การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ถนนราชดำเนิน #RDN50 (คดีผู้ร่วมชุมนุม)

อัปเดตล่าสุด: 23/07/2562

ผู้ต้องหา

อนุรักษ์

สถานะคดี

อื่นๆ

คดีเริ่มในปี

2561

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองจัดการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งภายในปี 2561 โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า "หยุดยื้อเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ" เริ่มชุมนุมที่บริเวณร้านแมคโดนัลด์โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 300 ถึง 500 คน
 
ต่อมามีการออกหมายเรียกผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวม 49 คนมารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานชุมนุมทางการเมืองฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ในจำนวนผู้ต้องหา 49 คน มี เจ็ดคนที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นแกนนำและมีการปราศรัยปลุกระดมประชาชนจึงถูกตั้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 พ่วงไปด้วย    

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไม่มีข้อมูล

ข้อหา / คำสั่ง

อื่นๆ, ฝ่าฝืนประกาศคสช. 7/2557
คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/58 เรื่องห้ามชุมนุมการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยบรรยายพฤติการณ์ว่าเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บริเวณร้านแมคโดนัลด์ วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ต้องหาได้เข้าร่วมกิจกรรม “รวมตัวกัน รวมพลคนอยากเลือกตั้ง แสดงพลังต้านสืบทอดอำนาจ คสช.” มีผู้ชุมนุมประมาณ 400 คน ในการชุมนุมผู้เข้าร่วมได้มีการแสดงสัญลักษณ์ต่างด้วย

พฤติการณ์การจับกุม

ผู้ต้องหาในคดีนี้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเองจึงไม่มีการจับกุม

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลแขวงดุสิต

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

27 มกราคม 2561

บีบีซีไทยรายงานว่า ระหว่างการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้ง รังสิมันต์ หนึ่งในผู้ร่วมการชุมนุมที่ลานสกายวอล์กบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติ ประกาศในที่ชุมนุมว่า ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 16.00 น. ทางกลุ่มจะจัดการชุมนุมอีกครั้งที่ถนนราชดำเนิน หากคสช.ไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องสี่ข้อ 1. คสช. ไม่ประกาศให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้ 2. ไม่มีการยกเลิกการแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป ต่อแกนนำเครือข่ายภาคประชาชนที่ใช้ชื่อว่า People Go network จำนวน 8 คน หลังจัดกิจกรรม "We walk เดินมิตรภาพ" 3. ไม่มีการยกเลิกข้อหากระทำการผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ต่อ ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 4. ไม่มีการดำเนินการปลด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ผู้ครอบครอง "นาฬิกาเพื่อน" ออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) 

10 กุมภาพันธ์ 2561

ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า กลุ่มคนอยากเลือกตั้งทยอยมารวมตัวกันที่ถนนราชดำเนินใกล้อนุสาวรีย์ตั้งแต่เวลาประมาณ 14.30 น. ตามที่ทางกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยนัดจัดกิจกรรม "หยุดยื้อเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ" สำหรับการเตรียมการรับมือของเจ้าหน้าที่ มีการนำกระถางดอกไม้ขึ้นไปวางเรียงบนลานอนุสาวรีย์จนเต็มพื้นที่ รวมทั้งมีการกั้นรั้วอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถจัดกิจกรรมบนตัวอนุสาวรีย์ได้ นอกจากนี้ก็มีการตั้งจุดคัดกรองตรวจอาวุธประมาณสิบจุดบนถนนเส้รที่มุ่งหน้าเข้าสู่อนุสาวรีย์

รายงานของข่าวสดระบุด้วยว่าทางผู้จัดการชุมนุมได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะจัดกิจกรรมระหว่างเวลา 16.00 น. – 21.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุด้วยว่าหากรังสิมันต์ สิรวิชญ์ และ อานนท์ สามผู้ต้องหาคดี #MBK39 ที่ถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับเนื่องจากไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวันตามนัดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 มาปรากฎตัวในที่ชุมนุมวันนี้ก็จะทำการจับกุม

ไทยรัฐออนไลน์รายงานในเวลาต่อมาว่า ระหว่างการรังสิมันต์ สิรวิชญ์ และอานนท์ ได้เดินทางมาร่วมการชุมนุมและร่วมปราศรัยบนเวทีด้วย ในเวลาประมาณ 21.00 น. รังสิมันต์ สิรวิชญ์และอานนท์ประกาศกับผู้มาร่วมกิจกรรมว่า ขอให้ยุติการทำกิจกรรมและแยกย้ายกันในเวลาประมาณ 21.00 น. ตามเวลาที่แจ้งการชุมนุมไว้เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่นำมาเป็นเหตุในการดำเนินคดี ส่วนทั้งสามจะมอบตัวตามหมายจับคดี #MBK39 ของศาลแขวงปทุมวัน 

ว๊อยซ์ทีวีออนไลน์รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวสามผู้ต้องหาคดี #MBK39 ทั้งสามคนว่า พ.ต.อ.ต่อเกียรติ พรหมบุตร ผู้กำกับสน.สำราญราฎร์ เป็นผู้รับตัวผู้ต้องหาทั้งสามไปทำบันทึกการจับกุม ที่สน.สำราญราษฎร์ ก่อนจะส่งตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สน.ปทุมวัน เจ้าของท้องที่เกิดเหตุคดี #MBK39

ในเวลาประมาณ 22.00 น. รังสิมันต์ สิรวิชญ์ และอานนท์ ถูกนำตัวมาถึงสน.ปทุมวัน โดยก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวทั้งสามมาถึงสน.ปทุมวันได้มีกลุ่มประชาชนไปรอที่หน้าสน.ปทุมวันแล้วเพื่อให้กำลังใจทั้งสามและเรียกร้องให้เจ้าหน้าทีปล่อยตัว ผู้ต้องหาทั้งสามถูกควบคุมตัวที่สน.ปทุมวันจนถึงเวลาประมาณ 1.30 น. จึงได้รับการประกันตัวด้วยวงเงินคนละ 100,000 บาท นอกจากทั้งสามคนแล้วที่สน.ปทุมวันยังมีผู้ต้องหาคดี #MBK39 อีกคนหนึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ด้วยคือเอกชัยซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวจากบ้านมาที่ สน.ปทุมวันตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว 

สิรวิชญ์ อานนท์ เอกชัยได้รับการปล่อยตัวจากสน.ปทุมวันในช่วงเวลาประมาณ 1.30 น. ส่วนรังสิมันต์ แม้จะได้รับการประกันตัวจากสน.ปทุมวันแต่ก็ถูกอายัดตัวไปที่จังหวัดขอนแก่นทันที เนื่องจากเขาเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลทหารขอนแก่นในคดีพูดเพื่อเสรีภาพในทันทีโดยมีเพื่อนของรังสิมันต์หนึ่งคนติดตามรังสิมันต์ไปที่จังหวัดขอนแก่นด้วย

13 กุมภาพันธ์ 2561

ข่าวสดออนไลน์รายงานว่าพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ต้องหารวมหกคนที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นแกนนำในการจัดการชุมนุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. 3/2558 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป 

16 กุมภาพันธ์ 2561

ว๊อยซ์ทีวีออนไลน์รายงานว่า มีการเปิดเผยชื่อประชาชนอีก 43 คน ที่ถูกคสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป  

8 มีนาคม 2561

คมข่าวออนไลน์รายงานว่า พนักงานสอบสวนนัดผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นผู้ร่วมชุมนุมทั้ง 43 คนเข้ารายงานตัว โดยเจ้าหน้าที่สน.นางเลิ้งมีการเตรียมความพร้อมด้วยการปิดประตูรั้วสน.และอนุญาตให้เพียงผู้ต้องหา ทนายความและญาติของผู้ต้องหาเข้าไปในพื้นที่สน. มีรายงานด้วยว่าพันธ์ศักดิ์ จำเลยคดีพลเมืองรุกเดินที่ไม่ได้ร่วมการชุมนุมครั้งนี้แต่ถูกออกหมายเรียกได้เดินเท้าออกจากบ้านที่บางบัวทองเพื่อมารายงานตัวตั้งแต่เช้าโดยคาดว่าน่าจะมาถึงที่สน.นางเลิ้งในเวลาประมาณ 16.00 น.

เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในนัดนี้ผู้ต้องหาที่ไปรายงานตัวเพียงแต่รับทราบข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการนำตัวไปฝากขังและไม่ต้องขอประกันตัวในชั้นสอบสวน สำหรับกรณีของพันธ์ศักดิ์ เมื่อเขาเดินทางมาถึงสน.นางเลิ้งเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าเขาไม่มีรายชื่อเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ ทำให้จำนวนผู้ถุกตั้งข้อกล่าวหาคดีนี้ลดเหลือ 42 คน

27 มีนาคม 2561

ว๊อยซ์ทีวีออนไลน์รายงานว่า อัยการศาลแขวงดุสิตเลื่อนการออกคำสั่งว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีออกไปเป็นวันที่ 5 เมษายน 2561 

ขณะที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานด้วยว่าผู้ต้องหาคดีนี้ได้มอบอำนาจให้ทนายของศูนย์ทนายฯยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดขอให้สั่งไม่ฟ้องคดีนี้เนื่องจากเหตุแห่งคดีเกิดจากการชุมนุมสงบ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ไทยเป็นภาคี ทั้งการฟ้องคดีนี้ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน

5 เมษายน 2561

ในเวลาประมาณ 9.00 น. ผู้ต้องหา 41 คนเดินทางมาที่่ศาลแขวงดุสิตเพื่อฟังคำสั่งคดีของอัยการโดยมีผู้ต้องหาที่ไม่มาฟังคำสั่งคดีเพียงคนเดียวคือโชติศักดิ์แต่ 

ในส่วนของคำสั่งคดี อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าไปในห้องพิจารณาคดีเพื่อให้ศาลสอบคำให้การทีละคน ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ 

ในชั้นนี้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดโดยไม่ต้องวางหลักประกัน และนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 4 มิถุนายน 2561
 
4 มิถุนายน 2561
นัดตรวจพยานหลักฐาน
 
เนื่องจากจำเลยบางส่วนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ขัดต่อ รธน.หรือไม่ ขณะที่จำเลยอีกบางส่วนยื่นให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ถูกยกเลิกไปแล้วด้วย พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ศาลจึงเลื่อนนัดการตรวจพยานหลักฐานในวันนี้ไปก่อนเป็นวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 
 
12 กรกฎาคม 2561
นัดตรวจพยานหลักฐาน


ที่ห้องพิจารณาคดี 407 ศาลเริ่มการพิจารณาคดีนี้ในเวลาประมาณ 9.30 น. คดี จำเลยในคดีนี้ส่วนหนึ่งได้แถลงขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาลับหลังซึ่งศาลอนุญาตจึงไม่ได้มาศาลในนัดนี้ อย่างไรก็ตามมีจำเลยสามคนที่ไม่ได้แถลงขออนุญาตให้ศาลสืบพยานลับหลังและไม่ได้มาศาลในวันนี้ ศาลจึงสอบถามทนายจำเลยว่าจำเลยอยู่ที่ใด หลังการประสานงานกับจำเลยทนายแถลงต่อศาลว่าจำเลยมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถมาศาลได้ขอให้เลื่อนการพิจารณาคดีนัดนี้ออกไปก่อน

อัยการแถลงว่าโชติศักดิ์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมถึงอัยการสูงสุดก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าคำสั่งของอัยการสูงสุดว่าจะอนุญาตให้ฟ้องผู้ต้องหาคนดังกล่าวจะออกมาช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จึงขอให้ศาลเลื่อนนัดการพิจารณาคดีนัดนี้ออกไปก่อนเนื่องจากพยานหลักฐานในคดีของโชติศักดิ์เป็นชุดเดียวกับพยานหลักฐานคดีนี้และมีจำนวนมาก หากพิจารณาคดีของโชติศักดิ์แยกกับคดีนี้จะทำให้เกิดความซับซ้อนจึงสมควรรอให้มีการพิจารณาคดีพร้อมกัน ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณานัดนี้ออกไปก่อนและนัดพร้อมคดีอีกครั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561

20 พฤศจิกายน 2561

นัดตรวจพยานหลักฐาน

12 กุมภาพันธ์ 2562

นัดฟังคำสั่งศาล

ศาลเริ่มการพิจารณาคดีนี้ในเวลาประมาณ 10.00 น. มีจำเลยมาฟังการพิจารณาเพียงสองคนเพราะคดีนี้ศาลอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้

เนื่องจากในเดือนธันวาคม 2561 หัวหน้าคสช.ออกคำสั่งฉบับที่ 22/2561 ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ศาลจึงสั่งให้ออกหมายเรียกให้จำเลยทั้งหมดมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 

3 พฤษภาคม 2562

จำเลยเกือบทั้งหมดทยอยมาถึงศาลตั้งแต่ก่อนเวลา 9.00 น. แต่เนื่องจากมีจำเลยบางส่วนมาถึงศาลช้าและอัยการเจ้าของสำนวนติดพิจารณาคดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่หน้ากองทัพบก (คดีของผู้ร่วมชุมนุม) อยู่ที่อีกห้องพิจารณาคดีหนึ่งจึงทำให้กระบวนพิจารณาคดีนี้ล่าช้าออกไป

นอกจากจำเลยทั้ง 41 คนแล้ว วันนี้ยังมีจำเลยคดีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำในการจัดการชุมนุมบางส่วน เช่น ณัฏฐา หรือโบว์ สิรวิชญ์หรือนิว และรังสิมันต์ มาร่วมสังเกตการณ์ และให้กำลังใจ

ในเวลาประมาณ 10.55 น. ศาลขึ้นบัลลังก์และเรียกชื่อจำเลยทีละคน โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นศาลแจ้งคู่ความทั้งหมดว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ตามระเบียบจะต้องส่งร่างคำพิพากษาไปให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 ตรวจทานความถูกต้องเสียก่อน ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษามีความเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ แต่ข้อเท็จจริงในคดียังไม่มีข้อยุติเนื่องจากยังไม่มีการสืบพยาน หากในอนาคตมีการอุทธรณ์คดีไปสู่ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ศาลสูงก็จะต้องส่งสำนวนกลับมาให้ศาลชั้นต้นเริ่มกระบวนพิจารณาคดีใหม่เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงใดๆในคดีเป็นที่ยุติ หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้คู่ความต้องเสียเวลา จึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติและมีคำพิพากษาต่อไป
 
ทนายจำเลยลุกขึ้นแถลงคัดค้านว่าคดีนี้มีข้อเท็จจริงเป็นที่รับทราบของทุกฝ่ายแล้วว่ากฎหมายที่นำมาใช้ดำเนินคดีได้แก่คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และคดีในลักษณะเดียวกันในศาลอื่นๆ ก็มีคำพิพากษาออกมาแล้ว กรณีที่เป็นคดีศาลยุติธรรมจะยกฟ้อง ส่วนในกรณีของศาลทหารจะสั่งจำหน่ายคดี
 
ศาลแย้งว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นคำตัดสินเฉพาะคดี ไม่ใช่คำพิพากษาฎีกาซึ่งถือเป็นข้อยุติ และเป็นหลักทั่วไป ทนายจำเลยพยายามหาทางออกโดยการเสนอว่าให้คู่ความแถลงต่อศาลว่าไม่ประสงค์จะสืบพยานแล้วให้ศาลมีคำพิพากษาได้เลยแต่อัยการแจ้งว่าหากจะทำเช่นนั้นอาจจะต้องปรึกษาทางหน่วยงานเสียก่อน ฝ่ายทนายจำเลยยังแถลงด้วยว่าการทำคำพิพากษา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนน่าจะมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมาแทรกแซง ทนายจำเลยขอให้ศาลบันทึกคำโต้แย้งไว้ในสำนวนแต่ไม่ปรากฎว่ามีการบันทึกประเด็นนี้ไว้แต่อย่างใด 
 
สำหรับกรณีที่ทนายจำเลยแถลงว่าเคยมีคำพิพากษาคดีข้อหาเดียวกันของศาลอื่นออกมาแล้ว ทนายจำเลยยังชี้แจงด้วยว่าแม้คดีที่เป็นข้อหา 3/2558 จะยังไม่มีแนวคำพิพากษาศาลออกมา แต่ก็เคยมีคำพิพากษาข้อหาอื่นที่เป็นลักษณะกฎหมายที่ออกมาใหม่ยกเลิกกฎหมายเดิมออกมาบ้างแล้ว จึงน่าจะอนุโลมมาใช้กับคดีนี้ได้ ศาลชี้แจงว่าลักษณะข้อเท็จจริงของคดีข้อหา 3/2558 ที่ฟ้องในศาลอื่นแต่ละคดีมีความแตกต่างกันไปในรายละเอียด ทั้งบางคดีก็เริ่มมีการสืบพยานไปแล้ว

ในส่วนของฎีกาเรื่องกฎหมายใหม่ออกมายกเลิกกฎหมายเดิมในคดีข้อหาอื่นๆ ก็ไม่อาจล้อมาใช้กับคดีนี้ได้โดยอัตโนมัตเพราะข้อกฎหมายที่ใช้เป็นฐานฟ้องคดีแต่ละคดีอาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ขณะที่แนวปฏิบัติในกระบวนการของแต่ละศาลก็แตกต่างกันไป เมื่อศาลชี้แจงประเด็นนี้ก็มีจำเลยบางส่วนขอศาลลุกขึ้นแถลงแล้วตั้งคำถามว่าหากวิธีปฏิบัติของแต่ละศาลแตกต่างกันแล้วกฎหมายเป็นกฎหมายเดียวกันหรือไม่ 
 
จำเลยหลายคนแสดงความไม่พอใจที่คดียังไม่ยุติในวันนี้ ณัชชา หนึ่งในจำเลยลุกขึ้นแถลงต่อศาลว่าขณะนี้ตัวเองศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องจ่ายค่าเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อฟังคำพิพากษาราวหนึ่งแสนบาทแต่ปรากฎว่าคดียังไม่ยุติ จำเลยหลายคนก็ลุกขึ้นแถลงแล้วตัวเองได้รับหมายเรียกให้มีคำพิพากษาทุกคนจึงเดินทางมาในวันนี้แม้แต่คนที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ต้องนั่งรถเข็นมาศาล
 
จำเลยบางคนตั้งคำถามกับศาลทำนองว่าเหตุใดศาลจึงไม่แจ้งเรื่องการเลื่อนการพิพากษาล่วงหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางมาเพราะคดีนี้ได้มอบอำนาจให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาลับหลังจำเลยไว้แล้วซึ่งศาลชี้แจงว่าเพิ่งได้รับสำนวนคืนมาจากอธิบดีผู้พิพากษาภาคจึงไม่สามารถแจ้งล่วงหน้าได้
 
บรรยากาศในห้องพิจารณาเป็นไปอย่างตึงเครียด จำเลยหลายคนลุกขึ้นแถลงต่อศาลแสดงความไม่พอใจ จำเลยบางคนลุกขึ้นแถลงว่าเมื่อนัดนี้ไม่มีการพิพากษาแล้วก็จะขอเดินทางกลับเลย แม้ศาลจะขอให้จำเลยเซ็นรายงานกระบวนพิจารณาเสียก่อนแล้วค่อยกลับแต่จำเลยบางคนก็ตัดสินใจกลับไปเลย ทนายจำเลยพยายามผ่อนคลายบรรยากาศโดยพูดกับจำเลยทำนองว่า "เราทนกับเผด็จการทหารมานานแล้ว ขอให้ทนอีกนิดเดียวคดีนี้ก็จะจบแล้ว" ท้ายที่สุดคู่ความและศาลหาทางออกด้วยการกำหนดนัดวันสืบพยานหนึ่งนัดโดยทนายจำเลยแถลงขอให้อัยการสืบพยานเพียงปากเดียวและประเด็นเดียวคือคำสั่งฉบับที่ 3/2558 ถูกยกเลิกไปแล้ว ศาลกำหนดนัดวันสืบพยานหนึ่งนัดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เวลา 9.00 น. 
 
30 พฤษภาคม 2562

นัดสืบพยานโจทก์
 
ศาลเริ่มกระบวนพิจารณาในเวลาประมาณ 9.30 น. อัยการแถลงต่อศาลว่า ก่อนหน้านี้เคยขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้องคดีผู้ต้องหาจากเหตุเดียวกับคดีนี้อีกคนหนึ่งแยกเป็นอีกหนึ่งสำนวนเนื่องจากได้ตัวมาฟ้องไม่ทันจำเลยคนอื่นๆในคดีนี้ แต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคนดังกล่าวเพราะกฎหมายที่ใช้ดำเนินคดีคือคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ถูกยกเลิกไปแล้ว อัยการจึงทำเรื่องถึงอธิบดีอัยการศาลแขวงเพื่อขอถอนฟ้องคดีนี้ เพราะเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกับคดีที่อัยการสูงสุดสั่งให้ยุติการดำเนินคดี
 
สำหรับขั้นตอนในขณะนี้ อัยการแถลงว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอธิบดีอัยการศาลแขวงซึ่งหากอธิบดีฯอนุญาตให้ถอนฟ้องก็จะต้องทำเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาอีกชั้นหนึ่งซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาประมาณเดือนเศษ จึงขอให้ศาลเลื่อนการพิจารณาคดีในนัดนี้ออกไปก่อน
 
ทนายจำเลยทั้งหมดแถลงไม่คัดค้าน ศาลจึงสั่งให้เลื่อนการพิจารณาคดีในนัดนี้ออกไป และกำหนดวันสืบพยานนัดต่อไปเป็นวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 โดยศาลให้เหตุผลว่าที่ให้กำหนดนัดวันสืบพยานไว้เพื่อในกรณีที่ไม่มีการถอนฟ้อง ศาลจะสามารถดำเนินการสืบพยานได้เลยทำให้คดีไม่ล่าช้า
 
23 กรกฎาคม 2562

นัดสืบพยานโจทก์
 
จำเลยทยอยมาศาลตั้งแต่เวลา 9.00 น. แต่เนื่องจากวันนี้ศาลมีคดีที่ต้องพิจารณาหลายคดีจึงขอให้จำเลยทั้งหมดรอก่อน ต่อมาในเวลา 10.40 น. ศาลแจ้งจำเลยคดีนี้ว่า อัยการได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีนี้ โดยคำแถลงของอัยการพอสรุปได้ว่า
 
หัวหน้าคสช.มีคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 21/2561 เรื่องการให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งกำหนดให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ข้อ 12 ห้ามชุมนุมเกินห้าคน ซึ่งเป็นความผิดที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหมดในคดีนี้ กรณีนี้จึงเป็นกรณีที่กฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตามกฎหมายเดิม สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญามาตรา 39(5) 
 
โจทก์จึงเสนอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาถอนฟ้องคดีนี้ อธิบดีอัยการคดีศาลแขวงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องจำเลยทั้ง 41 คนและได้เสนอต่อผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติพิจารณาตามกฎหมาย ซึ่งผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติเห็นชอบคำสั่งถอนฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้ง 41 คน และขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
 
ศาลพิเคระห์แล้วอนุญาตให้ถอนฟ้อง คดีจึงเป็นอันยุติ

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา