โอภาส: เขียนผนังห้องน้ำ คดีที่สอง

อัปเดตล่าสุด: 19/10/2560

ผู้ต้องหา

โอภาส

สถานะคดี

ตัดสินแล้ว / คดีถึงที่สุด

คดีเริ่มในปี

2558

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์

สารบัญ

เดือนกรกฎาคม 2558 ระหว่างที่โอภาสรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาคดี 112 คดีแรก โอภาสถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 เพิ่มอีกหนึ่งคดีจากการเขียนฝาผนังห้องน้ำซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่เกิดเหตุในคดีแรกและในสถานที่ใกล้เคียงกัน

ในเดือนตุลาคม 2558 โอภาสให้การรับสารภาพ ศาลทหารพิพากษาจำคุกโอภาสเป็นเวลาสามปีแต่ลดโทษเหลือหนึ่งปีหกเดือนเพราะโอภาสรับสารภาพ สำหรับโทษในคดีที่สองจะเริ่มนับหลังโอภาพรับโทษในคดีแรกครบ เมื่อรวมโทษตามคำพิพากษาทั้งสองคดี โอภาสจะต้องรับโทษเป็นเวลา สองปี สิบสองเดือน

ในเดือนสิงหาคม 2559 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559 โอภาสมีชื่ออยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการปล่อยตัวก่อนครบกำหนดโทษและได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 27 สิงหาคม 2559 รวมเวลาที่ถูกคุมขังทั้งสองคดี 678 วัน
 

 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

โอภาสอายุ 68 ปี จบการศึกษาวุฒิปวส. ประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมใดๆ โอภาสเพียงแต่ ติดตามข่าวสารการเมืองต่างและมักฟังวิทยุชุมชน โอภาสไม่พอใจการรัฐประหารและการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน
 
รู้จัก 'โอภาส' ให้มากขึ้น อ่าน:โอภาส: An old man and his love [112 The Series]

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

คำฟ้องลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 ของอัยการทหาร ระบุว่า จำเลยเป็นบุคคลพลเรือนได้กระทำผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร

ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2557 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด อันเป็นวันและเวลาที่อยู่ในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร จำเลยบังอาจหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อบุคคลที่สาม โดยจำเลยได้ใช้ปากกาเขียนข้อความให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไป ที่บานประตูห้องน้ำชายชั้นหนึ่ง ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ สาขาศรีนครินทร์ ว่า “ไอ้เหล่ ประยุทธ์ จันทร์หอเจี๊ยะ แหลว่าปฏิรูปประเทศไทย ต่อไปก็อนุรักษ์นิยม จารีตนิยม แล้วก็อำนาจนิยม ทหารเสือพระราชินี – ไอ้ขี้ขลาด – ชุดทหาร ท่อนล่างก็เป็นกระโปรงสิวะ งานนี้ไอ้เหล่กับ xxxxxxxxx  คนไทยก็สนุกกับการดูข่าวสองทุ่มต่อไป xxxx – รับทรัพย์ รับทอง xxx เดินสายสอบอ่านไทย – รับทรัพย์ xxxxxx มากกว่า 10 ปี แล้ว น่าเวทนานะ มีเงินฝากในสวิส 5,000 ล้าน USD = 150,000 บาท (เศรษฐกิจพอเพียงไง) คนไทยคลานต่อไป – กราบตีนต่อไป เรียกตัวเองว่าขี้ฝุ่นใต้ส้นตีนต่อไป!”

ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นการใส่ความ อันเป็นการละเมิดและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติคุณ และทรงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ

ขณะนี้จำเลยอยู่ระหว่างต้องโทษจำคุก ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ มีกำหนดโทษ 1 ปี 6 เดือน ตามคำพิพากษาคดีแดง 99 ก. / 2558 ของศาลทหารกรุงเทพ ยังไม่พ้นโทษ

คำขอท้ายฟ้อง การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในตอนต้นนั้น โจทก์ถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  กับขอศาลได้โปรดนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีแดงก่อนหน้านี้ของศาลทหารกรุงเทพ และขอไม่ให้หักวันคุมขังจำเลย ที่ทับซ้อนกับโทษจำคุกในคดีก่อน ออกจากโทษจำคุกในคดีนี้ด้วย

 

พฤติการณ์การจับกุม

โอภาสได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่สั่งฟ้องในคดีที่สอง กระทำผิดตามมาตรา 112 หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ในขณะรับโทษจำคุกจากคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯคดีแรก

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

197ก. / 2558

ศาล

ศาลทหารกรุงเทพ

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
15 ตุลาคม 2557
 
ทหารในเครื่องแบบ 4 นาย ควบคุมตัวโอภาสจากห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ไปสอบสวนที่กองพลทหารม้าที่สองรักษาพระองค์ (พล.ม.2) พร้อมถ่ายรูปและถ่ายเอกสารหลักฐานต่างๆไว้ ทหารพยายามให้โอภาสระบุว่า โอภาสมักจะฟังวิทยุชุมชนคลื่นไหน ทั้งนี้ระหว่างการสืบสวนไม่มีการข่มขู่และการซ้อมทรมาน หลังจากสอบสวน พ.ท. บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญนำตัวโอภาสมาส่งที่กองปราบปรามในช่วงเย็น
 
20 มีนาคม 2558
 
ศาลทหารพิพากษาจำคุกโอภาสเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือนในคดี 112 คดีแรก
 
7 กรกฎาคม 2558 
 
อัยการศาลทหารยื่นฟ้องโอภาสเป็นคดีที่สอง จากการเขียนข้อความหมิ่ประมาทพระมหากษัตริย์บนฝาผนังห้องน้ำคนละชั้น แต่เกิดขึ้นในวันเดียวกับคดีแรก แต่นับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกหนึ่งกรรม 
 
16 ตุลาคม 2558
 
นัดสอบคำให้การ
 
ศาลทหารนัดสอบคำให้การโอภาส โดยมีตัวแทนจากสถานทูตและองค์กรระหว่างประเทศมาร่วมสังเกตการณ์ประมาณ 15 คน ด้านบรรยากาศที่ศาลมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ขอจำกัดจำนวนผู้เข้าสังเกตการณ์ อ้างว่าห้องพิจารณาคดีคับแคบ ทั้งยังเป็นคดี 112 ที่ปกติไม่เปิดให้คนภายนอกเข้าฟัง
 
ต่อมาอัยการขอให้ศาลพิจารณาคดี "เป็นการลับ" เพราะข้อความตามฟ้องในคดีพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจกระทบกระเทือนจิตใจของประชาชนหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ทนายจำเลยจะคัดค้าน โดยชี้แจงต่อศาลว่านัดนี้เป็นเพียงการสอบคำให้การ ยังไม่มีการพูดถึงข้อความตามฟ้อง และหากอนุญาตให้มีผู้สังเกตการณ์น่าจะเป็นผลดีต่อศาลในเรื่องความโปร่งใสของกระบวนพิจารณา แต่ศาลเห็นพ้องกับอัยการจึงสั่งพิจารณาคดีลับโดยตลอด และขอให้ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดออกจากห้องพิจารณาคดี
 
เมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ทนายแจ้งข่าวว่าโอภาสให้การรับสารภาพ และศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 3 ปี แต่จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน โดยรับโทษต่อจากคดีแรก ทำให้โอภาสมีโทษจำคุกรวม 3 ปีจากสองคดี 
 
ทั้งนี้ ทนายเปิดเผยอีกว่า ฝ่ายโจทก์ติดใจข้อความในคำร้องประกอบคำรับสารภาพที่ว่า "ความผิดครั้งนี้ของจำเลยยังคงถือว่าเป็นความผิดครั้งแรก เพราะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน กระทำไปโดยเจตนาเดียวกัน และจบลงในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก โดยในขณะนั้นจำเลยได้กระทำลงไปด้วยความหลงผิด และอารมณ์ชั่ววูบของจำเลย" โดยเห็นว่าข้อความดังกล่าวขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพ หากไม่ตัดออกจะขอให้สืบเจตนาจำเลย ทนายจึงขอให้ศาลวินิจฉัยว่าข้อความข้างต้นเป็นการปฏิเสธข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ศาลกล่าวว่าไม่มีอำนาจวินิจฉัย ให้โจทก์และจำเลยตกลงกันเอง หลังจากหารือกัน สุดท้ายโอภาสก็ยินยอมให้ตัดข้อความนั้นออก
 
ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลพิจารณารอการลงโทษหรือนับโทษของทั้ง 2 คดีไปพร้อมกัน ศาลเห็นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในเกณฑ์รอการลงโทษ และลงโทษต่ำแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรให้นับโทษไปพร้อมกัน
 
8 สิงหาคม 2559
 
ราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2559 ซึ่งโอภาสอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการลดหย่อนโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ด้วย โดยโอภาสอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับปล่อยตัวก่อนครบกำหนดเดิม 
 
27 สิงหาคม 2559
 
ทางราชทัณฑ์มีกำหนดปล่อยตัวโอภาส แต่ก็มีหมายอายัดตัวจากสน.ประเวศมารออยู่ ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงประสานกับทางสน.ว่า เป็นหมายของคดีใด เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นหมายจับของคดีที่สองซึ่งศาลมีคำพิพากษาและโอภาสรับโทษแล้ว ทนายจึงประสานทางสน.เพื่อให้ถอนหมาย เจ้าหน้าที่สน.ประเวศจึงแฟกซ์มาแจ้งทางเรือนจำเพื่อถอนหมายอายัดตัว โอภาสจึงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำโดยไม่ถูกนำตัวไปสน.ประเวศ
 
 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา