา อยู่2เสา
ตั้งตระหงานกลางทะเลทราย และที่ผืนทรายใกล้กันนั้น มีซากปรักหักพังของใบหน้าจมปริ่ม
อยู่ใต้กองทราย…คิ้วขมวดและริมฝีปากย่นเผยอขึ้น เพื่อแสดงการออกคำสั่งอย่างเย็นช้า
อันสะท้อนได้ถึงอารมณ์ ของ ประติมากร ซึ่งแสดงออกมาด้วยมือ และด้วยหัวใจ… บนหินสลัก
ที่ไร้วิญญาณที่ไร้วิญญาณเหล่านี้ มีข้อความ จารึกสลักไว้ตรงฐาน ว่า…
-ตัวข้า…โอซิมานดิแอส…ราชาแห่งราชันย์
จงมองดูผลงานที่ข้าทำ…เจ้าผู้เกรียงไกร และสยบต่อข้า-
…ณ. บริเวณรอบเศษซากรูปแกะสลักมหึมา คงเหลือไว้แต่เพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าของพื้นทราย
แผ่ไพศาล ทอดไปแสนไกลสุดสายตา”
 
 
กวีนิพนธ์ บทนี้ประพันธ์โดย…เพอซี่ บิสซี่ เชลลีย์…เมื่อ ปี คศ.1817 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก… ฟาโรห์ รามเสสที่2…แห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ ผู้อหังการในความยิ่งใหญ่
 
 
บุคคลผู้ทรงปัญญา…เป็นเป็นความหวังเดียวของประชาชน การกอบกู้ประเทศไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือของ “เผด็จการอำนาจ” ผู้แสดงตนว่าเปลี่ยนด้วยความเมตตากรุณา…โดย ข้ออ้างโปรดที่ปกปิดความจริงของฟาโรห์… คือ… “ความมั่นคง”
 
 
พลเมืองที่หวาดกลัว จะมิกล้าปริปากคัดค้าน… ความกลัวทำให้ผู้คน กลัวจนไม่กล้าที่จะคิด…ความเขลา ความไม่รู้…ไม่อาจเข้าใจ “กฎธรรมชาติ” ที่ปรากฏอยู่ในโลกและชีวิต ซึ่งแฝงอยู่ในเหตุการณ์ทั้งปวง โดยหลงผิดคิดว่าเป็นไปโดย… “เทวานุภาพเจ้า” จึงต้องเช่นสรวงปวงพลี เพื่อเอาใจอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน หาต่างจากสภาพความเป็น “ทาส”… ที่ต้องขึ้นต่อเจตจำนงค์ตามอำเภอใจ หรือดุลพินิจของคนอื่น ต้องพึ่งพาอาศัยความประสงค์ดี หรือ ความเมตตาปราณีของคนอื่นเท่านั้น ทั้งนี้มิใยว่า ตนเองจะทีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ตาม… เพราะทาส คือ คนที่อยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของคนอื่น
 
 
ปรากฎการณ์ทั้งหลายเป็นเพียงกระบวนการเกิดดับ สืบเนื่องกันตามกฎแห่งเหตุและผล… “ทุกขณะที่สิ่งเก่าแตกดับสูญสลาย ในขณะก็จะเกิดสิ่งใหม่ขึ้นทดแทนเสมอ”… บอกกล่าวต่อๆกันไป ยังราษฎรทั้งหลายว่า…จงดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจ บนหลักการของเหตุผล เยี่ยงดังเจตนารมณ์แห่ง “เสรีชน”… โดยมิคิดพึ่งพิง…อานุภาพลึกลับใดๆ
 
 
“It is the strongest species that survive not the most intelligent
but the most responsive to change”

 
 
“หาใช่…ผู้ที่แข็งแรงที่สุด หรือเป็นผู้ฉลาดที่สุด ที่สามารถเอาตัวรอดได้
หากแต่เป็น ผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง”
                                                                                                                      
   ชาร์ส ดาร์วิน – Charles Darwin

 
 
เราอยู่ในยุคที่…ผู้กระทำผิดกฎหมายตังจริง กลับกลายเป็นผู้ไม่ผิด แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น… “รัฏฐาธิปัตย์” โดยการกลับดำเป็นขาว ด้วยวิธีของเผด็จการ อย่างบ้าคลั่ง และเขียนกฎหมายบังคับให้พลเมืองทุกคนต้องปฎิบัติตาม
 
 
บัดนี้…ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ดำเนินมาถึงแล้ว อย่างไม่มีหนทางหลบหลีก มีแต่ต้องเดินหน้าต่อสู้ให้รู้ถูกรู้ผิด  การปะทะกันระหว่างพลังความขัดแย้งของเก่ากับใหม่ คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้… ซึ่งชัยชนะย่อมตกเป็นของคนรุ่นใหม่ตลอดเวลา  นับเป็นกฎของธรรมชาติและชีวิต กฎที่ไม่เคยมีใครฝ่าฝืนได้สำเร็จ… โดยข้อเท็จจริงของหลักเหตุผล ที่เกาะติดแน่นอยู่กับ ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งย่อมทรงพลังและมีชัยชนะเสมอ
 
 
ผู้ยิ่งใหญ่ หลายๆคนบนโลกใบนี้ หาเคยได้ตระหนักว่า… เมื่อเวลาเดินทางไปถึงสุสาน… ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงของตน สุดท้ายคงเหลือเพียงแต่… เถ้าธุลี ฝ่ามือเดียว เท่านั้นเอง
   
JUST ONLY THE ASHES LEFT
เหลือเพียงแค่…เถ้าธุลี