นพวรรณ: เบนโตะ

อัปเดตล่าสุด: 04/06/2564

ผู้ต้องหา

นพวรรณ ต.

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2552

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้พบเห็นข้อความในเว็บบอร์ดประชาไท และเข้าแจ้งเบาะแสกับตำรวจ พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พนักงานสอบสวน กองบังคับการกองปราบปราม เจ้าของสำนวน สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 ผู้ฟ้องคดี

สารบัญ

นพวรรณถูกจับในเดือนมกราคม 2552 ถูกกล่าวหาว่าพิมพ์และเผยแพร่ข้อความดูหมิ่น หมิ่นประมาท พระราชินี และองค์รัชทายาท ในเว็บบอร์ดประชาไทโดยใช้นามแฝงว่า “bento" คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เพราะไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความ ลำพังแค่หมายเลข IP Address ยังไม่พอยืนยันได้ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์เชื่อในพยานโจทก์ว่า ไอพีแอดเดรส เป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ทราบผู้ใช้งาน ซึ่งตรงกับข้อมูลของจำเลย 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

นพวรรณ ต.จบการศึกษาสูงสุดจากคณะบัญชี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัทผลิต/จำหน่ายชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์
 

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 14 (5) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

นพวรรณถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้พิมพ์และเผยแพร่ข้อความดูหมิ่น หมิ่นประมาท ใส่ความสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารบนเว็บบอร์ดประชาไท ในประเด็นเรื่องเกี่ยวกับการขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดิน โดยใช้นามแฝงว่า “bento” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 เวลา 8 นาฬิกา 46 นาที 28 วินาที

ข้อความที่ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดประชาไทนั้น มีหัวข้อว่า "ความจริงวันนี้โดยบัฟฟาโล่บอย" 


 

 

พฤติการณ์การจับกุม

วันที่ 16 มกราคม 2552

พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พนักงานสอบสวน นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบประมาณ 10 นาย ไปยังบริษัท มาสเตอร์พาร์ท จำกัด อันเป็นที่ตั้งของโรงงานและที่อยู่ของจำเลยและครอบครัว เพื่อจับกุมจำเลย  ทั้งนี้การเข้าจับกุมไม่ได้มีนักข่าวไปด้วย 

ในวันที่เข้าจับกุมยึดของกลางเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจำนวน หนึ่งเครื่อง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจำนวน หนึ่ง เครื่อง แฟลชไดรฟ์จำนวน สอง อันพร้อมยึดเอกสารซึ่งพิมพ์ออกมาจากเว็บไซต์ปรากฏข้อความประชาไท มีเนื้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาทในคดีนี้จำนวนหนึ่งฉบับ ของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวระหว่างสอบสวนเป็นเวลากว่าสิบวันนับจากถูกจับกุมที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.1257/2552

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

คดีนี้โจทก์นำสืบวิธีการแสวงหาพยานหลักฐาน ดังนี้
คดีนี้ปรากฏข้อความหมิ่นประมาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช อยู่ในเว็บไซต์ประชาไท เจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบไปยังเว็บไซต์ประชาไท พบว่าข้อความดังกล่าวโพสต์ผ่านไอพีแอดเดรสชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นไอพีแดเดรสที่มาจากจากผู้ให้บริการ คือ บริษัท จัสมินอินเตอร์เน็ต หรือ เจไอเน็ต เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบต้องมีชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน (Dial-up) และพบว่าในวันและเวลาเกิดเหตุ มี Username ชื่อ UICFMPC เชื่อมต่อระบบตั้งแต่เวลา 8.08 น. ถึง 16.04 น. โดยใช้ไอพีแอดเดรสดังกล่าว ชื่อผู้ใช้ดังกล่าวนั้นเป็นชื่อที่มีการสมัครสมาชิกไว้กับบริษัทจัสมินอินเทอร์เน็ตด้วยชื่อ นางนพวรรณ ตั้งอุดมสุข (จำเลย) และลงรายละเอียดเบอร์โทรศัพท์ลูกค้าไว้เป็นหมายเลข 03484xxxx 

เจ้าพนักงานจึงตรวจข้อมูลของผู้ใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวกับทางบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด พบว่าผู้ขออนุญาตใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวคือบริษัทมาสเตอร์พาสต์ จำกัด เจ้าพนักงานจึงไปตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว พบคอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในห้องนอนจำเลย 1 เครื่องกำลังเปิดใช้งานและเปิดใช้อินเทอร์เน็ต ขณะนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏหน้าเว็บไซต์ประชาไท เมื่อส่งของกลางทั้งหมดไปพิสูจน์พบว่ามีข้อมูลการเข้าใจเว็บไซต์ประชาไทอยู่ แต่ไม่พบข้อมูลที่บันทึกว่ามีการโพสข้อความตามฟ้องในวันและเวลาเกิดเหตุ

คดีนี้จำเลยมีข้อต่อสู้ ปฏิเสธข้อกล่าวหา ดังนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงงานของบริษัท โดยมีที่พักอาศัยที่จำเลยพักอยู่กับครอบครัว และมีส่วนประกอบกิจการมีพนักงานของโรงงานประมาณ 50-70 คน ภายในโรงงานมีคอมพิวเตอร์ 11 เครื่อง สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกเครื่อง โดยบริษัทขออนุญาตใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ 4 หมายเลขและติดตั้งอินเทอร์เน็ตของบริษัทจัสมิน สายโทรศัพท์ทั้ง 4 เลขหมายสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ชื่อ Username และ Password สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้นใช้ชื่อของบริษัทส่วน Password นั้นบิดาของจำเลยเป็นคนตั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถจดจำชื่อ Username และ Password ได้ ใครก็สามารถมาใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

ไอพีแอดเดรสสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผู้ที่มีความเชียวชาญ การระบุตัวด้วยไอพี แอดเดรสไม่มีความแน่นอน การปลอมหรือแสดงให้เห็นว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ใช้ไอพี แอดเดรสนั้นสามารถทำได้ สามวิธี คือ 1.มีคนอื่นมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เดียวกัน 2. มีคนอื่นเอา Username กับ Password ไปใช้เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์หมายเลขอื่น 3.ใช้โปรแกรมเพื่อเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส

จำเลยเรียนจบบัญชี มีหน้าที่ทำเงินเดือน ในวันที่ 15 ตุลาคม 51 (วันที่เกิดการกระทำความผิด) จำเลยมีหน้าที่จัดทำเงินเดือนของพนักงานบริษัทซึ่งเป็นงานที่ยุ่งยากและต้องทำให้เสร็จในวันนั้น จำเลยจึงไม่อาจเป็นผู้โพสต์ข้อความได้ จำเลยสนใจแต่เรื่องสวยงาม ไปเที่ยวเมืองนอก ใช้สินค้ามียี่ห้อ ไม่สนใจการเมือง ไม่เคยร่วมชุมนุมทางการเมือง ทั้งครอบครัวของจำเลยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงไม่มีทางเป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้อง
 

 


นอกจากนี้ คดีนี้ยังถูกใช้อ้างอิงเป็นกระทงที่ 10 ในการฟ้องจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ตามความผิดมาตรา 15 พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 30 เมษายน 2555

คดีนี้ข้อความที่ถูกกล่าวอ้างว่าผิดต่อกฎหมายนั้นปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดของประชาไท แต่ในคำฟ้องและคำพิพากษาใช้คำเรียกว่า เว็บไซต์ หลังจากคดีนี้ และหลังจากที่จีรนุช ถูกดำเนินคดี ประชาไทจึงตัดสินใจปิดบริการเว็บบอร์ดในเดือนกรกฎาคม ปี 2553

แหล่งอ้างอิง

อุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุก 5 ปี “นพวรรณ” โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูง. Manager Online. 2 ตุลาคม 2556 (อ้างอิงเมื่อ 2 ตุลาคม 2556)

ให้ประกันตัว 'เบนโตะ' หลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคดี 112 สั่งจำคุก 5 ปี, เว็บไซต์ประชาไท, 2 ตุลาคม 2556 (อ้างอิงเมื่อ 2 ตุลาคม 2556)

16 มกราคม 2552

เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมนางสาวนพวรรณและยึดของกลางเป็นคอมพิวเตอร์และแฟลชไดรฟ์รวมสี่รายการ ณ สถานที่ทำงาน บริษัทมาสเตอร์พาร์ท จำกัด จากนั้นจึงนำตัวนางสาวนพวรรณไปยังกองปราบปราม และควบคุมตัวในห้องขังเป็นเวลา 1 คืน

17 มกราคม 2552

กองปราบปรามนำโดยพ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร นำตัวนพวรรณไปศาลอาญา ในชั้นฝากขัง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เป็นเหตุให้นพวรรณถูกควบคุมตัวในทัณฑสถานหญิงกลางเป็นเวลาประมาณสิบวัน

หลังยื่นขอประกันตัวต่อศาลชั้นต้นสองครั้ง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งปฏิเสธทั้งสองครั้ง จำเลยจึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว

10 เมษายน 2552

สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนพวรรณฐานกระทำความผิดตามพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1)(3)(5), ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และ 112

18 มีนาคม 2553

เริ่มต้นสืบพยาน

11 พฤศจิกายน 2553

สิ้นสุดการสืบพยาน

31 มกราคม 2554

นัดฟังคำพิพากษา
 
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นเพียงว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความหรือไม่เท่านั้น โดยโจทก์อาศัยเพียงหมายเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) และข้อมูลการเชื่อมต่อโทรศัพท์มาเป็นหลักฐาน แต่ไม่มีพยานปากใดยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความจริง

จากหลักฐานบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ เห็นได้ว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเกือบทั้งวันในวันเกิดเหตุ แต่ข้อความตามฟ้องน่าจะใช้เวลาในการโพสต์ไม่มากนัก ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปตรวจสอบสถานที่ ซึ่งเป็นโรงงาน พบคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในสภาพที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตได้ทุกเครื่อง แต่ไม่ปรากฏชัดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องไหนที่ใช้โพสต์หรือส่งข้อความเอกสารดังกล่าว และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ dial up พนักงานหลายคนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ username และ password ของจำเลย ทั้งเมื่อพิจารณาของกลางที่ยึดมาจากจำเลย ก็ไม่พบการเขียนข้อความตามฟ้อง ซึ่งขณะเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นที่เกิดเหตุ  จำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะทราบได้ล่วงหน้า จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถลบข้อมูลการเข้าสู่เว็บไซต์ประชาไทได้

นอกจากนี้ ยังได้ความจากพยานจำเลยซึ่งเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ว่า การใช้ไอพีแอดเดรสเป็นเครื่องมือระบุตัวผู้ส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตนั้นมีความไม่แน่นอน เพราะการปลอมแปลงไอพีแอดเดรสสามารถทำได้โดยง่าย หากบุคคลใดมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ และมีโปรแกรมที่เอื้ออำนวย ก็สามารถปลอมแปลงไอพีแอดเดรสได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้อื่นปลอมแปลงหมายเลขไอพีแอดเดรสในการโพสต์ข้อความตามฟ้องลงในเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งอาจจะตรงกับหมายเลขไอพีแอดเดรสซึ่งจำเลยกำลังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในขณะเดียวกันนั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำาความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
 
พิพากษายกฟ้อง

30 มีนาคม 2554

อัยการยื่นอุทธรณ์

2 ตุลาคม 2556
 
ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ห้อง 914 ศาลอาญา 
 
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่โจทก์มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ มาเบิกความยืนยันว่า จากการตรวจสอบ ไอพีแอดเดรสของผู้ที่โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ประชาไทและตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต พบว่าไอพีแอดเดรส ตรงกับ เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กของจำเลย
 
เมื่อตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของจำเลย พบว่า วันและเวลา ตรงกับการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งผู้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะต้องมีรหัสผ่าน และใช้หมายเลขโทรศัพท์ ในการเชื่อมต่อ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวตรงกับจำเลย ที่สมัครสมาชิกและใช้อินเทอร์เน็ตเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้ใช้งานในวันและเวลาขณะเกิดเหตุพบว่า มีผู้ใช้งานเพียงคนเดียว ซึ่งไอพีแอดเดรส ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกันและมีเพียงไอพีแอดเดรสเดียวเท่านั้น 
 
ไอพีแอดเดรส เป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ทราบ ชื่อผู้ใช้ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งตรงกับข้อมูลของจำเลย ทั้งนี้แม้ว่าข้อความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ประชาไท จะโดนลบไปแล้ว แต่ข้อความที่โพสต์ดังกล่าวยังถูกเก็บอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จำเลยจึงไม่อาจปฏิเสธได้
 
พยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งจำเลย อีกทั้งความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความระมัดระวังในการตรวจสอบ จนทราบว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจึงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูงจริง
       
ที่จำเลยอ้างว่าถูกบุคคลอื่นปลอมแปลงไอพีแอดเดรสนั้นเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า การปลอมแปลงไอพีแอดเดรส และการเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ไอพีแอดเดรสของจำเลยทำได้ยาก เพราะ ไอพีแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่สามารถปลอมแปลงได้ และในการโพสต์ข้อความจำเป็นต้องใช้ชื่อและรหัสผ่านด้วย ซึ่งหากรหัสผ่านไม่ตรงกับข้อมูลของจำเลย ก็ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวด้วยตนเอง เป็นการกระทำผิดตามฟ้อง
 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรักของประชาชน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังบัญญัติให้ปวงชนชาวไทยต้องมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงสืบไป ผู้ใดจะมาล่วงละเมิดไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความ ทำให้สถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นควรให้ลงโทษจำเลยสถานหนักเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
       
พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 ซึ่งความผิดเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิด ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี และให้ยึดเอกสารข้อความการกระทำผิด

ต่อมาเวลาประมาณ 17.20 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่าหนึ่งล้านบาท
 
11 กันยายน 2558 
 
นัดฟังคำพิพากษา
 
เวลา 9.00 น.  ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีของนพวรรณ ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ในวันนี้ทนายจำเลย และนายประกันซึ่งเป็นบิดาของจำเลยมาศาล และมีผู้สื่อข่าวมารอฟังคำพิพากษาด้วยประมาณ 10 คน แต่ตัวจำเลยไม่มาศาล  
 
ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 9.40 น. นายประกันแถลงว่าไม่ทราบว่าตัวจำเลยอยู่ที่ไหน เพราะปกติจำเลยอยู่ที่คอนโดมิเนียมไม่ได้อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน เมื่อได้รับหมายนัดศาลเคยติดต่อแจ้งให้จำเลยทราบวันนัดแล้ว แต่พอจะติดต่อไปเพื่อเตือนอีกทีให้มาฟังคำพิพากษาก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย ศาลแจ้งว่าถ้าจำเลยไม่มาในวันนี้ก็ยังอ่านคำพิพากษาไม่ได้ ต้องออกหมายจับ
 
ทนายความถามศาลเรื่องจะขอเปลี่ยนหลักทรัพย์ประกันตัวจากโฉนดที่ดินเป็นเงินสด ศาลแจ้งว่า การปรับนายประกันจะบังคับเอากับโฉนดที่ดินหรือเงินสด จำนวนเท่าใดต้องไปว่ากันอีกชั้นหนึ่ง ขอให้นายประกันรีบตามตัวจำเลยมาศาลโดยเร็ว เพราะถ้าได้ตัวจำเลยมาเร็วก็อาจได้รับการลดหย่อนค่าปรับ 
 
ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งสรุปความได้ว่า เนื่องจากจำเลยไม่มาศาลจึงถือว่าจงใจหลบหนี ให้ออกหมายจับจำเลยเพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาพร้อมให้นายประกันนำค่าปรับมาชำระภายใน 15 วัน และนัดฟังคำพิพากษาครั้งต่อไปในวันที่ 20 ตุลาคม 2558
 
 
20 ตุลาคม 2558
 
นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
 
วันนี้ในห้องพิจารณาคดีที่ 807 มีพ่อของนพวรรณซึ่งเป็นนายประกัน มาฟังคำพิพากษาโดยไม่พบตัวนพวรรณ ซึ่งนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่เเล้ว(11กย.58) ก็ไม่ปรากฎตัวนพวรรณในศาล  นอกจากนี้มีสื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์รวม 6 คน อยู่ในห้องพิจารณาคดี
 
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลแจ้งกับนายประกันว่า ได้ออกหมายจับจำเลยครบ 1 เดือนเเล้วหลังจากไม่มาตามนัดศาลคราวก่อน
 
จากนั้นประมาณ 9.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกาว่า "ตัวเลข IP address บ่งชี้ไม่ได้ว่าจำเลยมีความเกี่ยวโยงกับข้อความที่โพสต์และพยานโจทก์ก็มีความสงสัยตลอดมา ศาลจึงฎีกาจำเลยกลับ ให้ยกฟ้อง "

คำพิพากษา

สรุปคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นเพียงว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความหรือไม่เท่านั้น โดยโจทก์อาศัยเพียงหมายเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) และข้อมูลการเชื่อมต่อโทรศัพท์มาเป็นหลักฐาน แต่ไม่มีพยานปากใดยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความจริง

จากหลักฐานบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ เห็นได้ว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเกือบทั้งวันในวันเกิดเหตุ แต่ข้อความตามฟ้องน่าจะใช้เวลาในการโพสต์ไม่มากนัก ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปตรวจสอบสถานที่ ซึ่งเป็นโรงงาน พบคอมพิวเตอร์หลายเครื่องอยู่ในสภาพที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตได้ทุกเครื่อง แต่ไม่ปรากฏชัดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องไหนที่ใช้โพสต์หรือส่งข้อความเอกสารดังกล่าว และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ dial up พนักงานหลายคนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ username และ password ของจำเลย ทั้งเมื่อพิจารณาของกลางที่ยึดมาจากจำเลย ก็ไม่พบการเขียนข้อความตามฟ้อง ซึ่งขณะเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นที่เกิดเหตุ  จำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะทราบได้ล่วงหน้า จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถลบข้อมูลการเข้าสู่เว็บไซต์ประชาไทได้

นอกจากนี้ ยังได้ความจากพยานจำเลยซึ่งเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ว่า การใช้ไอพีแอดเดรสเป็นเครื่องมือระบุตัวผู้ส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตนั้นมีความไม่แน่นอน เพราะการปลอมแปลงไอพีแอดเดรสสามารถทำได้โดยง่าย หากบุคคลใดมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ และมีโปรแกรมที่เอื้ออำนวย ก็สามารถปลอมแปลงไอพีแอดเดรสได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้อื่นปลอมแปลงหมายเลขไอพีแอดเดรสในการโพสต์ข้อความตามฟ้องลงในเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งอาจจะตรงกับหมายเลขไอพีแอดเดรสซึ่งจำเลยกำลังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในขณะเดียวกันนั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำาความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
 
พิพากษายกฟ้อง

สรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่โจทก์มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ มาเบิกความยืนยันว่า จากการตรวจสอบ ไอพีแอดเดรสของผู้ที่โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ประชาไทและตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต พบว่าไอพีแอดเดรส ตรงกับ เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กของจำเลย

เมื่อตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของจำเลย พบว่า วันและเวลา ตรงกับการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งผู้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะต้องมีรหัสผ่าน และใช้หมายเลขโทรศัพท์ ในการเชื่อมต่อ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวตรงกับจำเลย ที่สมัครสมาชิกและใช้อินเทอร์เน็ตเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้ใช้งานในวันและเวลาขณะเกิดเหตุพบว่า มีผู้ใช้งานเพียงคนเดียว ซึ่งไอพีแอดเดรส ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกันและมีเพียงไอพีแอดเดรสเดียวเท่านั้น 
 
ไอพีแอดเดรส เป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ทราบ ชื่อผู้ใช้ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งตรงกับข้อมูลของจำเลย ทั้งนี้แม้ว่าข้อความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ประชาไท จะโดนลบไปแล้ว แต่ข้อความที่โพสต์ดังกล่าวยังถูกเก็บอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จำเลยจึงไม่อาจปฏิเสธได้
 
พยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งจำเลย อีกทั้งความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความระมัดระวังในการตรวจสอบ จนทราบว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจึงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูงจริง
       
ที่จำเลยอ้างว่าถูกบุคคลอื่นปลอมแปลงไอพีแอดเดรสนั้นเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า การปลอมแปลงไอพีแอดเดรส และการเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ไอพีแอดเดรสของจำเลยทำได้ยาก เพราะ ไอพีแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่สามารถปลอมแปลงได้ และในการโพสต์ข้อความจำเป็นต้องใช้ชื่อและรหัสผ่านด้วย ซึ่งหากรหัสผ่านไม่ตรงกับข้อมูลของจำเลย ก็ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวด้วยตนเอง เป็นการกระทำผิดตามฟ้อง
 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรักของประชาชน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังบัญญัติให้ปวงชนชาวไทยต้องมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงสืบไป ผู้ใดจะมาล่วงละเมิดไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความ ทำให้สถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นควรให้ลงโทษจำเลยสถานหนักเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
       
พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 ซึ่งความผิดเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิด ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี และให้ยึดเอกสารข้อความการกระทำผิด

 

 

 

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

ดา ตอร์ปิโด