อานนท์ หมิ่นเอ็นจีโอตระกูล ส.

อัปเดตล่าสุด: 05/07/2560

ผู้ต้องหา

อานนท์

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2512

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

รสนา โตสิกตระกูล นิมิตร์ เทียนอุดม สุภัทรา นาคะผิว บุญยืน ศิริธรรม สารี อ่องสมหวัง

สารบัญ

อานนท์ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กในทำนองว่า กลุ่มเอ็นจีโอตระกูลส. แสวงหาประโยชน์จากกองทุนพัฒนาต่างๆ ต่อมารสนา โตสิกตระกูลและพวกพบข้อความดังกล่าวจึงติดต่อชี้แจงกับอานนท์ ครั้งนั้นอานนท์กล่าวขอโทษรสนาและสัญญาว่าจะโพสต์ข้อความขอโทษลงบนเฟซบุ๊ก แต่เปลี่ยนใจไม่โพสต์ขอโทษ รสนาและพวกจึงฟ้องคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไม่มีข้อมูล

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (1) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

วันที่ 25 สิงหาคม 2558 เวลากลางคืน อานนท์ โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายเป็นข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จลงบนเฟซบุ๊กของตัวเองว่า  "เปิดตัว /กลุ่มลับแสวงประโยชน์งบแผ่นดิน :เอ็นจีโอ ตระกูล ส แสวงหาอำนาจเงินโดยเขียนกฎหมายให้มีกองทุนอ้างพัฒนาด้านต่างๆคือองค์กรด้านกฎหมายและงานสาธารณะสุข เช่น สปสช,สวรส,สสส,สช,สรพ,สพฉ เป็นหน่วยงานรับงบประมาณทับซ้อนมหาศาล"

โจทก์เห็นว่าข้อความข้างต้นไม่เป็นความจริงและมีลักษณะเป็นการใส่ความให้เกิดความสับสนและส่งผลให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง

พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีข้อมูล

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

อ.3776/2558

ศาล

ศาลอาญากรุงเทพใต้

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
17 มีนาคม 2560
 
ไต่สวนพยานโจทก์ปากสุภัทรา นาคะผิว 

ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 9.50 น. สุภัทราเบิกความต่อศาลว่า ตนรู้จักและมีตำแหน่งอยู่ในกลุ่มองค์กรที่มีชื่อย่อ ส. คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อโครงการที่เสนอของบประมาณของ สสส. เพื่อจัดทำโครงการเกี่ยวกับเอดส์

สุภัทรายืนยันว่าตนเองไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการอนุมัติโครงการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นเพียงแต่ผู้ให้ความเห็นเท่านั้น การอนุมัติงบประมาณใดๆ เป็นมติของคณะกรรมการของ สสส. ทั้งนี้ตนจะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการให้ความเห็นในแต่ละโครงการ โครงการละ 1,000 บาท นอกจากนี้ มูลนิธิที่ตนทำงานประจำอยู่ไม่เคยขอรับทุนจากโครงการตระกูล ส.

สุภัทราเบิกความต่อไปว่า ข้อความที่อานนท์โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวทำให้ตนได้รับความเสียหาย ข้อความดังกล่าวทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า ตนและโจทก์ร่วมทั้งหมดเป็นทุจริตฉ้อคนโกง ทำให้ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง นอกจากนี้ ข้อความที่อานนท์โพสต์มีคนกดถูกใจ 49 ครั้ง และกดเผยแพร่ 23 ครั้ง จึงเชื่อว่าจำนวนผู้ที่เห็นข้อความดังกล่าวมีมากกว่าผู้ที่เป็นเพื่อนของจำเลยในเฟซบุ๊ก และการกดแชร์ทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถพบเห็นข้อความดังกล่าวได้ทุกที่ทั้งในและต่างประเทศ

ตอบทนายจำเลยถามค้าน

ทนายจำเลยถามว่าการที่สุภัทราทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและให้ความเห็นต่อ สสส. สุภัทราจึงสามารถกำกับทิศทางให้ สสส. อนุมัติโครงการใดๆ ได้ใช่หรือไม่ สุภัทราตอบว่า หน้าที่หลักของตนเองคือการเป็น "Steering Committee" หรือการกำกับทิศทางแผนงานด้านสุขภาวะทางเพศ มีหน้าที่เพียงแต่ให้คำปรึกษาทิศทางเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศเท่านั้น โดย สสส. ซึ่งเป็นเจ้าของเงินงบประมาณเป็นผู้กำหนดเป้าหมายระยะยาว (หรือแผนระยะ 5-10 ปี) ไว้อยู่แล้ว ตนจึงทำหน้าที่กำกับทิศทางของโครงการย่อยให้เป็นไปตามเป้าหมายใหญ่ที่ สสส. ได้กำหนดไว้เท่านั้น

ทนายจำเลยถามว่า สุภัทราเป็นหนึ่งในรายชื่อ 52,000 ชื่อที่เสนอร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพชาติ และต่อมาสุภัทราได้เป็นหนึ่งใน 10 คน ที่ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้เข้าใจได้ว่าสุภัทราอาจได้รับผลประโยชน์ต่อการเสนอกฎหมายดังกล่าว สุภัทราตอบว่าตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง และการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็เป็นสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นสิทธิที่ตนสามารถกระทำได้ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง

ทั้งนี้ ในระหว่างการเข้าชื่อเสนอกฎหมายดังกล่าว สุภัทราไม่ทราบว่ามีผู้ใดร่วมลงชื่อใน 52,000 รายชื่อ และไม่ทราบมาก่อนว่าจะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในคณะกรรมการดังกล่าว

ทนายจำเลยถามว่าสุภัทราเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทซึ่งถูกกลุ่มแพทย์ฟ้องดำเนินคดีสุภัทราร่วมกับ จอน อึ๊งภากรณ์ และพวก ในประเด็นเรื่องหลักประกันสุขภาพ สุภัทราตอบว่าตนเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวจริง และคดีดังกล่าวเป็นคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่เรื่องที่ตนกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น
 
ศาลบอกคู่ความว่าจะไม่บันทึกประเด็นนี้ เนื่องจากพยานบอกว่าจำรายละเอียดคดีไม่ได้ 
 
ทนายจำเลยถามว่า สุภัทราแน่ใจได้อย่างไรว่าเฟซบุ๊กตามฟ้องเป็นของอานนท์จริง สุภัทราชี้แจงว่า ตนไม่มีความรู้และไม่ได้ทำการตรวจสอบ IP address ก่อนมาฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาล แต่ทราบจากพฤติกรรมการใช้เฟซบุ๊กของอานนท์ที่มีการตอบโต้กับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า ปรียานันท์ ล้อเสริมวัฒนา ซึ่งมาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ของอานนท์

นอกจากนี้อานนท์ยังไม่ได้ลบโพสต์หรือแจ้งความต่อตำรวจภายหลังการโพสต์ข้อความรูปภาพดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าอานนท์เป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง โดยไม่ได้ถูกแฮ๊กเฟซบุ๊กแต่อย่างใด
 
สุภัทราตอบทนายด้วยว่า ก่อนมาฟ้องคดีต่อศาล รสนา โตสิกตระกูล โจทก์ที่หนึ่งเคยโทรศัพท์พูดคุยกับอานนท์แล้ว โดยอานนท์ยืนยันว่าจะขอโทษ แต่ก็ไม่ได้ทำ จึงมาฟ้องคดีต่อศาล
 
ไต่สวนพยานโจทก์ปากนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์
 
นิมิตร์แถลงต่อศาลว่า ขณะที่เกิดเหตุดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยพยานได้รับเบี้ยประชุมจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ในฐานะเป็นกรรมการและอนุกรรมการของ สปสช. 
 
นิมิตร์เบิกความต่อว่า ทราบว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวเพราะมีเพื่อนนำมาให้ดู โดยตนทราบเรื่องหลังจากที่จำเลยเผยแพร่ข้อความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กประมาณสี่ถึงห้าวัน

นิมิตร์เบิกความต่อว่า ข้อความดังกล่าวทำให้เข้าใจว่า ตนมีพฤติกรรมทุจริตฉ้อโกง แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้ข้อความดังกล่าวยังกระทบต่อการทำงานด้านประชาสังคมของตน เนื่องจากการทำงานกับภาคประชาสังคมต้องได้รับความเชื่อถือจากบุคคลทั่วไป และอาจกระทบต่อการอนุมัติให้เงินทุนจากแหล่งทุนต่างๆ เพื่อดำเนินโครงการภายใต้มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ซึ่งตนเป็นผู้อำนวยการอยู่ในปัจจุบัน
 
นิมิตร์เบิกความต่อว่า ก่อนที่จะนำเรื่องนี้มาฟ้องต่อศาล เคยทำจดหมายถึงสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของจำเลยเพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมแต่ทางนิด้าไม่ได้ดำเนินการแก้ไขหรือมีหนังสือตอบกลับมา จึงต้องนำเรื่องมาฟ้องต่อศาล

นิมิตร์เบิกความต่อว่า ตั้งแต่ปี 2548 เรื่อยมา มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากการติดเชื้อเอชไอวีเป็นจำนวนมาก ตนจำเป็นต้องผลักดันหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อต้องการให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการดูแลจากรัฐ และต่อมา สสส. ได้นำชื่อของตนไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์ โดยมีหน้าที่ให้ความเห็นในโครงการที่เกี่ยวกับโรคเอดส์ แต่ตนเองไม่มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ

นิมิตร์เบิกความต่อว่า กรณีที่กฤษฎีกาตีความว่า สปสช. ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปเพื่อความคล่องตัวในการให้บริการของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นปัญหาด้านการตีความแต่ไม่ได้เกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชั่น

ต่อมาคณะรัฐมนตรีจึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ออกคำสั่งหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเรื่อง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจําเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริม การจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้การดำเนินงานของโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขเป็นไปได้ตามปกติ

ตอบทนายจำเลยถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามถึงการเข้าชื่อเสนอกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและการดำรงตำแหน่งในสปสช.ของนิมิตร์ นิมิตร์ชี้แจงว่า ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามกระบวนการของ สปสช. และการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็เป็นสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นสิทธิที่ตนสามารถกระทำได้
 
ทนายจำเลยถามถึงประเด็นที่กฤษฎีกาตีความว่าทางสปสช.มีการใช้เงินผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้มีหนังสือคำสั่งยุติการจ่ายเงิน นิมิตร์ยอมรับว่า กฎการเบิกจ่ายเงินของ สปสช. มีปัญหาด้านการตีความที่ไม่ตรงกันระหว่างบอร์ดของ สปสช. กับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)

ทางกฤษฎีกาตีความว่า มีการจัดสรรเงินผิดวัตถุประสงคขัดต่อกฎหมายคือพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติในเรื่องการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข และกรณีหน่วยบริการนำเงินเหมาจ่ายรายหัวไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าจ้างลูกจ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตอบแทนบุคลากร ซึ่งการตีความดังกล่าวทำให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขขาดความคล่องตัวในการบริหารงาน

ต่อมา คสช. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขเรื่องนี้แล้ว และคาดว่าน่าจะมีการแก้ไขตัวบทกฎหมายต่อไป เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินด้านสาธารณสุขเป็นไปอย่างถูกต้อง

ทนายจำเลยถามค้านต่อในประเด็นการขอรับเงินจากองค์กรเภสัชกรรม นิมิตร์ชี้แจงว่า ตนเคยพิจารณาเรื่องการใช้งบประมาณขององค์กรเภสัชกรรม และมูลนิธิที่ตนทำงานประจำอยู่เคยขอทุนจากองค์การเภสัชกรรมเพื่อจัดทำหนังสือขององค์กร ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการอยู่
 
ตอบทนายโจทก์ถามติง

ทนายโจทก์ถามติงในประเด็นการอนุมัติเงินขององค์การเภสัชกรรม นิมิตร์ชี้แจงว่า องค์การเภสัชกรรมไม่เคยมีชื่อเสียงเรื่องการทุจริต และตนก็ไม่มีส่วนร่วมในการอนุมัติเงินขององค์การเภสัช
 
22 มีนาคม 2560
 
ไต่สวนพยานโจทก์ปากรสนา โตสิตระกูล ข้าราชการบำนาญ
 
รสนาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ปัจจุบันตนดำรงตำแหน่งเป็นอนุกรรมการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และเป็นกรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย ในอดีตตนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสุขภาพไทย ประธานของสหพันธ์องค์การผู้บริโภค และสมาชิกวุฒิสภา ปี 2551 – 2557
 
รสนาเบิกความต่อว่ารู้จักโจทก์ที่สองถึงห้าจากการทำงานด้านสาธารณสุขและการตรวจสอบการทุจริตยาในกระทรวงสาธารณสุข แต่ไม่ได้สังกัดอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน

สำหรับการกระทำของจำเลย รสนาเบิกความว่าทราบเรื่องที่จำเลยโพสต์ข้อความจากสารี อ๋องสมหวัง ซึ่งเป็นผู้ถ่ายภาพหน้าเฟซบุ๊กของจำเลยที่มีข้อความดังกล่าวและส่งมาให้ทางไลน์ในช่วงประมาณวันที่ 27-28 สิงหาคม 2558

รสนาเบิกความว่า จำได้ว่าเคยพบอานนท์ที่งานแต่งงานของ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ตนจึงโทรศัพท์ไปหา ม.ล.กรกสิวัฒน์ เพื่อถามเกี่ยวกับตัวอานนท์ โดยม.ล.กรกสิวัฒน์บอกตนว่าจะประสานให้ตนกับอานนท์ได้พูดคุยกัน ต่อมา อานนท์ก็ได้โทรมาหาตนจึงบอกกับอานนท์ว่า ข้อความดังกล่าวทำให้บุคคลหลายคนได้รับความเสียหายและขอให้อานนท์โพสต์ชี้แจงและขอโทษผ่านทางเฟซบุ๊กของอานนท์เอง มิเช่นนั้นตนจะดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท

อานนท์ได้กล่าวขอโทษและบอกว่าเดี๋ยวจะจัดการให้ แต่ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา อานนท์โทรกลับมาบอกตนว่า ผมขอโทษนะครับ ผมไม่สามารถเขียนคำขอโทษได้ เพราะทนายบอกว่าจะเสียรูปคดี ตนจึงตอบกลับว่า "งั้น พี่ฟ้องเธอนะ"
 
รสนาเบิกความต่อว่า เข้าใจว่าอานนท์ลบโพสต์ข้อความดังกล่าวไปแล้วในช่วงประมาณต้นเดือนกันยายน เนื่องจากตนได้เข้าเฟซบุ๊กเพื่อตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวแต่ไม่พบแล้ว และไม่ปรากฏว่า อานนท์โพสต์ขอโทษตน
 
รสนาเบิกความว่าได้ปรึกษากับโจทก์อีกสี่คนเพื่อทำจดหมายถึงสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อานนท์ดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมของอานนท์ แต่นิด้าไม่ได้ดำเนินการแก้ไขหรือมีหนังสือตอบกลับมาจึงต้องนำเรื่องมาฟ้องร้องต่อศาล
 
รสนาเบิกความต่อว่า แม้อานนท์จะลบข้อความดังกล่าวแล้ว แต่ตนจำเป็นต้องดำเนินคดีอานนท์ เนื่องจากภาพและข้อความดังกล่าวได้ถูกแชร์ต่อไปยังบุคคลอื่นๆ ประชาชนที่สามารถเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตสามารถพบเห็นข้อความดังกล่าวได้ทั่วราชอาณาจักร และอานนท์ไม่ได้ชี้แจงว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อความที่ไม่ถูกต้อง และทำให้เข้าใจว่า เป็นกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน และออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้อง
 
รสนาเบิกความว่า ตนไม่มีส่วนร่วมในการเขียนกฎหมายสองฉบับ คือ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เนื่องจากกฎหมายทั้งสองฉบับ ประกาศใช้ก่อนที่ตนจะดำรงตำแหน่งเป็นสภาชิกวุฒิสภาในปี 2551-2557
 
รสนาเบิกความต่อว่า มูลนิธิสุขภาพไทยที่ตนเป็นคณะกรรมการอยู่ได้ขอทุนจากสำนักงานกองทุนส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติ(สสส.) และดำเนินการขอทุนไปตามระเบียบ โดยตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอทุนของทางมูลนิธิฯ รวมทั้งตนไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกรรมการในองค์กรที่พิจารณาให้ทุน

นอกจากนี้ มูลนิธิสุขภาพไทยไม่เคยถูกกล่าวหาหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตแต่อย่างใด

รสนาแถลงต่อศาลว่า การถูกกล่าวหาตามข้อความของจำเลย ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เนื่องจากตนดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการตรวจสอบด้านธรรมาภิบาลและการทุจริต และมีผลงานที่มีชื่อเสียงคือการตรวจสอบการทุจริตในการจัดซื้อยาของกระทรวงสาธารณสุข

ตอบทนายจำเลยถามค้าน
 
ทนายจำเลยถามค้านในประเด็นการให้นิยามของ สสส. ซึ่งมีนิยามที่กว้างเกินไป ทำให้มีอำนาจทำอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ รสนาชี้แจงว่าเรื่องนี้ตนไม่ทราบ เพราะการนิยามของ สสส. ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตน
 
ทนายจำเลยถามรสนาเรื่องการดำรงตำแหน่งกรรมการในมูลนิธิโกมลคีมทองของรสนา รสนาชี้แจงว่า มูลนิธิดังกล่าวไม่ได้อยู่ในภาพที่อานนท์โพสต์ จึงไม่ทราบว่าทนายจำเลยถามเกี่ยวกับมูลนิธิดังกล่าวด้วยเหตุใด รสนาตอบคำถามทนายจำเลยต่อไปว่า มูลนิธิดังกล่าวเคยขอรับเงินทุนจาก สสส. ในขณะที่ตนเป็นกรรมการในช่วงปี 2551 – 2557 แต่ตนไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นพ.วิชัย โชควิวัฒน ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการมูลนิธิโกมลคีมทองและกรรมการของ สสส. ด้วย 
 
รสนาแถลงต่อศาลว่า ในการขอทุนจะมีการแบ่งเป็นกลุ่มงาน และเวลาพิจารณาอนุมัติทุนก็จะไม่เชิญกรรมการ สสส. ที่มีตำแหน่งในมูลนิธิที่เข้ามาขอทุนมาพิจารณาอนุมัติทุน ทนายจำเลยถามรสนาในประเด็นการแปลหนังสือให้กับสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง รสนาชี้แจงว่า ตนได้แปลหนังสือจำนวนหนึ่งให้มูลนิธิดังกล่าวจริง แต่การจัดทำหนังสือนั้นไม่ได้ของบประมาณจาก สสส.
 
ทนายจำเลยถามรสนาในประเด็นที่มูลนิธิโกมลคีมทองขอทุนจาก สสส. ในสี่โครงการ เป็นจำนวนหลายล้านบาท รสนาชี้แจงว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการขอทุนของมูลนิธิว่าเป็นจำนวนเท่าใด แต่ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบการขอรับทุนและการใช้จ่ายเงินจากทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้
 
ทนายจำเลยถามในประเด็นเรื่องข้อเสนอการปฏิรูปพลังงานว่า รสนาและบุญยืน ศิริธรรม โจทก์ที่สี่ เป็นประธานสหพันธ์คุ้มครองผุ้บริโภค ได้ทำกิจกรรมด้านพลังงานและเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปพลังงานด้วยใช่หรือไม่ รสนาชี้แจงว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจัดทำโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) และเป็นเพียงร่างของประชาชน สภายังไม่ได้นำไปบังคับใช้

ทนายจำเลยถามต่อไปว่า ร่างฯดังกล่าวเสนอให้มีกรรมการจากตัวแทนคุ้มครองผู้บริโภคไปเป็นกรรมการด้วยใช่หรือไม่ รสนาชี้แจงว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของประชาชน และไม่ได้ระบุชื่อของตนหรือบุคคลใดๆ เป็นการเฉพาะเจาะจงให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ร่างฯดังกล่าวเพียงต้องการให้มีตัวแทนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ของทุกภาคส่วนมาเป็นคณะกรรมการ ซึ่งรวมถึงภาคประชาชนด้วย 
รสนาแถลงต่อศาลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องพลังงาน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อความตามฟ้องซึ่งเป็นประเด็นสาธารณสุขแต่อย่างใด
 
เวลาประมาณ 11.40 น. ศาลเห็นว่าทนายจำเลยมีประเด็นที่ต้องนำสืบอีกหลายประเด็นจึงให้นำสืบต่อในช่วงบ่าย
 
ในช่วงบ่าย ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 14.00 น. ทนายจำเลยถามรสนาต่อในประเด็น ร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการปิโตรเลียม พยานชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้กำหนดให้มีผู้แทนจากภาคประชาสังคมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้มาเป็นคณะกรรมการร่วมด้วย
 
ทนายจำเลยถามประเด็นมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด ซึ่งรสนาดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการด้วย พยานชี้แจงว่า รสนาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการซึ่งรับเรื่องร้องเรียนกรณีพบเห็นผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายภาพกว้างว่าในแต่ละปีควรมีเรื่องใดบ้างเท่านั้น ในส่วนรายละเอียดการปฏิบัติงานเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ซึ่งตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ทนายจำเลยถามถึงเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเรื่องการทุจริตการจัดซื้อน้ำยาล้างไต รสนาระบุว่า ตนไม่ทราบเรื่องดังกล่าว
ทนายจำเลยถามรสนาในกรณีที่รสนาไปร่วมเวทีเสวนา “การฟ้องหมิ่นประมาท: จุดสมดุลระหว่างประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม” ซึ่งจัดโดย TDRI เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 โดยรสนากล่าวในเวทีเสวนาในฐานะที่รสนาเคยถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทว่า "การเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ แล้วถูกฟ้องหมิ่นประมาท ถือว่าเป็นการทดลองกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นกลไกและเครื่องมือของรัฐ ว่ามีจุดอ่อนและจะใช้กันต่อไปอย่างไร…" รสนาชี้แจงว่า ตนไปพูดบนเวทีเสวนาดังกล่าวจริง แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับคดีที่กำลังดำเนินการสืบพยานนี้อย่างไร
 
ทนายจำเลยถามต่อในคดีที่รสนาตกเป็นจำเลยข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมฯ ซึ่งมีโจทก์คือ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รสนาชี้แจงว่า คดีดังกล่าวศาลยกฟ้องไปแล้วตั้งแต่ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพราะสิ่งที่พูดไม่ใช่การนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
 
ทนายจำเลยถามต่อไปว่า ในปัจจุบันโลกโซเชียลที่วิพากษ์วิจารณ์หรือพูดพาดพิงกลุ่ม NGO เกี่ยวกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น กรณีนี้ถือเป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยใช่หรือไม่ รสนาตอบว่า ตนไม่ทราบว่ากรณีของพยานเป็นกรณีแรกของไทยหรือไม่ ทนายจำเลยถามต่อว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องผลประโยชน์สาธารณะหรือไม่ รสนาชี้แจงว่า กรณีนี้ไม่ใช่การกล่าวหา NGO แต่เป็นการกล่าวหาที่ตัวบุคคล และเป็นความเสียหายส่วนบุคคล จึงไม่ใช่ประเด็นสาธารณะ

ทนายจำเลยถามรสนาต่อว่า บุคคลสาธารณะและประเด็นสาธารณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร รสนาตอบว่า ตนไม่ทราบ โดยในประเด็นนี้ศาลเห็นว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยหมิ่นประมาทจึงไม่บันทึก
 
ทนายจำเลยถามประเด็นที่รสนาพูดคุยกับอานนท์ทางโทรศัพท์ก่อนจะมาฟ้องร้องต่อศาล รสนาชี้แจงว่า ตนไม่ได้ทำการบันทึกเสียงขณะพูดคุยกันทางโทรศัพท์ แต่พยานได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของจำเลยไว้ในเครื่องหลังจากจำเลยโทรมาหาพยานในครั้งแรก

ทนายจำเลยถามในประเด็นเรื่องการตรวจสอบ IP address รสนาชี้แจงว่า ตนเข้าใจว่าโจทก์ที่ห้า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในมูลนิธิของโจทก์ไปดำเนินการแล้ว และหลังจากนั้นโจทก์ทั้งห้าคนได้พูดคุยกันว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นของอานนท์ จำเลยในคดีนี้จริง และอานนท์ในคดีนี้ก็เคยโทรศัพท์คุยเรื่องที่โพสต์เฟซบุ๊กกับตนจริง ทั้งนี้ รสนาไม่ยืนยันว่า ฝ่ายโจทก์ได้ให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ตรวจสอบ IP address ด้วยหรือไม่ ตามที่ทนายจำเลยถาม

ตอบทนายโจทก์ถามติง

ทนายโจทก์ถามเรื่องการโต้ตอบระหว่างจำเลยกับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า ปรียานันท์ ล้อเสริมวัฒนา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แชร์โพสต์ของจำเลย รสนาแถลงว่า ตนเห็นการโต้ตอบดังกล่าวจากการที่ ปรียานันท์ นำเฟซบุ๊กของตนมาให้ดูผ่านโทรศัพท์มือถือ  
 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา