ไปวิ่งเพราะมีคนชวน
การวิ่งไม่ใช่ชุมนุม
ปัญหาที่รอการตีความ แค่เชิญชวนก็กลายเป็นคนจัดการชุมนุมแล้วหรือ?
จนถึงวันที่ 16 มีนาคม 2564 คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ออก ศาลจังหวัดบุรีรัมย์จึงสั่งให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยซึ่งมีตัวอิสรีย์เพียงปากเดียวออกไปก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยจึงให้มาฟังคำวินิจฉัยและสืบพยานในนัดเดียวกัน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านิยามของผู้ประสงค์จะจัดให้มีการชุมนุมขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญคดีนี้ก็เป็นอันยุติไป แต่หากศาลเห็นว่านิยามดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญศาลก็จะสืบพยานต่อโดยอาศัยพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฎในชั้นศาล
กีฬา การแสดงออกทางการเมือง หรือการชุมนุม?
“การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่”
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็อาจเพิ่มภาระให้กับผู้จัดกิจกรรมต่างๆเกินความจำเป็นและเกินกว่าเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯเองที่ถูกประกาศใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ชุมนุมและผู้ที่ต้องใช้ทางสัญจรในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่การชุมนุม
ขณะที่มาตรา 10 ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการแจ้งการชุมนุม กำหนดในวรรคหนึ่งและวรรคสองว่า
“ผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะ ให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ให้ถือว่าผู้เชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่นมาร่วมชุมนุมในวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนดไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ รวมทั้งผู้ขออนุญาตใช้สถานที่หรือเครื่องขยายเสียงหรือขอให้ทางราชการอำนวยความสะดวกในการชุมนุมเป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะตามวรรคหนึ่ง”
ซึ่งหากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าลำพังการเชิญชวนเพื่อน คนรู้จัก หรือคนอื่นๆ เพียงพอแล้วที่จะเป็นพฤติการณ์ของผู้จัดการชุมนุม ก็อาจก่อให้เกิดความกลัวในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของประชาชน และอาจเป็นการทำให้การบังคับใช้พ.ร.บ.ชุมนุมฯไปไกลเกินกว่าเจตณารมณ์ตั้งต้นคือเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการดูแลอำนวยความสะดวกทั้งประชาชนที่ประสงค์ใช้เสรีภาพในการชุมนุมและผู้ที่ต้องสัญจรหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่การชุมนุม