ประธิน: จดข้อความลงในสมุดบันทึก

อัปเดตล่าสุด: 24/08/2562

ผู้ต้องหา

จ.ส.ต.ประธิน

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2558

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

จ.ส.ต.ประธิน และณัฐพล รู้จักกันในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น หลังถูกปล่อยออกมาทั้งสองยังติดต่อกันและถูกจับกุมอีกครั้งในเดือน พฤศจิกายน 2558 ทั้งคู่ถูกตั้งข้อหามาตรา 112 จากการส่งไลน์พูดคุยกัน และจากการที่จ.ส.ต.ประธินจดบันทึกลงในสมุดโน็ตส่วนตัว

นอกจากคดีนี้จ.ส.ต.ประธิน ยังถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อีกหนึ่งคดี คือ คดี "วางแผนป่วน Bike for Dad" ด้วย ซึ่งณัฐพลเป็นประจักษ์พยานโจทก์ในคดีนั้น

จ.ส.ต.ประธิน และณัฐพลเคยถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษแขวงนครชัยศรี ค่ายมทบ.11 กว่าสามเดือน ก่อนที่จะขอโอนคดีกลับไปต่อสู้ที่ศาลทหารขอนแก่น คดีพิจารณาไปอย่างล่าช้าและจำเลยไม่ได้ประกันตัว จนกระทั่งมีคำสั่ง คสช. ยกเลิกการเอาพลเรือนขึ้นศาลทหาร และโอนคดีกลับศษลพลเรือน

 

ภูมิหลังผู้ต้องหา

จ.ส.ต.ประธิน เป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เป็นอดีตข้าราชการตำรวจ เคยเป็นตำรวจตระเวณชายแดนอยู่ 13 ปี เป็นตำรวจภูธร 2 ปี ก่อนถูกจับกุมจ.ส.ต.ทำงานรักษาความปลอดภัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

จ.ส.ต.ประธินเป็นหนึ่งใน 26 จำเลยคดี "ขอนแก่นโมเดล" ทั้งหมดถูกจับจากการนัดหมายพูดคุยกันหลังการยึดอำนาจโดยคสช.  รวมทั้งยังถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 ในคดี "ป่วน Bike for Dad" ด้วยจากการพูดคุยกับเพื่อนนักโทษในเรือนจำ
 
ณัฐพล เป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เคยเป็นนักโทษในคดียาเสพติด ณัฐพลรู้จักกับจ.ส.ต.ประธินระหว่างที่จ.ส.ต.ประธินถูกควบคุมตัวในคดี "ขอนแก่นโมเดล" นอกจากการเป็นจำเลยในคดีนี้แล้ว ณัฐพลยังเป็นพยานโจทก์ในคดีป่วน Bike for Dad ของจ.ส.ต.ประธินด้วย

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

จ.ส.ต.ประธินและณัฐพลถูกฟ้องคดีต่อศาลทหารในความผิดรวมสองกรรม
 
กรรมแรก เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฎชัดระหว่างวันที่ 11 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน 2558 จำเลยทัังสองส่งข้อความทางไลน์หากัน เป็นข้อความหมิ่นประมาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา 
 
กรรมที่สอง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 21 พฤศจิกายน 2559 จ.ส.ต.ประธินเขียนจดลงในสมุดบันทึกเป็นข้อความหมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช 
 
ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3)

 

พฤติการณ์การจับกุม

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2558 เจ้าหน้าที่ทหารขอตรวจค้นบ้านของ จ.ส.ต.ประธิน โดยยึดโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสองเครื่อง ซึ่งเป็นของจ.ส.ต.ประธินและของลูกชาย

หลังการตรวจค้น จ.ส.ต.ประธินถูกนำตัวไปคุมขังในค่ายทหารแห่งหนึ่งประมาณสองวัน โดยจ.ส.ต.ประธินไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนเพราะถูกปิดตาระหว่างเดินทาง แต่จากการคาดการระยะเวลาที่ใช้เดินทางน่าจะอยู่ภายในจังหวัดขอนแก่น
 
ในเวลาต่อมาจ.ส.ต.ประธินถูกนำตัวมายังค่ายทหารในกรุงเทพฯ ซึ่งจ.ส.ต.ประธินคาดว่าเป็นมทบ.11 แต่ไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากถูกปิดตาระหว่างการย้ายที่คุมขัง 
 
การจับกุม จ.ส.ต.ประธินในครั้งนี้ นำมาสู่การตั้งข้อหามาตรา 112 ในคดี "ป่วน Bike for Dad" ส่วนเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นก่อนการจับกุมตั้งแต่ตอนที่จ.ส.ต.ประธินถูกคุมตัวในเรือนจำในคดีขอนแก่นโมเดล
 
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 ทนายวิญญัติเปิดเผยผ่านประชาไทว่า มีรถทหารสามถึงสี่คันมาที่บ้านของณัฐพลในจังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องตรวจโลหะและสุนัขเพื่อค้นหาอาวุธสงคราม แม้ภายหลังจะไม่พบอาวุธแต่ณัฐพลก็ถูกควบคุมตัวไป หลังณัฐพลถูกนำตัวไปแล้วเจ้าหน้าที่ยังกลับมาตรวจค้นอีกครั้งแต่ก็ไม่พบอะไร ก่อนกลับเจ้าหน้าที่บอกแม่ของณัฐพลว่า “ขอยืมลูกชายหน่อยเด้อ เดี๋ยวเอามาคืน”
 
ณัฐพลถูกพาตัวจากจังหวัดขอนแก่น มาคุมขังที่กรุงเทพ ในค่าย มทบ.11 เพื่อสอบสวนเป็นเวลา 3 วันก่อนถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 ในคดีนี้ หลังถูกตั้งข้อหาและถูกฝากขังภายใต้อำนาจศาลทหารกรุงเทพ ณัฐพลยังคงถูกขังเดี่ยวอยู่ที่เรือนจำพิเศษแขวงนครชัยศรี ค่าย มทบ.11 เป็นเวลาอีกกว่าสามเดือน จึงถูกย้ายมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
 

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ึ77/59

ศาล

ศาลทหารขอนแก่น

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
21 พฤศจิกายน 2558
 
จ.ส.ต.ประธิน ถูกจับกุม ในคดี "ป่วน Bike for Dad"
 
23 พฤศจิกายน 2559 
 
ณัฐพล ถูกจับกุมจากที่บ้านในจังหวัด ขอนแก่น
 
26 พฤศจิกายน 2559
 
จ.ส.ต.ประธิน และณัฐพล ถูกนำตัวมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และถูกนำตัวไปศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขออำนาจฝากขัง หลังจากนั้นทั้งสองคนถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจพิเศษแขวงนครชัยศรีซึ่งอยู่ ภายในค่ายทหาร มทบ.11 เป็นเวลานานกว่าสามเดือน
 
17 กุมภาพันธ์ 2559
 
อัยการทหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลทหารกรุงเทพ ในความผิดตามมาตรา 112 โดยในวันที่อัยการทหารส่งสำนวนฟ้อง จ.ส.ต.ประธินถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดขอนแก่นแล้ว เพื่อรอการดำเนินคดี "ป่วน Bike for Dad" ที่ศาลทหารจังหวัดขอนแก่น ขณะที่ณัฐพลถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
 
22 สิงหาคม 2559 
 
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทนายจำเลยเคยยื่นเรื่องต่อศาลทหารสูงสุดเพื่อขอโอนคดีนี้ไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่น เพราะจำเลยต่างมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นไม่สะดวกที่จะดำเนินคดีที่กรุงเทพ ศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดีในวันนี้
 
แต่เมื่อทนายความจำเลยเดินทางมาถึงศาลก็พบว่าจำเลยทั้งสองคนซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำคนละแห่งไม่ได้ถูกนำตัวมาศาลตามนัด เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าทางเรือนจำขอนแก่นมีเหตุขัดข้องจึงไม่ได้เบิกตัว จ.ส.ต.ประธินมา ส่วนณัฐพลก็ไม่ได้ถูกนำตัวมาในวันนี้โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งว่าเพราะเหตุใด ศาลจึงให้เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 23 กันยายน 2559 และให้เบิกตัวจำเลยมาใหม่
 
23 กันยายน 2559
 
นัดฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดี
 
จำเลยทั้งสองถูกพาตัวมาศาลทหารกรุงเทพเพื่อฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดีจากศาลทหารกรุงไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่น ในเวลาประมาณ 9.55 น. ศาลขึ้นบัลลังก์และอ่านคำสั่งศาลทหารสูงสุดซึ่งมีใจความว่า
 
มูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่น พยานหลักฐานต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น และ จ.ส.ต.ประธินหนึ่งในจำเลยในคดีนี้ยังถูกดำเนินคดีอีกสองคดีที่ศาลทหารขอนแก่นด้วย ทำให้ต้องนำตัว จ.ส.ต.ประธืนเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างกรุงเทพกับจังหวัดขอนแก่น เป็นการไม่สะดวก การให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่นน่าจะเกิดประโยชน์และสะดวกแก่การพิจารณามากกว่า ตามพ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร มาตรา 57 จึงอนุญาตให้โอนคดีไปที่ศาลทหารขอนแก่นตามที่จำเลยร้องขอ
 
หลังฟังคำสั่ง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่นำตัวจำเลยทั้งสองมาที่ศาลแจ้งว่า จ.ส.ต.ประธิน จะถูกนำตัวกลับขอนแก่นในวันรุ่งขึ้นเลย ส่วนณัฐพลจะอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อน เพื่อรอขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสาร ส่วนจะได้ย้ายไปอยู่เรือนจำจังหวัดขอนแก่นเมื่อไรยังไม่อาจระบุได้แน่ชัด
 
 
9 กุมภาพันธ์ 2560
 
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ที่ศาลทหารขอนแก่น ในเวลา 13.00 ประธินและณัฐพล ถูกนำตัวมาที่ศาลทหารขอนแก่นในเวลาประมาณ 9.30 เนื่องจากมีนัดสืบพยานโจทก์ในคดีวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad ในช่วงเช้า แต่เมื่อมาถึงศาล เจ้าหน้าที่ศาลทหารก็แจ้งว่า การสืบพยานในคดีนี้จะต้องเลื่อนออกไป เพราะพยานโจทก์ในวันนี้ คือ พ.ต.วิจารณ์ จดแตง ติดราชการ ไม่สามารถมาศาลได้ และให้นัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560
 
 
23 สิงหาคม 2562
 
ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ออกหมายเรียกให้จำเลยที่เป็นพลเรือนสามคดีมาศาลพร้อมกัน โดยศาลเรียกว่า เป็น "นัดพร้อมเพื่อฟังคำสั่ง" ที่นัดพิเศษขึ้นมาต่างหากจากนัดที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งทั้งสามคดีจำเลยมีความเกี่ยวข้องกัน จึงนัดให้มาพร้อมกันในวันนี้
 
 
วันนี้จำเลยทั้ง 5 คนที่ถูกคุมตัวอยู่ถูกพาตัวจากเรือนจำมาที่ศาล และจำเลยอีก 18 คน เดินทางมาศาล พร้อมทนายความจากสหพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ที่เช่ารถตู้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยอีก 2 คน เสียชีวิตแล้วระหว่างการพิจารณาคดียังไม่เสร็จ และจำเลยอีก 2 คน หลบหนี ไม่มาตามนัดหมายของศาลเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว 
 
เนื่องจากคดีนี้มีจำเลย และทนายความจำนวนมาก ห้องพิจารณาคดีที่ศาลทหารขอนแก่นเล็กเกินไปสำหรับปริมาณคนที่ต้องเข้าไปในห้อง ทางเจ้าหน้าที่ศาลจึงกั้นพื้นที่ชั้นหนึ่งของอาคารศาลขึ้นมาใหม่ และเอาโต๊ะเก้าอี้เข้ามาวางเพื่อใช้เป็นห้องพิจารณาคดีชั่วคราว พร้อมติดเครื่องปรับอากาศเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าไปในห้องได้โดยไม่อึดอัดจนเกินไป จำเลยทั้งสามคดีถูกพาตัวเข้าไปในห้องพิจารณาชั่วคราวนี้พร้อมกัน โดยเจ้าหน้าที่ศาลใช้วิธีการเช็คชื่อจำเลยทีละคนตั้งแต่เช้า และให้จำเลยติดป้ายระบุหมายเลขว่า เป็นจำเลยคนที่เท่าไรไว้ที่หน้าอกเสื้อ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
 
ตุลาการทหารขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 10.30 น. ตุลาการไม่ได้ขานชื่อจำเลยทีละคนในคดีขอนแก่นโมเดล แต่เรียกชื่อจำเลยอีกสองคดีทุกคนที่อยู่ในชุดนักโทษให้ยืนขึ้น เสร็จแล้วศาลแจ้งว่า จำเลยทุกคนในคดีนี้เป็นพลเรือน แต่ต้องมาพิจารณาคดีที่ศาลทหารตามประกาศของ คสช. และบัดนี้ คสช. ได้มีคำสั่งยกเลิกการให้พลเรือนต้องขึ้นศาลทหารแล้ว หลังจากนี้ก็ขอให้ทุกคดีกลับไปพิจารณาคดีที่ศาลพลเรือน และถามทุกคนว่า ทราบแล้วใช่หรือไม่ จำเลยบางคนพยักหน้ารับ 
 
จากนั้นศาลจึงอ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดีที่เตรียมไว้แล้ว ระบุว่า "เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่องการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็น กำหนดให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลทหารตามประกาศและคำสั่งดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป คำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป แต่ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้งดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว กับให้โอนคดีไปยังศาลยุติธรรมที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา และจำหน่ายคดีออกจากสารระบบความในศาลนี้ ให้มีหนังสือไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม และเพื่อให้การโอนคดีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจึงให้สัญญาประกันและหมายขังของจำเลยยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ก่อนส่งสำนวนให้ศาลถ่ายสำเนาสำนวนและเอกสารต่างๆทั้งหมดเก็บไว้ที่ศาลนี้ด้วย”
 
หลังจากนั้นตุลาการลุกขึ้นและจะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีชั่วคราวทันที แต่หนึ่งในทีมทนายความยกขึ้น และขออนุญาตศาลว่า จะขอกล่าวอะไรสักหน่อย ทุกคนจึงนั่งลงฟัง ทนายแถลงว่า ตลอดเวลาห้าปีเต็มที่ต้องมาขึ้นศาลแห่งนี้เพื่อการพิจารณาคดี ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่และศาลทุกคน เป็นบรรยากาศที่รู้สึกว่า ไม่ได้เป็นศัตรูกัน ไม่ได้สร้างความกดดันให้กัน แม้การพิจารณาคดีจะช้าไปสักหน่อย จนท่านอัยการทหารบางคนจากไป และจำเลยบางคนก็จากไปก่อนคดีจะเสร็จ ขอขอบคุณทั้งศาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อำนวยความสะดวกให้และช่วยเหลือกันเสมอมา โดยหวังว่า จะไม่ต้องกลับมาที่นี่กันอีก
 
ด้านศาลก็กล่าวตอบว่า ศาลนี้ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ศาลเพียงแต่ต้องทำตามคำสั่งของ คสช. บัดนี้คำสั่งของ คสช. ยกเลิกแล้วก็ขอให้ทุกคนโชคดี
 
 
 
 
 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา