เปิดเรื่องเล่าผู้ลี้ภัย ม.112 และผู้ถูกอุ้มหายในต่างแดน

 
 
 
 
 
 
ความโหดร้ายของการดำเนินคดีกับการลงโทษด้วยมาตรา 112 และความจริงที่คนถูกตั้งข้อหาจำนวนไม่น้อยต้องเข้าเรือนจำ นำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่คนที่ถูกดำเนินคดีเอาการ “หนีไปอยู่ต่างประเทศ” มาเป็นทางเลือก หรือที่เรียกว่าการ “ลี้ภัย”

 
ในทางสากล การลี้ภัยจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่พลเมืองของประเทศหนึ่งๆ ไม่สามารถอยู่ในประเทศต้นกำเนิดของตัวเองได้ เพราะอาจได้รับอันตราย อาจถูกฆ่า หรือถูกจำคุก เพราะความคิดเห็นทางการเมือง เพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือเหตุอื่นๆ ประเทศอื่นจึงอาจรับคนที่ตกอยู่ในอันตรายเหล่านั้นให้เข้ามาอยู่ในประเทศใหม่เพื่อรักษาชีวิตและความปลอดภัยตามหลักมนุษยธรรม
คดีมาตรา 112 หรือความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายในประเทศที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ และอัตรชาโทษที่สูงกับการบังคับใช้อย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่อาจยอมรับได้ในสายตาของหลายประเทศ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จึงนับได้ว่า เป็นผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายภายใต้อำนาจของรัฐบาลไทยเพราะความคิดเห็นทางการเมือง และเข้าข่ายมีสิทธิได้ลี้ภัยไปประเทศอื่น 
 
หลังการรัฐประหารในปี 2549 เมื่อมาตรา 112 ถูกนำมาใช้ทางการเมือง เริ่มปรากฏมีผู้ที่ลี้ภัยทางการเมืองด้วยมาตรา 112 เช่น จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ (Feudalism), ใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ A Coup for the Rich ทั้งคู่ออกจากประเทศไทยเมื่อปี 2552 ซึ่งทั้งสองคนพอมีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยใจล์เป็นคนถือสองสัญชาติ และมีบ้านที่ประเทศอังกฤษด้วย
 
ผู้ที่เป็นพลเมืองประเทศอื่นและโดนคดี อย่าง โจ กอร์ดอน ชาวไทยสัญชาติอเมริกัน, วันชัย ตัน ชาวไทยสัญชาติสิงคโปร์, แฮรี่ นิโคไล ชาวออสเตรเลีย เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็กลับประเทศทันที ขณะที่ผู้มีชื่อเสียงหลายคนที่เคลื่อนไหวในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็อาศัยอยู่ในประเทศอื่น เช่น ปวิน ชัชวาลพงษ์พันธุ์, จรรยา ยิ้มประเสริฐ หรือแอนดรู แมกเกรเกอร์​ มาแชล ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้ภาพลักษณ์ของมาตรา 112 มาควบคู่กับการ “ลี้ภัย”
 
แต่การจะได้สิทธิเป็นผู้ลี้ภัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และการ “ย้ายชีวิต” ไปอยู่ต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องสบายกายสบายใจสำหรับทุกคน
 
สำหรับผู้ที่ต้องการขอสิทธิเป็น “ผู้ลี้ภัย” และได้สถานะเป็นพลเมืองของประเทศอื่น อาจต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างเช่น

 
1. ในวันที่ยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัย ต้องอยู่ในประเทศที่มีที่ทำการของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่ไม่ใช่ประเทศไทย แม้กรุงเทพจะมีที่ทำการตั้งอยู่ แต่คนไทยจะยื่นขอลี้ภัยที่ที่ทำการในกรุงเทพไม่ได้ ต้องยื่นจากประเทศอื่น ซึ่งหากผู้ต้องหาถูกจับกุมแล้ว หรือถูกออกหมายจับแล้ว ก็ไม่สามารถเดินทางออกไปยื่นเรื่องได้
 
2. ต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า จะมีโอกาสถูกจับกุม หรือคุมขังด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และต้องมีประเทศใหม่ที่ยอมรับให้ย้ายเข้าไปอยู่ในฐานะพลเมือง 
 
3. การตรวจสอบสถานะผู้ลี้ภัย อาจใช้เวลานานเป็นปี ระหว่างนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเสี่ยง บางคนอาจอยู่ในฐานะคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เอง ทำมาหากินในต่างประเทศ โดยไม่มีองค์กรใดช่วยเหลือ
 
หลังรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 เมื่อเข้ายึดอำนาจแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ คสช.​ เรียกคนไปรายงานตัวอย่างน้อย 666 คน มีผู้ที่ถูกจับกุมด้วยกฎอัยการศึกอย่างน้อย 362 คน คนที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง จึงเลือกที่จะ “ลี้ภัย” ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พบจำนวนผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 86 คนส่วนใหญ่ลี้ภัยออกทางเส้นทางธรรมชาติไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาวและกัมพูชา 
 
คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ตัดสินใจออกนอกประเทศแล้วได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัย และเป็นพลเมืองของประเทศใหม่ บางส่วนตัดสินใจเดินทางกลับบ้านในเมืองไทยแล้วโดยปลอดภัย บางส่วนถูกจับที่ต่างประเทศหรือถูกจับในเมืองไทย บางส่วนยังคงใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีกำหนดได้กลับ
 
สองคนถูกพบเป็นศพในแม่น้ำโขง ถูกคว้านท้องและยัดเสาปูน และอย่างน้อย 7 คนยังคงสูญหาย 
 
ในช่วงปี 2557 นั้น หลังนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งที่มีคดี 112 และไม่มี เลือกไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ก็ปรากฏข่าวลือถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของพวกเขาเป็นระยะ โดยการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ หากไม่เข้าองค์ประกอบทุกข้อก็ยังไม่ได้สิทธิเป็น “ผู้ลี้ภัย”​ และยังไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการที่จะได้รับการปกป้องจากรัฐบาลของประเทศอื่น
 
แม้ว่า เมื่ออยู่ต่างประเทศแล้วเขตอำนาจของรัฐไทยจะไปไม่ถึง ตำรวจหรือทหารไทยไม่อาจบุกไปจับกุมคนที่อยู่ในต่างประเทศได้ แต่เมื่อ 15 ธันวาคม 2561 ก็มีข่าวการจับกุม กฤษดา ไชยแค ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เขาเป็นคนเดียวที่ถูกจับตามกระบวนการ โดยข้อหาของเขาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ไม่ใช่มาตรา 112 ส่วนคนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ยังไม่ปรากฏข่าวว่า ถูกจับกุมเพื่อดำเนินคดี แต่หลายคนสูญหาย ไม่ทราบชะตากรรมหรือแม้บางรายสามารถย้ายไปประเทศใหม่ได้แล้ว แต่ชีวิตของคน “ไกลบ้าน” ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างแน่นอน
 
 
 
 
วงดนตรีไฟเย็น ‘อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยแม้แต่วันเดียว’
 
กลุ่มไฟเย็น คือ กลุ่มนักดนตรีที่ก่อตั้งขึ้นปลายปี 2553 เป็นที่รู้จักในแวดวงคนเสื้อแดง และมีผลงานเพลงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาทั้งหมด 5 คนเลือกลี้ภัยไปลาว สมาชิกในปัจจุบันทั้งหมด 5 คน คือ ขุนทอง หรือ นายไตรรงค์ สินสืบผล, จอม หรือ นิธิวัต วรรณศิริ, แยม รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล, โยนก ชฤต โยนกนาคพันธุ์ และ พอร์ท ปริญญา ชีวินกุลปฐม 
 
ระหว่างที่อยู่ในลาวพวกเขายังแต่งเพลงเผยแพร่ และจัดรายการทางยูทูป หลังจากข่าวการหายตัวไปของลุงสนามหลวง, สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ในเดือนมิถุนายน 2562 ข่าวลือเรื่องการกวาดล้างผู้ลี้ภัยทางการเมืองแพร่สะพัด สมาชิกวงไฟเย็นถูกข่มขู่ฆ่าไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง ไม่นับรวมข้อความที่ส่งมาสาปแช่ง มีการระบุว่ารู้ที่พักและสามารถเข้าถึงตัวพวกเขาได้ทันที หรือหากคิดหนีจะส่งทหารรบพิเศษไปฆ่าทิ้ง ทำให้พวกเขาต้องหลบซ่อนด้วยความหวาดกลัว
 
22 สิงหาคม 2552 กลุ่มไฟเย็นได้รับการช่วยเหลือให้ออกมาจากลาว เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศฝรั่งเศส
 
5 มีนาคม 2564 พอร์ทถูกจับกุมที่บ้านพักในกรุงเทพ ข้อหามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากเดินทางกลับเข้ามาจากนครหลวงเวียงจันทร์ สมาชิกที่เหลือเปิดเผยว่า พอร์ทไม่ได้ลี้ภัยไปฝรั่งเศสตามวงไฟเย็นเนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพ พอร์ทถูกฝากขังและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว
 
 
 
 
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “มีความลำบากกว่าอยู่บ้านเยอะ”
 
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหามาตรา 112 ที่เคยถูกมือปืนยิงเข้าไปในบ้านในช่วงที่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังการรัฐประหารเขาถูก คสช. เรียกรายงานตัว แต่เขาไม่ได้เข้ารายงานตัวและเงียบหายไปเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งทราบภายหลังว่า เขาไปถึงที่ประเทศฝรั่งเศสได้แล้ว หลังจากนั้นเขาเปิดเผยเรื่องราวที่หลบหนีออกนอกประเทศทางเส้นทางธรรมชาติโดยการเดินผ่านป่าเป็นเวลา 6 ชั่วโมง
 
“ในปีหลังๆ โดยเฉพาะใน 2 ปีที่ผ่านมา ที่ต้องมาอยู่ไกลบ้านขนาดนี้ มีความลำบากกว่าอยู่บ้านเยอะ และมีความเป็นไปได้ว่าชีวิตนี้อาจจะไม่ได้กลับไปอีกเลยก็ได้ บางครั้ง ก็นึกแวบๆ ขึ้นมาในใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คิดมากหรือนานอะไร เป็นเพียงมู้ดชั่วคราวที่ผ่านมาแล้วผ่านไป” สมศักดิ์ โพสเฟซบุ๊กเมื่อปี 2559
 
18 กุมภาพันธ์ 2560 สมศักดิ์โพสเฟซบุ๊กระบุว่า มารดาของเขาเสียชีวิตแล้ว และในโพสระบุว่า “นอกจากความคิดถึงชีวิตเมืองไทย คิดถึงงาน คิดถึงบ้าน คิดถึงผู้คนหลายคน ซึ่งก็เป็นความลำบากใจที่ผมต้องดีลกับมันเป็นปกติ บางครั้งรุนแรง บางครั้งไม่รุนแรงมาก .. สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกแย่มากๆ รู้สึกผิด และความรู้สึกอีกหลายอย่าง (ดังที่ผมเคยเขียนไปบางครั้ง) คือเรื่องแม่ ตอนผมลี้ภัยมา แม่ก็อายุเกิน 90 แล้ว ถ้าผมต้องอยู่นอกประเทศหลายปี อย่างต่ำเป็นสิบปี โอกาสที่จะได้เจอแม่ ก่อนที่แม่เองจะหมดอายุขัยตัวเอง แทบเป็นไปไม่ได้”
 
 
 
 
ชนกนันท์ “มันถอยไม่ได้แล้ว”
 
ชนกนันท์ หรือการ์ตูน นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารในนามขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ถูกออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 จากการแชร์ข่าวบีบีซีไทยเกี่ยวกับพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 ในเดือนธันวาคม 2559 เธอตัดสินใจลี้ภัยไปยังเกาหลีใต้
 
28 มกราคม 2561 ชนกนันท์ โพสเฟซบุ๊กเป็นภาพหมายเรียกตามมาตรา 112 และเล่าเหตุการณ์ช่วงที่เธอตัดสินใจลี้ภัย โดยตอนหนึ่งเล่าว่า “มาถึงที่นี่วันแรก เราเอาแต่ร้องไห้ เพราะหนทางมันมืดแปดด้าน ทุกอย่างดูสับสน กระชั้นชิด งง ไม่รู้จะจัดการยังไง เอาแต่ตั้งคำถามว่าเราคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่เลือกจะลี้ภัย หรือเรากลับไปติดคุกแล้วออกมาเจอบ้าน เจอครอบครัว เจอเพื่อนเหมือนเดิม แต่ได้คำตอบว่ามันถอยไม่ได้แล้ว” เธอเล่าภายหลังว่า สาเหตุที่เลือกไปเกาหลีใต้เพราะให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องทำวีซ่าได้ 90 วัน
 
“เราคุยกับคนเกาหลีใต้ไม่ได้เพราะฟังไม่รู้เรื่องเลย เราไม่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยได้ แม้กระทั่งออกเงินตัวเอง เพราะมหาวิทยาลัยที่นี่ต้องใช้วีซ่านักเรียน ก็ต้องเรียนที่อื่นที่เป็นเอกชน โรงเรียนสอนภาษาของเอกชนก็ต้องใช้เงินเยอะกว่า แล้วได้เรียนแค่อาทิตย์ละครั้ง ก็ไม่คิดว่าจะพูดได้” ชนกนันท์ พูดผ่านรายการ Hello I’am from prison เรื่องภาษาเป็นอีกเรื่องที่เธอต้องเจอเมื่อไปถึงเกาหลีใต้ใหม่ๆ หกเดือนแรกที่สมัครรับสถานะผู้ลี้ภัยตามกฎหมายของเกาหลีใต้ห้ามทำงาน ที่อยู่ได้เพราะที่บ้านยังส่งเงินมาให้ 
 
ชนกนันท์ ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยช่วงปลายปี 2561 หลังออกจากประเทศไม่ถึงหนึ่งปี โดยเธอเคยเล่าว่า เรื่องของเธอเดินหน้าเร็วเพราะมีสื่อมาสัมภาษณ์ ทำให้เธอมีชื่อเสียง หลังจากนั้นเธอเข้าร่วมกิจกรรมกับองค์กรในเกาหลีใต้ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ลี้ภัย และได้เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานในองค์กรแห่งนั้นเรื่อยมาเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ
 
 
 
 
 
จอม เพชรประดับ “จุดที่เราอยู่มันทำได้มากกว่าในประเทศไทย”
 
จอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าว พิธีกรช่อง NBT, VoiceTV ตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศเมื่อเกิดการรัฐประหารในปี 2557 ตามคำชักชวนของ “ผู้ใหญ่” เขาเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาทันที ภายหลังจึงทราบว่า เขาเองก็มีชื่อเป็นผู้ถูก คสช. เรียกให้ไปรายงานตัว เขาร่วมจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารร่วมกับอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และสร้างสื่อแห่งใหม่จากยูทูปชื่อ “Thai Voice Media” จัดรายการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ รอบโลก โดยติดต่อประสานงานเอง สัมภาษณ์เอง ตัดต่อเอง เผยแพร่เองด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด ในประเด็นที่บางครั้งอาจจะ “เพดานสูง” เกินไปสำหรับสื่อในเมืองไทย
 
จอมอยู่ในลอส แองเจลลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และต้องหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย พร้อมกับทำงานเคลื่อนไหวไปด้วย โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนไทย “เสื้อแดง” ที่อยู่มาก่อน เขาต้องดิ้นรนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ และเป็นคนขับรถอูเบอร์ จอมให้สัมภาษณ์กับ VOAThai ว่า “เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าหนึ่งคือเรามาเริ่มต้นที่นี่ในลักษณะที่ติดลบ เพราะว่าโดนคดีมา… คดีของผมก็คือไม่ไปรายงานตัวต่อคณะ คสช. … การที่เราจะอยู่กับสังคมไทยในสหรัฐอเมริกาเอง มันก็อยู่ด้วยความลำบาก สำหรับคนไทยที่ยังเชื่อว่ายังฟังแต่รัฐบาลเผด็จการ ก็มองว่าเราเป็นคนร้ายในมุมมองของเขาเหมือนกัน”
 
เดือนมีนาคม 2559 จอมโพสเฟซบุ๊กเล่าว่า เขาต้องสูญเสียพี่ชายโดยไม่มีโอกาสได้ขอขมาลาโทษ และวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 โพสเฟซบุ๊กว่า เขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกาแล้ว
 
“ผมใช้เสียงในพื้นที่นี้สะท้อนไปยังประเทศไทยว่า เรื่องนี้เป็นไง เรื่องนี้ประชาชนไม่ชอบ คิดยังไง เป็นช่องทางที่เสียงที่ไม่ได้ถูกพูดในไทย ผมก็ตัดสินใจทำด้วยเหตุผลนั้น ว่ามันมีความสำคัญ และจุดที่เราอยู่มันทำได้มากกว่าในประเทศไทย” จอมให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย
 
 
 
 
 
 
ตั้ง อาชีวะ “จบหน้าที่ของผมแล้ว”
 
เอกภพ หรือ ตั้งอาชีวะ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีเล็ก ในการชุมนุมของ นปช. ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 คลิปการปราศรัยถูกแชร์ต่อกัน ทำให้เขาถูกออกหมายจับ ถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหยิบมาเป็นประเด็นโจมตี และถูกปาระเบิดใส่บ้านพักด้วย ทำให้เขาตัดสินใจข้ามพรมแดนไปกบดานอยู่ที่กัมพูชา จนกระทั่งหลังรัฐประหารก็ถูกติดตาม และถูกขอให้เข้ามอบตัว เขาจึงทำเรื่องขอลี้ภัยกับ UNHCR ที่พนมเปญ และได้ไปอยู่นิวซีแลนด์พร้อมกับแฟนของเขา เมื่อได้ไปอยู่นิวซีแลนด์แล้ว เขาทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง นำเข้าอะไหล่รถยนต์ และประมูลซากรถยนต์มาตกแต่ง
 
“ยูเอ็นเรียกไปสัมภาษณ์มากกว่า 20 ครั้ง เพื่อหาจุดจับผิดว่า เราจะโกหกเพื่อให้ได้ไปอยู่ประเทศอื่นหรือไม่ เขาส่งคนเข้าไปในประเทศไทย เพื่อหาข้อมูลว่าเรื่องที่เราเล่ามันจริงหรือไม่
 
“ถ้าคิดจะลี้ภัยนะครับ และมีเงินมีความสามารถพอ อยู่ด้วยตัวเอง และหาทางไปประเทศอื่น ใครจะมาอุ้มมาฆ่าก็เข้าถึงตัวยาก เพราะเราไม่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มคนไทยที่ลี้ภัยด้วยกัน
 
“จบหน้าที่ของผมแล้ว เพราะลำพังตัวผมคนเดียว ไม่สามารถที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ เราจะต้องสร้างตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน แน่นอนประสบการณ์ชีวิตที่หนีตายมาจากประเทศไทย จะเรียกว่าเป็นวิกฤติของชีวิตก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสให้กับผมด้วย…” เอกภพ เล่าเรื่องของตัวเองผ่านรายการ Hello, I’m from prison
เรื่องราวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้ลี้ภัยชาวไทยต้องเจอ แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่โอกาสได้กลับมาเล่าถึงการใช้ชีวิตในต่างแดน ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงจากครอบครัวหรือญาติมิตรเพราะพวกเขาถูกบังคับให้สูญหาย
 
 
 
 
อิทธิพล สุขแป้น หรือ ดีเจซุนโฮ หรือ เบียร์ ผู้ลี้ภัยในลาว 
 
หายตัวไปเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559
 
ดีเจซุนโฮเคลื่อนไหวกับกลุ่มเชียงใหม่ 51 ถือว่าเป็นกลุ่มเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่ และยังเป็นผู้จัดรายการวิทยุชุมชนที่มีเนื้อหาวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์และการเมืองในช่วงเวลานั้น ดีเจซุนโฮเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ปี 2552 ทั้งการขึ้นปราศรัยกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และการร่วมกับกลุ่มเสรีปัญญาชน โดยดีเจซุนโฮถูก คสช. เรียกให้ไปรายงานตัวตามคำสั่งคสช. ฉบับที่ 25/2557 แต่เขาเลือกที่จะลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และยังคงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารผ่านยูทูปและเฟซบุ๊กอยู่เสมอ
 ชีวิตในช่วงที่ลี้ภัยนั้นนอกจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เขาทำอาชีพขายปลาร้าสับในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเขาจะเป็นคนไปส่งสินค้าเองโดยใช้รถจักรยานยนต์ที่มีตะกร้าผูกไว้ท้ายรถ 
 
วันที่ 18 มิถุนายน 2559 ญาติของดีเจซุนโฮระบุว่า ยังได้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าตัวอยู่ ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ดีเจซุนโฮได้ไปรับประทานอาหารกับคนไทยด้วยกันในร้านแห่งหนึ่งและแยกย้ายกันกลับ มีพยานระบุว่าได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย บริเวณถนนข้างทางที่มีหญ้าขึ้นรกนั้นปรากฏรองเท้ากีฬาข้างหนึ่งของดีเจซุนโฮ และรถจักรยานยนต์จอดทิ้งไว้ในระยะห่างจากตัวร้านอาหารเพียง 1 กิโลเมตร 
 
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับดีเจซุนโฮสืบทราบข้อมูลมาว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ไทยคุมตัวไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ติดตามสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกลับได้รับการปฏิเสธ ทั้งนี้ คสช. เองก็ยอมรับว่ามีการติดตามความเคลื่อนไหวของดีเจซุนโฮจริง แต่ปัดว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการจับกุมหรือการหายตัวไปของเขา
 
 
 
 
วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ผู้ลี้ภัยในลาว 
 
หายตัวไปเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม 2560
 
โกตี๋ เป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในจ.ปทุมธานี เขาเคยเป็นการ์ดให้แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเป็นที่รู้จักในฐานะสาย “ฮาร์ดคอร์” โกตี๋เป็นดีเจวิทยุคลื่น FM 106.10 สถานีวิทยุ..เพื่อมวลชน..(REDGARD RADIO) เคลื่อนไหวเป็นอิสระจากนปช. ต่อมาเขาถูกออกหมายจับในคดีมาตรา 112 ก่อนจะเลือกลี้ภัยไปลาว
 
จอม เพชรประดับ ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาโพสเฟซบุ๊กเปิดเผยเรื่องของโกตี๋ว่า “ผมได้รับคำยืนยันจากคนที่ใกล้ชิดกับ โกตี๋ ว่าโกตี๋ได้ถูกชายชุดดำ ประมาณ 10 คน คลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรมพร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าจับตัวไปเมื่อประมาณ 9.45 ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา…”
 
คำบอกเล่าของจอมยังเสริมอีกว่าในการจับกุมนั้น มีชายชุดดำซุ่มอยู่รออยู่แถวละแวกบ้าน ในขณะที่โกตี๋กำลังจะลงจากรถชายชุดดำได้เข้าจับกุมคนที่อยู่ด้วยกันสามคน คือ โกตี๋, เพื่อน และภรรยาของโกตี๋เอง โดยใช้ผ้าดำคลุมหัว นำมือไขว้หลังและมัดเอาไว้ ก่อนจะทิ้งทั้งสองที่กลายเป็นพยานในที่เกิดเหตุไว้บริเวณหน้าบ้าน และนำตัวโกตี๋ไปคนเดียว
 
เพื่อนของโกตี๋เล่าว่า ชายชุดดำที่มาจับกุมพวกเขานั้นพูดภาษาไทยและใช้อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าช็อตเข้าที่ต้นคอของพวกเขา พร้อมกับการขู่ไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ นอกจากนั้น เพื่อนทั้งสองคนนี้ยังได้ยินเสียงโกตี๋พูดว่า “โอ้ย หายใจไม่ออก” ก่อนจะไม่ได้ยินเสียงโกตี๋อีกเลย
 
 
 
 
สุรชัย แซ่ด่าน, ไกรเดช ลือเลิศ หรือกาสะลอง, ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ ภูชนะ ผู้ลี้ภัยในลาว 
 
หายตัวไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 
 
สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน เคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ระหว่างปี 2519-2524 และถูกจับ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจนกระทั่งปี 2539 เขาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารในปี 2549 ในฐานะ “แดงอิสระ” ขึ้นเวทีปราศรัยหลายครั้ง และโดนคดีมาตรา 112 รวม 5 คดี จำคุกจริง 2 ปี 7 เดือนก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษ หลังลี้ภัยไปลาวยังคงเคลื่อนไหวจัดรายการทางยูทูป หรือที่เรียกว่า “วิทยุใต้ดิน”
 
วันที่ 12 ธันวาคม 2561 เพื่อนผู้ลี้ภัยชาวลาวเดินทางไปพบทั้งสามที่บ้านพักแต่ไม่พบ หลังจากนั้นหนึ่งวันพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น จะเดินทางเพื่อประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว (Joint Cabinet Retreat: JCR) ครั้งที่ 3 และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่นครเวียงจันทร์ เพียงหนึ่งวัน
 
ผ่านไป 17-18วัน ถึงปรากฏภาพศพลอยติดฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งกลายเป็นข่าวดังในปีนั้น 
 
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 บริเวณตำพลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พบศพนิรนามศพแรก ตามมาด้วยศพที่สอง บริเวณตลิ่งใกล้บริเวณตลาดนัดไทย – ลาว อำเภอธาตุพนม จ.นครพนม ในวันที่ 27 ธันวาคม และพบศพที่สามที่บ้านสำราญเหนือ ต.อาจสามารถ จังหวัดนครพนม ในวันที่ 29 ธันวาคม โดยภายหลังศพที่พบในวันที่ 26 ธันวาคมนั้นถูกกระแสน้ำพัดพาหายไป แม้จะมัดเชือกป่านไว้กับไม้ริมตลิ่งก็ตาม 
 
เมื่อตรวจดีเอ็นเอแล้ว พบว่า สองศพนั้นตรงกับชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือสหายภูชนะ และไกรเดช ลือเลิศ หรือกาสะลอง สภาพทั้งสองศพนั้นคล้ายกัน คือถูกใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่าน ถูกของแข็งทุบใบหน้า คว้านท้องยัดด้วยเสาปูนยาว 1 เมตร ห่อด้วยกระสอบป่าน เย็บติด 2-3 กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย ยังไม่มีการยืนยันถึงความเป็นอยู่ของสุรชัย
 
“อาจารย์พูดไว้ตั้งแต่สมัยนู้นแล้วว่า การปฏิวัติเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยมีอยู่สามอย่าง ไม่ตายก็ติดคุก ไม่ติดคุกก็ต้องหนีการไล่ล่า ป้าทำใจตั้งแต่ยังไม่แต่งงานกับอาจารย์” ป้าน้อย ภรรยาของสุรชัยให้สัมภาษณ์กับ BBC News
 
ไกรเดช ลือเลิศ เขาเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มนปช. หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ รวมถึงเป็นทีมงานถ่ายทอดสดการชุมนุมและเวทีเสวนาต่างๆ ทั้งของกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มนักวิชาการตั้งแต่ช่วงหลังการรัฐประหารปี 2549 ไกรเดชเป็นคนมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องระบบไอที ทำให้เขาเป็นคนคอยช่วยเหลือการถ่ายทอดสดออนไลน์ของสุรชัยในช่วงก่อนและหลังลี้ภัย
ชัชชาญ บุปผาวัลย์ ก่อนหน้าเขาไม่ได้สนใจการเมืองเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีการจัดกิจกรรมชุมนุมขึ้นในพื้นที่กรุงเทพ กับความคิดที่ว่า ‘ในที่ชุมนุมน่าจะขายของได้’ ทำให้เขาเริ่มโฆษณาติดตั้งจานดาวเทียมในม็อบพันธมิตร ก่อนจะสนใจการปราศรัยของกลุ่มนปช. หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ทำให้้นอกจากไปร่วมชุมนุมแล้วเขายังรับติดตั้งจานดาวเทียมให้กับช่องเสื้อแดงอีกด้วย จนกระทั่งในปี 2551 ชัชชาญเคยลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น. และช่วยงานนักการเมืองในภาคอีสานหาเสียง หลังลี้ภัยชัชชาญเลือกที่จะอยู่ที่ไซยะบุรี ก่อนจะย้ายมาอยู่ร่วมกับสุรชัย แซ่ด่าน และเริ่มจัดรายการวิทยุใต้ดิน ที่เวียงจันทร์
 
ในวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ชัชชาญบอกกับบุตรชายทางไลน์ว่าจะหายไป 3 วัน หลังจาก 3 วันก็ยังไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ จนกระทั่งวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของชัชชาญ บุตรชายก็ยังไม่สามารถติดต่อผู้เป็นพ่อได้หลังจากนั้นไม่กี่วันถึงพบ 2 ศพลอยบริเวณแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนมในช่วงปลายเดือนธันวาคม
 
“สงกรานต์ปีที่เขาตาย ผมไปเจอเขา ก่อนกลับน้องชายก็เข้าไปกอด แล้วเรียกให้ผมไปกอดพ่อ พ่อก็บอกว่า “ไม่ต้องกอดๆ” เหมือนแค่มองตาเราก็เข้าใจกันแล้วไม่ต้องแสดงออก” กึกก้อง บุปผาวัลบ์ บุตรชายของชัชชาญ ให้สัมภาษณ์กับทาง the101.world
 
 
 
 
 
 
ชูชีพ ชีวสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวง, กฤษณะ ทัพไทย หรือ สหายยังบลัด 
และสยาม ธีรวุฒิ หรือ สหายข้าวเหนียวมะม่วง ผู้ลี้ภัยในลาว 
 
หายตัวไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
 
ชูชีพ ชีวสุทธิ์ เคยประธานชมรมนิยมไทย ที่มีการแสดงออกต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีตและปัจจุบัน เช่น ร่วมติดโปสเตอร์และแจกใบปลิวเปิดโปงกรณีการจับผู้ต้องสงสัยว่าร่วมกับคอมมิวนิสต์มาฆ่าและเผาในถังน้ำมัน 200 ลิตร หรือ เหตุการณ์ ‘ถีบลงเขาเผาลงถังแดง’ ที่ภาคใต้ ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาเลือกที่จะเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตอีสานใต้ ภายหลังจากออกจากป่าชูชีพทำธุรกิจส่วนตัว และจัดรายการวิทยุวิเคราะห์การเมืองไทย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2551 ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับชูชีพ ในข้อหามาตรา 112 ชูชีพเลือกที่จะลี้ภัยออกนอกประเทศ
สยาม ธีรวุฒิ เด็กหนุ่มวัย 29 ปี อดีตนักกิจกรรมกลุ่มประกายไฟ เคยเกี่ยวข้องกับละครเวทีเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” หลังลี้ภัยไปในปี 2557 เข้าร่วมจัดรายการวิทยุกับผู้ลี้ภัยคนอื่นด้วย
 
กฤษณะ ทัพไทย เคยเข้าป่าอีสานใต้ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก่อนจะออกมาทำอาชีพทำป้ายโฆษณา โดยกฤษณะถูกทางการกล่าวหาในคดีความเกี่ยวกับความมั่นคง
 
9 พฤษภาคม 2562  ‘เพียงดิน รักไทย’ หนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองเปิดเผยผ่านช่องทางยูทูปว่า ทั้งสามคนถูกจับกุมที่เวียดนามเมื่อเดือนมกราคม 2562 ถูกส่งตัวกลับไทยแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า คาดว่าการจับกุมสืบเนื่องมาจากทั้งสามคนใช้พาสปอร์ตอินโดนีเซียปลอมเดินทางเข้าเวียดนาม เหตุที่ต้องข้ามจากลาวไปเวียดนามอาจเป็นเพราะมีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบฝ่ายพยายามที่จะติดตามและกวาดล้างกลุ่มผู้ลี้ภัยทางการเมืองในลาว
 
 
 
 
วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยในกัมพูชา 
หายตัวไปเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563
 
วันเฉลิม อายุ 37 ปี เจ้าของเพจเฟสบุ๊ค ‘กูต้องได้ 100 ล้านจากทักษินแน่ๆ’ เคยเป็นนักกิจกรรมด้านสังคม ที่ทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนหลายด้าน เช่น ด้านเด็กและเยาวชน รณรงค์ ป้องกันเอชไอวี และเอดส์ เขาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่พักอาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และกำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร
 
‘โอ๊ย หายใจไม่ออก’ เป็นเสียงสุดท้ายที่สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิมได้ยินทางโทรศัพท์ ก่อนสายจะตัดไป เธอได้เล่าว่า วันเฉลิม ถูกอุ้มหายตัวไปจากหน้าคอนโด ที่กรุงพนมเปญ เมื่อเย็นวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ขณะเดินลงมาซื้อลูกชิ้นปิ้งหน้าคอนโด และได้กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามเข้าไปช่วย แต่กลุ่มคนที่มาอุ้มตัวมีอาวุธปืนด้วย โดยหลังจากสายโทรศัพท์ตัดไปแล้ว เธอพยายามโทรกลับไปหลายสายและติดต่อกับทางเพื่อนของน้องชาย จึงได้ทราบว่าวันเฉลิมได้หายตัวไป
 
กรณีของวันเฉลิมกลายเป็นข่าวดัง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ พี่สาวเป็นผู้คุยโทรศัพท์อยู่ในจังหวะที่ถูกอุ้ม และมีภาพในกล้องวงจรปิดบันทึกช่วงเวลาเกิดเหตุไว้ได้ แม้จะมีการร้องเรียนต่อทั้งทางการไทยและกัมพูชา โดยองค์กรทั้งไทย กัมพูชา และองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง แต่ก็ไม่อาจตามตัวจนพบได้
 
 
 
ผ่านไปหลายปี คนที่ถูก “อุ้มหาย” ก็ยังไร้ร่องรอย มีหลายชีวิตยังคงไร้ร่าง ไร้เสียงจนถึงปัจจุบัน