คาริม ทะลุฟ้า : สู้เพื่อให้บ้านเมืองของเราใกล้สิ่งที่เราฝัน

จิตริน พลาก้านตง หรือ “คาริม ทะลุฟ้า” หนึ่งในทีมงานทะลุฟ้าที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้กำลังเข้าจับกุมตัว ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 โดยเขาถูกนำตัวไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี สืบเนื่องจากการไปทวงคืนรถเครื่องเสียงให้แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
การชุมนุมในวันดังกล่าว สืบเนื่องมาจากกิจกรรมคาร์ม็อบ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ที่จัดโดยเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี เป็นเหตุให้สมาชิกของเครือข่ายนนท์ฯ เจ็ดคน ถูกตำรวจรวบตัวเมื่อขบวนคาร์ม็อบเคลื่อนมาถึงฝั่งตรงข้ามของสถานีตำรวจภูธรรัตนาธิเบศร์ ทำให้ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจึงนัดรวมตัวบริเวณสโมสรตำรวจเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวสมาชิกเครือข่ายนนท์ฯ ที่ถูกจับ เมื่อการชุมนุมยุติแล้ว รถเครื่องเสียงของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ พร้อมทั้งคนขับได้โดนดักจับในภายหลัง
แม้ผู้ที่ถูกจับกุมไปทุกคนรวมทั้ง คาริม จะได้รับการประกันตัวมาแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 แต่ก็มีความพยายามจะถอนประกันพวกเขา โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน สิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางให้ถอนประกันกลุ่มทะลุฟ้า อย่างไรก็ดี ศาลได้ยกคำร้องของถอนประกัน ทำให้คาริมและเพื่อนยังได้รับอิสรภาพต่อไป เรามีโอกาสได้คุยกับคาริมเพื่อรู้จักกับตัวตนเขามากยิ่งขึ้น

เริ่มสนใจการเมือง

คาริม หนุ่มวัย 24 ปี เขาแนะนำตัวเองว่า มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี จบปริญญาตรีมาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เขาเล่าว่าเริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่ตอนเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งตรงกับช่วงที่มีการรัฐประหารโดย คสช. ในปี 2557 พอดิบพอดี ช่วงเวลาว่างจากการเรียนนี่เองทำให้เขาเริ่มเข้าไปศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ได้รู้จักคนอย่าง อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
เขายังย้อนความหลังเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองตั้งคำถามเกี่ยวกับการเมืองอีกว่า “จุดหนึ่งที่สะกิดผมคือพ่อ ตอนนั้นไปดูหนังกับครอบครัว ผมยังเด็กอยู่ประมาณชั้นประถมศึกษา จังหวะที่อยู่ในโรงหนังเขาก็จะให้เรายืนขึ้น ผมกับแม่กำลังจะลุกขึ้นยืน พ่อผมก็เลยเหมือนกับสะกิดแม่ว่า ไม่ต้องยืนหรอกมั้งคนเท่ากัน ตอนนั้นผมก็งง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ยืนเหมือนคนอื่น ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้มากมาย”
 

ตั้งคำถามวิชากฎหมาย

คาริม เล่าว่า ตอนที่เรียนอยู่ชั้นปี 1-2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เขาได้เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราจะเรียนกฎหมายไปทำไม” เพราะสิ่งที่เขาพบเจอการใช้กฎหมายในทางปฏิบัติกับในทางทฤษฎีไม่มีความสอดคล้องกัน พอเข้าสู่ช่วงการเรียนประมาณ ปี 3-4 ซึ่งเป็นช่วงที่ ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักกิจกรรมซึ่งเป็นรุ่นพี่ของคาริมที่คณะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหลังจากถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คาริมเล่าว่า เขาเคยมีร่วมกิจกรรมรับขวัญหลังจากไผ่ออกจากคุก เคยไปทำกิจกรรมในพื้นที่ที่ไผ่ทำไว้ และเคยมีโอกาสได้เรียนกับไผ่ในวิชาหนึ่ง สำหรับเขา “ไผ่ ดาวดิน” เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่สร้างจุดเปลี่ยนทางความคิดให้กับเขา

นักกิจกรรมภาคอีสานสู่กลุ่มทะลุฟ้า

คาริมเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ในมหาวิทยาลัยกับ “กลุ่มดาวดิน” เข้ามีโอกาสไปดูปัญหาตามพื้นที่ต่างๆ ดูการเรียกร้องต่อสู้ของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นต่อสู้เรื่องคัดค้านโรงงานน้ำตาล และคัดค้านเหมืองหินถ่านหินต่างๆ เขาอยากรู้ว่าชาวบ้านคัดค้านอะไรกัน ทำไมถึงต้องคัดค้านด้วย ซึ่งข้อมูลข้อเท็จจริงที่เขาเจอก็ทำให้เขาได้รู้ชาวบ้านไม่ได้รับความธรรมและถูกกดทับจากกฎหมายและนโยบายที่รัฐบาลชุดนี้ทำ
คาริม เล่าว่า กิจกรรม “เดินทะลุฟ้า” จากโคราชมากรุงเทพเป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งของเขา ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาอยู่กลุ่มทะลุฟ้า คาริมเคลื่อนไหวประเด็นชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน ในนามกลุ่ม “UNME of Anarchy” แล้วก็มีโอกาสเข้ามาเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ อยู่ช่วงสั้นๆ และได้ร่วมออกแบบกิจกรรมต่างๆ จนมาอยู่กับกลุ่มทะลุฟ้าและปักหลักทำกิจกรรมในกรุงเทพ

ต้องออกมาสู้ไม่อยากฝันลมๆ แล้งๆ

คาริม เคยถูกจับจากกรณีไปทวงรถเครื่องเสียง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม แต่ศาลให้ประกันตัวทำให้เขาไม่ได้เข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ แม้จะมีความพยายามจาก สิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่จะให้ศาลถอนประกันตัวเขาและเพื่อนๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเขาบอกว่า
“เราต้องยืนยันว่าสิ่งที่เราทำมา สิ่งที่พี่เราทำมา สิ่งที่พี่น้องเคยสู้กันมา มันไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราฝันกันลมๆ แล้งๆ เราเชื่อในสิ่งนี้จริงๆ และเราเชื่อว่าเราจะไปถึงมันได้จริงๆ ก็ยืนยันว่าถ้าออกมาก็จะสู้ต่อเหมือนเดิม”
“ตอนแรกที่ได้ยินคำว่า ‘ให้มันจบที่รุ่นเรา’ ก็มีความเชื่อกับคำนี้แล้ว อยากทำให้มันจบที่รุ่นเรา แต่พอเราได้มาเคลื่อนไหวทั้งปี เคลื่อนไหวที่กรุงเทพที่ศูนย์กลางของการแก้ไขปัญหา ได้มาที่รัฐสภาจริงๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ตั้งเอาไว้ แต่ว่า มันก็มีทางเดียวว่าจะสู้ต่อหรือว่าจะยอม ถ้าสู้ต่อเราก็ต้องมาหาทางคิดว่าจะเอายังไงกับทางนี้ต่อ”
“ผมอยากจะบอกทุกคนว่า สิ่งที่พวกเราพูด สิ่งที่พวกเราทำกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นคนเล็กคนน้อย สิ่งที่เราเรียกร้องกันไป สิ่งที่พวกเราพูดกันตลอดเวลา อยากชวนพวกเรามารวมตัวกันมารวมพลังกัน สิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราฝันกันเฉยๆ เพวกเราต้องพิสูจน์กันว่าพวกเราทำกันได้จริงๆ เพื่อบ้านเมืองเราตอนนี้ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราฝัน”