“เขาจับแบบไม่เลือกเลย” เสียงจากเยาวชนที่ถูกจับที่ดินแดง

เสียงประทัด พลุ และควันแก๊สน้ำตาสีขาวที่ลอยโขมงหน้าตู้คอนเทนเนอร์บริเวณแยกดินแดงติดต่อกันนานกว่าหนึ่งเดือน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการขับไล่รัฐบาลในรูปแบบที่ต่างออกไปจากภาพจำของการชุมนุมในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเติบโตของมวลชนที่แยกดินแดง ยอดตัวเลขของผู้ถูกจับกุมจากการเข้าร่วมชุมนุมก็ได้เพิ่มสูงขึ้นคู่ขนานกันไปเช่นเดียวกัน โดยข้อมูลจากการแถลงการณ์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2564 พบว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทั้งสิ้นรวม 203 คดี โดยมีผู้ต้องหา 754 คน และติดตามมาดำเนินคดีแล้ว 509 คน
ศุภณัฐ อายุ 22 ปี ผู้ถูกจับกุมตัวใน #ม็อบ29สิงหา เล่าว่า การชุมนุมที่แยกดินแดงนับเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองบนถนนครั้งแรกๆ สำหรับเขา โดยก่อนหน้านี้ในปี 2563 เขายังไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมที่ใดมาก่อนจนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2564 นอกจากเหตุผลเรื่องการเรียกร้องสิทธิและความต้องการขับไล่รัฐบาลแล้ว ภาพของการปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จูงใจให้เขาและรุ่นน้องชวนกันออกมาที่ม็อบดินแดง เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับภาพที่พวกเขาเห็นในข่าวนั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ยุทธวิธีล้อมจับแบบปิดกล่อง

ศุภณัฐเล่าว่า ในวันที่ 29 สิงหาคม 2564 มีการนัดรวมตัวที่แยกดินแดง จากนั้นผู้ชุมนุมบางส่วนได้เคลื่อนย้ายไปที่แยกมักกะสัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการเข้าร่วมชุมนุม 2-3 ครั้งก่อน รูปแบบการจับกุมของตำรวจในวันดังกล่าวมีการยกระดับมากขึ้น โดยศุภณัฐนิยามยุทธวิธีการจับกุมในวันนั้นว่าเป็นการล้อมจับแบบ ‘ปิดกล่อง’ กล่าวคือ มีการจัดตั้งขบวนรถหรือด่านตรวจในลักษณะปิดเส้นทางล้อมหน้า-หลัง และจับกุมคนที่อยู่ในพื้นที่อย่างไม่เลือกหน้า โดย ณ ขณะที่เขาถูกจับเป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม
“..ตอนแรกมี คฝ. (ตำรวจควบคุมฝูงชน) อยู่กลางถนน ยืนเรียงกันเป็นแนว จากนั้นมีพวกผู้ชุมนุมไปปาระเบิด เราก็กำลังจะเข้าไปดู พอมันระเบิดปุ๊ป ตรงที่มี คฝ. ยืนเรียงกันอยู่เขาก็แหวกแนวออก แล้วก็มีรถตำรวจแบบรถสายตรวจ ทั้งมอเตอร์ไซค์ กระบะ ขับออกมา แล้วก็ไล่มาเลย.. ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้เพราะว่าไปทุกครั้งก็ไม่ได้หนักขนาดนี้”
“ใครที่อยู่ตรงนั้นก็โดนหมดเลย คนที่โดนจับเหมือนกันบอกว่า แม้แต่แม่ค้าที่ขายของอยู่หรือกำลังจะเก็บของอยู่แถวนั้นก็โดนจับ เขาจับแบบไม่เลือกเลย ใครที่อยู่แถวนั้นจะถือว่ามาชุมนุม”
“รุ่นน้องผู้หญิงที่ไปกับเราไม่ถูกจับ กลุ่มเพื่อนของน้องเขาก็รอด เพราะว่าขับรถหนีไปได้ก่อน”
“ข้อหาที่โดนเป็นเกี่ยวกับการชุมนุม ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุมกันเกินสิบคน แล้วก็ใช้อาวุธประทุษร้าย”

ถีบรถล้มแล้วเข้ามารุม

ภายหลังการเปิดฉากขบวนรถไล่จับกุมจากตำรวจ ศุภณัฐได้พยายามขับมอเตอร์ไซค์หนีออกมาจากที่เกิดเหตุ แต่กลับถูกสกัดไว้ได้ทันและสั่งให้หยุดรถ เขาเล่าว่า เจ้าหน้าได้ทำร้ายร่างกายเขาด้วยการถีบให้ลงจากรถจนเสียหลักล้มลงไป จากนั้นได้เข้ามารุมเตะ อีกทั้งยังมีการกระชากเสื้อและแขน ส่งผลให้เขาได้รับแผลถลอกที่ข้อศอก และแผลบวมช้ำที่บริเวณแขนและข้อเท้า
ภายหลังการเปิดฉากขบวนรถไล่จับกุมจากตำรวจ ศุภณัฐได้พยายามขับมอเตอร์ไซค์หนีออกมาจากที่เกิดเหตุ แต่กลับถูกสกัดไว้ได้ทันและสั่งให้หยุดรถ เขาเล่าว่า เจ้าหน้าได้ถีบเขาให้ลงจากรถจนเสียหลักล้มลงไป ส่งผลให้เขาได้แผลถลอกที่ข้อศอก รวมทั้งแผลบวมที่บริเวณข้อเท้าซ้าย
“พอตอนจะวนกลับ เราก็เร่งเครื่องหนี แต่มีตำรวจดักอยู่แล้วตรงจุดที่จะเลี้ยวเข้าไป มีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านอยู่ข้างหน้าสองคน แล้วก็ประกบมาด้านหลังเป็นมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่ง มีคนนั่งสองคน แล้วก็ยิงกระสุนยางจากบนรถ อย่างนั้นเลย.. เป็นแบบ โป้งๆๆๆ ยิงโดนรถไหมไม่รู้ ตัวผมไม่โดน แต่ว่ามีรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน เขาบอกว่าโดนยิงสามนัดตรงขา”
“ตอนแรกเหมือนจะถีบให้ลงจากรถอย่างเดียว เราก็ล้มไป รถก็ล้มด้วย แต่ว่าตอนนั้นรถจอดนิ่งแล้ว เลยล้มไม่แรงมาก”
“หลังจากล้มปุ๊ป ก็มีคนเข้ามารุม จำไม่ได้แล้วว่าโดนรุมอะไรบ้าง เราก็บอกว่า ‘ยอมแล้วๆๆ’ แล้วก็ชูมือขึ้นเลย.. เขาก็บอกให้เอามือไขว้หลัง แล้วจัดการล็อกด้วยเคเบิลไทร์”
“ตอนค้นรถ ตอนเขาจะเปิดเบาะข้างๆ คือเขาดึงแล้วก็กระชากจนมันหักออกมาทั้งสองข้างเลย แบบนี้ใครจะรับผิดชอบ หักไปเลย”
เมื่อไปถึงสน.ดินแดง ศุภณัฐได้รับการช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ เขาเล่าว่ากระบวนการหลังควบคุมตัวนั้นใช้เวลายืดเยื้อเป็นอย่างมาก
“..เขาปล่อยให้นั่งรอนานมากทั้งๆที่มือไขว้หลัง โดนรัดจนข้อมือแดง เขา (ตำรวจ) ไม่ยอมปลดให้ เพราะปลดไม่เป็น.. สรุปคือรัดอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ประมาณ 19.40 น. จนถึงสโมสรตำรวจตอนสี่ทุ่มกว่า..”
“ตำรวจไม่มีใช้นะ มีแค่ คฝ. ที่ใช้อุปกรณ์แบบนี้ บางคนโดนเคเบิลไทร์รัด บางคนก็ไม่โดน คฝ.บอกว่าพวกที่โดนคือใช้ความรุนแรง แต่ผมไม่มีแม้แต่อาวุธเลย มาตัวเปล่าจริงๆ มีแค่โทรศัพท์ กระเป๋าตังค์ ไอแพด”

ความยากในการขอคืนของกลาง

ศุภณัฐเล่าว่า หลังจากถูกจับ เขาถูกยึดทั้งกุญแจและรถมอเตอร์ไซค์ รวมถึงของสำคัญอย่าง ‘โทรศัพท์’ ที่ทำให้เขาไม่สามารถอัพเดทความปลอดภัยของตนเองให้คนรอบข้างได้รับทราบ จนเพื่อนๆต้องออกประกาศตามหาตัวในทวิตเตอร์ และจนถึงปัจจุบัน (15 กันยายน 2564) เขาก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์กลับคืนมาในครอบครองแต่อย่างใด นอกจากนี้ กระบวนการในการทำเรื่องขอคืนรถยังทำให้เขาต้องเสียเวลาไปหลายวัน
“เขาบอกว่าโทรศัพท์จะได้คืนช้ากว่ารถมอเตอร์ไซค์อีก เพราะจะเอาไปตรวจดูข้อมูลทั้งหมดเลย เขาบอกว่าจะเอาไปดูแชท ส่วนมากก็จะตรวจทั้งเครื่องนั่นแหละถ้าเกิดว่าเราปลดล็อกให้แล้ว ถ้าตอนตรวจเจอว่าเราทำผิดกฎหมายอะไรอีก เขาก็สามารถแจ้งข้อหาเพิ่มได้”
“เรื่องรถ ตอนนี้ยังไม่ได้คืนเลย เพราะกว่าจะไปทำเรื่องที่สน. ไปตั้งแต่บ่ายโมง ต้องรอตำรวจตามเอกสารแต่ละอย่าง เสร็จเกือบสี่โมง แล้วพอไปที่สโมสรตำรวจ เขาบอกว่าให้มาก่อนสามโมงครึ่ง แต่ทางสน.ก็ไม่ได้บอกว่าต้องไปกี่โมง วันนั้นก็เลยไปเก้อ ยังไม่ได้รถ”
“วันต่อมา ไปถึง (สโมสรตำรวจ) ตอนสิบโมงกว่า เขาบอกให้เอากุญแจรถมาก่อนแล้วถึงจะไปเอารถมาให้ ผมก็งงสิ เพราะว่าตอนยึด เอากุญแจไปพร้อมรถ แต่กุญแจรถไม่ได้อยู่ที่นี่? พอโทรไปถามหมวดที่สน. เขาก็บอกว่าไม่ได้อยู่ที่นั่นเหมือนกัน สรุปแล้วมันก็อยู่ในถุงเดียวกับโทรศัพท์ในวันที่ยึดไป ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่คืนกุญแจมาให้ก่อนเลยตั้งแต่แรก”
“ตอนที่จะเอารถออกมา ต้องเซ็นว่า ‘ข้าพเจ้านาย… มาเอารับออกเวลา…’ แล้วจะมีคำลงท้ายว่า ‘โดยที่รถไม่ได้รับความเสียหายใดๆ’ แต่ตอนนั้นยังไม่เห็นรถเลย จะให้เซ็นได้ยังไง เขาก็บอกว่าถ้าไม่เขียนตามนี้ก็เอารถออกไปไม่ได้ เลยต้องยอมเซ็นไป”
“บอกเลยว่าการโดนจับไม่ทำให้เครียดเท่ากับการเอาของกลางคืน”

ปลายทางของการชุมนุมที่แยกดินแดง

ช่วงท้ายของบทสนทนา เราชวนศุภณัฐพูดคุยถึงทิศทางของการชุมนุมที่แยกดินแดงว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเขาออกตัวที่จะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เลือกใช้อาวุธหรือโต้ตอบเจ้าหน้าที่ด้วยความรุนแรงสะท้อนกลับไป
“(การชุมนุม) น่าจะอยู่อีกนานนะ เพราะว่ามันมีม็อบกลุ่มใหม่ เช่น ทะลุแก๊ส พวกนี้เป็นเด็กอาชีวะเลย มาเพื่อซ่า.. ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้เรียกร้องอะไรได้เพิ่มขึ้น จะมีแต่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเดียวเลย”
“ที่โดนจับกันได้ เพราะมันมีแต่พวกอาชีวะที่เน้นไปแนวหน้าอย่างเดียว ไม่มีใครดูแนวหลัง แล้วมันก็โดนปิดกล่อง โดนไล่จับกันหมดเลย เป็นแบบนี้อยู่หลายวันแล้ว แกนนำไม่สามารถคุมอะไรได้ มันคุมไม่อยู่ เพราะว่าพวกนี้เขาจะปะทะอย่างเดียว เขาไม่สนอะไรเลย”
“เรามีสิทธิจะเรียกร้อง แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงทั้งสองฝ่าย”
“เอาจริงๆ ตำรวจที่เจอในโรงพัก บางคนเขาก็ไม่สนับสนุนนายกฯ เหมือนกัน เขาก็ไม่ได้อยากจับเหมือนกัน แต่ คฝ.เป็นคนจับมาส่งเขา.. เขาบ่นให้คนที่โดนจับฟัง เพราะว่า ตรงสน.ดินแดงรับเรื่องอยู่ทุกวัน มีแต่คนถูกส่งมาจาก คฝ. เต็มไปหมด ทำให้งานเขาล้นมาก ที่สโมสรตำรวจตอนนี้มีรถมอเตอร์ไซค์ตั้งเกือบ 2,000 กว่าคันแล้ว ไม่มีที่จอดแล้ว เขาก็เลยเริ่มทยอยส่งกลับคืนให้คนที่โดนจับกุม”
ศุภณัฐเล่าว่าธุรกิจบริษัททัวร์ต่างประเทศของที่บ้านได้รับผลกระทบอย่างมากจากพิษเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 นับเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ไม่มีใครซื้อทัวร์หรือเดินทางไปต่างประเทศ
“ที่บ้านก็บอกว่าอย่าไปอีก พ่อแม่เป็นห่วงตามประสา.. เราก็คิดว่าอยากไปอยู่นะ แต่ถ้าโดนจับอีกรอบก็อาจจะไม่ได้ประกันตัว ก็ยังคิดอยู่ว่าเอายังไงดี แต่แม่ก็ไม่ให้ไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะได้ไปแล้ว” เขากล่าวทิ้งท้าย