“เก่งแล้ว เก่งมากๆแล้ว ที่ผ่านมาเธอทำดีที่สุดแล้ว” ความในใจของ ต๋ง ทะลุฟ้า ถึง ‘ยาใจ’

ต๋งทะลุฟ้า (ปนัดดา ศิริมาศกุล) และยาใจ (ทรงพล สนธิรักษ์) ทะลุฟ้า คือนักกิจกรรมของกลุ่มทะลุฟ้าที่มักปรากฎตัวด้วยกันบนเวทีเวลามีการชุมนุม แต่นอกจากบทบาทที่ทั้งสองมีร่วมกันในขบวนแล้ว ทั้งสองยังมีสถานะที่พิเศษไปกว่านั้น
นับจากการพบกันครั้งแรกที่เธอไม่ได้รู้สึกว่ายาใจจะมีอะไรโดดเด่นน่าจดจำ เมื่อได้ทำงานร่วมกันและใช้ชีวิตรวมหมู่ความรู้สึกที่พิเศษก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นจนทั้งสองตกลงคบหาดูใจกัน ในฐานะคู่รักนักกิจกรรม การถูกดำเนินคดี การถูกคุมขังดูจะเป็นเรื่องที่อยู่ไม่ไกลเกินไป 
แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงนักกิจกรรมก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีเลือดมีความรู้สึก ต๋งเองแม้ภาพบนเวทีเธอจะดูแข็งกร้าวและเป็น ‘สายบวก’ แต่สิ่งที่เกิดกับคนพิเศษของเธอก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เธอต้องเสียน้ำตา ไม่ใช่เพราะความเศร้า แต่เป็นความโกรธ ที่กระบวนการยุติธรรมดูจะตามตอแยทั้งเธอและคนที่เธอรักอย่างไม่ลดละ

๐ วันแรกพบที่แสนงงงัน

เราเจอยาใจครั้งแรกช่วงเดือนตุลาคมปีก่อน (2563) ก่อนหน้าเราเคยทำกิจกรรมในม.(ราชมงคล ธัญบุรี) แล้วก็เคยรู้จักพี่ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) จะว่าเป็น FC พี่ไผ่ก็ได้ พอพี่ไผ่ถูกจับวันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว เราก็เลยนั้นมาช่วยงานภาคีนิรนามที่เคลื่อนเรื่องสิทธิการประกันตัวของนักโทษการเมือง 
ทีนี้พวกนักกิจกรรมอย่างพี่แอมมี (ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์) พี่ปีก (วชิรวิชญ์ ลิมป์ธนวงศ์) พี่ไดโน่ (นวพล ต้นงาม) แล้วก็ยาใจถูกปล่อยตัวออกมาก่อน แล้วเหลือพี่ไผ่คนเดียว ก็เลยคุยกันว่าจะเคลื่อนยังไงต่อ เราก็เลยมารู้จักยาใจในวงประชุมวันนั้น
ความประทับใจแรกพบเหรอ ไม่มีนะ 
คือยาใจไม่ได้มีอะไรดึงดูดเราเลย แต่ยาใจเค้าจำเราได้แม่นเลยนะ เพราะยาใจเค้าชอบผู้หญิงหวานๆ แต่เรานี่คือตรงกันข้ามเลย สักเต็มตัว ตัดผมสั้น แต่งตัวเปรี้ยวๆ เรียกว่าอยู่ในสายตาเขาเพราะเราเป็นผู้หญิงที่ตรงกันข้ามกับสเปคเขาเลย แล้ววันนั้นในวงประชุมเราก็เถียงกับยาใจหนักเหมือนกัน คือยาใจโกรธที่พี่ไผ่ไม่ได้ประกันแล้วก็บอกว่าพร้อมสู้ต่อชนิดที่เรียกว่าพร้อมเข้าเรือนจำอีกครั้ง แต่เราก็เถียงไปว่าเฮ้ยคุณสู้แบบนั้นไม่ได้ คุณต้องแข็งแรงและคุณต้องอยู่ข้างนอกนี่คุณเข้าไปข้างในจะทำอะไรได้ ก็เถียงกันไปยกใหญ่วันนั้น
หลังประชุมวันนั้นเราก็ไม่ได้จดจำยาใจเค้าเป็นพิเศษอะไรหรอก 
พอช่วงเดือนตุลามีม็อบถี่เราก็มาคลุกคลีกับพวกนักกิจกรรมมากขึ้นแล้วก็มีวันนึงเล่นไพ่กันแล้วยาใจเค้าติดตังเราก็เลยตามไปทวงตังแล้วสุดท้ายเลยได้คุยกันแบบงงๆ เสร็จแล้วพอต่อมามีวันหนึ่งเราก็นัดเพื่อนว่าจะไปกินเบียร์แถวคลองหก แต่งตัวเตรียมไปเที่ยวแล้วแต่ปรากฎเพื่อนเทก็เลยเอ๊ะชวนใครไปดี แล้วทีนี้มีเพื่อนคนนึงที่เค้าชอบๆยาใจเค้าก็บอกเราว่าอย่ามายุ่งกะยาใจนะ เราก็เลยแบบอยากแกล้งเพื่อนก็เลยชวนยาใจไปกินเบียร์ด้วยวันนั้น เราก็เลยรู้จักเค้ามากขึ้น  

๐ ความรู้สึกที่เริ่มเบ่งบาน

วันที่ไปกินเบียร์ด้วยกันเราก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้า คือยาใจเค้าเรียนนิติศาสตร์ ส่วนเราเรียนท่องเที่ยวก็ไม่รู้จะคุยอะไร สุดท้ายเราเลยชวนเค้าคุยเรื่องประวัติศาสตร์ที่เราเรียนตอนเรียนท่องเที่ยว คือไปคุยเรื่องประวัติศาสตร์ไทยในร้านเหล่านั่นแหละ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นก็คงตัดบทไปแล้ว แต่ยาใจไม่ใช่แบบนั้น เค้าเป็นคนที่รับฟัง นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสจากเค้าตั้งแต่วันนั้น และทำให้เราเริ่มรู้สึกคลิ้กกับเค้า 
ช่วงเดือนพฤศจิกาธันวาปีที่แล้ว (2563) พอมีม็อบถี่เราก็เริ่มย้ายมาอยู่บ้านนักกิจกรรม มาใช้ชีวิตแบบรวมหมู่บางทีก็เช่าก็ด้วยกันมากกว่า 20 คน ไอ้ครั้นจะมีโมเมนท์โรแมนติกแบบสองต่อสองมันไม่มีหรอก แต่ความรู้สึกพิเศษของเราที่มีให้เค้ามันก็ค่อยๆเติบโตขึ้น 
ยาใจเค้าไม่ใช่คนโรแมนติก วันเกิดเราเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่เรากับเค้าจะคุยกันเรื่องสถานะความสัมพันธ์แบบจริงจัง เค้าเคยซื้อของขวัญให้เรา แต่ก็ไม่กล้าเอามาให้เอง เค้าก็เอาของขวัญที่ซื้อมาไปยัดไว้ในกระเป๋าเน่าๆใบนึงที่วางอยู่บนพื้นในบ้านที่พวกเราเช่าอยู่ด้วยกัน เราเกือบเหยียบกระเป๋าใบนั้น
พอเปิดดูเราก็โวยวายว่า เฮ้ยใครเอาอะไรมาวางเรี่ยราดวะ เกือบเหยียบ พอเปิดดูของขวัญในนั้นเราก็ถามว่าของใครทำไมไม่เอาไปเก็บดีๆ ยาใจเค้าก็บอกเราว่าของเธอไง สุขสันต์วันเกิดนะ ตอนนั้นเราก็แอบคิดในใจมึงเดินเอามาให้กูดีๆก็ได้ 
เราอยู่กับความรู้สึกแปลกๆ กับความสัมพันธ์ที่งงๆ ประมาณสองเดือนมาจนถึงต้นปีก็เลยเปิดอกคุยกับยาใจ คือตอนนั้นเค้าก็มีสาวคุยด้วยอยู่ เราก็เลยคุยกะเค้าตรงๆ ก็ตามสไตล์เราแหละแบบเฮ้ยมึงจะเอายังไงกับกูวะ ถ้าจะคบกันก็เลิกคุยกับคนอื่น หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องมาคุยกัน จนสุดท้ายอะไรๆมันก็ชัดเจนขึ้น
เอาจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปวันที่เจอยาใจครั้งแรกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงวันนี้หรอก แต่เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนใส่ใจ เป็นคนที่รับฟัง เราเคยคบกับผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในขบวน แล้วเค้าพูดกับเราทำนองว่าเราหัวรุนแรงซึ่งเราไม่โอเคเลย 
สำหรับบางคนอาจจะมองว่าถ้าเป็นคนทำกิจกรรมแล้วมีแฟนนอกขบวนน่าจะดี อย่างน้อยก็ได้คุยเรื่องอื่นๆบ้าง ซึ่งเราคิดว่ามันก็แล้วแต่คนนะแต่สำหรับเรา เราอยากได้คนที่คุยกันได้ทุกเรื่องและรับฟังกันทุกเรื่อง ยาใจคือคนคนนั้น

๐ ความรัก ขบวน ส่วนรวม ส่วนตัว

หลายคนอาจจะสงสัยนะว่าเราทำงานในขบวนกับยาใจ แล้วก็อาศัยแบบรวมหมู่กับยาใจแล้วก็เพื่อนๆทะลุฟ้าเราจัดการความสัมพันธ์ยังไง เราแยกได้นะระหว่างความสัมพันธ์กับเรื่องงาน คือเวลาประชุมเนี่ยเราก็ไส่กับยาใจแบบไม่ยั้งตามสไตล์เรา ส่วนยาใจบางทีเค้าก็แอบมีความรู้สึกนะว่าทำไมเราต้องพูดแรงขนาดนั้น ทำไมไม่พูดดีๆ สำหรับเราการทำงานมันต้องแยกจากความสัมพันธ์ แต่ช่วงแรกๆที่เราตกลงคบกับเค้ามันก็ยากที่จะไม่มีความรู้สึกทั้งกับตัวเราเองและกับยาใจ 
สำหรับตัวเราเองบางทีก็มีน้อยใจเค้าบ้างคือยาใจเค้าติดเพื่อน เราก็เคยตัดพ้อเค้าว่าเธออยู่แต่กับเพื่อน อยู่แต่กับงาน มาถึงตอนนี้คบกันแปดเก้าเดือนแล้ว ยังไม่เคยดูหนังหรือกระทั่งไปกินข้าวข้างนอกกันสองคน แต่เราก็เข้าใจนะ ว่างานขบวน งานสร้างความเปลี่ยนแปลงไม่มีเรื่องส่วนตัวมีแต่ส่วนรวม
ยาใจเพิ่งได้กลับบ้านในรอบหลายเดือน เพราะที่ผ่านมาไม่ยอมกลับ เป็นห่วงเรื่องขบวนการเคลื่อนไหว จนตัวเองเกิดอาการคิดถึงบ้านหรือ home sick เค้าก็ชวนเรากลับบ้านด้วย แต่เราก็เป็นห่วงขบวนทางนี้ว่าถ้าเรากลับไปน้องๆจะรันงานกันยังไง เราเลยตัดสินใจไม่ไป 
อีกเรื่องที่เราอยากเล่าคือหลายๆครั้งเวลาไปชุมนุม ยาใจเค้าจะเป็นห่วงเรา จะมองหาเราก่อน แล้วอย่างช่วงที่เราไปลงพื้นที่กันที่จังหวัดเลย ก็ไปเจอพวกนายทุนในพื้นที่ มีคนมายิงขู่พวกเราในพื้นที่เรากับยาใจก็เคยวิ่งหลบกระสุนด้วยกันมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกดี ที่สุดแล้วถึงชีวิตเราสองคนจะไปอยู่ในขบวน ไปใช้เวลาด้วยกันในม็อบหรือวิ่งหลบกระสุนด้วยกันแทนที่จะได้ไปกินข้าวดูหนัง แต่สิ่งที่เรามีเวลาเค้าอยู่ด้วยคือความอุ่นใจ

๐ ยาใจที่เรารู้จัก

สำหรับคนข้างนอก ตัวตนของยาใจที่พวกเขามีโอกาสสัมผัสคงเป็นตัวตนในม็อบ ในมุมที่ดุดัน เกรี้ยวกราด ด่ารัฐบาล แต่จริงๆแล้วยาใจเขาเป็นคนอ่อนโยนนะ คืออย่างในม็อบ เราจะเป็นสายบวก ไปอยู่แนวหน้า ไปด่าตำรวจ ยาใจนี่แหละเป็นคนที่คอยเบรกเรา เธอๆ ทำไมต้องพูดแบบนั้นอะไรอย่างงี้ ยาใจอาจจะด่ารัฐบาล ด่าประยุทธ์ แต่เขาไม่เคยใช้คำหยาบ เอาจริงๆกับเพื่อนฝูงถึงจะสนิทกันยาใจก็ไม่เคยใช้คำหยาบ ยาใจจะเป็นคนที่คอยเตือนทุกคนเวลาที่อยู่หน้างานแล้วไปด่าตำรวจในลักษณะลดทอนพวกเขาในขณะที่ตัวเราเองจะไปอยู่แนวหน้าก่อนแล้ว ตอนที่หมู่บ้านทะลุฟ้าถูกสลายแล้วพวกเราถูกจับไปตชด. หลายๆคนโกรธตำรวจ ตอนนั่งรถไปก็จะถีบรถบ้าง จะฉี่ใส่รถบ้าง เราเองก็จะถุยน้ำลายใส่รถยาใจเค้าก็มาบอกเราว่าเธออย่าทำอย่างนั้น
จริงๆยาใจเค้าเป็นนักมวยนะ ที่มข.(มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ยาใจเค้าก็โตมาจากบ้านมวย (ชมรมมวย) อย่างชื่อยาใจนี่ก็ไม่ใช่ชื่อเล่นเค้านะแต่เป็นฉายาในแวดวงมวย ยาใจเค้ายังเคยเล่าให้เราฟังอย่างภูมิใจด้วยว่าเค้าเคยชกมวยถึง 200 ไฟต์แล้วก็ชนะไปหลายไฟต์ แต่ถึงจะเป็นนักมวยเค้าก็ไม่เคยชอบความรุนแรง เค้าบอกว่าการที่เค้าชกมวยมันเป็นการใช้ความรุนแรงตามหน้าที่ แต่นอกจากนั้นแม้แต่คำหยาบคายเค้ายังไม่เคยใช้กับตำรวจ เราเคยเห็นยาใจหลุดกับเจ้าหน้าที่อยู่รอบเดียวคือตอนที่ถูกจับไปที่ตชด.แล้วมีน้องทะลุฟ้าถูกเจ้าหน้าที่ทำรุนแรงยาใจถึงกับบอกตำรวจเลยว่า “พี่ถอดชุดมาเดี่ยวกับผมไหม” นั่นคือครั้งเดียวที่เราเห็นยาใจเป็นแบบนั้น   

๐ กระบวนการ (อ)ยุติธรรม?

เรากับยาใจรู้ดีว่าในฐานะนักเคลื่อนไหวชีวิตพวกเราอยู่ในความเสี่ยง ยาใจเองเคยถูกจับเข้าเรือนจำช่วงเดือนตุลาปีที่แล้ว (2563) 
แต่พอถึงเวลาที่มันเกิดขึ้นจริงๆเราก็ยอมรับว่ามันยากจะทำใจเหมือนกัน ช่วงเดือนสิงหาคม นักกิจกรรมทะลุฟ้าถูกจับไปที่ตชด. เราก็เลยไปชุมนุมเรียกร้องให้ตำรวจปล่อยเพื่อนเราที่หน้าตชด. แล้วก็มีการสาดสีตามสไตล์ทะลุฟ้า ทีนี้พอถึงต้นเดือนกันยายนเราก็ถูกออกหมายจับซึ่งเรากับพี่ๆที่ถูกออกหมายจับก็ไปแสดงตัวกับตำรวจแต่สุดท้ายเราก็ถูกฝากขังแล้วไม่ได้ประกันตัว
พอรู้ว่าจะต้องเข้าเรือนจำเราก็ร้องไห้เลย วิดีโอคอลไปคุยกับยาใจแล้วก็ร้อง ยาใจก็บอกไม่เป็นไรนะเขาจะไม่ทิ้งเราไปไหน 
หลังจากนั้นยาใจก็รับหน้าที่เป็นคนคอยอัพเดทเรื่องของเราให้ที่บ้านเรารู้ เวลาพี่ทนายมาเยี่ยมยาใจเค้าก็จะมาด้วยแล้วฝากข้อความถึงเราผ่านทางพี่ทนาย 19 วันในนั้น (เรือนจำ)
เรารู้เลยว่าเค้ามีความหมายกับเรามาก ถึงหน้างานเราจะดูเป็นคนแข็งแกร่งเกรี้ยวกราดแต่จริงๆเราเป็นคนอ่อนไหว เราพยายามซ่อนมุมนี้ของเราไว้แต่ยาใจจะเป็นคนที่รู้ถึงมุมนี้ของเรา เค้าเป็นคนที่คอยปลอบเราทุกครั้งที่เราแย่แล้วพอถึงวันที่เราต้องอยู่คนเดียวเราก็รู้เลยเราคิดถึงเค้าแค่ไหน 
ยาใจเค้าฝากพี่ทนายบอกเราว่าให้เรากินข้าว ให้มีชีวิตต่อไปแล้วออกมาเจอกันข้างนอก ฟังเหมือนไม่โรแมนติกอะไรแต่มันมีความหมายมากเพราะตอนอยู่ในนั้นมันมีช่วงนึงเรากินข้าวไม่ได้ กินไปนิดนึงแล้วก็กินน้ำอัดไปเยอะๆ จนร่างกายเราแย่ แล้วพอถึงวันที่เราได้ประกันเค้าก็อยู่ตรงนั้นไปรอรับเรา พอเจอหน้ากันเราดีใจมากแต่ก็ซ่อนไว้ เราบอกเค้าเลยว่า “มึงอย่าร้องนะ” ไม่ใช่อะไรหรอก เรารู้ว่าถ้าเค้าร้อง ตอนนั้นเราก็คงเบรกตัวเองไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
เรื่องก็ผ่านไปจนถึงวันที่ 21 ตุลา (2564) วันนั้นเรากับยาใจมีนัดกับอัยการแต่นัดกันคนละคดี ของเราแค่ไปเซ็นชื่อรายงานตัว แต่ของยาใจคือวันนั้นอัยการจะสั่งฟ้อง แล้วจะพายาใจไปศาล เราก็เลยขออัยการว่ายาใจยังไม่ได้กินข้าวและที่ศาลก็ไม่รู้ว่ากว่าจะเสร็จกี่โมงเลยขอให้ยาใจได้กินข้าวก่อนซัก 10 นาที ยาใจก็สั่งข้าวหมูกรอบหมูแดงกินที่ใต้ถุนสำนักงานอัยการนั่นแหละ
เอาจริงๆก่อนถึงตอนนั้นพวกเราไม่ได้เตรียมตัวไม่ได้ล่ำลาอะไรกันเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ได้ประกันตัวเหมือนทุกที คืนก่อนนั้นเรายังพูดกันเล่นๆเลยว่าถ้าเกิดไม่ได้ประกันตัวทำไง ยาใจก็เลยชวนเพื่อนๆแบบตลกๆว่าถ้าต้องติดคุกก็ขอไปกินสุกี้ตี๋น้อยก่อนแล้วเราก็ไปกินกัน ตอนที่ไปศาลก็ไม่ได้ร่ำลาอะไรกันเป็นพิเศษ ยังคุยกันเลยว่าเดี๋ยวเสร็จศาลแล้วไปยืนหยุดขังกันที่ศาลฎีกา ตอนไปส่งที่ยาใจศาลเราก็ไม่ได้บอกอะไรเค้าเป็นพิเศษไม่ได้จับมือไม่ได้อะไร แค่บอกว่าบ๊ายบายเธอเจอกันที่บ้าน จริงๆเราก็อยากนั่งรอเค้ากับพี่ทนายนะแต่พอดีช่วงนั้นเราสอบเลยต้องรีบไปเตรียมพรีเซนท์ 
หลังออกจากศาลเราก็แชทไปหาเค้าว่าเป็นไงบ้างแล้วก็ยังโอนเงินค่ารถไปให้เค้าร้อยนึงเลยเพราะตอนนั้นยาใจไม่มีเงินติดตัว แล้วแชทที่เราส่งไปยาใจก็ยังไม่ได้อ่านมาจนถึงวันนี้ (22 ตุลาคม 2564)…
วันนั้นตอนที่นั่งกินข้าวที่อัยการไม่รู้มีอะไรดลใจเราว่าต้องถ่ายรูปเค้าให้ได้ พอถึงตอนเย็นระหว่างที่เรายืนหยุดขังมีน้องในทะลุฟ้าเอาแชทจากพี่ทนายมาให้ดูเท่านั้นแหละเรายืนไม่ไหวเลย น้ำตามันไหลออกมา เราพยายามเก็บแต่เก็บไม่อยู่ น้องๆก็เลยบอกเราว่าให้มานั่งไม่ต้องยืนแล้ว น้ำตาของเรา บอกไม่ถูกนะตอนนั้นรู้สึกอะไร เศร้า เสียใจก็คงมี แต่โกรธมากกว่า มึงทำกับกูไม่พอเหรอ กูก้อโดนไปแล้ว กระบวนการยุติธรรมประเทศนี้มันเป็นเหี้ยอะไรนักหนา ทำกูไม่พอมาทำเพื่อนกูแล้วงยังแฟนกูอีก ตอนนั้นเราพยายามเต็มที่ที่จะเก็บอาการ เราพยายามโทรหาพี่ทนายว่าจะคุยกับยาใจได้ไหมแต่ก็ไม่ทันแล้ว เค้าถูกเอาตัวไปเรือนจำแล้ว 
หลังจากวันนั้นเราก็ตั้งสติ แล้วก็คิดว่าเราต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางคอยส่งข่าวเรื่องยาใจให้ครอบครัวเค้า คอยดูแลครอบครัวเค้าเหมือนที่เค้าเคยทำให้เรา แม่ของยาใจเค้าก็เสียใจนะแต่เหมือนเข้าใจสถานการณ์แล้วเราเลยดูแลไม่ยาก แต่ตอนที่เราเข้าเรือนจำยาใจน่าจะลำบากกว่าเยอะเพราะที่บ้านเราไม่เข้าใจเคยบอกว่าถ้าเราออกมาจะให้เลิกทำกิจกรรมทั้งหมดแต่ไปๆมาๆตอนนี้แม่เรากลายเป็นคนแชร์ข่าวด่าประยุทธ์เสียเอง ไม่รู้ยาใจกับเพื่อนๆทะลุฟ้าไปทำอะไรกับแม่เราถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น
ถ้ามีเรื่องนึงที่เราจะรู้สึกเศร้าก็คือก่อนเข้าเรือนจำยาใจเคยอ้อนแม่ว่าใกล้หน้าหนาวแล้วเค้าก็อยากได้เสื้อกันหนาว แม่ของยาใจที่ขายของอยู่ที่ร้อยเอ็ดเค้าก็ส่งเงินมาให้ยาใจเอาไปซื้อเสื้อแขนยาว ส่งมาวันที่ยาใจเข้าเรือนจำพอดี    

๐ ถ้าเธอได้ยิน

ถ้าเราได้เจอยาใจตอนนี้ เราอยากบอกเค้าว่า เธอเก่งแล้ว เก่งมากๆแล้ว ที่ผ่านมาเธอทำดีที่สุดแล้ว ทุกสิ่งที่เปนเธอมันดีอยู่แล้ว เป็นคนแบบมึงต่อไปแบบนี้ โลกต้องการคนอย่างมึง คนที่นึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ตอนนั้นที่อยากกลับบ้าน คิดถึงบ้านก็ไม่ได้กลับ เพราะเป็นห่วงขบวน ถ้าออกมาแล้ว อยากให้ใส่ใจตัวเอง หาความสุขตัวเองมากขึ้น อยากให้รักตัวเองให้มากขึ้น อยากให้เธอให้รับรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว อยากให้ภูมิใจในตัวเอง ทุกคนภูมิใจตัวเธอ ถ้าเป็นไปได้รีบออกมาไอสัสคิดถึง