อุทัย ส.

อัปเดตล่าสุด: 02/12/2559

ผู้ต้องหา

อุทัย ส.

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2555

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

พนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ด คดีนี้พนักงานสืบสวนสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา จึงส่งผ่านตำรวจภูธรร้อยเอ็ดและตำรวจภูธรภาค 4 ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯ พิจารณา การประชุมครั้งแรกคณะกรรมการมีความเห็นให้สั่งฟ้อง แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ในเรื่องความประพฤติของผู้ต้องหา และแหล่งข่าว แต่เมื่อสอบสวนเพิ่มเติมและส่งไปอีกครั้ง คณะกรรมการคดีหมิ่นฯ มีคำสั่งให้ไม่ฟ้อง เสนอให้ผบ.ตร.พิจารณา หลังจากนั้นจึงเสนอสำนวนกลับมายังสถานีตำรวจภูธรจังหวัด แต่พนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดมีคำสั่งให้ส่งฟ้องผู้ต้องหา

สารบัญ

อุทัย ส. ถูกกล่าวหาว่ามีใบปลิวที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระราชินีและรัชทายาทอยู่ในบริเวณที่พักอาศัย และได้แจกใบปลิวนั้นให้กับผู้อื่น

ภูมิหลังผู้ต้องหา

นายอุทัย ส. อายุ 38 ปี เรียนจบชั้นป.6 อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอธวัชบุรี มีอาชีพทำนา และรับจ้างในบริเวณหมู่บ้าน เช่น รับจ้างตัดผมหรือซ่อมจักรยานยนต์ และยังมีโรงสีขนาดเล็กรับจ้างสีข้าวในหมู่บ้าน นายอุทัยแต่งงานแล้วและมีบุตรชาย 1 คน อายุ 14 ปี

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 จำเลยแจกเอกสารใบปลิวที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระราชินีและรัชทายาทให้ผู้อื่น จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาในชั้นสอบสวน

พฤติการณ์การจับกุม

ตำรวจทั้งจากสภ.เชียงขวัญ และสภ.ธวัชบุรี มาหาจำเลยที่บ้าน แจ้งข้อกล่าวหา และให้จำเลยรับสารภาพ

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

21 สิงหาคม 2555

ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ห้องพิจารณาคดีที่ 14
ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 9.50 น.
ศาลอ่านทบทวนคำฟ้อง จับใจความได้ว่า จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความคือ ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 จำเลยวางใบปลิวที่มีเนื้อหาเข้าข่ายเป็นความผิด ไว้ในกระท่อมเพื่อให้คนมาหยิบ และได้มอบใบปลิวนั้นให้คนอื่น  ต่อมา วันที่ 10 กันยายน 2552 เจ้าหน้าที่ยึดใบปลิวที่เป็นเอกสารจำนวน 7 แผ่น เป็นของกลาง  จำเลยปฏิเสธในชั้นสอบสวน ศาลถามจำเลยว่า ตอนนี้ยังปฏิเสธอยู่ใช่หรือไม่ จำเลยยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหา จากนั้นจึงเริ่มสืบพยานโจทก์
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ 1 นายธงชัย ตามภิบาล ผู้อ้างว่าได้รับเอกสารใบปลิวมาจากจำเลย
 
ธงชัย ตามภิบาล อายุ 44 ปี  อาชีพ ทำนาและค้าขาย  อาศัยอยู่ที่ต.พระเจ้า อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด
 
ธงชัยเบิกความว่า วันที่ 26 กรกฎาคม 2552 เวลาประมาณ 18.00 น. ไปที่บ้านของนายอุทัย ซึ่งอยู่ที่บ้านชาด ต.หนองพอก อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด  โดยไปกับภรรยาชื่อนางไพรวัลย์ ตามภิบาล เพื่อไปรับเสื้อคอกระเช้า ซึ่งจ้างภรรยาของนายอุทัยถักรอบคอและรอบแขนเสื้อ  เมื่อไปถึงก็ถอยรถตู้เข้าจอดหน้ากระท่อมหน้าบ้าน เห็นจำเลยและภรรยารออยู่ก่อนแล้ว พยานชี้ตัวจำเลยในห้องพิจารณา 
 
ธงชัยเล่าต่อว่า หลังจากนั้นภรรยาของอุทัยเดินเข้าไปในบ้าน นำเสื้อที่ถักเสร็จมาวางกองข้างที่จอดรถ  ขณะที่นั่งรอนางไพรวัลย์นับเสื้ออยู่ ก็หยิบหนังสือการ์ตูนที่อยู่บนแคร่มานั่งอ่าน จำเลยเข้ามาถามว่า เหลืองหรือแดง  ธงชัยตอบว่า ไม่ได้เป็นเสื้อสีไหน
อัยการนำภาพถ่ายกระท่อมให้ธงชัยดู แล้วถามว่านั่งอยู่ตรงไหน ธงชัยชี้จุดที่ตัวเองนั่งบนแคร่หน้ากระท่อม  ก่อนเล่าต่อว่าจำเลยได้ยื่นเอกสารซึ่งเป็นกระดาษ A4 ถ่ายเอกสารเย็บรวมกันให้ โดยหยิบมาจากบนแผ่นไม้ที่พาดอยู่ใต้หลังคากระท่อม  หลังจากอ่านข้อความในเอกสารมาถึงบรรทัดที่ 3-4 นางไพรวัลย์ภรรยาก็เรียกกลับบ้าน จึงวางเอกสารนั้นลงบนแคร่  ขณะที่กำลังจะขึ้นรถกลับบ้าน อุทัยได้ยื่นเอกสารนั้นมาให้ แล้วพูดว่า เอาไปอ่านต่อที่บ้านก็ได้  ธงชัยจึงรับมาแล้ววางไว้หน้าคอนโซลรถตู้ แล้วขับรถกลับบ้าน
 
อัยการถามว่า เอกสารมีกี่แผ่น  ธงชัยตอบว่า ประมาณ 7-8 แผ่น อัยการนำเอกสารให้ดูแล้วถามว่า เอกสารนี้มีลักษณะข้อความเช่นเดียวกับเอกสารท้ายคำฟ้องของโจทก์หรือไม่ ธงชัยดูเอกสารแล้วตอบว่า ใช่
 
ธงขัยเบิกความต่อว่า หลังจากนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านของตนเองก็ไม่ได้สนใจเอกสารนั้นต่อ ทิ้งไว้หน้าคอนโซลรถเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้นก็ขับรถอีกคันหนึ่งไปทำงานที่จังหวัดกาฬสินธุ์ สองสามวันจากนั้น ภรรยาโทรศัพท์มาหา ถามว่า ผู้ใหญ่บ้านถามว่า ได้เอกสารอะไรมาจากบ้านชาดหรือไม่ เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถามหากับผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ใหญ่บ้านจึงประกาศและสอบถามชาวบ้าน  ตอนแรกตนเองก็จำไม่ได้ แล้วนึกได้ว่าได้เอกสารมาจากนายอุทัยซึ่งอยู่บ้านชาด จึงบอกภรรยาไปว่า มีเอกสารอยู่หน้ารถตู้ ภรรยาจึงหยิบเอกสารนั้นไปให้ผู้ใหญ่บ้าน
 
ศาลถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าภรรยาหยิบเอกสาร  ธงชัยตอบว่า ระหว่างที่คุยโทรศัพท์กัน ภรรยาก็หาเอกสารไปด้วย
ธงชัยเบิกความต่อว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปให้ปากคำที่โรงพัก สภ.เชียงขวัญ และที่ สภ.ธวัชบุรี  โดยให้การเช่นเดียวกับที่เบิกความในศาล
 
อัยการนำเอกสารแผนผังที่เกิดเหตุให้ธงชัยดู แล้วถามว่าถูกต้องหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ถูกต้อง และได้ลงชื่อในฐานะพยาน
อัยการถามว่า พยานว่าจ้างภรรยาของจำเลยมากี่ปีแล้วก่อนเกิดเหตุ  ธงชัยตอบว่า ประมาณ 2-3 ปี
อัยการถามว่า เคยทะเลาะกันหรือเบี้ยวเงินกันหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เคย
 
ทนายความจำเลยถามค้าน
ทนายความคารม พลพรกลาง เป็นผู้ถาม ทนายความถามว่า พยานรับจ้างเย็บเสื้อคอกระเช้าอย่างเดียวหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า พยานส่งเสื้อให้คนรับเย็บต่อหลายที่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ส่งว่าจ้างหลายจุด โดยที่บ้านของจำเลยจะรับจ้างถักรอบคอและรอบแขนเสื้อคอกระเช้า ส่วนจ้างเย็บจะจ้างที่อ.เชียงขวัญ
 
ทนายความถามว่า คนที่ให้เสื้อมาเย็บคือใคร  ธงชัยตอบว่า เถ้าแก่ตัดเสื้อที่คลองเตย ทนายความถามต่อว่า เจ้าของร้านตัดเสื้อเป็นร้านธรรมดาหรือร้านที่เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย  ธงชัยตอบว่า ค้าขายธรรมดา
 
ทนายความถามว่า ส่งเสื้อคอกระเช้ากี่จังหวัด  ธงชัยตอบว่า รับมาส่งเฉพาะในหมู่บ้าน และกระจายไปอำเภอข้างเคียง 
 
ทนายความถามว่า ให้ค่าแรงอย่างไร  ธงชัยตอบว่า ให้เป็นกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีขนาดของเสื้อต่างๆ กัน ค่าแรงไม่เท่ากัน  เฉลี่ยแล้วตัวละ 3 บาท ทนายความถามว่า รู้จักกับจำเลยได้อย่างไร  ธงชัยตอบว่า ที่หมู่บ้านตนเองมีคนรับจ้างทำผ้าแบบนี้เยอะ เขาบอกแนะนำต่อๆ มาจนมาเจอภรรยาของจำเลย
 
ทนายความว่า ใครเป็นคนถัก  ธงชัยตอบว่า ภรรยาของจำเลยเป็นคนถัก  แต่ละครั้งจะลงเสื้อ 40-50 กลุ่ม ชาวบ้านใกล้ๆ ก็จะมาช่วยกันถัก แล้วนำมาส่งที่บ้านของจำเลย ทนายความถามว่า จ่ายเงินอย่างไร  ธงชัยตอบว่า จ่ายเงินสด จากนั้นภรรยาของจำเลยก็เอาเงินไปจ่ายต่อ
 
ทนายความถามว่า หลังจากรับจ้างถักคอเสื้อมาระยะหนึ่ง จำเลยเคยบอกหรือไม่ว่าทำแล้วไม่คุ้ม อยากขอคืน  ธงชัยตอบว่า ภรรยาของจำเลยบอกว่าอยากจะหยุดทำ แต่ก็ยังส่งเสื้อให้ถักเหมือนเดิม จนกระทั่งมีปัญหาเรื่องเอกสาร
 
ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยมีถนนเข้าไป และบริเวณบ้านมีโรงสีด้วย ใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่ ได้ยินเสียงโรงสี
ทนายความนำแผนที่ที่เกิดเหตุ (หมาย จ.3) ให้ธงชัยดู และถามว่าโรงสีอยู่ตรงไหน  ธงชัยตอบว่า ไม่เคยเห็นโรงสี แต่ได้ยินเสียง รู้ว่ามีโรงสี แต่ไม่เคยเดินไปดู ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่าบ้านของอุทัยมีทางเข้า 2 ทาง ธงชัยตอบว่า ไม่ทราบ
 
ทนายความให้พยานดูแผนที่ แล้วถามว่า เถียงนา (iLaw-คำภาษาอีสาน หมายถึง กระท่อมเล็กๆ ไม่มีผนัง สำหรับให้ชาวนานั่งพักจากการทำนา) นั้นอยู่ใกล้ถนนใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่
ทนายความถามว่า ในแผนที่มีบ้านของพ่ออุทัยด้วย ทราบหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ทราบว่ามีบ้าน แต่ไม่ทราบว่าเป็นบ้านของใคร
ทนายความให้ดูภาพถ่าย แล้วถามว่าใช่เถียงนานี้หรือไม่  ธงชัยดูแล้วตอบว่า ใช่ ทุกครั้งที่ไปส่งผ้าจะส่งที่เถียงนานี้ ไม่ใช่ที่บ้าน ทนายความถามว่า รูปที่ 2 ใช่เถียงนาที่หันหน้าออกถนนหรือไม่  ธงชัยตอบว่า เป็นทางเข้าบ้าน แต่ถนนอยู่ด้านข้าง  
 
ทนายความถามว่า ปกติในต่างจังหวัด บริเวณเถียงนานี้จะมีคนมานั่งกันเยอะ มีคนอื่นด้วย ไม่ใช่เพียงแต่อุทัยกับภรรยา ใช่หรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่ 
 
ทนายความเอาภาพถ่ายให้ธงชัยดู ซึ่งเป็นภาพที่ทนายบอกว่าถ่ายเอง แล้วถามธงชัยว่า เป็นที่เดียวกันหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใกล้เคียง แต่ถ่ายคนละครั้ง น่าจะเป็นที่เดียวกัน 
 
ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่าธงชัยมีลูกกี่คน  ธงชัยตอบว่า ไม่ทราบ ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยมีธงนปช. เสื้อแดง หรือสัญลักษณ์อะไรที่บอกว่าเป็นเสื้อแดงหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เห็น ทนายความถามว่า บ้านของอุทัยไม่มีประตูรั้วเลื่อนปิดใส่กุญแจ ใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ในเถียงนาของอุทัย สังเกตเห็นธงชาติหรือรูปในหลวงหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ไม่ได้สังเกต
 
ทนายความถามว่า ไปส่งผ้าเฉลี่ยเดือนละกี่ครั้ง  ธงชัยตอบว่า ถ้าเป็นช่วงทำนาก็ประมาณเดือนละครั้ง ถ้าไม่ใช่ก็มากกว่านั้น ทนายความถามว่า เวลามาส่งผ้า ส่วนใหญ่จะเจอใคร  ธงชัยตอบว่า เจอภรรยาของจำเลย ไม่ค่อยได้เจอจำเลย
 
ทนายความถามว่า พยานเคยร่วมกิจกรรมหรือเห็นด้วยกับกลุ่มที่ไม่ใช่เสื้อแดงหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เคยร่วมกิจกรรม แต่ไปร่วมกิจกรรมของอบต. เนื่องจากเป็นสมาชิกอบต.  ส่วนความคิดเห็นไม่ได้โน้มเอียงไปทางใด มีความเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง
 
ทนายความถามว่า เอกสารบนแคร่มีจำนวนมากหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เห็นว่ามีจำนวนเท่าใด เพราะอุทัยหยิบเอกสารมาจากใต้หลังคา ทนายความถามว่า บนแคร่มีหนังสือการ์ตูน ทราบหรือไม่ว่าใครเป็นคนเอามาวางไว้  ธงชัยตอบว่า ไม่ทราบ
ทนายความถามว่า เป็นครั้งแรกที่พยานหยิบหนังสือบนแคร่มาอ่านหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ปกติเวลานั่งรอก็จะอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่แล้ว ทนายความถามว่า ครั้งนี้อ่านหนังสือการ์ตูนแล้วจำเลยเข้ามาคุยด้วยหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า เอกสารนั้นเย็บเป็นชุดไว้อยู่แล้ว หรือเรียงไว้ไม่ได้เย็บ  ธงชัยตอบว่า เย็บไว้อยู่แล้ว
 
ทนายความถามว่า ในวันเกิดเหตุ นอกจากจำเลยแล้วมีใครอยู่ในเหตุการณ์อีก  ธงชัยตอบว่า ไพรวัลย์ภรรยาของตน และภรรยาของจำเลย ทนายความถามว่า พยานได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า ขณะที่นางไพรวัลย์ภรรยานับเสื้ออยู่ ได้หยิบหนังสือการ์ตูนที่มีเอกสารใบปลิวนั้นวางอยู่ด้วย ซึ่งไม่ตรงกับที่พยานเบิกความว่า อุทัยหยิบเอกสารจากใต้หลังคายื่นให้  คำให้การไหนของพยานเป็นความจริง  ธงชัยตอบว่า คำให้การในเอกสารของพนักงานสอบสวนไม่เป็นความจริง ที่ตนเองเบิกความต่อศาลเป็นความจริง
ทนายความถามว่า เอกสารใบปลิวนั้นมีอยู่เป็นตั้ง หรือมีแค่เย็บเดียว ธงชัยตอบว่า เห็นแค่หนังสือการ์ตูน ไม่ได้เห็นตั้งเอกสาร เพราะเอกสารนั้นอุทัยหยิบมาให้
 
ทนายความถามว่า ในคำให้การที่ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2552 พยานให้การกับตำรวจว่า วันที่ 26 กรกฎาคม 2552 เวลา 18.00-19.00 น. พยานเห็นหนังสือการ์ตูนวางอยู่หลายเล่ม และได้หยิบเล่มบนขึ้นมาอ่าน ซึ่งหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นมีเอกสารอยู่ด้วย จำเลยจึงหยิบมายื่นให้  ธงชัยตอบว่า ความจริงแล้วเห็นแต่หนังสือการ์ตูน ไม่เห็นเอกสาร
 
ทนายความถามว่า ก่อนที่จำเลยจะยื่นเอกสารให้ จำเลยเดินไปหยิบที่ไหน  ธงชัยตอบว่า ไม่ได้สังเกต
 
ทนายความนำรูปให้ดู แล้วถามว่า เถียงนานี้ผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้านหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า เนื้อที่ในเถียงนาประมาณ 2×1.5 เมตร ยื่นมือก็แตะกันแล้ว ใช่หรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า ที่พยานเบิกความว่าจำเลยลุกขึ้นหยิบเอกสารจากใต้หลังคา แสดงว่าเอกสารอยู่ใต้หลังคาหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ตอนที่จำเลยหยิบเอกสารได้มองตามหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่ได้มองตาม ทนายความถามว่า ในเอกสารหมาย ล.4 เป็นคำให้การที่ให้การกับตำรวจเพียงครั้งเดียวหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ทำไมพยานไม่ได้ให้รายละเอียดการหยิบเอกสารในการให้การกับพนักงานสอบสวน  ธงชัยตอบว่า ตำรวจไม่ได้ถาม ทนายความให้ดูเอกสาร แล้วถามว่า พยานให้การตามนี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดการลุกขึ้นหยิบเอกสารใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ผมก็ให้การอย่างนี้มาตลอด แต่ไม่ทราบว่าทำไมไม่มีในเอกสาร
 
ทนายความถามว่า ที่จำเลยพูดว่า อ่านนี่ไหม จำเลยคะยั้นคะยอให้อ่านหรือพูดเพียงครั้งเดียว  ธงชัยตอบว่า ครั้งเดียว ทนายความถามว่า คนแรกที่พยานนำเอกสารไปให้คือนายสว่าง ผู้ใหญ่บ้าน ใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า หลังจากจำเลยยื่นเอกสารให้หนึ่งเดือน จำเลยก็ไม่รับผ้าอีก ใช่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า วันที่จำเลยพูดว่าถ้าเอาผ้ามาส่งอีกจะเผา กับวันที่ได้เอกสารจากอุทัย เป็นวันเดียวกันหรือไม่ ธงชัยตอบว่า คนละวัน เคยได้ยินว่าอยากจะเลิกทำ แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะเผา และไม่เคยได้ยินจากปากของจำเลยเอง
 
ทนายความถามว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่า จำเลยอยากจะเลิกทำ ธงชัยตอบว่า นั่งรถมากับภรรยาก็ได้คุยกันเรื่องนี้ ทนายความถามว่า หลังจากนั้นก็ยังส่งผ้าให้อุทัยหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ส่งประมาณ 1-2 เดือน จำรายละเอียดไม่ได้
 
ทนายความถามว่า ตอนที่ได้เอกสารจากอุทัย ยังส่งผ้ากันอยู่หรือไม่ ธงชัยตอบว่า ส่งเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไร ทนายความถามว่า หลังจากเกิดเรื่อง (หลังจากที่ตำรวจมาตาม) ยังส่งผ้าอยู่หรือไม่  ธงชัยตอบว่า หยุดส่งผ้า แต่ยังไปรับส่วนที่ยังค้างอยู่
 
ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ตำรวจฟ้องหรือไม่ฟ้องจำเลย ธงชัยตอบว่า ทราบอีกทีก็ตอนเจ้าหน้าที่นำหมายศาลมาให้ ทนายความพูดต่อไปว่า ในชั้นตำรวจสั่งไม่ฟ้องจำเลย โดยให้เหตุผลว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีเจตนา
 
ทนายความถามว่า พยานทราบหรือไม่ว่า จำเลยเรียนจบการศึกษาระดับไหน  ธงชัยตอบว่า ไม่ทราบ ทนายความถามว่า ในเอกสารหมาย จ.2 เอกสารซึ่งมีข้อความไม่เหมาะสม พยานได้อ่านก่อนหรือไม่ก่อนส่งให้ผู้ใหญ่บ้าน ธงชัยตอบว่า ไม่ได้อ่าน
ทนายความถามว่า ข้อความในเอกสารนี้ พยานคิดว่าจำเลยจะไปถ่ายเอกสารมาหรือพิมพ์เองได้หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ถ้าพิมพ์เองคงทำไม่ได้ เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์  แต่ถ้าถ่ายเอกสาร ใครๆ ก็ทำได้ ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยมีเครื่องถ่ายเอกสารหรือไม่ ธงชัยตอบว่า ไม่มี
 
ทนายความถามว่า ข้อความแบบนี้ ในฐานะที่เป็นชาวบ้านด้วยกัน คิดว่าจำเลยเรียบเรียงขึ้นมาเองหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่คิดว่าจะเรียบเรียงขึ้นมาเองได้ เพราะตนเองจบ ม.6 ก็ทำไมได้ 
 
ทนายความถามว่า หลังจากที่ให้เอกสารกับผู้ใหญ่บ้านแล้ว พยานก็ยังมารับผ้าที่ค้างอยู่ ได้ถามเรื่องเอกสารนั้นกับจำเลยหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่ได้คุย เพราะไม่ได้เจอกัน เจอแต่ภรรยาของจำเลย ได้เจอจำเลยอีกครั้ง ก็วันที่ตำรวจสภ.เชียงขวัญเรียกไปให้ปากคำ
 
ทนายความถามว่า ตอนที่เจอภรรยาของจำเลย ได้ถามหรือไม่ว่าอ่านแล้วเป็นอย่างไร ธงชัยตอบว่า ไม่ได้ถาม ทนายความถามว่าหลังจากนำเอกสารนั้นไปให้ผู้ใหญ่บ้านแจ้งความที่สภ.เชียงขวัญแล้ว เจอจำเลยแล้วคุยกันอย่างไร ธงชัยตอบว่า คุยกันธรรมดา
ทนายความถามว่า ในละแวกอ.เชียงขวัญและอ.ธวัชบุรี มีกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมหมิ่นฯ ในหมู่บ้านหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่ทราบ ทนายความถามว่า เวลาไปบ้านชาด มีบุคคลที่ชอบหมิ่นฯ หรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่มี
 
ทนายความถามว่า เคยเดินเข้าไปในบ้านของอุทัย แล้วพบว่ามีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เคยเข้าไป ทนายความถามว่า พยานเคยพูดหมิ่นเหม่ หรือให้ร้ายใครหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่เคย
 
ตอบคำถามอัยการถามติง
อัยการนำรูปถ่ายตามเอกสารหมาย จ.1 ให้ดู ถามว่าเคยเห็นจำเลยติดพระบรมฉายาลักษณ์หรือไม่ ธงชัยตอบว่า รูปใน จ.1 ที่ไม่มีภาพในหลวง เป็นช่วงที่เกิดเหตุ แต่อีกภาพหนึ่งน่าจะทำขึ้นมาใหม่ 
 
อัยการถามว่า ในเอกสายหมาย ล.4 ที่เป็นคำให้การของพยานในชั้นสอบสวน คลาดเคลื่อนจากที่พยานเบิกความต่อศาล ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ธงชัยตอบว่า ยืนยันว่าอุทัยลุกขึ้นยืนเพื่อหยิบเอกสารใบปลิวตามฟ้อง จากใต้หลังคาจริง ไม่ได้วางรวมกับหนังสือการ์ตูนซึ่งวางอยู่บนแคร่
 
อัยการถามว่า พยานได้อ่านคำให้การหรือไม่  ธงชัยตอบว่า ไม่ได้อ่าน
 
อัยการถามว่า ที่จำเลยบอกว่าจะเลิกทำเสื้อ เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่ยื่นเอกสารให้  ธงชัยตอบว่า เกิดขึ้นก่อน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะทำไปในระยะหนึ่งก็มักจะเลิกทำ
 
ทนายความจำเลยขออนุญาตศาลถามเพิ่ม ศาลอนุญาต
 
ทนายความถามว่า วันที่จำเลยยื่นเอกสารให้ คือวันที่ 26 กรกฎาคม 2552  ไม่ใช่วันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของหลานนายอุทัย ธงชัยตอบว่า ยืนยันว่าเป็นวันที่ 26 กรกฎาคม 2552  ไม่ได้มีงานอะไรแต่อย่างใด
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ 2 นางไพรวัลย์ ตามภิบาล ผู้หยิบเอกสารไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้าน
 
นางไพรวัลย์ ตามภิบาล อายุ 42 ปี เป็นภรรยาของนายธงชัย ตามภิบาล 
 
ไพรวัลย์เบิกความว่า ขณะที่ตัวเองนั่งนับผ้า สามีก็นั่งรออยู่ พอนับผ้าเสร็จก็เห็นจำเลยหยิบเอกสารจากใต้หลังคามาให้สามีอ่าน ตนเองบอกว่านับผ้าเสร็จแล้ว ให้สามีเอาผ้าขึ้นรถ ระหว่างเอาผ้าขึ้นใส่รถ จำเลยก็พูดว่า เอาเอกสารนี้ไปอ่านด้วย สามีจึงรับมาแล้ววางไว้หน้าคอนโซลรถ
 
อัยการถามว่า เคยเห็นหรือไม่ว่าเอกสารเป็นอย่างไร เคยอ่านหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ได้อ่าน
 
อัยการถามว่า ระหว่างขับรถกลับบ้าน ได้คุยกันถึงเอกสารที่อุทัยให้มาหรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ลืมไปเลย ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้
ไพรวัลย์เล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นว่า หลังจากนั้นสามีก็ไปทำงานกับบริษัทที่จังหวัดกาฬสินธุ์  นายสว่าง เรื่องศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ตนเองอยู่โทรศัพท์มาถามว่า เห็นใบปลิวที่มาจากบ้านชาดบ้างหรือไม่ ตอนแรกตนเองก็ตอบไปว่าไม่รู้ แล้วนึกขึ้นได้ว่าสามีได้เอกสารตอนที่ไปเก็บผ้าที่บ้านของจำเลยซึ่งอยู่บ้านชาด จึงโทรศัพท์หาสามี ถามว่าเห็นใบปลิวจากบ้านชาดไหม สามีบอกว่าอยู่หน้ารถ ให้หยิบไปให้ผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นตำรวจก็เรียกตัวไปให้การที่ สภ.เชียงขวัญ และสภ.ธวัชบุรี
 
อัยการถามว่า ให้การกับตำรวจเหมือนที่เบิกความในศาลหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ให้การเหมือนกัน
 
อัยการนำรูปกระท่อมที่เกิดเหตุมาให้ดู แล้วถามว่าเหมือนกับรูปในเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
อัยการถามว่า พยานได้ว่าจ้างภรรยาของจำเลยถักเสื้อคอกระเช้ามานานเท่าไหร่ เคยทะเลาะกันหรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ประมาณ 2-3 ปี ไม่เคยทะเลาะกัน
 
อัยการถามว่า ภรรยาของอุทัยเคยบ่นให้ฟังหรือไม่ ว่าอยากเลิกทำ  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่เคย แต่หลังจากที่เกิดเรื่องก็เย็บผ้าที่ค้างไว้จนเสร็จและจำเลยก็แจ้งว่าไม่ทำแล้ว
 
ตอบคำถามทนายความจำเลยถามค้าน
ทนายความถามว่า ตอนที่เอาเสื้อมาจ้างภรรยาจำเลยถัก รู้จักกันได้อย่างไร  ไพรวัลย์ตอบว่า  นางวัน ชาวบ้านบ้านชาด แนะนำมา ทนายความถามว่า ทุกครั้งที่มารับหรือส่งผ้า มากับนายธงชัยสามีหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยสามารถเข้าออกได้สองทาง ใช่หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ทราบ เข้าแต่ทางหน้าบ้าน ซึ่งใกล้กับกระท่อม ทนายความถามว่า ทุกครั้งส่งผ้าที่บ้านหรือที่กระท่อม  ไพรวัลย์ตอบว่า ทั้งรับและส่งที่กระท่อม
 
ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยสามารถเดินเข้าไปได้เลยหรือไม่ เนื่องจากไม่มีประตู  ไพรวัลย์ตอบว่า บ้านของจำเลยมีตั้นไม้เป็นรั้ว ไม่มีประตูหน้าบ้าน สามารถเดินเข้าไปได้เลย ทนายความถามว่า หลายครั้งที่ไป มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ ไม่ใช่แค่จำเลยกับภรรยา  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
ทนายความให้ดูภาพถ่าย แล้วถามว่า ตั้งแต่ไปส่งผ้าครั้งแรกจนถึงตอนที่ไม่ส่งแล้ว ลักษณะกระท่อมก็เป็นแบบนี้มาตลอดหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า กระท่อมนั้นผนังเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า คนที่ถักเสื้อคือภรรยาของจำเลย ใช่หรือไม่ จำเลยเพียงแต่เข้ามาดู  ไพรวัลย์ตอบว่า ภรรยาจำเลยเป็นคนถัก ส่วนจำเลยจะเข้ามาดูบ้างเป็นบางครั้ง ทนายความถามว่า ให้ค่าจ้างเท่าไหร่  ไพรวัลย์ตอบว่า ให้เป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีขนาดต่างๆ ซึ่งค่าจ้างไม่เท่ากัน  แต่เฉลี่ยออกมาแล้ว ตกที่ตัวละ 3 บาท
 
ทนายความถามว่า ก่อนหยุดส่งประมาณกี่เดือน ที่ภรรยาของจำเลยบอกว่าไม่อยากทำแล้ว ไม่คุ้มกับที่เสียสายตา ไพรวัลย์ตอบว่า เขาไม่เคยบอกว่าไม่คุ้ม ไม่อยากทำ แต่ที่เลิกทำเพราะเกิดเรื่อง ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่าภรรยาของจำเลยได้บอกกับธงชัยว่า เขาไม่อยากทำ ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ทราบว่าเขาเคยบอกกับใครหรือไม่ แต่กับตนเองเขาไม่เคยบอก
 
ทนายความถามว่า เคยเข้าไปถึงโรงสีหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่เคย ทนายความถามว่า บริเวณกระท่อมมีธงนปช. หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสื้อแดงหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ได้สังเกต
 
ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยมีเครื่องถ่ายเอกสาร หรือมีคนมาถ่ายเอกสารที่บ้านของจำเลยหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่มี ไม่เคยเห็นว่ามีคนมาถ่ายเอกสาร
 
ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่า จำเลยเรียนจบชั้นอะไร  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ทราบ ทนายความถามว่า เอกสารที่มีข้อความหมิ่นนั้น พยานเป็นคนเอาให้ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งให้ข้อมูลทั้งหมดกับผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแรกหรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ตอนที่อุทัยพูดว่า เอานี่ไปอ่านสิ กับ เอาไปอ่านที่บ้านก็ได้ พยานอยู่ห่างจากอุทัยไม่มาก ใช่หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า เห็นหรือไม่ว่าอุทัยหยิบเอกสารมาจากไหน  ไพรวัลย์ตอบว่า หยิบมาจากแผ่นไม้ใต้หลังคา
 
ทนายความถามว่า ทำไมในคำให้การจึงไม่มีรายละเอียดการหยิบเอกสารของอุทัย ไพรวัลย์ตอบว่า เพราะตำรวจไม่ได้ถาม ทนายความถามว่า หลังจากได้เอกสารมาจากจำเลย ผู้ใหญ่บ้านก็โทรมา พยานเป็นคนเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ตอนที่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เรื่องนี้เป็นคดีขึ้นมาแล้ว ตอนที่ธงชัยเล่ารายละเอียดให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง พยานได้อยู่ด้วยหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่ อยู่ด้วย ทนายความถามว่า ผู้ใหญ่บ้านให้การว่า เอกสารนั้นวางอยู่ และธงชัยหยิบขึ้นมาอ่านดู ทำไมผู้ใหญ่บ้านจึงให้การเช่นนี้  ศาลบอกว่าให้ถามคำถามนี้กับผู้ใหญ่บ้านเอง
 
ทนายความถามว่า ในเอกสารหมายล.6 พยานให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่ทราบว่าหยิบมาจากไหน ไม่ทราบว่าใครทำขึ้น ใครแจก แสดงว่าพยานไม่ทราบว่าใครนำเอกสารมาไว้ที่กระท่อม หรือไม่ทราบว่าใครหยิบเอกสารให้สามีใช่หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน ใครเอามาแจกจ่ายให้จำเลย 
 
ทนายความถามว่า พยานให้การว่า ไม่สงสัยผู้ใด เห็นชัดว่าพยานไม่เชื่อว่าจำเลยเป็นคนทำเอกสารนี้ขึ้นมาใช่หรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า เอกสารนี้จำเลยให้มาก็จริง แต่ไม่ทราบว่าใครนำเอกสารมาวางไว้ในกระท่อม ทนายความถามว่า คนที่อยู่ใกล้การหยิบเอกสารของจำเลยที่สุด มีใครบ้าง ไพรวัลย์ตอบว่า มีจำเลย ธงชัย และตนเอง ส่วนภรรยาจำเลยเดินไปเดินไป และสุดท้ายก็มารับเงิน
 
ทนายความถามว่า ตอนภรรยาจำเลยรับเงินเป็นตอนที่จำเลยพูดว่า “อ่านนี่สิ” หรือ “เอาไปอ่านก็ได้” ใช่หรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ตอนที่จำเลยยื่นเอกสารให้สามี  ภรรยาของอุทัยรับเงินและเดินไปแล้ว  ส่วนตอนที่จำเลยพูดว่า “อ่านนี่สิ” ภรรยาจำเลยไม่ได้อยู่ด้วย
 
ทนายความถามว่า ระหว่างเดินทางกลับบ้าน พยานได้คุยกับธงชัยหรือไม่ว่า ภรรยาจำเลยอยากเลิกถักเสื้อแล้ว  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ได้คุย เพราะภรรยาจำเลยไม่เคยบอกกับตน ทนายความถามว่า ตอนที่อุทัยต่อว่าธงชัยว่า ทำแล้วไม่คุ้ม ไม่ต้องมาส่งอีก ถ้าเอามาอีกจะเผา พยานได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่เคยได้ยินคำพูดนี้เลย ทั้งจากอุทัยและธงชัย 
 
ทนายความถามว่า หลังจากที่มีคดีความกัน ได้เจออุทัยอีกหรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่เจอ เจออีกทีก็ที่โรงพัก สภ.เชียงขวัญ
 
ทนายความถามว่า ที่อ.เชียงขวัญมีกลุ่มพันธมิตรหรือ นปช. หรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่มี ทนายความถามว่า เวลามาส่งผ้าที่อ.ธวัชบุรี ส่งกี่จุด ไพรวัลย์ตอบว่า จุดเดียว คือบ้านของจำเลย
ทนายความถามว่า รู้จักคนหมู่บ้านนี้เยอะหรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า รู้จักเท่าที่ติดต่อส่งผ้า ทนายความถามว่า เคยได้ยินว่ามีคนกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่ทราบว่ามีหรือไม่มี ทนายความถามว่า บ้านของจำเลยเคยพูดเรื่องสถาบันฯ ในทางเสียหายหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่มี เพราะไม่เคยคุยกันเรื่องนี้
 
ทนายความถามว่า พยานเรียนจบชั้นอะไร  ไพรวัลย์ตอบว่า จบกศน. ทนายความถามว่า ส่งเอกสารนี้ให้ผู้ใหญ่บ้าน โดยที่ไม่ได้อ่านก่อน ใช่หรือไม่ ไพรวัลย์ตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า พยานเชื่อว่าเอกสารนี้ อุทัยเป็นคนทำขึ้นหรือไม่  ไพรวัลย์ตอบว่า ไม่คิดว่าทำขึ้น
 
ตอบคำถามอัยการถามติง
อัยการถามว่า คำให้การที่พยานให้กับตำรวจ กับที่เบิกความในศาล สิ่งไหนคือความจริง ให้พยานยืนยัน ไพรวัลย์ตอบว่า ที่เบิกความในศาลเป็นความจริง และตอนให้การกับตำรวจ ตนเองก็ให้การไว้เช่นนี้ แต่ไม่ทราบว่าทำไมถึงไม่มีในเอกสารคำให้การ
จบการสืบพยานโจทก์ภาคเช้า เวลาประมาณ 12.45 น. ศาลนัดสืบพยานต่อภาคบ่ายในเวลา 13.30 น.
 
 
ภาคบ่าย
ศาลขึ้นบัลลังก์เวลา 14.05 น.
สืบพยานโจทก์ปากที่ 3 นายสว่าง เรืองศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านผู้ได้รับใบปลิวมาจากนางไพรวัลย์
 
นายสว่าง เรืองศักดิ์ อายุ 56 ปี อาชีพทำนา นอกจากทำนาแล้วยังเป็นผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.พระเจ้า อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน 
 
สว่างเบิกความว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552  เวลา 12.00 น. ขณะกำลังทำนาอยู่ มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่อำเภอเชียงขวัญเข้ามาถามว่าเห็นใบปลิวหมิ่นฯ ที่หมู่บ้านบ้างไหม ตนตอบว่าไม่เห็น  หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงต่อมา มีอาสาสมัครรักษาดินแดนมาถามถึงใบปลิวหมิ่นฯ อีก ตนจึงถามไปว่าใบปลิวนี้มาจากไหน เขาบอกว่ามาจากอ.ธวัชบุรี กระทั่ง 17.00 น. ตนจึงออกไปถามลูกบ้านว่า มีใครเห็นใบปลิวหมิ่นฯ บ้างไหม ถามมาเรื่อยๆ จนมาเจอไพรวัลย์ ไพรวัลย์บอกว่าได้รับใบปลิวหนึ่งมาจากบ้านชาด และได้หยิบเอกสารที่วางคว่ำอยู่หน้ารถตู้มาให้ เป็นเอกสารขนาดA4 จำไม่ได้ว่ากี่แผ่น
 
อัยการนำเอกสารให้สว่างดู แล้วถามว่า ใช่เอกสารนี้หรือไม่ สว่างดูแล้วตอบว่า น่าจะใช่
 
สว่างเบิกความต่อว่า หลังจากได้เอกสารนั้นมาอ่านแล้วพบว่ามีข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตนเห็นว่าไม่เหมาะสม และกลัวว่าจะมีคนมาอ่าน จึงเก็บไว้ ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 เวลาประมาณ 8.30 น. จึงได้นำเอกสารนั้นไปมอบให้ปลัดวีระ วรวัฒน์ ที่ที่ว่าการอำเภอเชียงขวัญ ปลัดวีระบอกว่า เอาไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะให้นายดู หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ
 
อัยการถามว่า เคยไปบ้านชาดและเคยรู้จักจำเลยมาก่อนหรือไม่  สว่างตอบว่า ไม่เคยไปบ้านชาด และไม่เคยรู้จักอุทัยมาก่อน
อัยการถามว่า เคยไปให้การกับตำรวจหรือไม่  สว่างตอบว่า เคยไปให้การที่สภ.เชียงขวัญ และสภ.ธวัชบุรี
 
ทนายความจำเลยถามค้าน
สว่างเบิกความว่า ธงชัยและไพรวัลย์เป็นลูกบ้านของตน แต่เดิมธงชัยเป็นคนอ.เมืองแล้วย้ายมาอยู่อ.เชียงขวัญ เท่าที่ทราบ ธงชัยมีอาชีพทำนาและเป็นเซลส์แมนขายผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า และนอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกอบต. และยังรับตั้งเวทีเครื่องขยายเสียง โดยรับจ้างในการตั้งเวทีเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นในจ.ร้อยเอ็ด ไม่ใช่เพียงแต่ที่อ.เชียงขวัญ เท่าที่ตนทราบธงชัยไม่ได้เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ และไม่ทราบว่าเขามีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร
 
ทนายความถามว่า กรณีหมิ่นเบื้องสูง เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นแถวนี้เป็นครั้งแรกหรือไม่  สว่างตอบว่า เพิ่งจะมีเป็นครั้งแรก
ทนายความถามว่าบ้านพยานกับบ้านธงชัยไกลกันแค่ไหน สว่างตอบว่า ประมาณ 100 เมตร ในวันนั้นเจอแต่ไพรวัลย์ ไม่เจอธงชัย 
 
ทนายความถามว่า จากคำให้การที่พยานให้กับตำรวจทั้ง 2 ครั้ง ที่สภ.เชียงขวัญและสภ.ธวัชบุรี ว่า ธงชัยนำเอกสารเป็นปึกหลายแผ่นมาให้ แต่ทำไมพยานจึงเบิกความว่า ไพรวัลย์เป็นคนนำเอกสารมาให้ สว่างตอบว่า มันคนละวันกัน
 
ทนายความถามว่า พยานเห็นเอกสารครั้งเดียว คือตอนที่ไพรวัลย์นำมาให้ ใช่หรือไม่ สว่างตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า แล้วคำให้การไหนเป็นความจริง  สว่างตอบว่า ตนได้รับเอกสารจากไพรวัลย์ในตอนเย็นวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 เป็นความจริง แต่ในเอกสารคำให้การของตำรวจที่ระบุว่า ได้รับเอกสารจากธงชัยนั้นไม่เป็นความจริง
 
ทนายความถามว่า พยานได้สอบถามไพรวัลย์หรือไม่ว่า ได้เอกสารนี้มาจากใคร และได้มาอย่างไร  สว่างตอบว่า นางไพรวัลย์บอกว่า ได้มาจากนายอุทัย ไม่ทราบนามสกุล โดยได้มาตอนที่ไปส่งเสื้อที่บ้านของนายอุทัย
 
ทนายความถามว่า ไพรวัลย์ได้บอกว่าได้มาตอนที่ไปเก็บเสื้อกับสามี ซึ่งเป็นคนเก็บเอกสารมาอ่านแล้วพบว่าข้อความไม่เหมาะสม เป็นความจริงหรือไม่  สว่างตอบว่า เป็นความจริง ทนายความถามว่า ธงชัยหยิบอ่านเอง ไม่ใช่จำเลยยื่นให้ ใช่หรือไม่  สว่างตอบว่า ไม่ทราบ
 
ทนายความถามว่า ได้เปิดเอกสารนี้ดูทุกหน้าหรือไม่  สว่างตอบว่า อ่านแต่หน้าแรก แต่จากที่ได้รับโทรศัพท์ทราบว่าเป็นใบปลิวไม่เหมาะสมเลยไม่ได้อ่านต่อ ทนายความถามว่า เอกสารนี้ถ่ายสำเนามาโดยไม่มีที่มาที่ไป ใช่หรือไม่  สว่างตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า หลังมอบเอกสารนี้ให้ปลัดไปแล้ว ได้กลับมาคุยกับธงชัยหรือไพรวัลย์อีกหรือไม่  สว่างตอบว่า ไม่ได้คุยกันอีก
ทนายความถามว่า จากคำให้การที่ให้ไว้กับตำรวจ ข้อมูลเหล่านี้พยานทราบจากธงชัยและไพรวัลย์เป็นข้อมูลเบื้องต้นหรือไม่  สว่างตอบว่า ใช่
 
ตอบคำถามอัยการถามติง
สิ่งที่พยานพูดในศาลกับที่ปรากฏในคำให้การกับตำรวจ ซึ่งไม่ตรงกัน พยานจะยืนยันสิ่งไหน  สว่างตอบว่า ยืนยันสิ่งที่พูดในศาล
 
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ 4 นายวีระ วรวัฒน์ ปลัดฝ่ายความมั่นคง ประจำที่ว่าการอำเภอเชียงขวัญ ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน
 
นายวีระ วรวัฒน์ อายุ 52 ปี อาชีพรับราชการ ตำแหน่งปลัดฝ่ายความมั่นคง ประจำที่ว่าการอำเภอเชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาความขัดแย้งของชุมชน
 
วีระเบิกความว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2552  เวลาประมาณ 8.30 น. ขณะที่ตนอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอเชียงขวัญ นายสว่าง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านดงพิกุล ต.พระเจ้า นำแผ่นกระดาษจำนวน 7 แผ่น  มีข้อความที่อ่านแล้วเป็นการหมิ่นสถาบันฯ มารายงานให้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยนายสว่างบอกว่า มีราษฎรในหมู่บ้านนำมาให้  โดยได้มาจากบ้านชาด ซึ่งเป็นพื้นที่ต่างอำเภอ ตนไม่ได้ใส่ใจว่าได้มาจากใคร จำได้เพียงว่าได้มาจากบ้านชาด
 
อัยการนำเอกสารให้ดู ถามว่า ใช่เอกสารนี้หรือไม่  วีระตอบว่า อ่านคร่าวๆ แล้วใช่
 
วีระเล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นไปอีกว่า หลังจากนั้น ตนนำเอกสารนั้นไปให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา แต่ผู้บังคับบัญชาต้องไปประชุมต่างจังหวัด ท่านจึงบอกว่า ให้เก็บไว้ หลังกลับจากประชุมจะพิจารณาดู  เมื่อท่านกลับมาแล้ว จึงเรียนให้ท่านทราบ ท่านพิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญ จะนำมาซึ่งความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ตนไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สภ.เชียงขวัญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
อัยการถามว่า ได้ทราบเรื่องใบปลิวมาก่อนหรือไม่ วีระตอบว่า ได้รับคำสั่งมาให้ติดตามตรวจสอบอยู่แล้ว เนื่องจากตอนนั้นสถานการณ์ทางการเมืองไม่ค่อยดีนัก จึงให้สายลับคอยสืบข่าวและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ อยู่ตลอด แต่เหตุการณ์ก็ปกติจนกระทั่งเจอเอกสารนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีเหตุการณ์หรือเอกสารทำนองนี้มาก่อน
 
อัยการถามว่า พยานไปดงพิกุลและบ้านชาดบ่อยหรือไม่ แล้วพบความเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่  วีระตอบว่า บ้านดงพิกุลไปบ่อย เพราะอยู่ในพื้นที่ ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ ส่วนที่บ้านชาด เคยแค่ผ่านไป แต่หลังจากมีเรื่องเอกสารนี้ ได้ไปสืบสวน แต่ไม่ค่อยได้รับความรวมมือนัก
 
อัยการถามว่า พยานรู้จักจำเลยมาก่อนหรือไม่  วีระตอบว่า ไม่เคย
 
ทนายความจำเลยถามค้าน
ทนายความถามว่า การเป็นปลัดป้องกันฯ เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นก็ต้องมีการค้นหาข้อมูล โดยตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่ เป็นคณะทำงานระดับอำเภอ
 
ทนายความถามว่า ปี 2552 สมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงที่การเมืองในอีสานแรงมาก ข้อความที่ปรากฏในเอกสารก็เป็นประเด็นในการชุมนุมช่วงปี 49-52 ใช่หรือไม่ วีระตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า ในร้อยเอ็ด มีมวลชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเยอะ ใช่หรือไม่ และในอำเภอเชียงขวัญมีมวลชนที่ไม่เห็นด้วยมากแค่ไหน วีระตอบว่า ในร้อยเอ็ดมีคนไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเยอะ ในอ.เชียงขวัญก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้แสดงออก
ทนายความถามว่าพยานถูกกำชับมาให้ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะการปราศรัยอาจมีการพาดพิงสถาบัน ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่าในความขัดแย้งทางการเมือง บางพื้นที่ก็นำเรื่องหมิ่นฯ มากลั่นแกล้งกันได้ ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่ 
ทนายความถามว่า ครั้งแรกที่ทราบเรื่องนี้ ทราบจากอส. หรือจากนายสว่าง เรืองศักดิ์  วีระตอบว่า ทราบจากนายสว่าง ทนายความถามว่า คนที่รู้ข้อมูลว่ามีใบปลิวอยู่ในพื้นที่คือสว่าง ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่
 
ทนายความถามว่า ปรากฏตามคำให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนที่นายสว่างจะนำเอกสารมาให้ เคยมีผู้ไม่เปิดเผยนามโทรมาบอกก่อน เป็นความจริงใช่หรือไม่ วีระตอบว่า ใช่ ทนายความถามว่า บุคคลผู้นั้นอาจจะเป็นใครก็ได้ ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่
 
ทนายความนำเอกสารให้ดู แล้วถามว่า เป็นเอกสารที่ถ่ายสำเนาขยายจากตัวอักษรปกติหรือไม่  วีระตอบว่า อาจจะเปลี่ยนฟอนต์ให้ใหญ่ขึ้น หรือถ่ายสำเนาขยายใหญ่ขึ้น
 
ทนายความถามว่า ทราบหรือไม่ว่าคนที่มอบเอกสารให้สว่างเป็นใคร สว่างได้บอกหรือไม่  วีระตอบว่า จำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นเจ้าของร้านเกี่ยวกับตัดเย็บเสื้อผ้า
 
ทนายความถามว่า ทัศนคติทางการเมืองสีเหลืองหรือสีแดง พยานมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร  วีระตอบว่า เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย สามารถแสดงออกได้
 
ทนายความถามว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งไม่ระบุชื่อว่าใครเป็นผู้ทำ ไม่มีที่มาที่ไป หมิ่นเหม่ต่อการหยิบไปวางเพื่อให้ร้ายใครต่อใครได้ง่าย ใช่หรือไม่  วีระตอบว่า ใช่
 
อัยการไม่ถามติง เสร็จสิ้นการสืบพยานเวลาประมาณ 15.50 น.
 
 
 
29 สิงหาคม 2555
ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ห้องพิจารณาคดีที่ 14
 
จำเลยและ ทนายจำเลย คารม พลพรกลาง มาศาล 
อัยการจังหวัดร้อยเอ็ดมาศาล นอกจากผู้เกี่ยวข้องในคดีอื่นๆ ซึ่งศาลมีหมายนัด ไม่มีผู้สนใจเข้าฟังในคดีนี้แต่อย่างใด
เวลา 9.56 น. ผู้พิพากษา มงคล พิมพ์ทรัพย์ นั่งบัลลังก์ พิจารณาคำสั่งศาลในคดีอื่นๆ 
 
จนเวลา 10.10 น.ผู้พิพากษา ชัยพร ศรีโบราณ ขึ้นนั่งบัลลังก์ตรงกลาง เริ่มการสืบพยานโจทก์
 
สืบพยานโจทก์ปากที่ 5 พันตำรวจโทกฤษฎิณทร์ จันทรศรีชา พนักงานสืบสวนและสอบสวน สภ.ธวัชบุรี
 
พันตำรวจโทกฤษฎิณทร์ จันทรศรีชา อายุ 48 ปี รับราชการตำรวจ เป็นพนักงานสืบสวน (สบ.3) สถานีตำรวจภูธรธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่เดือนม.ค.52 จนถึงปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ 
 
พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าวันที่ 27 ส.ค. 2552 ตนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตรวจสอบคดีหมิ่นฯ ที่มีการแจกใบปลิวในตำบลหนองพอก จึงตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ข้อมูลว่าวันที่ 26 ก.ค.2552 เวลา 18.00-19.00 น. นายธงชัยและนางไพรวัลย์ ไปรับผ้าที่เย็บที่บ้านของจำเลยและภรรยาของจำเลย ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.หนองพอก อ.ธวัชบุรี ขณะรอรับผ้าที่เถียงนาหน้าบ้าน นายธงชัยเห็นกองหนังสือการ์ตูนจึงหยิบมาอ่าน จำเลยนั่งอยู่ด้วยกันก็ได้หยิบกระดาษเย็บ 7 แผ่นยื่นให้นายธงชัย แล้วถามว่าเคยเห็นเอกสารนี้ไหม นายธงชัยรับมาอ่านได้ประมาณครึ่งหน้า ปรากฏว่าเอกสารเป็นการกล่าวเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่ดี ไม่สมควร จึงเลิกอ่าน ขณะนั้นภรรยาจำเลยและภรรยานายธงชัยส่งรับผ้ากันเสร็จ จ่ายเงินแล้ว จะขึ้นรถกลับบ้าน จำเลยได้ยื่นเอกสารดังกล่าวได้นายธงชัยบอกว่าเอาไปอ่านด้วยก็ได้ นายธงชัยจึงรับไว้แล้วเอาไปวางไว้ที่คอนโซลหน้ารถ
 
พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ เล่าต่อว่า ประมาณวันที่ 29 ก.ค.52 เวลา 11.00 น. นายสว่าง เรืองสัก ผู้ใหญ่บ้านบ้านดงพิกุล บ้านเดียวกับนายธงชัย ในอำเภอเชียงขวัญ ได้สอบถามนายธงชัยและชาวบ้านว่าได้ข่าวมีใบปลิวเอกสารหมิ่นสถาบันฯ นายธงชัยเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน จึงนำเอกสารดังกล่าวให้ผู้ใหญ่บ้าน 
 
ศาลถามย้ำว่าผู้ใหญ่บ้านได้สอบถามใครบ้าง พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่ากลุ่มชาวบ้านกับนายธงชัย ศาลถามว่านายสว่างไปถามนายธงชัยที่บ้านเลยหรือ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่แน่ใจ ศาลถามว่าถามกับนายธงชัยเลยหรือ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าถามชาวบ้านที่นั่งรวมกลุ่มกัน นายธงชัยนั่งอยู่ในกลุ่มด้วย เลยเอาใบปลิวมอบให้ 
 
พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 30 ก.ค. นายสว่างนำเอกสารไปมอบให้นายวีระ ปลัดอำเภอ วันที่ 31 ก.ค.นายวีระก็นำไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเชียงขวัญ จากนั้นจึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เห็นว่าเป็นคดีสำคัญทางสถานีตำรวจภูธรจึงรายงานไปยังตำรวจภูธรภาค 4 พิจารณาให้สถานีตำรวจภูธรธวัชบุรีรับคำร้องทุกข์ และตั้งคณะสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน โดยรับเรื่องเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2552
 
อัยการถามว่าพยานอ่านข้อความในใบปลิวแล้วเป็นอย่างไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่ามีหลายประเด็นที่กล่าวหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยดูหมิ่น หมิ่นประมาท พระราชินีและรัชทายาท ตนจึงรายงานไปที่สถานีตำรวจภูธรร้อยเอ็ด และได้จัดตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยมีพ.ต.อ.ภัทราวุธ เอื้อมศศิธร เป็นหัวหน้าคณะ ร่วมกันรวม 8 นาย
 
อัยการถามว่าไปสอบสวนใครบ้าง พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่า สอบสวนนายธงชัย นางไพรวัลย์ นายสว่าง นายวีระ และไปตรวจที่เกิดเหตุ ถ่ายภาพตามเอกสารหมายจ.1 และทำแผนที่ในเอกสารหมายจ.3 หลังจากนั้นก็มีความเห็นเบื้องต้นว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรว่าจำเลยน่าจะได้กระทำผิด จึงแจ้งไปที่สถานีตำรวจภูธรร้อยเอ็ด ส่งต่อไปยังตำรวจภูธรภาค 4 ออกหมายเรียกให้จำเลยมารับทราบข้อกล่าวหา โดยแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระราชินี และรัชทายาท โดยในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ (เอกสารหมายจ.4) 
 
พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความต่อว่าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา จึงส่งผ่านตำรวจภูธรร้อยเอ็ดและตำรวจภูธรภาค 4 ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯ พิจารณา เมื่อประชุมครั้งแรกก็สั่งให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ในเรื่องความประพฤติของผู้ต้องหา และแหล่งข่าวของนายวีระ 
 
อัยการถามว่าแล้ว “ตร.” มีความเห็นอย่างไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าทีแรกคณะกรรมการ “ตร.” มีความเห็นสั่งฟ้อง จึงเสนอให้ผบ.ตร.ลงนาม ท่านเห็นว่าเพื่อความรอบคอบและเป็นธรรม จึงสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมครั้งที่ 2 แต่เมื่อส่งไปอีกครั้ง คณะกรรมการคดีหมิ่นฯ มีคำสั่งให้ไม่ฟ้อง เสนอให้ผบ.ตร.พิจารณา พอสั่งไม่ฟ้องก็เสนอสำนวนกลับมายังสถานีตำรวจภูธรจังหวัด แต่พนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดมีคำสั่งให้ส่งฟ้องผู้ต้องหา 
 
พยานชี้ตัวจำเลยในห้องพิจารณา พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์กล่าวว่าไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน และไม่มีสาเหตุโกรธเคือง
 
ตอบคำถามทนายความจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่าเริ่มต้นคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้ข้อมูลจากใคร รู้เรื่องจากใคร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าเป็นหนังสือสั่งการจากสถานีตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ดให้ไปตรวจสอบ ทนายถามว่ารองผู้การฯ เป็นหัวหน้าชุดที่สภ.ธวัชบุรี พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าวันแรกที่รับเรื่องมีการระบุตัวไหมว่าใครเป็นเป็นผู้กระทำผิด พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่ายังไม่ระบุ เว้นชื่อผู้ถูกกล่าวไว้ 
 
ทนายถามว่าหลังจากทราบว่ามีใบปลิวจากตำบลหนองพอกแล้วเรียกนายจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าวันที่ 4 ม.ค.53 ทนายถามต่อว่าในคำให้การ มีการสอบด้วยว่าจำเลยจบป.6 เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีความรู้อะไร แล้วเขาบอกว่าเขารู้จักนายธงชัย ไม่มีสาเหตุโกรธเคือง แต่ไม่มีการสอบว่ารู้จักกันอย่างไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าทราบจากนายธงชัยว่าทำธุรกิจร่วมกัน คือเอาผ้ามาให้ถักเป็นเสื้อคอกระเช้า ทนายถามว่าทำไมไม่ถามว่ารู้จักกันแล้วมีปัญหาหรือไม่ หรือความสัมพันธ์ระหว่างนายธงชัยกับจำเลยเป็นอย่างไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องถาม เพราะได้ข้อมูลมาแล้ว 
 
ทนายถามว่าหลังจากแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ตอนไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุจำเลยอยู่ด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าอยู่ ทนายถามว่าจำเลยไม่ได้เซ็นชื่อในเอกสารใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าไม่ได้เซ็น มีคุณสมพานซึ่งเป็นภรรยาเซ็น แต่จำเลยไม่ได้เซ็น เพราะจำเลยไม่ยอมรับว่าเขาอยู่ในที่เกิดเหตุในวันที่เกิดเหตุ จึงไม่เซ็น ทนายถามว่าที่เกิดเหตุคือบริเวณกระท่อมที่อ้างว่ามีการส่งเอกสารใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่
 
ทนายให้ดูเอกสารหมายจ.1 ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ บ้านชาด อำเภอธวัชบุรี ถ่ายเวลากลางวันวันที่ 8 ต.ค.52 ทนายกล่าวว่าบ้านของจำเลยมีทางเข้า 2 ทาง คือทางโรงสี และเถียงนา เข้าได้สองทางหรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าคนเดินเข้ามาไม่ต้องเปิดประตูรั้ว สามารถเดินเข้าไปได้เลย ไม่มีประตูกั้น แบบบ้านในชนบททั่วไปใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ 
 
ทนายให้ดูภาพถ่ายที่ 2 (ในเอกสารหมายจ.1) แล้วถามว่าในภาพมีจำเลยใส่เสื้อสีฟ้าใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ดู แล้วตอบว่าไม่แน่ใจ จำไม่ได้ ทนายให้ดูภาพถ่ายที่ 3 แล้วถามว่าใช่ภาพจำเลยกับลูกจำเลยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ดูแล้วตอบว่าใช่ ทนายถามว่าปกติเถียงนาเปิดโล่ง 4 ด้าน ไม่ปิดสักด้าน หลังคาก็โล่ง ไม่มีไม้แผ่นอะไรวางอีกชั้นหนึ่ง พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าที่ๆ วางของหยิบได้ไม่มี ไม่มีที่เสียบวางเอกสารได้ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์นิ่งคิดแล้วตอบว่าใช่ ทนายถามว่าทำไมจำเลยไม่เซ็นเป็นพยานในการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าเขาอ้างว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ทนายถามว่าแต่เขายอมไปนั่งถ่ายรูปในลักษณะจำลอง พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ
 
ทนายถามว่าพยานเข้าไปตรวจสอบในตัวบ้านด้วยหรือไม่ ว่ามีคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสารหรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าไม่มีเอกสารลักษณะ A4,F4 วางที่ไหนเลยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าไม่มีสัญลักษณ์หรือภาพที่เป็นข้อความส่อไปในทางหมิ่นสถาบันฯ เลย พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ ทนายให้ดูเอกสารหมายจ.3 แผนที่เกิดเหตุ มีการทำจุดที่นั่งคุยกันด้วย โดยนายธงชัยพบใบปลิวกองอยู่กับหนังสือการ์ตูน ไม่ได้เอามาจากส่วนอื่นของเถียงนาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ 
 
ทนายถามว่าพยานได้สอบนายไล้ บิดาของจำเลยด้วย เขาบอกว่าวันที่เอกสารที่เป็นการหมิ่นฯ ไม่ใช่วันที่ 26 แต่เป็นวันที่ 24 ก.ค.เพราะเป็นวันเกิดหลานคนหนึ่งใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าเขาตอบว่าไม่มั่นใจ แต่ตอบว่าเป็นวันเกิดของหลาน ทนายถามว่าคือ ด.ช. ขจรศักดิ์ คำพัน ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าในส่วนที่บอกว่าเป็นวันเกิดของหลาน จำเลยก็ให้การไว้ด้วยว่าวันนั้นเป็นวันที่ 24 ก.ค.เวลาประมาณ 19.00 น. ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่านอกจากคุณไล้ให้การว่า 24 ก.ค.เป็นวันเกิดหลาน มีนายธงชัยกับภรรยามา ข้อเท็จจริงนี้อยู่ในคำให้การของคุณไพรวัลย์ ลำพองชาติ (เพื่อนบ้าน) ด้วย พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไพรวัลย์บอกว่าเป็นวันเกิดหลาน แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นวันที่เท่าไร 
 
ทนายถามว่าเอกสารหมายจ.2 เป็นใบปลิวหมิ่นฯ พยานเห็นเอกสารนี้วันแรกวันที่เท่าไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าตนรับคำสั่งให้สอบสวนวันที่ 27 ส.ค.52 น่าจะได้เห็นประมาณช่วงต้นเดือนกันยายน ทนายถามว่าเอกสารที่ถ่ายนานแล้ว จะออกเหลืองๆ จากการสอบสวนเอกสารน่าจะวางที่เถียงนานานแล้ว หรือเพิ่งมีการวาง พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าไม่ได้สอบประเด็นนี้ ทนายถามว่าไม่รู้ว่ามาเมื่อไรใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าคำให้การในชั้นสอบสวน จำเลยบอกว่าไม่เคยเห็นเอกสารและปฏิเสธ โดยหลักการสอบสวน มีพยานปากไหนที่บอกว่าเห็นมีคนเอาเอกสารนี้เข้ามาสู่บ้านจำเลยไหม พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มี
 
ทนายถามว่าการบอกว่าจำเลยครอบครองเอกสารนี้ มาจากคำให้การของนายธงชัยและนางไพรวัลย์ (ภรรยา) เท่านั้นใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าในเอกสารคำให้การของนายธงชัย มีที่บอกว่าก่อนที่จำเลยจะส่งเอกสารตามฟ้องให้ จำเลยได้ถามว่า “พี่เสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง” พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มี ทนายถามว่ามีคำพูดสองคำในตอนเกิดเหตุ คือ “น้าเคยเห็นหรืออ่านอันนี้ไหม” กับ “เอาไปอ่านที่บ้านก็ได้” ไม่มีการสอบว่ามีคำพูดอื่นๆ เลยใช่ไหม พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ 
 
ทนายถามว่าพยานได้สอบปลัดอำเภออาวุโสด้วย คดีนี้เมื่อสืบสวนแล้วเชื่อมโยงกับคดีที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่นหรือไม่ (ยื่นเอกสารคดีนี้ให้ศาล) พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าตำรวจภูธรภาค 4 ให้ตรวจสอบว่ามีคดีที่เชื่อมโยงกับคดีนี้หรือไม่ ทนายถามว่าคดีที่อำเภอพล ศาลลงโทษใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายกล่าวว่าแต่คดีนั้นต่างจากคดีนี้ เพราะพบคนที่ทำผิดในขณะถ่ายเอกสารอยู่ แถมมีนามบัตรตัวเองแนบด้วย ศาลจึงลงโทษใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่าคดี คดีที่อำเภอพล ใบปลิวเป็นใบเดียวกับคดีนี้หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าเท่าที่ทราบ ไม่มีการเชื่อมโยงกับคดีนี้
 
ทนายถามว่าในร้อยเอ็ดมีคดีหนึ่งเอาใบปลิวไปวางไว้ที่สำนักงานเขตการศึกษาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ ทนายถามว่ามีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนพ.ต.ท.พิศิษฐ์ คำชัยภูมิ เป็นอย่างไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าคดีนั้นไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด ทนายถามว่าคดีนั้นมันมีการเอาใบปลิวไปวางที่ทางเท้าหน้าเขตการศึกษา 1 ท่านได้ดูใบปลิวหรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่ได้ดู ทนายถามว่าไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้กระทำผิดจึงงดการสอบสวนใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ
 
ทนายกล่าวว่าหลังจากการมีการรับคดี สอบสวนในเชิงลึก รวมทั้งสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด คดีนี้คุณวีระ ปลัดอำเภอเชียงขวัญ ก็สอบสวนหาแหล่งที่มาของใบปลิวหลายที่ และให้การว่าไม่ปรากฏว่ามีจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่ามีแหล่งของนายวีระ ทนายจำเลยกล่าวว่ามีการสอบสวนหลายคน เช่น เจ้าหน้าที่กรมการปกครอง, ตำรวจสันติบาล, ป้องกันจังหวัด, เจ้าหน้าที่สอบสวน บุคคลเหล่านี้ให้การสอดคล้องกันว่าแหล่งใบปลิวนี้ได้จากคุณวีระ แต่ไม่มีใครบอกว่าจำเลยไปเกี่ยวข้อง และในเขตอำเภอธวัชบุรียังไม่ปรากฏบุคคลที่เป็นเครือข่ายต่อต้านสถาบันเลยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ
 
ทนายถามว่าในการสอบสวนมีการไปสอบถาม หรือดูตามร้านถ่ายเอกสารในร้อยเอ็ดว่าเคยเจอจำเลยมาถ่ายใบปลิวหรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มีการสอบประเด็นนี้ ทนายถามว่าคุณวีระให้การว่าแหล่งข่าวก็ไม่ได้ระบุว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ เป็นการสอบสวนเพิ่มเติม ทนายถามว่าพล.ต.อ.วิเชียร ซึ่งขณะนั้นเป็นผบ.ตร.สั่งให้สอบเพิ่มเติมในประเด็นไหน พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าประเด็นแหล่งข่าวของนายวีระ แหล่งข่าวของตำรวจสันติบาลและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และประเด็นประวัติของจำเลยทั้งหมด ว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นและต่อต้านสถาบันหรือไม่ ทนายถามว่าพอสอบสวนเพิ่มเติมและส่งกลับไป ทาง “ตร.”สั่งไม่ฟ้องกลับมาใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าครับ
 
ทนายถามว่ามีการสอบสวนช่วงระยะเวลาว่าใบปลิวอยู่ในพื้นที่นั้นก่อนที่จะมีการบอกว่าจำเลยครอบครองใบปลิวนี้หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าไม่มี ทางสภ.เชียงขวัญตรวจสอบเบื้องต้นว่านายธงชัยได้มาจากจำเลย เมื่อเห็นใบปลิวมาจากธวัชบุรี จึงสั่งให้สภ.ธวัชบุรีรับเรื่อง
 
ตอบคำถามอัยการถามติง
 
อัยการให้พยานดูภาพถ่ายกระท่อมเถียงนาอีกครั้ง แล้วถามว่ามีแผ่นไม้หรือไม้กระดานสามารถวางสิ่งของได้อยู่ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ เป็นไม้กระดาน แต่ไม่ได้เป็นแบบถาวร อัยการถามว่าเหตุผลสำคัญที่มีความเห็นสั่งฟ้องคดีคืออะไร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่าก็คือนายธงชัยและนางไพรวัลย์ได้ไปที่เกิดเหตุจริง และได้พบว่าใบปลิวอยู่ในการครอบครองของจำเลยจริง และจำเลยได้ยื่นให้ผู้อื่นจริง จึงมีเจตนาใส่ความและหมิ่นประมาท 
 
เนื่องจากอัยการส่งเอกสารเพิ่มเติม คือ บันทึกการตรวจที่เกิดเหตุและการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นหลักฐานในคดี ทนายจำเลยจึงขอใช้สิทธิ์ถามค้านอีกครั้ง
 
ทนายถามว่าพยานไปตรวจที่เกิดเหตุวันที่ 8 ต.ค.52 (อ่านบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุบางส่วน) ในที่เกิดเหตุไม่มีแคร่ที่จะวางอะไรใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่ามีเป็นชั้น ทนายถามว่าในบันทึก พยานเขียนชัดว่าจำเลยหยิบเอกสารใบปลิวที่เย็บติดหลายแผ่น แต่ไม่ได้บอกว่าหยิบมาจากไหนใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ตอบว่าใช่ 
 
อัยการใช้สิทธิ์ถามติงอีกครั้ง
 
อัยการให้ดูภาพที่เกิดเหตุอีกที และถามเรื่องชั้นที่หยิบเอกสาร พ.ต.ท.กฤษฎิณทร์เบิกความว่ามีชั้นที่เป็นไม้กระดานตามภาพ แต่ไม่ได้บันทึกไว้เฉยๆ 
 
อัยการแถลงหมดคำถาม สิ้นสุดการสืบพยานปากนี้เวลาประมาณ 11.50 น. 
 
อัยการแถลงว่าพยานโจทก์อีกปากหนึ่งคือพ.ต.อ.ภัทราวุธ เอื้อมศศิธร หัวหน้าพนักงานสอบสวน แนวทางการเบิกความ เนื้อหาจะเหมือนกับพ.ต.ท.กฤษฎิณทร์ และจะไม่มีการอ้างเอกสารเพิ่ม จึงขอตัดพยานปากนี้ ทนายจำเลยไม่ค้าน ในช่วงบ่ายจึงจะเป็นการสืบพยานจำเลยต่อไป
 
 
ศาลสองท่านขึ้นนั่งบัลลังก์เวลาประมาณ 13.50 น. อ่านบันทึกคำเบิกความของพยานโจทก์ในช่วงเช้า 
เวลา 14.06 น. เริ่มการสืบพยานจำเลย
 
สืบพยานจำเลยปากที่ 1 นายอุทัย ส. จำเลยเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
 
นายอุทัย ส. อายุ 38 ปี อาชีพ ทำนา เป็นช่างตัดผม และซ่อมจักรยานยนต์ด้วย โดยใช้สถานที่บริเวณบ้านทำกิจการ อุทัยเบิกความอีกว่าตนยังมีโรงสีข้าวขนาดเล็ก โดยรับสีเฉพาะในหมู่บ้าน ชาวบ้านเอาข้าวเปลือกมาแลก ตนเอารำไว้สำหรับเลี้ยงหมู ไม่ได้คิดค่าจ้างจากชาวบ้าน โดยหมู่บ้านของตนคือบ้านชาด ตำบลหนองพอก มีประมาณ 80 หลังคาเรือน
 
ทนายจำเลยให้ดูรูปถ่ายบ้านจำเลย แล้วถามว่าไม่มีรั้วหรือประตูบ้าน ใครก็เข้าออกได้ และมีบ้านของบิดาจำเลยอยู่ใกล้ๆ ใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าใช่ ทนายให้ดูแผนที่ที่ตำรวจทำขึ้น ให้พยานชี้ตำแหน่งของโรงสีที่ตั้งอยู่หลังบ้าน ทนายถามว่าบ้านพยาน มีกระท่อมที่คนมานั่งคุยกัน เรียกว่าอะไร อุทัยเบิกความว่าเถียงนา ตนเป็นคนทำขึ้นเอง โดยมีลักษณะเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน
 
อุทัยเบิกความว่าตนมีภรรยาชื่อนางสมพาน มีลูก 1 คน อายุ 13 ปี ตนจบชั้นการศึกษาชั้นป.6 พออ่านออกเขียนได้บ้าง และภรรยาก็จบชั้นป.6 เช่นกัน โดยเป็นแม่บ้าน และเคยรับถักเสื้อคอกระเช้า ทนายถามว่ารับถักเสื้อมาตั้งแต่เมื่อไร อุทัยตอบว่าเริ่มมาหลายปีแล้ว ก่อนปี 2552 โดยตอนแรกตนก็ไม่รู้ว่าภรรยารับมาจากใคร ทราบว่าได้ค่าจ้างตัวละ 3 บาท แล้วแต่ว่าเขาจะเอาเสื้อมาให้มากหรือน้อย คนมาส่งผ้าส่วนใหญ่จะคุยกับภรรยา ภรรยาถักวันหนึ่งได้ประมาณ 10 ตัว ตอนหลังตนพยายามไม่ให้เอามาทำ เพราะไม่คุ้มกับค่าปวดตา ไม่สบาย บอกว่าให้เลิกทำ ภรรยาก็ไม่เลิก เอามาทำเรื่อย จนเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง 
 
อุทัยเบิกความว่าตนไม่ได้เป็นอบต. และไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มเคลื่อนไหวใดในหมู่บ้านตนไม่มีกลุ่มเคลื่อนไหวอะไร แต่ก็รู้ว่าส่วนใหญ่ชอบเสื้อแดง 
 
ทนายถามถึงเหตุการณ์ในคดีนี้ว่าเป็นมาอย่างไร อุทัยเบิกความว่าเรื่องเกิดขึ้นตอนปี 2552 ตอนหน้าฝน จำได้ว่าเป็นวันเกิดของหลาน คือ ด.ช. ขจรศักดิ์ คำพัน ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวภรรยาตน วันนั้นพ่อไล้ บิดาตนนั่งที่ใต้ถุนบ้านของพ่อ ภรรยาตนไปทำกับข้าวที่บ้านหลาน ที่จัดงานวันเกิด ส่วนตนสีข้าวอยู่ที่โรงสี เวลาประมาณ 6 โมงกว่า เห็นไฟรถส่องเข้ามาในบ้าน ก็เลยเดินจากโรงสีไปดู เจอเขามาส่งเสื้อ โดยไม่มีใครอยู่บ้าน จึงให้พ่อไล้ไปเรียกภรรยาตน และตนกลับไปสีข้าวต่อด้านหลัง สักทุ่มกว่าก็เอาข้าวสารไปส่งตามหมู่บ้าน กลับมาเกือบ 2 ทุ่ม ไม่เจอใครเลย เข้าใจว่าไปอยู่บ้านที่จัดงานวันเกิด อุทัยยืนยันว่าวันเกิดหลานตนเป็นวันที่ 24 ก.ค.
 
อุทัยเบิกความต่อว่าเกือบหนึ่งเดือนหลังจากนั้น มีเจ้าหน้าที่ของสภ.เชียงขวัญมารับตัวตนไป โดยขับรถมาที่บ้านแล้วรับไปที่สภ. เอาไปถามว่ามีคนได้ใบปลิวมาจากบ้านตน และบอกให้รับสารภาพ ตนไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รับ ไม่รู้เลยใบปลิวหรือใบอะไร ก่อนจะมาส่ง นายธงชัยมาคุยกับตนข้างล่าง โดยตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อเขา รู้จักแต่ชื่อนางไพรวัลย์ ตอนเขาไปส่งผ้า ก็ไม่เคยคุยกับนายธงชัยมาก่อน วันนั้นนายธงชัย เขาบอกให้รับสารภาพ บอกว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรหรอก ใบปลิวที่ได้มานั้นเจอมาเยอะ ตอนไปกาฬสินธุ์ก็เจอ 
 
ทนายถามว่าเขาได้เอาใบปลิวให้ดูไหม อุทัยตอบว่าไม่ได้ดู ทนายถามว่ารู้หรือยังว่าถูกแจ้งข้อหา อุทัยตอบว่าไม่รู้ ตนก็กลับมา สักอีก 2-3 เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่จากสภ.ธวัชบุรีมาที่บ้าน ทนายถามว่าใช่คนที่มาเบิกความในช่วงเช้าหรือไม่ อุทัยเบิกความว่าใช่ โดยมาถามว่าเคยเห็นใบปลิวโจมตีสถาบันไหม ตนก็บอกว่าไม่เคยเห็น ตอนนั้นมาสอบถามเรื่องใบปลิว ยังไม่ได้ถ่ายรูป จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ไปที่บ้านอีกครั้ง ไปหลายคน รวมทั้งนายธงชัยและนางไพรวัลย์ คราวนี้มาถ่ายรูปด้วย ทนายให้ดูเอกสารหมายจ.1 ลงวันที่ 8 ต.ค. มีรูปจำเลยอยู่ด้วย อุทัยตอบว่าในรูปนั้นตนกำลังนั่งถักแหอยู่
 
ทนายถามว่าเขาถ่ายภาพหลายจุดหรือไม่ อุทัยเบิกความว่าหลายจุด มีนายธงชัยไปยืนชี้ ตำรวจบอกว่าถ่ายไปเป็นหลักฐาน เขาจะให้ตนลงชื่อ แต่ตนไม่ลง เขาบอกว่าให้ลงชื่อเป็นหลักฐาน แต่ตนบอกว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 ทนายถามว่าตำรวจได้เข้าไปในบ้านหรือไม่ อุทัยตอบว่าไป โดยน้องของตนเดินตามไปด้วย เขาไปดูว่าในบ้านมีเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องถ่ายเอกสารหรือไม่ ทนายให้ดูเอกสารคำให้การของพนักงานสอบสวนสภ.ธวัชบุรี ที่ให้การว่าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร
 
ทนายถามว่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไร อุทัยตอบว่าจำวันที่ไม่ได้ แต่มีโทรศัพท์มาให้ไปให้ปากคำที่สภ.ธวัชบุรี ทนายให้ยืนยันเอกสารคำให้การวันที่ 10 พ.ย.52 แล้วถามว่ามีครั้งอื่นอีกไหม อุทัยเบิกความว่าต่อมาก็เรียกไปสอบอีก โดยโทรมา ตนก็ไป แต่ให้การปฏิเสธ วันที่ 14 ม.ค.53 
 
ทนายถามว่าตอนที่เจอนายธงชัยได้ถามไหมว่ามาแจ้งความตนทำไม อุทัยเบิกความว่าที่เชียงขวัญยังไม่ได้ถาม เพราะยังไม่ทราบเรื่อง มาเจออีกครั้งตอนมาถ่ายรูป เขาถามว่าให้รับสารภาพนะ เรื่องนี้ไม่มีอะไร รับไปเถอะ ตนก็ย้อนถามไปว่า “ผมไม่รู้จะรับสารภาพไปทำไม คุณมาใส่ความผมทำไม” ทนายถามว่าวันนั้นคือไม่รู้เรื่องอะไรบ้าง อุทัยตอบว่าไม่รู้ว่ากล่าวหาเรื่องอะไร เขามาถามหาใบปลิว ตนก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มาจากไหน ทนายถามว่าตอนไปโรงพักก็ไม่เคยมีการควบคุมตัว เป็นการโทรไปตามใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าใช่ ทนายถามว่าหลังจากนั้นพยานกับนายธงชัยก็ไม่ได้เจอกันเลย จนมาที่ศาลใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าใช่
 
ทนายถามว่าพยานรู้จักคุณสว่างหรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่เคยรู้จัก ทนายถามว่าใบปลิวดังกล่าว (เอกสารหมายจ.2) พยานเคยอ่านหรือไม่ อุทัยเบิกความว่าเคยอ่านตอนที่พนักงานสอบสวนเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยไม่ได้ถ่ายสำเนาให้ ทนายถามว่าอ่านแล้วเข้าใจเนื้อหาในนั้นไหม อุทัยตอบว่าไม่เข้าใจเนื้อหา ทนายถามว่าตอนนายธงชัยและภรรยามาส่งผ้า เขาเคยถามหรือไม่ว่าอยู่เสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง อุทัยตอบว่าไม่เคย ทนายถามว่าแล้วเขาเคยถามภรรยาพยานหรือไม่ อุทัยเบิกความว่าน่าจะไม่เคย 
 
ทนายถามว่าที่เถียงนามีอะไรวางอยู่บ้าง อุทัยตอบว่าการ์ตูน หนังสือวารสารดาราทั่วไป หนังสือพิมพ์ ทนายถามว่าปกติเวลาฝนตกแรงๆ สาดเข้าไปถึงไหม อุทัยตอบว่าถึง ทนายถามว่าถ้ามีใบเอกสารวางอยู่จะเปียกไหม อุทัยตอบว่าเปียก ทนายให้ดูเอกสารรูปถ่ายบ้านจำเลยที่ตำรวจถ่าย และจำเลยถ่ายมาเอง แล้วถามเรื่องพระบรมฉายาลักษณ์และธงเฉลิมพระเกียรติว่าติดอยู่ที่ใด อุทัยเบิกความว่าเดิมทีพระบรมฉายาลักษณ์วางอยู่ข้างใน ตอนหลังหลังคาหญ้าคาบ้านตนชำรุด จึงได้เอารูปขยับออกมา โดยเปลี่ยนหลังคาในช่วงปี 54 ส่วนธงสองธงเอามาติดทีหลัง เพราะผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้เอามาแจกให้ด้วย 
 
ทนายถามว่าเมื่อเกิดเรื่อง ก็มีคนในหมู่บ้านถูกตำรวจเรียกไปสอบอยู่หลายคน เช่นคุณไพรวัลย์ ลำพองชาติ (เพื่อนบ้าน), สุวรรณ สรรพคุณ, หรือผู้ใหญ่บ้าน ทั้งหมดบอกว่าอย่างไร อุทัยเบิกความว่าให้การว่าตนไม่เคยเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสถาบัน ธรรมะธรรมโมด้วยซ้ำไป ทนายถามว่าเมื่อมาถึงชั้นศาล พยานก็ได้ไปสอบถามชาวบ้านมาเอง คนในหมู่บ้านเขายินดีลงชื่อรับรองยืนยันว่าพยานไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องการดูหมิ่นสถาบันเลย สอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน อุทัยตอบว่าใช่ ทนายส่งเอกสารรายชื่อชาวบ้านที่ลงนามยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยเป็นหลักฐานให้ศาล
 
ทนายถามว่าดังนั้นที่นายธงชัยกล่าวหาพยานว่าวันที่ 26 ก.ค. พยานได้หยิบเอกสาร 7 แผ่นให้เขานี่เป็นความจริงหรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่จริง ทนายถามว่าจริงๆ แล้ววันที่ 26 ก.ค.มีใครไปที่บ้านหรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าถ้าพยานไปยื่นเอกสารหมิ่นฯ ให้กับนายธงชัยจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ ทำไปทำไม อุทัยตอบว่าไม่มี ไม่เคยคิดด้วย ครอบครัวตนเป็นชาวนาธรรมดา เทิดทูนพระมหากษัตริย์ สอนลูกสอนเมียให้นับถือท่าน ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มอะไรพวกนี้ 
 
ทนายถามว่าพยานสงสัยหรือไม่ว่านายธงชัยเอาเอกสารนี้ไปให้ตำรวจจนเป็นเรื่องทำไม อุทัยเบิกความว่าตนเคยพูดแต่ว่าไม่อยากให้เมียเอาเสื้อมาทำอีก บางครั้งก็ทะเลาะกัน เคยพูดกับเมียว่าถ้าเอามาทำอีก จะเอามาเผาทิ้งให้หมด ทนายถามว่าพูดกับใคร นายธงชัยได้ยินหรือไม่ อุทัยตอบว่าพูดกับภรรยาตน แต่ไม่แน่ใจว่าใครได้ยินหรือไม่ อาจมีคนที่มาส่งเสื้อได้ยิน เพราะปกติเขาจะเอามาเสื้อทั้งหมดส่งที่บ้านตน แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านก็มารับเสื้อต่อ 
 
ทนายถามว่าทำไมตอนตำรวจสอบสวน พยานถึงไม่บอกเรื่องนี้กับตำรวจ อุทัยเบิกความว่าตำรวจไม่ได้ถาม ไม่ใช่ประเด็น จึงไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ทนายถามว่าในวันสอบสวนพยานมีทนายหรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าตำรวจไม่ได้ถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพยานกับนายธงชัยใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่ได้ถาม ทนายถามว่าพยานเคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือคดีอาญาอื่นๆ หรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าเมื่อมีโทรศัพท์มาเรียกให้ไปให้การ พยานก็ไม่เคยขัดขืน และไปตามนัดตลอดใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าไปพบทุกครั้ง
 
ตอบคำถามอัยการถามค้าน
 
อัยการถามว่าในรูปเถียงนา มีคานสอด เอาไม้ไปวางสอดไว้แล้ววางของอะไรได้ได้หรือไม่ วางกระดาษได้หรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่ได้ อัยการถามว่าพยานบอกว่ามีหนังสือการ์ตูนอะไรบ้างวางอยู่ อุทัยเบิกความว่าขายหัวเราะ ทีวีพูล โดยตนเป็นคนเอามาเอง เอามาให้คนที่รอตัดผม รอซ่อมรถได้อ่าน 
 
อัยการถามว่าเอกสารที่ให้ชาวบ้านลงรายชื่อที่เพิ่งยื่น ข้อความด้านหน้าใครเป็นผู้จัดทำ อุทัยตอบว่าคนที่ประกันตัวให้ตน คือ ดร.รณวฤทธิ์ อัยการถามว่าพยานเบิกความว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่รู้จักทนายได้อย่างไร ทำไมเจาะจงเป็นทนายคารม อุทัยตอบว่าเห็นท่านในทีวี แล้วเป็นทนาย อัยการถามว่าทนายคารมว่าความในคดีอะไรรู้ไหม อุทัยตอบว่าตนไม่มีตังค์จ้างทนาย น้องชายก็แนะนำให้ไปหาทนายคารม ซึ่งว่าความให้ฟรี อัยการถามว่ารู้ไหมว่าทนายคารมทำคดีให้นปช. อุทัยตอบว่ารู้
 
อัยการถามว่าปกตินั้นนายธงชัยกับนางไพรวัลย์มาติดต่อกับภรรยาของพยาน ไม่ได้คุยกับพยานเท่าไรใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าใช่ อัยการถามว่าที่บอกว่าไม่อยากให้ภรรยาทำเสื้ออีก แต่ก็ยังทำอยู่ เพราะไม่เคยเบี้ยวค่าแรงใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าตนไม่ทราบ อัยการถามว่าพยานก็ไม่เคยเผาผ้าของเขาใช่หรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่เคย 
 
ตอบคำถามทนายจำเลยถามติง
 
ทนายจำเลยถามว่าคำพูดว่าจะเผานั้นก่อนเดือนก.ค.52 นานหรือไม่ อุทัยเบิกความว่าก่อน พูดมาเรื่อยๆ ทนายถามว่าหลังเดือนนั้น นายธงชัยและภรรยายังส่งผ้าให้อีกไหม อุทัยตอบว่าหลังเกิดเรื่องแล้ว ก็ไม่ให้ภรรยารับเสื้ออีก ทนายถามว่ากับตน คนที่ติดต่อคือใครที่ว่ารู้จักทนายคารม อุทัยเบิกความว่าน้องชาย ซึ่งเป็นตำรวจ เหตุผลที่ติดต่อคือตนไม่มีเงิน และทนายคารมไม่ได้คิดเงิน ทนายถามว่าเอกสารที่ลงชื่อชาวบ้าน ตนได้เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อุทัยตอบว่าไม่
 
สิ้นสุดการสืบพยานปากนี้เวลาประมาณ 15.15 น. 
 
 
สืบพยานจำเลยปากที่ 2 นางสมพาน ส. ภรรยาจำเลย
 
เวลา 15.16 น. นางสมพานขึ้นเบิกความ พยานขอใช้ภาษาอีสาน เพราะพูดภาษากลางไม่ถนัด โดยมีทนายจำเลยช่วยแปลความ 
 
นางสมพาน ส. อายุ 36 ปี อาชีพแม่บ้าน เป็นภรรยาของจำเลยในคดีนี้ สมพานเบิกความว่าได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว มีบุตรชาย อายุ 14 ปี อาศัยอยู่ที่บ้านชาด ซึ่งมีประชากรประมาณ 200 กว่าคน มีผู้ใหญ่บ้านชื่อนายบพิตร นามศักดิ์ ที่บ้านของตน มีบ้านของพ่อจำเลยอยู่บริเวณเดียวกัน จำเลยไม่เก่งหนังสือ อ่านไม่ค่อยออก ทำงานโรงสี ตัดผม ซ่อมรถจักรยานยนต์ และซ่อมทีวีวิทยุ โดยใช้บริเวณบ้านเป็นที่ทำงาน และรับจ้างสีข้าวโดยมีโรงสีขนาดเล็ก เอาข้าว รำ แกลบเป็นค่าจ้าง ครอบครัวมีที่นาประมาณ 4 ไร่ และตนยังรับจ้างถักเสื้อ ซึ่งมีนายธงชัยและนางไพรวัลย์เป็นผู้ว่าจ้าง
 
ทนายจำเลยถามว่าทราบชื่อทั้งสองท่านตอนไหน สมพานเบิกความว่านางไพรวัลย์รู้ตั้งแต่ตอนที่มาส่งเสื้อแล้ว ส่วนนายธงชัยทราบตอนที่เกิดเหตุ ทนายถามว่าไปรู้จักทั้งสองได้อย่างไร สมพานตอบว่าทราบว่าทั้งสองเป็นคนบ้านดงพิกุล อ.เชียงขวัญ ทนายถามว่าใครเป็นคนแนะนำ สมพานตอบว่าตอนแรก เอาไปส่งที่บ้านนางไพร สุลาศรี แต่นางไพรบอกว่าให้เอามาส่งที่หลาน ซึ่งก็คือตัวพยาน ทนายถามว่าเขามาส่งก่อนปี 2552 สักกี่ปี สมพานตอบว่าสักปีกว่าๆ โดยเขาเอาผ้าและด้ายมาส่ง ตนก็เอามาเย็บ เอามาทีหนึ่ง 30-40 กลุ่ม กลุ่มละ 15 ตัว โดยมีคนแถวบ้านมารับต่อไปทำอีก 
 
ทนายถามว่าเวลาที่เขานำเสื้อมาส่ง กับชาวบ้านมารับเสื้อใช้พื้นที่ตรงไหนเป็นที่รับส่ง สมพานเบิกความว่าเถียงนา ทนายถามว่าเวลานายธงชัยกับภรรยามาส่ง เอารถอะไรมา สมพานตอบว่าบางทีก็รถตู้ บางทีก็ปิ๊กอัพ ทนายถามว่าจ่ายค่าแรงอย่างไร สมพานตอบว่าตัวละ 3 บาท โดยมาอาทิตย์ละครั้ง จ่ายเป็นเงินสด และตนก็จ่ายให้ชาวบ้านที่รับเสื้อไปต่อ ทนายถามว่าเย็บได้สูงสุดวันละกี่ตัว สมพานตอบว่า 14-15 ตัว ตัวหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทนายถามว่าเวลารับส่งเขาคุยกับใคร สมพานตอบว่ากับตน ไม่ค่อยได้คุยกับจำเลย
 
ทนายถามว่าที่เถียงนา คนในหมู่บ้านมานั่งบ่อยไหม สมพานตอบว่าบ่อย เพราะสถานที่มันน่านั่ง เจ้าของบ้านอัธยาศัยดี เป็นมานานแล้วตั้งแต่ปลูกบ้าน ทนายถามว่าถ้าเดินไปบ้านพยานแล้วเข้าไปในเถียงนาโดยไม่บอกได้หรือไม่ สมพานตอบว่าได้ ทนายถามว่า เวลาทำงานส่วนใหญ่จำเลยอยู่ในบริเวณบ้านใช่หรือไม่ สมพานตอบว่าใช่ ทนายถามว่าที่เถียงนามีอะไรอยู่บ้าง สมพานตอบว่าปกติมีหนังสือการ์ตูน เด็กๆ ก็มาอ่าน คนหนุ่มซื้อหนังสือติดมือมา ก็วางไว้ หรือหยิบเล่มใหม่ไป 
 
ทนายถามว่าจำเลยพูดอะไรเรื่องการรับเสื้อหรือไม่ สมพานเบิกความว่าบอกว่าไม่ต้องรับมาอีก มันไม่คุ้ม ตนปวดหัว เป็นไข้ และสายตาเสีย ทนายถามว่าแล้วทำไมไม่เลิก สมพานตอบว่าตนอยากมีรายได้ ทนายถามว่าจำเลยพูดแรงหรือไม่ สมพานตอบว่าแรง โดยชาวบ้านอาจจะผ่านมาได้ยินเขาพูดเปรยๆ ทนายถามว่าปกติเวลานายธงชัยมา ภรรยาเขาจะเอาเสื้อมาส่ง สามีเขาลงมาด้วยหรือไม่ สมพานตอบว่าสามีจะไม่ค่อยลงรถ โดยคนจ่ายเงินก็คือภรรยา ทนายถามว่าพยานเคยบอกนายธงชัยหรือไม่ข้อความที่จำเลยพูด สมพานเบิกความว่าเคยพูดเปรยๆ ว่ามันไม่มีรายได้ 
 
ทนายถามว่าตอนปี 2552 เกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง สมพานเบิกความว่าในวันที่ 24 ก.ค.ที่เป็นวันเกิดหลาน ซึ่งเป็นลูกน้องสาวของตน ชื่อนางไพรวัลย์ คำพัน ซึ่งบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตร ตนไปทำกับข้าวในงานเลี้ยงวันเกิด และมีลูกชาย นายอานนท์ ส.ไปด้วย ตั้งแต่เวลา 5 โมงกว่า กว่าจะกลับก็ 2 ทุ่มกว่าๆ โดยที่เวลาราว ๑ ทุ่มกว่านายไล้ บิดาของจำเลยไปเรียกว่ามีคนเอาเสื้อมาส่ง ตนบอกว่าเดี๋ยวจะกลับไป และได้กลับไปเวลา 2 ทุ่ม เจอนายธงชัยกับนางไพรวัลย์ วันนั้นเขานั่งรถตู้มารับส่งเสื้อ ทั้งสองลงจากรถมานั่งอยู่บนแคร่ (หรือเตียง) ด้วย ไม่มีคนอื่นอยู่ โดยจำเลยสีข้าวอยู่ข้างหลัง ได้ยินเสียงสีข้าวอยู่ และจำเลยไม่ได้เดินมา หลังจากนับเสื้อและจ่ายเงินกัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะต้องนับเป็นตัวเลย คัดเสื้อเป็นกลุ่มๆ ด้วย ช่วงนั้นไม่มีคนอื่นมา นายไล้หลังจากไปตามตน ก็อยู่ที่บ้านนู้นเลย หลังจากเคลียร์เสร็จ ตนก็ได้กลับไปงานวันเกิดต่อ เมื่อกลับบ้านอีกครั้ง นายธงชัยกับนางไพรวัลย์ก็ไม่อยู่แล้ว 
 
ทนายถามว่าใครเป็นผู้ทำเถียงนา สมพานตอบชื่อจำเลย มีมาตั้งแต่สร้างบ้าน ทนายถามว่าเวลาฝนตกจะสาดเข้ามาถึงไหม สมพานตอบว่าเปียกหมดเลย เตียงเปียก ทนายถามว่าพยานเคยไปให้การกี่ครั้ง สมพานตอบว่าสองครั้ง ในฐานะพยาน ทนายถามว่าให้การเหมือนที่ทนายถามนี้ใช่หรือไม่ สมพานตอบว่าใช่ เหตุเกิดวันที่ 24 ก็ให้การตั้งแต่ในครั้งแรก 
 
ทนายให้ดูรูปถ่ายบ้านจำเลย ซึ่งมีรูปนายธงชัย แล้วถามว่าเขาไปทำอะไร สมพานตอบว่าไปชี้จุดเกิดเหตุ ทนายถามว่าวันที่เขาไป จำเลยอยู่ด้วยหรือไม่ สมพานตอบว่าอยู่ ทนายถามว่าแล้วทำไมเขาไม่เซ็นชื่อ สมพานตอบว่าไม่รู้ เขาไม่ได้บอกตน ทนายถามว่าเคยเห็นเอกสารที่เขาหาว่าจำเลยเอาไปให้หรือไม่ สมพานเบิกความว่าไม่เคยเห็น เคยเห็นที่ตำรวจเอาให้ดูตอนไปสอบสวนครั้งแรก ทนายถามว่าได้อ่านแล้วเข้าใจว่าอย่างไร สมพานตอบว่าตนไม่ได้อ่าน เขาให้ดูแล้วก็บอกว่าเป็นอย่างนี้ๆ 
 
ทนายถามว่ามีใครที่ถูกเรียกไปสอบบ้าง สมพานตอบว่ามีนายไล้ นางไพรวัลย์ ลำพองชาติ เพื่อนบ้าน นายสุวรรณ สรรพคุณ เพื่อนบ้าน และผู้ใหญ่บ้าน ทนายถามว่าทั้งหมดให้การว่าอย่างไร จำเลยเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือกลุ่มที่หมิ่นฯหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าหลังเกิดเหตุ เสื้อนี่เคลียร์กันอย่างไร สมพานตอบว่าเราก็บอกว่าเอากลับเถอะ ไม่รับแล้ว ทนายถามว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันกับจำเลยมา เขาเป็นคนอย่างไร สมพานตอบว่านิสัยดี อัธยาศัยดี รู้จักกับชาวบ้านดี
 
ทนายถามว่ารู้จักตนหรือไม่ สมพานตอบว่ารู้จักจากในทีวี ทนายถามว่าจำเลยเคยเข้าไปร่วมกับกลุ่มเสื้ออะไรไหม สมพานตอบว่าไม่เคย ทนายถามว่าในหมู่บ้านชาด มีกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหวหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าจำเลย และตัวพยานใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่ ทนายถามว่าถ่ายเอกสารเป็นหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่ ทนายถามว่าที่บ้านเรา และที่บ้านชาดตอนปี 2552 มีเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสารหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่มี 
 
ทนายถามว่าเอกสารหมายจ.2 ใบปลิวดังกล่าว เคยเห็นที่เถียงนาบ้านพยานหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่เคย ทนายถามว่าแล้วเข้าใจว่าอย่างไร กับการที่นายธงชัยเอาไปให้ตำรวจ สมพานตอบว่าตนก็ไม่รู้ นึกไม่ออกว่าทำไมเป็นแบบนี้ ทนายถามว่าจำเลยเคยมีคดีอาญาหรือพฤติกรรมเรื่องอื่นหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่มี ทนายถามว่าเขาเป็นซื่อๆ คนทำมาหากินใช่หรือไม่ สมพานตอบว่าใช่ 
 
ตอบคำถามอัยการถามค้าน
 
อัยการถามว่านายธงชัยกับนางไพรวัลย์ติดค้างค่าจ้างหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่ อัยการถามว่าเคยมีการด่าทอกันหรือไม่ หรือเคยทำเสื้อผ้าเสียหายหรือไม่ สมพานตอบว่าไม่ อัยการถามว่าไม่เคยมีการเผาเสื้อใช่หรือไม่ สมพานตอบว่าไม่เคย 
 
ตอบคำถามทนายจำเลยถามติง
 
ทนายถามว่าตอนที่จำเลยบอกพยานว่าให้หยุดทำเสื้อเถอะ พยานเคยพูดกับนางไพรวัลย์หรือไม่ สมพานตอบว่าเคยพูด บอกว่าสามีบอกว่าไม่คุ้ม อยากให้เลิกรับเสื้อ
 
ทนายจำเลยและอัยการหมดคำถาม
สิ้นสุดการสืบพยานปากนี้เวลาประมาณ 15.55 น. 
 
ศาลนัดสืบพยานจำเลยที่เหลืออีก 3 ปากอีกครั้ง ในวันที่ 24 ก.ย. 55  เวลา 13.30 น.
 
 
 
24 กันยายน 2555 นัดสืบพยานจำเลย 3 ปาก ไม่มีบันทึกสังเกตการณ์คดี
 
 
 
22 พฤศจิกายน 2555

ณ บัลลังค์ที่ 14 ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด

เวลาประมาณ 10.00 น. นายอุทัย ส. จำเลย และทนายความมาศาล อัยการไม่มาศาล

เวลา 10.40 น. นายชัยพร ศรีโบราณ ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังค์ ยามประจำศาลเดินเข้ามาใส่กุญแจมือให้นายอุทัย

ผู้พิพากษาเริ่มต้นอ่านคำพิพากษา มีใจความดังนี้

 

ศาลพิเคราะห์หลักฐานทั้งโจทก์และจำเลยและข้อมูลเบื้องต้น รับฟังได้ว่าใบปลิวมีข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท

 

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 นายสว่าง เวียงสระ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 อำเภอเชียงขวัญ ได้รับใบปลิวดังกล่าวมาจากนางไพรวัลย์ ตามภิบาล ภริยาของนายธงชัย ตามภิบาล ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 นายสว่างนำใบปลิวดังกล่าวไปมอบให้นายวีระ วรวัฒน์ และวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 นายวีระนำใบปลิวดังกล่าวไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงขวัญ พนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้สอบสวนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 และออกหมายเรียกผู้ต้องหา ในชั้นสอบสวนให้การปฏิเสธ

 

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่

 

โจทก์มีนายธงชัยเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 เวลาประมาณ 18.00 น. ได้ไปที่บ้านของจำเลยพร้อมกับนางไพรวัลย์ ภริยาของพยานเพื่อเก็บเสื้อคอกระเช้าจากภริยาของจำเลย ซึ่งนายธงชัยว่าจ้างให้ถักเสื้อรอบคอรอบแขน นายธงชัยถอยรถตู้ไปจอดที่หน้าบ้านของจำเลย ขณะนั้นจำเลยกับภริยาของจำเลยรออยู่แล้ว ภริยาของจำเลยเข้าไปในบ้านและนำเสื้อคอกระเช้ามาวาง จำเลยถามพยานว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง พยานบอกว่า ไม่ได้เสื้อไหน ภริยานายธงชัยเป็นผู้นับจำนวนเสื้อ ส่วนนายธงชัยนั่งรออยู่บนแคร่และกระท่อมซึ่งอยู่หน้าบ้านของจำเลย สักครู่หนึ่ง จำเลยถามพยานว่า เคยอ่านอันนี้ไหม แล้วส่งกระดาษขนาดเอสี่ ซึ่งวางอยู่บนแผ่นไม้ที่พาดไว้ใต้หลังคากระท่อมมาให้อ่าน นายธงชัยอ่านได้ 3-4 บรรทัด ภริยาก็ชวนกลับบ้าน นายธงชัยจึงวางกระดาษดังกล่าวลงบนแคร่และหอบเสื้อคอกระเช้าขึ้นรถตู้ ขณะที่กำลังจะขึ้นรถตู้ จำเลยบอกว่าเอาไปอ่านต่อที่บ้านก็ได้นะแล้วนำกระดาษดังกล่าวมามอบให้พยาน กระดาษที่จำเลยมอบให้นายธงชัยนั้นมีประมาณ 7-8 แผ่น พอกลับถึงบ้าน นายธงชัยไม่สนใจเอกสาร หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ขณะที่นายธงชัยอยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ ภรรยาได้โทรมาถามว่า ผู้ใหญ่บ้านถามว่าเก็บเอกสารที่ได้มาจากบ้านชาดไว้หรือไม่ มีเจ้าพนักงานตำรวจมาถามผู้ใหญ่บ้าน จึงบอกภรรยาว่ามีเอกสารที่หน้ารถตู้ ระหว่างพูดคุยโทรศัพท์นั้น ภริยาของนายธงชัยก็ได้หยิบเอกสารที่วางอยู่หน้ารถตู้ไปให้ผู้ใหญ่บ้าน

 

โจทก์มีนางไพรวัลย์ ภริยาของนายธงชัย และ นายสว่าง เรืองศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5

เป็นพยานเบิกความ

 

นายสว่างเบิกความว่าเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 ขณะที่กำลังทำงานได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่กองกำลังอาสารักษาดินแดน หรือ อส. ถามว่ามีเอกสารหมิ่นเบื้องสูงอยู่ในพื้นที่หรือไม่ หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่อส.มาถามว่า เห็นใบปลิวหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่ นายสว่างบอกว่าไม่มี อส.บอกให้ลองถามชาวบ้านด้วย ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. นายสว่างถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านนางไพรวัลย์ นางไพรวัลย์บอกว่าไปส่งเสื้อผ้าที่บ้านชาดที่บ้านของจำเลย ได้เอกสารกระดาษขนาดเอสี่ เมื่อนายสว่างอ่านข้อความในเอกสารแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 จึงนำเอกสารดังกล่าวไปมอบให้นายวีระ วรวัฒน์ ปลัดอำเภอเชียงขวัญ

โจทก์มีนายวีระเป็นพนักงานเบิกความด้วย

 

ศาลเห็นว่า นายธงชัยและนางไพรวัลย์ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยหรือภริยาของจำเลยมาก่อน คำเบิกความของโจทก์สอดคล้องกันว่าจำเลยหยิบกระดาษซึ่งวางอยู่บนแผ่นไม้ที่พาดอยู่ใต้หลังคามาให้นายธงชัยอ่านและขณะที่พยานกำลังจะขึ้นรถตู้ จำเลยได้บอกให้เอาเอกสารดังกล่าวไปอ่านด้วย คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากมีความน่าเชื่อถือ และเบิกความสอดคล้องกัน

 

ส่วนจำเลยมีจำเลยเป็นพยานเบิกความ สรุปได้ว่า จำเลยมีภริยาชื่อนางสมพาน รับจ้างถักเสื้อมาตั้งแต่ก่อนปี 2552 โดยรับว่าจ้างถักเสื้อตัวละสามบาท แต่ละวันภริยาของพยานถักเสื้อได้วันละประมาณสิบตัว จำเลยบอกภรรยาว่าไม่คุ้มกับการที่ต้องปวดตา ให้เลิกทำ ภริยาของพยานก็ไม่เลิกและนำเสื้อมาถักทออยู่เรื่อยมา จำเลยไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มใด ในหมู่บ้านก็มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่ส่วนใหญ่ชอบเสื้อแดง

 

ในเดือนกรกฎาคม 2552 ซึ่งเป็นฤดูฝน วันเกิดของหลานชายจำเลยชื่อด.ช.ขจรศักดิ์

 

บิดาของจำเลยนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนภรรยาของจำเลยไปบ้านซึ่งจัดงานวันเกิดของด.ช.ขจรศักดิ์ จำเลยอยู่ที่โรงสี จนเวลาเย็นมีรถมาที่บ้าน จึงทราบว่าเป็นรถที่นำเสื้อมาส่ง บิดาของจำเลยบอกให้จำเลยไปสีข้าวก่อน จะไปเรียกภริยาของจำเลยมาให้ จำเลยจึงไปสีข้าว ต่อมาจนเวลา 19.00 น. ก็นำข้าวสารไปส่ง กลับมาเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.ก็ไม่พบใครจึงเข้าใจว่าไปอยู่ที่บ้านที่จัดงานวันเกิด

 

หลังจากนั้นหลายวัน มีเจ้าพนักงานจากสถานีตำรวจภูธรเชียงขวัญมารับตัวจำเลยไป เจ้าพนักงานตำรวจบอกว่ามีคนได้รับใบปลิวจากบ้านของจำเลยและบอกให้จำเลยรับสารภาพ จำเลยไม่รู้เรื่องจึงไม่รับสารภาพ มีคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่าคือนายธงชัยมาพูดคุยกับจำเลย ก่อนหน้านั้นจำเลยและนายธงชัยไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน นายธงชัยบอกจำเลยว่าให้รับสารภาพ เรื่องนี้ไม่มีอะไรหรอก ใบปลิวที่ได้มานั้นตอนไปกาฬสินธุ์ก็เจอ ตอนนั้นจำเลยยังไม่ได้เห็นใบปลิว เจ้าพนักงานตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหาแก่จำเลย ต่อมาสัก 2-3 เดือน เจ้าพนักงานตำรวจจากสภอ.ธวัชบุรีไปที่บ้าน โดยมีนายธงชัยและนางไพรวัลย์ไปด้วย และถามว่าเคยเห็นใบปลิวหมิ่นสถาบันฯ หรือไม่ เจ้าพนักงานตำรวจมาถ่ายภาพ ขณะนั้นจำเลยนั่งถักแหอยู่ ตำรวจบอกว่าจะถ่ายไปเป็นหลักฐานและจะให้ลงชื่อแต่จำเลยไม่ลงชื่อ และบอกว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ทนายความจำเลยถามตำรวจว่าในบ้านจำเลยมีเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสารหรือไม่ พบว่าไม่มี

 

ต่อมาพนักงานสอบสวนโทรศัพท์มาเรียกจำเลยไปให้ปากคำในฐานะผู้ต้องหา จำเลยยืนยันความบริสุทธิ์

ในวันที่เจ้าพนักงานตำรวจบอกให้รับสารภาพ จำเลยบอกว่าจะรับสารภาพได้อย่างไร จำเลยไม่ทราบว่ากล่าวหาเรื่องอะไร หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้พบนายธงชัยอีกจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาล จำเลยไม่รู้จักและไม่เคยพบนายสว่างมาก่อน จำเลยได้อ่านใบปลิวตามเอกสารครั้งแรกเมื่อพนักงานส่งสำนวนสอบสวนที่สำนักงานตำรวจภูธร ธวัชบุรี ไม่เข้าใจเนื้อหาว่าหมายถึงเรื่องอะไร

 

พนักงานสอบสวนจดปากคำนางไพรวัลย์ ลำพองชาติ เพื่อนบ้าน นายสุวรรณ สรรพคุณ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทั้งหมดให้การว่าจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสถาบัน และชาวบ้านในหมู่บ้านทั้งหมด 67 คนลงลายมือชื่อรับรองว่าจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง

 

วันที่ 26 กรกฎาคม 2552 นายธงชัยและนางไพรวัลย์ ไม่เคยไปที่บ้านของพยาน ศาลเห็นว่า ที่จำเลยเบิกความว่านายธงชัยและนางไพรวัลย์พยานโจทก์ ไปบ้านของจำเลยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ซึ่งมีการจัดงานวันเกิดของด.ช.ขจรศักดิ์นั้น มีเพียงจำเลย นางสมพาน ภริยาจำเลย และนายไล้ บิดาของจำเลยเบิกความยืนยัน โดยมิได้มีการนำเจ้าภาพงานวันเกิดหรือผู้รู้เห็นอื่นๆ มาเป็นพยานเบิกความยืนยัน และที่จำเลยอ้างว่าจำเลยทะเลาะกับภริยาหลายครั้งเรื่องที่รับเสื้อมาปักและอยากให้เลิก เหตุนั้นไม่น่าจะเป็นเหตุให้นายธงชัยหรือนางไพรวัลย์รู้สึกโกรธเคืองถึงกับปรักปรำจำเลยให้ต้องรับผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นกับองค์พระมหากษัตริย์และรัชทายาทโดยไม่มีมูลความจริง

 

พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ จำเลยนำเอกสารที่มีข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ลักษณะเช่นเดียวกับใบปลิวซึ่งอยู่ที่หน้าบ้านของจำเลยมาให้นายธงชัยอ่านและให้นำเอกสารดังกล่าวไป จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง

 

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ขณะเกิดเหตุมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จำเลยย่อมได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองจากสื่อต่างๆ ทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐบาล ใบปลิวของกลางนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้จัดทำขึ้น คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเห็นว่าจำเลยกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งจำเลยมีความประพฤติเรียบร้อย มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2ปี กับให้คุมความประพฤติจำเลย และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4ครั้ง กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นควรเป็นเวลา 18 ชั่วโมงภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56  ยึดใบปลิวของกลาง.

 

 

หมายเลขคดีดำ

อ.1292/2555

ศาล

ไม่มีข้อมูล

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

21 สิงหาคม 2555

นัดสืบพยานโจทก์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ได้รับแจ้งใบปลิว และผู้ไปแจ้งความ

 

29 สิงหาคม 2555

นัดสืบพยานโจทก์ ต่อด้วยสืบพยานจำเลย

 

24 กันยายน 2555

นัดสืบพยานจำเลย

 

22 พฤศจิกายน 2555

นัดฟังคำพิพากษา ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ห้องพิจารณาคดี 14 

 

 
ศาลพิเคราะห์ว่าจำเลยกระทำผิดที่เอาใบปลิวให้เพื่อนบ้านอ่าน ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่ช่วงนั้นมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม จำเลยอาจได้รับข้อมูลหลายทาง ประกอบกับความเห็นคณะกรรมการกลั่นกรองคดีหมิ่นฯ ชั้นตำรวจมีความเห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ศาลยังเห็นว่า จำเลยมีพฤติกรรมดี มีความจงรักภักดี ค้นบ้านแล้วพบใบปลิวเพียงฉบับเดียว และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ทำใบปลิวดังกล่าว จึงให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ให้รอการลงโทษ 2 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง ทำสาธารณประโยชน์ 18 ชั่วโมง ภายในหนึ่งปี 
 
ข้อมูลเพิ่มเติมจากจำเลยบอกว่า คดีนี้ชั้นตำรวจ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองคดีหมิ่นฯ มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง อัยการจังหวัดร้อยเอ็ดก็เห็นไม่สั่งฟ้อง แต่อัยการเขตสั่งฟ้อง

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา