วอยซ์ ทีวีฟ้องกสทช. กรณีระงับการออกอากาศ 15 วัน

อัปเดตล่าสุด: 15/05/2562

ผู้ต้องหา

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2562

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

หลังรัฐประหาร คสช.ใช้มาตรการจำนวนมากควบคุมเสรีภาพ โดยออกประกาศคสช.จำนวนสองฉบับคือ ประกาศฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557 และแต่งตั้งกสทช.ให้เป็นเจ้าหน้าที่ของคสช.ในการควบคุมสื่อโดยปราศจากภาระการรับผิด ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ สื่อจำนวนมากต้องเผชิญกับการกำกับควบคุมการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวการเมืองและข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์คสช. วอยซ์ ทีวี เป็นอีกช่องหนึ่งที่เผชิญกับการควบคุมอย่างหนัก โดยวอยซ์ ทีวีถูกตัดสินว่า มีความผิดและลงโทษจาก กสทช.ไม่ต่ำกว่า 24 ครั้ง

ภูมิหลังผู้ต้องหา


ข้อหา / คำสั่ง

อื่นๆ, พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551
ประกาศคสช.ฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557

การกระทำที่ถูกกล่าวหา


พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีการจับกุม

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลปกครอง

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

วอยซ์ ทีวีรายงานว่า คดีนี้อธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ข้อ 49/2 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมตามระเบียบฯ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 นับเป็นคดีแรกที่ศาลปกครองได้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนตามระเบียบดังกล่าว ที่กำหนดให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนได้ หากมีกฎหมายกำหนดเวลาการพิจารณาพิพากษาหรือเหตุอื่นใดที่การดำเนินกระบวนพิจารณาตามขั้นตอนปกติอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรืออาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ

12 กุมภาพันธ์ 2562
 
12 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ประชุม กสทช. พิจารณาเนื้อหารายการ 5 เทปคือ รายการ Tonight Thailand 1 เทป คือเทปออกอากาศวันที่ 16 ธันวาคม 2561 และรายการ Wake up news 4 เทปคือ เทปออกอากาศวันที่ 21, 28 และ 29 มกราคม และ 4 กุมภาพันธ์ 2562 เห็นว่า เนื้อหาทำให้เกิดความสับสน และยั่วยุให้เกิดความแตกแยก สั่งระงับการออกอากาศทั้งสถานีเป็นเวลา 15 วัน
 
 
15 กุมภาพันธ์ 2562
นัดไต่สวนฉุกเฉิน
 

เวลา 10.00 น. ศาลปกครองนัดไต่สวนฉุกเฉิน กรณีสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ยื่นฟ้องกสทช. ต่อศาลปกครองและขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทุเลาการบังคับตามคำสั่งของกสทช. ให้สามารถออกอากาศได้ก่อนมีคำพิพากษาเพื่อทุเลาผลกระทบต่อธุรกิจของสถานีฯและผลกระทบต่อเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน
 

เวลา 10.00 น. ตุลาการศาลปกครองเริ่มทำการไต่สวนโดยสอบถามรายละเอียดว่า วอยซ์ ทีวี ในฐานะผู้ฟ้อง และกสทช. ในฐานะผู้ถูกฟ้องมีผู้ใดในสองฝ่ายนี้จะให้การบ้าง วอยซ์ ทีวีระบุว่า มีเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี, ประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี, อธึกกิต แสวงสุข ผู้ดำเนินรายการ, ม.ล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ และทนายความผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้ชี้แจง ขณะที่ฝ่ายกสทช. มีสมบัติ ลีลาพตะ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. และผู้รับมอบอำนาจอีกสองคนร่วมเป็นผู้ชี้แจงด้วย
 

ตุลาการฯ อธิบายว่า วันนี้จะไต่สวนในสามประเด็นคือ หนึ่ง คำสั่งกสทช.ออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร? สอง สืบเนื่องจากวอยซ์ ทีวี มีคำขอให้ศาลทุเลาคำสั่งของกสทช. อันเป็นการเยียวยาก่อนมีคำพิพากษา ตามปกติแล้วคำพิพากษาจะเป็นการเยียวยา แต่เยียวยาไม่ทันต่อเวลา ดังนั้นศาลอยากทราบความยากของการเยียวยาในกรณีนี้ และสาม กสทช. ใช้อำนาจปกครองในการออกคำสั่งระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวี ถ้าศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง กสทช.จะเผชิญอุปสรรคต่อการบริหารราชการอย่างไร?
 

พร้อมกับชี้แจงว่า ตามขั้นตอนปกติของศาลปกครองอาจมีระยะเวลาสองปีถึงจะสามารถมีคำพิพากษาได้ แต่เห็นว่า เป็นเรื่องที่มีความเร่งด่วนในการพิจารณาคดี เข้าข่ายข้อกำหนดตามที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดให้สามารถใช้วิธีการเร่งด่วนได้ เนื่องจากคำสั่งมีผลในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 และจะสิ้นสุดในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 หากคำพิพากษาออกมาช้ากว่านั้นก็จะไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตามตุลาการฯจำเป็นจะต้องเสนออธิบดีศาลปกครองก่อน หากสามารถทำตามข้อกำหนดการพิจารณาเร่งด่วนได้ ศาลจะนัดไต่สวนคดีในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 และวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 โดยจะมีคำพิพากษาในวันเดียวกันเลย
 

ตุลาการฯ ขอให้กสทช. อธิบายขั้นตอนกฎหมายในการออกคำสั่ง สมบัติ ลีลาพตะ ผู้รับมอบอำนาจจากกสทช. ระบุว่า การอนุญาตให้ประกอบกิจการกระจายเสียงเป็นกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 2553 (พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ) , พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 (พ.ร.บ. ประกอบกิจการฯ) โดยให้กรอบอำนาจกสทช.ในการออกใบอนุญาตและให้กำกับดูแล, ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง  กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง  หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555
 

นอกจากนี้มีประกาศคสช.ที่ 97/2557 แก้ไขเป็นประกาศคสช.ที่ 103/2557 มีสถานะเป็นกฎหมาย โดยในข้อ 3(5) ระบุว่า ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน  ยั่วยุ  ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง  หรือสร้างให้เกิด ความแตกแยกในราชอาณาจักร และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 ระบุให้การเผยแพร่เนื้อหาต้องห้ามตามประกาศคสช.ที่ 97/2557 และ 103/2557 เป็นความผิดตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ
 

และกล่าวต่อว่า กสทช. กำหนดเงื่อนไขในวันที่ 25 เมษายน 2557 เงื่อนไขข้อ 18 ระบุว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องประกอบกิจการตามที่กำหนดและกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมถึงคำสั่งของกสทช.ที่มีขึ้นในภายหลัง ขณะที่ประกาศคสช.ที่ 15/2557 มีคำสั่งให้ระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม รวมถึงวอยซ์ ทีวีที่เป็นดิจิทัลทีวี ในการพิจารณาให้กลับมาออกอากาศมีการทำเป็นบันทึกข้อตกลง  กำหนดไว้ว่า ให้ถือเป็นเงื่อนไขในการอนุญาต เห็นได้ว่า วอยซ์ ทีวียอมรับว่า เป็นเงื่อนไข
 

ตุลาการฯ ถามว่า กฎหมายให้ถือคำสั่งเป็นหลัก ทำไมต้องทำในรูปแบบบันทึกข้อตกลง?
 

สมบัติ ตอบว่า เป็นขั้นตอนในการพิจารณา ทำบันทึกข้อตกลงให้รับทราบทั้งสองฝ่ายว่า จะต้องไม่มีเนื้อหาอะไรบ้าง ซี่งก็เป็นเนื้อหาเดียวกันกับประกาศ คสช.ที่ 97/2557 และ 103/2557
 

ตุลาการฯถามว่า กสทช.มีอำนาจในการแก้ไขอยู่แล้ว ที่มีข้อสงสัยคือทางวอยซ์ ทีวี ไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ มีรายละเอียดว่า ให้ถือเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงข้อ 2 (ห้ามออกอากาศเนื้อหาต้องห้ามตามระบุ) เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการอนุญาตให้ใช้ความถี่ ประเด็นนี้ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจของวอยซ์ ทีวีกล่าวว่า กรณีข้อ 4 ของบันทึกข้อตกลง การแก้ไขเพิ่มเติมกสทช.จะต้องออกฝ่ายเดียว ไม่อาจออกเป็นสัญญาในการแก้ไข ลักษณะดังกล่าวผิดรูปแบบตามหลักวิธีการปฏิบัติตามปกครอง
 

ตุลาการฯ ขอให้สมบัติ อธิบายเรื่องเนื้อหาที่เข้าข่ายต้องห้ามตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ สมบัติอธิบายว่า มีเนื้อหาจากรายการ Tonight Thailand และ Wake up news เข้าข่ายขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ 4 ครั้ง เป็นการก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุปลุกปั่นตามประกาศคสช.ที่ 97/2557 และ 103/2557 ดังนั้นจึงเป็นการขัดความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า เจตนารมณ์ในการออกประกาศคสช.ทั้งสองฉบับคือ เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในกิจการกระจายเสียง ดังนั้นการออกอากาศเนื้อหาที่ขัดต่อมาตรา 97/2557 และ 103/2557 จึงเท่ากับขัดมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ
 

นอกจากนี้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 ยังกำหนดสำทับอีกทีว่า การออกอากาศเนื้อหาที่ขัดต่อมาตรา 97/2557 และ 103/2557   เป็นการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิด การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หรือที่มีผลกระทบ ต่อความมั่นคงของรัฐ  ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  ตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ 
 

ตุลาการฯ สรุปว่า จากที่สมบัติกล่าวว่า กสทช.มองว่า รายการ Tonight Thailand และ Wake up news เข้าข่ายขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ
 

ทนายความผู้รับมอบอำนาจของวอยซ์ ทีวีขอโต้แย้งในประเด็นนี้ว่า ประกาศคสช.ที่ 97/2557 กำหนดบทลงโทษโดยเฉพาะ คือหากเนื้อหาขัดต่อประกาศดังกล่าวให้องค์กรที่เกี่ยวข้องเพิกถอนใบอนุญาต แต่ประกาศคสช.ที่ 103/2557 ได้ยกเลิกบทลงโทษ โดยหากเนื้อหาขัดต่อข้อต้องห้าม ให้เสนอสภาวิชาชีพดำเนินการต่อไป กฎหมายไม่ได้มีจุดประสงค์ให้เพิกถอนหรือระงับใบอนุญาตจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
 
สมบัติ ระบุว่า ประกาศคสช.ที่ 97/2557 ระบุว่า ‘อาจ’ ส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพ ทั้งทางกสทช.มองว่า มีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 มาสำทับอีกทีด้วย และอธิบายเพิ่มเติมว่า ในรายการ Wake up news กสทช. มองว่า ฝ่าฝืนประกาศคสช.ที่ 97/2557 จึงฝ่าฝืนมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ

 

ตุลาการฯ ถามว่า ในคำฟ้องของวอยซ์ ทีวี มีการระบุว่า เป็นการใช้สิทธิตามหลักประชาธิปไตย แล้วเนื้อหารายการสร้างความสับสนอย่างไร

 

ผู้รับมอบอำนาจจากกสทช. ตอบว่า การพิจารณาเนื้อหารายการมีทั้งหมด 5 เทปคือ รายการ Tonight Thailand 1 เทป คือเทปออกอากาศวันที่ 16 ธันวาคม 2561 และรายการ Wake up news 4 เทปคือ เทปออกอากาศวันที่ 21, 28 และ 29 มกราคม และ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ยกตัวอย่างในกรณีของรายการ Wake up news วันที่ 21 มกราคม 2562 ผู้ดำเนินรายการคือ วิโรจน์ อาลี, ม.ล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล และศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ให้ความเห็นเรื่องผลสำรวจของประชาชน ข้อกังวลในการเลือกตั้งและเศรษฐกิจ ผู้ดำเนินรายการมีความเห็นในทางเดียวกันว่า ผู้มีอำนาจไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่สับสน รายการมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง มีลักษณะแบ่ง ‘เขา’ และ ‘เรา’ มีสองฟากฝั่งคือ เผด็จการและประชาธิปไตย ผู้ดำเนินรายการมีลักษณะผูกตัวเองเข้ากับฝั่งใดฝั่งหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ การวิพากษ์ว่า ซีพีได้สัมปทานโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงโดยไม่ต้องประมูล ทั้งที่ความจริงจะต้องมีกระบวนการก่อนหน้าการได้สัมปทาน
 
 
ประทีป กล่าวว่า  เรื่องข้อกังวลของคนไทยเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในการนำเสนอเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป การแสดงความเห็นต่อเนื่องกับข้อเท็จจริงที่นำเสนอไปก่อน ซึ่งถือว่า เป็นเสรีภาพของสื่อมวลชน ส่วนที่กล่าวอ้างว่า การเป็นสื่อต้องมีความเป็นกลาง การที่สื่อมีจุดยืนบนหลักการประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความไม่เป็นกลาง ประชาธิปไตยเป็นหลักการสากล

 

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า เรื่องข่าวซีพีนั้นเป็นการพาดหัวข่าวของสื่อหลายฉบับ โดยข้อมูลที่ใช้ในวันนั้นเป็นข้อมูลโดยหนังสือพิมพ์ “โพสต์ ทูเดย์” เป็นการนำเสนอระยะสั้นๆ การนำพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์มาใช้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรายการเล่าข่าว เป็นเรื่องที่สื่อทำเป็นปกติและทำทุกสถานี
 
 
ตุลาการฯ กล่าวสรุปว่า วอยซ์ ทีวีพยายามยืนยันว่า เนื้อหาเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย เรื่องเนื้อหาจะพิจารณาในอีกขั้นหนึ่ง เข้าสู่ประเด็นที่สอง เรื่อง หากไม่ให้ทุเลาในครั้งนี้จะเกิดความเสียหายที่ยากต่อการเยียวยาอย่างไร
 
 
เมฆินทร์ กล่าวว่า เป็นความเสียหายต่อสังคมและสาธารณะ ตอนนี้สังคมกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งจำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลจากวอยซ์ ทีวี ในช่วงการเลือกตั้งประชาชนต้องการการวิเคราะห์ข่าวการเมือง ดังนั้นการระงับการออกอากาศจึงเป็นความเสียหายต่อสิทธิขั้นพื้นฐานทางสังคมในวงกว้าง ส่วนความเสียหายในอุตสาหกรรม วอยซ์ ทีวีประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี 2552-2558 มาด้วยความราบรื่น ไม่มีปัญหา มาจนกระทั่งปี 2558 เริ่มมีการลงโทษ ที่ผ่านมาวอยซ์ ทีวีได้สั่งสมความสามารถทางธุรกิจ ผู้ชมและความเชื่อมั่นของลูกค้า ถ้าเกิดมีการปิดสถานี 15 วัน จะสูญเสียแรงส่งที่สั่งสมมา สร้างความเสียหายทางธุรกิจอย่างไม่สามารถเรียกคืนได้ การสั่งสมฐานผู้ชมในช่วงนี้ที่เป็นจังหวะที่สำคัญก็จะส่งผลเสียหายเช่นกัน
 
 
อธึกกิต กล่าวว่า ความสนใจประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสูงมาก วอยซ์ ทีวีที่คนทั่วไปเข้าใจว่า มีความเห็นต่างกับผู้มีอำนาจ คนดูจะรู้สึกได้ว่า มีการโต้แย้งในเนื้อหา ถึงแม้ว่าจะมีการออกอากาศออนไลน์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงผู้ชมได้หมด ส่งผลต่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบข้อมูลข่าวสาร การทำหน้าที่สื่อคือ การเสนอความเห็นที่หลากหลาย แต่ละช่องคิดอย่างไร  การระงับการออกอากาศไม่ได้กระทบต่อวอยซ์ ทีวีเพียงช่องเดียว แต่มันสะดุ้งสะเทือนถึงสื่อทั้งหมด การใช้อำนาจค่อนข้างกว้าง คลุมเครือไม่ชัดเจน บางครั้งถูกลงโทษจากการเลือกปล่อยเสียงสัมภาษณ์ ทั้งที่ช่องอื่นก็ออกอากาศเหมือนกัน แต่ทำไมวอยซ์ ทีวีถึงโดน การลงโทษจะทำให้สื่ออื่นกังวลว่า หากช่องเห็นต่างจะเกิดผลกระทบหรือไม่ นอกจากนี้หัวหน้าคสช.ประกาศเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่ประกาศคสช.ยังถูกนำมาใช้อีก
 
 
ตุลาการฯ ถามว่า เรตติ้งที่เสนอเป็นภาพรวมของทุกสถานีใช่หรือไม่ ประทีปตอบว่า ใช่และกล่าวเพิ่มเติมว่า  ถ้าพิจารณาเฉพาะรายการข่าวของทุกสถานี รายการ Wake up news ถือเป็นท็อปเทนของทีวีดิจิทัลทั้งหมด
 
 
สมบัติ กล่าวว่า ช่องรายการที่เป็นช่องข่าวเลยมีอยู่ 6 ช่อง นอกจากนี้ช่องที่เป็นวาไรตี้ไม่ใช่ช่องรายการข่าวก็มีการเสนอข้อมูลข่าวเป็นรายการหลัก เช่น ไทยรัฐทีวี หรือช่อง 7 การรับรู้ข้อมูลข่าวสารมองว่า ไม่มีผลกระทบเพราะไปดูสถานีอื่นก็ได้ มีการนำเสนอเรื่องการเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครดีเบต ประเด็นที่วอยซ์ทีวีมองว่า จะส่งผลกระทบต่อประชาชน วอยซ์ ทีวีก็ได้ระบุแล้วว่า ยังมีช่องทางออนไลน์ที่เป็นผู้ชมที่เป็นแฟนคลับก็ตามไปดูได้ อีกประเด็นหนึ่งคือ ธุรกิจเรื่องเรตติ้งที่ได้รับผลกระทบ ต้องเรียนว่า การประกอบกิจการในกรณีที่มีการนำเสนอที่ขัดต่อกฎหมายและยอมให้ออกอากาศต่อไป โดยไม่ได้ใช้มาตรการทางปกครอง มันจะก่อผลกระทบ ที่ทราบกันเป็นประจักษ์อยู่แล้วว่า วอยซ์ ทีวีเคยถูกปิดตอนที่มีการรัฐประหารและมีการให้ออกอากาศในภายหลัง เหตุที่สั่งให้ปิดก็เกิดจากเรื่องทางการเมืองเหมือนกัน หากยังปล่อยให้ออกอากาศต่อไปจะทำให้เกิดการแบ่งแยกไม่เป็นการปรองดองสมานฉันท์หรือไม่ กสทช.จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งและชั่งน้ำหนัก
 
 
ผู้รับมอบอำนาจจากกสทช. กล่าวเสริมว่า เป็นที่ยอมรับกันว่า ในการเลือกตั้งสื่อมีบทบาทสำคัญมาก การที่มีสื่อหลากหลายมีความสำคัญ แต่การมีสื่อเป็นกลางก็สำคัญเช่นเดียวกัน ในการเลือกตั้งมีการออกกฎหมายให้สื่อจัดเวลาสำหรับพรรคการเมืองอย่างเท่าทเยมกัน กกต.จะขอความร่วมมือไปทางสถานีและจัดสรรเวลาแก่พรรคการเมืองวันละ 1 ชั่วโมง ในการดำเนินการจะต้องเท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนฐานของจริยธรรมสื่อ ช่องอื่นๆก็จะทำแบบนี้ สื่อสำคัญถือเป็นวอทช์ด็อกคอยตรวจสอบ แต่หากสื่อ ‘เลือกข้าง’ หรือที่วอยซ์ ทีวีเรียกว่า ‘จุดยืน’ เสนอนโยบายพรรคการเมืองต่างๆ และบอกว่า นโยบายแบบนี้ไม่ดี ถ้าสื่อทุกช่องทำแบบนี้ก็จะส่งผลเสียหายต่อสังคม
 
 
ตุลาการฯ กล่าวว่า ขอให้กลับมาที่เรื่องคดีก่อน ที่กล่าวมาเป็นเรื่องของอนาคต ขั้นนี้ศาลจะพิจารณาเรื่องทีผ่านมา ถ้าศาลเห็นว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เห็นควรว่า ควรทุเลาคำสั่งให้ ตามโครงสร้างอำนาจของรัฐธรรมนูญ ฝ่ายปกครองจะใช้อำนาจเหนือเอกชน ศาลจะเป็นผู้เข้าไปตรวจสอบ ไม่ได้ทำให้เกิดความยุ่งยากในการกำกับดูแล  กสทช.ยังคงมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลเท่าเดิม ซึ่งเมื่อสักครู่คำตอบก็ครอบคลุมไปถึงประเด็นที่สามบ้างแล้ว
 
 
สมบัติ ชี้แจงว่า อาจจะเกิดปัญหาต่อประชาชน สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ถ้าศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ช่องรายการจะทำและยิ่งสร้างความสับสนต่อประชาชนมากขึ้น
 
 
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าว่า วอยซ์ ทีวีแพร่ภาพตั้งแต่ปี 2552 ในช่วงรายการประกอบความเห็น (Commentary show) ที่ได้ทำมาโดยตลอดไม่เคยถูกประณามโดยองค์กรวิชาชีพสื่อ แต่ละครั้งที่กล่าวอ้างมีเพียงทางกสทช.ล้วนๆ โดยสภาวิชาชีพไม่เคยมีการลงโทษ และเป็นที่ยอมรับต่อสังคมโดยรวม ในการให้ความร่วมมือกับกสทช.กำกับดูแลเป็นไปด้วยดีมาตลอด แม้หลังการรัฐประหาร วอยซ์ ทีวีแสดงความเคารพต่อการตักเตือนทางการหรือไม่เป็นทางการมาตลอดและน้อมรับปฏิบัติตาม สิ่งที่กสทช.แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า กสทช.มีความพร้อมในการปิดสถานีในแบบที่ทำลายความน่าเชื่อขององค์กร
 

ผู้ที่มีความพร้อมที่จะลงทุนกับวอยซ์ ทีวีตกอยู่ในสภาวะที่เชื่อว่า วอยซ์ ทีวี สามารถถูกเลือกปฏิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้อาจสายเกินไปที่จะเยียวยาในภายหลัง สื่อมีเหตุผลที่อยู่ได้คือ มีสปอนเซอร์มาลงทุน เมื่อหมดความเชื่อมั่นจะส่งผลต่อธุรกิจ ถ้าผ่านจุดนี้ไปตามอำเภอใจ ความเสียหายมันเกินการเยียวยา
 

ตุลาการฯถามว่า ที่ผ่านมาสปอนเซอร์ลดลงไหม เมฆินทร์ตอบว่า ทุกครั้งที่มีการระงับรายการหรือระงับการออกอากาศ สปอนเซอร์จะมีการยกเลิกสัญญาและแผนการโฆษณากับช่อง ถ้าปิดทั้งสถานีในช่วงที่มีการเติบโตจะเกิดผลอย่างชัดเจน ในช่วงปลายปี 2560 รายได้ตกลงเหลือ 47 ล้านบาทจากปีก่อนหน้าที่ได้ 147 ล้านบาท ทำให้วอยซ์ ทีวีต้องปรับตัวและดีลอย่างมาก กรณีของบริษัทไทยคม ที่เป็นสปอนเซอร์หลัก มีการวางแผนลงโฆษณาทั้งปี ถ้ามีเกิดสถานการณ์การลงโทษจากกสทช.จะยกเลิกทันที การที่สปอนเซอร์รายใหญ่มาซื้อโฆษณากับช่องจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้ารายอื่นๆ ถ้าสปอนเซอร์ใหญ่เช่นไทยคมยกเลิกจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อลูกค้ารายอื่นๆ
 

ประทีป กล่าวเสริมว่า ในเดือนมีนาคม 2560 กำลังจะเซ็นสัญญากับสสส. ในสัญญาวงเงิน 5 ล้านบาท พอมีเหตุการณ์การลงโทษจากกสทช. ทำให้สัญญานี้ยกเลิกไปเลย
 
 
ทนายความผู้รับมอบอำนาจกล่าวว่า กสทช.สั่งระงับการออกอากาศทั้งสถานีระหว่างการเลือกตั้ง ผิดหลักในรัฐธรรมนูญ ไม่อาจเยียวยาได้ในภายหลัง กระชั้นชิดกับวันเลือกตั้ง ถ้าศาลไม่มีคำสั่งทุเลาคำสั่งของกสทช. สื่อจะเซนเซอร์กันหมด ผลกระทบมากกว่าการปิดวอยซ์ ทีวี
 

อธึกกิตกล่าวว่า กสทช.กล่าวว่า ถ้าผิดก็ปิดอีก หมายถึงว่า กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ อย่างที่เราได้เคยตั้งข้อสังเกตกันไว้ว่า เป็นเรื่องปกติที่มีการเสนอข่าวและวิจารณ์ การระงับการออกอากาศครั้งนี้เป็นการนำเทปออกอากาศมารัวเป็นชุดและปิดตอนที่กำลังเลือกตั้งพอดี มันไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะผู้ชม ถ้าผู้ชมดูออนไลน์ได้ก็คงไม่ต้องดูโทรทัศน์กันแล้ว
 

ม.ล. ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ขอกล่าวเพิ่มเติมว่า ครั้งนี้องค์กรวิชาชีพไม่ได้มีปัญหา ในรอบนี้ก็มีการประนามการกระทำของกสทช.ว่า ลิดรอนเสรีภาพของสื่อมวลชน ในจังหวะเวลาที่กำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ผู้ร่วมดำเนินรายการได้เป็นแขกรับเชิญและแสดงความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน ที่กล่าวถึงคือ กรณีของศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ไปร่วมเป็นแขกรับเชิญที่ไทยรัฐทีวีจัดและแสดงความคิดเห็นเช่นกัน วอยซ์ ทีวีถูกเลือกปฏิบัติจากผู้กำกับดูแลกิจการกระจายเสียงอย่างกสทช. ถือเป็นการบ่อนทำลายสถานีจะผู้กำกับดูแลกิจการกระจายเสียงโดยตรง ในที่สุดลูกค้าที่ซื้อโฆษณาก็จะเปลี่ยนไปลงโฆษณาที่อื่น
 

ทนายความผู้รับมอบอำนาจ กล่าวว่า รายการที่กสทช.กล่าวอ้างมาใช้ลงโทษทั้งหมดระบุว่า สร้างความสับสนในหมู่ประชาชน เป็นความพยายามผูกข้อเท็จจริงของกสทช. หากดูรายละเอียดเนื้อหาต้องห้ามตามประกาศคสช.ที่ 97/2557 ที่ตรงตัวคือ ข้อ 7 (3) เรื่องห้ามวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคสช. และการปล่อยให้ความผิดตามประกาศคสช.ที่ 97/2557 และ 103/2557 ไปผูกกับมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ เท่ากับว่า การวิพากษ์วิจารณ์คสช.ในช่วงเลือกตั้งนี้จะนำไปสู่การปิดสถานีเสมอ ซึ่งมองว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 35
 

เมฆินทร์ กล่าวว่า สิ่งที่วอยซ์ ทีวีร้องขอเป็นเพียงการขอความคุ้มครองฉุกเฉิน ตอนนี้เสียหายหนักจริงๆ ช่วงเวลานี้สาธารณะติดตามข่าวการเลือกตั้งประมาณร้อยละ 70 และวอยซ์ ทีวีเองก็มีจุดยืนในฝ่ายประชาธิปไตย นอกจากนี้กสทช.ยังได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 ไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและทางอาญา เกรงว่า การกำหนดโทษโดยไม่รอบคอบและก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง จะทำให้สถานะองค์กรหลุดออกจาก(หลักนิติรัฐ)
 

เวลา 12.00 น. เสร็จสิ้นการไต่สวนฉุกเฉิน ต่อมาเวลาประมาณ 21.00 น. ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ทุเลาคำสั่งระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีของกสทช.
 
 
20 กุมภาพันธ์ 2562
นัดไต่สวนข้อเท็จจริงคดีวอยซ์ทีวีฟ้องกสทช.
 

เวลา 10.00 น. ศาลปกครองนัดไต่สวนข้อเท็จจริง คดีที่วอยซ์ ทีวีฟ้องกสทช. จากการสั่งระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีเป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-27 กุมภาพันธ์ 2562 ก่อนหน้านี้วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ศาลปกครองนัดไต่สวนฉุกเฉินทุเลาคำบังคับของกสทช. โดยศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองให้วอยซ์ ทีวีออกอากาศได้ระหว่างการพิจารณาคดี
 

เวลา 10.10 น. คู่ความทั้งสองฝ่ายพร้อมกันที่ห้องไต่สวนที่ 3 วอยซ์ ทีวี ในฐานะผู้ฟ้องคดี มีเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี, ประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี, อธึกกิต แสวงสุข ผู้ดำเนินรายการ, ม.ล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ, ผู้แทนเครือข่ายผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือซีป้า (Southeast Asian Press Alliance: SEAPA) และทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวอยซ์ ทีวีร่วมเป็นผู้ชี้แจงข้อมูล ฝ่ายคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ผู้ถูกฟ้องคดี มีสมบัติ ลีลาพตะ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. และผู้รับมอบอำนาจสองคนร่วมเป็นผู้ชี้แจง
 

เวลา 10.30 น. ตุลาการผู้ดำเนินการแสวงหาและรวบรวมข้อเท็จจริง(ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ) และตุลาการผู้แถลงคดี เริ่มทำการไต่สวน ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า คดีนี้มีกรอบเวลาตามคำสั่งการระงับการออกอากาศของกสทช. 15 วัน หากใช้ระบบปกติเกรงว่า การพิจารณาคดีจะล่าช้า ศาลจึงใช้ระเบียบใหม่ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งได้เคยชี้แจงไปเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้จะดูเรื่องความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคำสั่ง และวันนี้จะต้องไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ จนเพียงพอที่ศาลจะสามารถวินิจฉัยได้แล้ว ตุลาการผู้แถลงคดีจะทำการแถลงในวันนั่งพิจารณา ซึ่งกำหนดไว้แล้วว่า เป็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งในช่วงบ่ายของวันดังกล่าวศาลจะมีคำพิพากษา
 
 
ในส่วนของข้อเท็จจริง หากคู่ความสองฝ่ายเห็นว่า มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมสามารถส่งข้อเท็จจริงหรือคำชี้แจงเข้ามาเพิ่มเติมได้อีกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ประเด็นเรื่องความไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น คำสั่งทุเลาคำบังคับของกสทช.ถือเป็นคำวินิจฉัยในเบื้องต้น ระบุว่า “ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย”  ศาลย้ำว่า ศาลใช้คำว่า ไม่น่าจะชอบ จากนั้นจึงสอบถามสมบัติ ผู้แทนกสทช.ว่า ได้จัดทำคำให้การมาแล้วหรือไม่
 

สมบัติตอบว่า จัดทำเป็นเอกสารมาแล้ว ขอชี้แจงตามเอกสารใน 2-3 เรื่อง คือ
 
 
1.กระบวนการพิจารณาในเรื่องคำสั่งทางปกครอง กสทช. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาให้วอยซ์ ทีวีทราบว่า มีรายการอะไรบ้างและออกอากาศเมื่อใดบ้าง การเปิดโอกาสให้วอยซ์ ทีวีชี้แจงข้อเท็จจริง และมีการรวบรวมข้อเท็จจริงส่งให้แก่ที่ประชุมคณะกรรมการกสทช. เมื่อที่ประชุมพิจารณาแล้วว่า เนื้อหาการออกอากาศขัดต่อกฎหมาย จึงมีคำสั่งทางปกครอง
 
 
2.ตามคำให้การที่นำส่งวันนี้ระบุว่า เนื้อหาสาระของรายการที่กสทช. ได้รับการร้องเรียนและชี้แจงจากวอยซ์ ทีวี ขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ตรงที่ใดบ้าง มีเหตุผลเพราะอะไรบ้าง และ 3. กสทช. ใช้อำนาจตามกฎหมายมาตรา 16, 64 และ 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ประกอบข้อ 20 ของประกาศกสทช.เรื่อง เรื่อง  หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555 ในการพิจารณาเนื้อหาของวอยซ์ ทีวีนั้น เห็นว่า ขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ซึ่งเมื่อพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ให้อำนาจกสทช. ในการพิจารณาสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ หากผู้รับใบอนุญาตออกอากาศเนื้อหาฝ่าฝืนมาตรา 37 และเป็นกรณีที่เกิดความเสียหายร้ายแรงตาม มาตรา 64(2) และหากกระทำซ้ำอีก หรือก่อความเสียหายร้ายแรงตามมาตรา 64(3) ซึ่งกสทช.เห็นว่า การพักใช้ใบอนุญาตเป็นเพราะวอยซ์ ทีวีออกอากาศเนื้อหาขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 64 (2) และยังกระทำซ้ำฝ่าฝืนเงื่อนไขตามมาตรา 64(3)ประเด็นที่วอยซ์ ทีวีกล่าวอ้างว่า มติของกสทช. ขัดต่อมาตรา 35  ขอชี้แจงว่า มาตรา 35 บัญญัติไว้ว่า “บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง  จะกระทํามิได้” ส่วนที่ระบุว่า การสั่งปิดจะกระทำไม่ได้นั้นไม่ใช่กรณีที่ให้อำนาจโดยไม่มีขอบเขตจำกัด เสนอเนื้อหาได้ตามอำเภอใจ มันต้องอยาภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม ขอแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า วอยซ์ ทีวีเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพข่าว วิทยุและโทรทัศน์ไทย 2553 หลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ มาตรา 7 มีส่วนที่เกี่ยวข้องดังนี้
 

(1) สื่อต้องนำเสนอหรือเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่สาธารณะชนตามหลักวัตถุวิสัย ด้วยความถูกต้องเที่ยงตรง แม่นยำ และครบถ้วน ด้วยความเป็นธรรมโดยปราศจากอคติทั้งปวง 
(4) ต้องนำเสนอหรือเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่สาธารณะชนตามหลักวัตถุวิสัย ด้วยความถูกต้องเที่ยงตรง แม่นยำ และครบถ้วน ด้วยความเป็นธรรมโดยปราศจากอคติทั้งปวง
(6) การนำเสนอหรือเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักถึงประโยชน์แห่งสาธารณะ
(8) ต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
(10) ต้องระมัดระวังไม่นำเสนอหรือเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ตนเองหรือพวกพ้องมีผลประโยชน์ทับซ้อน หากผู้ประกอบวิชาชีพข่าวมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ต้องแจ้งหรือรายงานพร้อมกับการนำเสนอหรือเผยแพร่ดังกล่าวทันที
 

เห็นว่า การนำเสนอข่าวของวอยซ์ ทีวีมีลักษณะบิดเบือนไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ ยกตัวอย่างเช่น รายการ Wake up news วันที่ 21 มกราคม 2562 ผู้ดำเนินรายการใช้ถ้อยคำว่า พวกเรา ฝั่งนู้น ฝั่งนี้ เราต้องมีการเตรียมความพร้อม มีการวางตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามของบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ผู้ดำเนินรายการไม่ได้ให้ข้อมูลในฐานะสื่อ แต่เสนอเนื้อหาเสมือนกับเป็นผู้ดำเนินรายการเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐ ขัดต่อหลักปฏิบัติอันเป็นกลาง อีกเทปหนึ่งคือ รายการ Wake up news วันที่ 29 มกราคม 2562 เนื้อหาข่าวเป็นการนำเสนอนโยบายของพรรคเพื่อไทย ภาพข่าวของแกนนำพรรคการเมือง วิเคราะห์และให้ความเห็นต่อนโยบาย พานทองแท้ ชินวัตรเป็นกรรมการของวอยซ์ ทีวีและเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย การนำเสนอในประเด็นนโยบายยุทธศาสตร์ของพรรค มีลักษณะของผลประโยชน์ทับซ้อน หากไม่สามารถงดเว้นได้ จะต้องแจ้งให้ผู้ชมทราบถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ดังกล่าวมากสทช.เห็นว่า เนื้อหาของวอยซ์ ทีวีขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ เนื่องจากทำให้ประชาชนสับสน คำสั่งพักใช้ใบอนุญาตระงับการออกอากาศชอบด้วยเหตุผลและเป็นธรรมแก่วอยซ์ ทีวีแล้ว
 

เรื่องความเสียหายที่จะเกิดขึ้น กสทช.มองว่า ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะความสงบเรียบร้อย แต่เป็นความเสียหายในด้านการกำกับดูแลการประกิจการวิทยุและโทรทัศน์ วอยซ์ ทีวี ทำความผิดซ้ำซาก กสทช. ขอชี้แจงว่า ก่อนหน้าการระงับการออกอากาศ กสทช.ได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนหลายครั้ง ตักเตือนวอยซ์ ทีวีด้วยลายลักษณ์อักษร แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ผ่านมา กสทช.เคยระงับการออกอากาศเฉพาะรายการเช่น Wake up news และ Tonight Thailand แต่ไม่อาจยับยั้งไม่ให้วอยซ์ ทีวี กระทำความผิดซ้ำซากได้
 

ในส่วนบันทึกข้อตกลงระหว่างกสทช.และวอยซ์ ทีวี ที่ทางวอยซ์ ทีวีระบุว่า ไม่มีผลผูกพัน กสทช.ขอชี้แจงว่า วอยซ์ ทีวีเป็นผู้ติดต่อแจ้งความประสงค์ที่จะทำบันทึกข้อตกลงเอง และยินยอมกระทำตามบันทึกข้อตกลงมาโดยตลอด
ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวอยซ์ ทีวี กล่าวว่า ตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯที่กสทช.อาศัยเป็นเหตุว่า วอยซ์ทีวีกระทำการขัดต่อกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 64(2) ให้อำนาจกสทช.ในการพิจารณาสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ หากผู้รับใบอนุญาตออกอากาศเนื้อหาฝ่าฝืนมาตรา 37 และเป็นกรณีที่เกิดความเสียหายร้ายแรง องค์ประกอบความผิดจะต้องครบถ้วนทุกองค์ประกอบคือ หนึ่ง เนื้อหาผิดตามมาตรา 37 และสอง เกิดความเสียหายร้ายแรง โดยบทบัญญัตินี้ถือเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของเอกชน ไม่สามารถขยายความเกินตัวบทได้
 

ตามที่กสทช.ระบุว่า การออกคำสั่งทางปกครองอาศัยอำนาจตาม ประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์  2555 ข้อ 20 วรรคหนึ่งระบุว่า “ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งได้รับคําสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ  19  ไม่พอใจ ในคําสั่งดังกล่าว  ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว  คําวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด” ซึ่งจะต้องพิจารณาข้อ 19 ประกอบด้วยระบุว่า “ในกรณีที่ปรากฏแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่าผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ในการอนุญาตตามประกาศนี้  หรือหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด  ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจ ตักเตือน  เป็นลายลักษณ์อักษร  หรือสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตระงับการกระทําที่ฝ่าฝืน  หรือแก้ไขปรับปรุง  หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กําหนดก็ได้  ซึ่งให้รวมถึงอํานาจการสั่งให้ชี้แจง หรือส่งเอกสารหรือพยานหลักฐาน  เพื่อประกอบการพิจารณา”
 

ขอโต้แย้งว่า เมื่อดูเฉพาะคำสั่งที่ออกระหว่างเดือนธันวาคม 2561-มกราคม 2562 คำสั่งทางปกครองของกสทช. ไม่เป็นไปตามมาตรา 19 เนื่องจากคณะกรรมการ กสทช. เป็นผู้ออกคำสั่งและไม่ถือเป็น “พนักงานเจ้าหน้าที่” ตามนิยามของประกาศฉบับนี้ ข้อ 20 วรรคสองระบุว่า “ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง  หรือกรณีที่มีความเสียหายร้ายแรง   ต่อประโยชน์สาธารณะ  ให้คณะกรรมการมีอํานาจพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้  ทั้งนี้  การพักใช้ ใบอนุญาตให้กระทําได้ครั้งละไม่เกิน 1 เดือน” ขอชี้แจงเรื่อง การกระทำซ้ำและความร้ายแรงของถ้อยคำ ในระดับความร้ายแรงของถ้อยคำแต่ละครั้งจะต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน การกล่าวว่า วอยซ์ ทีวี ไม่ปฏิบัติตามกสทช. ไม่อาจหมายความว่า วอยซ์ ทีวีไม่ปฏิบัติตามในทุกระดับของความรุนแรง นอกจากนี้ระนาบความเสียหายนั้นจำเป็นจะต้องเทียบเคียงกับความเสียหายของเอกชนด้วย
 

ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ สรุปว่า มีอำนาจทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลักคือ มาตรา 64(2),(3) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ โดย มาตรา 64(2) จะมีสององค์ประกอบหลักคือ เนื้อหาผิดตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ และก่อความเสียหายร้ายแรง และมาตรา 64(3) ที่จะพิจารณาการกระทำความผิดซ้ำเป็นส่วนๆไป
 

สมบัติกล่าวว่า กสทช.ออกคำสั่งทางปกครองระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวี โดยใช้มาตรา 64(2),(3) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ โดยตามมาตรา 37 วรรคท้ายนั้นผูกอยู่กับมาตรา 64(2) และหากมีการกระทำผิดซ้ำซากจะพิจารณาตาม 64(3)
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามว่า หากรายการนี้(Wake up news และ Tonight Thailand) ไม่ได้มีการตักเตือนมาก่อน ไม่ถือว่า เป็นการกระทำซ้ำใช่ไหม
 

สมบัติตอบว่า ขอกล่าวย้อนไปถึงเรื่อง “พนักงานเจ้าหน้าที่” ตามประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์  2555 เหตุที่ไม่ได้มีการแต่งตั้ง “พนักงานเจ้าหน้าที่” เนื่องจากคณะกรรมการกสทช.ทำหน้าที่อยู่ ส่วนกรณีการตักเตือนมีมาหลายครั้ง ครั้งล่าสตุดคือ มติที่ประชุมกสทช.ครั้งที่ 23/2561 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โดยมีการแจ้งในตักเตือนในวันที่ 8 มกราคม 2562 เรื่องเนื้อหารายการ Wake up news และ The Daily dose และมติที่ประชุมกสทช.ครั้งที่ 1/2562 ลงวันที่ 8 มกราคม 2562 มีมติให้ปรับปรุงแก้ไขรายการ Tonight Thailand ส่งคำสั่งเตือนไปยังวอยซ์ ทีวีในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 กรณีนี้ได้เรียกวอยซ์ ทีวีเข้าไปชี้แจงในวันที่ 4 ธันวาคม 2561 โดยคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหา กสทช. เห็นว่า เป็นการเสนอข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์ แต่วอยซ์ ทีวี แจงว่า หากดูรายการตลอดทั้งรายการจะเห็นว่าวิพากษ์ทุกฝ่าย
 

ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวอยซ์ ทีวี กล่าวว่า การที่กสทช.อ้างฐานอำนาจตามมาตรา 64(3) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯเป็นการเลี่ยง เนื่องจากเห็นว่า มีบทบัญญัติเฉพาะอยู่แล้วในมาตรา 64(2)  ในกรณีที่เกิดความเสียหายเล็กน้อยและกระทำซ้ำอีกเช่น การกระทำซ้ำในกรณีที่กสทช.กล่าวหาว่า การปล่อยคลิปเสียงของพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเป็นการให้ข้อเท็จจริงที่สับสน เห็นว่า เนื้อหาดังกล่าวนอกจากจะไม่เข้าองค์ประกอบและความร้ายแรงไม่มี การที่กสทช.นำความผิดลหุโทษมากกว่า 1 ครั้งมาเป็นฐานการระงับการออกอากาศเช่นนี้แล้วเป็นการตีความให้เกิดผลประหลาดอันก่อความไม่ยุติธรรมอย่างร้ายแรง
 

ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามว่า ตามข้อ 20 ประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์  2555 จะต้องเป็นการทำผิด “เงื่อนไข” แต่ทางวอยซ์ ทีวีถือว่า เป็น “ข้อตกลง” ให้กสทช.ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า วอยซ์ ทีวีผิดเงื่อนไขอย่างไร
 

สมบัติกล่าวว่า กสทช.มีเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตจะต้องตรวจสอบ แก้ไข ปรับปรุงเนื้อหาที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ส่วนบันทึกข้อตกลงระหว่างกสทช. และวอยซ์ ทีวี เป็นข้อตกลงเพื่อยอมรับให้มีการดำเนินการออกอากาศได้ หลังจากถูกระงับการออกอากาศตามประกาศคสช.ที่ 15/2557 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต
 

ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกสทช.กล่าวว่า เงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงไม่ได้ออกเป็นคำสั่ง ไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตได้
 

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่ กสทช. ลงโทษวอยซ์ ทีวี กสทช.ได้ละเว้นขั้นตอนที่สามารถส่งเรื่องไปยังองค์กรวิชาชีพสื่อ ประกาศคสช.ที่ 103/2557 เปิดทางให้ส่งเรื่องไปยังองค์กรวิชาชีพพิจารณาได้ การทำเช่นนี้น่าจะมีความเป็นธรรมมากกว่า ขอชี้แจงว่า แต่ละครั้งที่ถูกเชิญไปชี้แจงเนื้อหารายการ ต้องนั่งฟังเหมือนกับเป็นการอบรมวิธีการจัดรายการและการวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของผู้ดำเนินรายการ ทั้งยังไม่เคยที่จะพูดตรงว่า เนื้อหาส่วนใดยั่วยุปลุกปั่น ขัดต่อศีลธรรม
 

การที่กสทช.ใช้ดุลพินิจในทางใดทางหนึ่ง เมื่อใดก็ได้ โดยไม่มีการพิสูจน์ต่อสังคมว่า เนื้อหาผิดอย่างไร คำสั่งของกสทช.จึงอาจขัดแย้งกับมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ 2560
 

ประทีป กล่าวว่า ปัญหาที่เราเกรงใจดุลพินิจของกสทช. คือ คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 ได้ยกเว้นโทษทางอาญา ทางแพ่งและทางวินัยให้แก่กสทช. ทำให้เรากังวลว่า การได้รับยกเว้นโทษในทุกทางจะทำให้การใช้ดุลพินิจขาดความละเอียดรอบคอบ
 
 
เมฆินทร์ กล่าวว่า คำสั่งทางปกครอง รวมถึงเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงเหมือนถูกบังคับใช้กับวอยซ์ ทีวีเพียงผู้เดียว คำถามคือ มีการนำไปบังคับใช้กับสถานีอื่นอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่  ความเท่าเทียมกันในที่นี้หมายถึงมีการบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันกับสื่อโทรทัศน์ประเภทดิจิทัลทีวีเหมือนกันกับวอยซ์ ทีวีหรือไม่
 

สมบัติตอบว่า บันทึกข้อตกลงลักษณะนี้เคยทำกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เช่น ทีวี 24 พีซ ทีวี บลูสกาย ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ตามประกาศคสช.ที่ 15/2557 ซึ่งมีวอยซ์ ทีวีเป็นดิจิทัลทีวีเพียงช่องเดียว ส่วนการบังคับใช้ตามประกาศคสช.ที่ 97 และ 103/2557 นั้น กสทช.บังคับใช้กับทุกช่อง เช่น ในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 มีคำสั่งทางปกครอง ปรับเนชั่น ทีวี 50,000 บาท และวันที่ 20 กรกฎาคม 2559 มีคำสั่งทางปกครองระงับการออกอากาศรายการทางช่องสปริงนิวส์
 

เมฆินทร์ กล่าวว่า ในเมื่อจะถือว่า บันทึกข้อตกลงเป็นคำสั่งทางปกครองก็ควรจะบังคับใช้กับทุกสถานี อีกประเด็นคือคุณสมบัติของกสทช. ทางเราทราบว่า คสช.มีคำสั่งให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกสทช.จนกว่าคำสั่งจะเปลี่ยนแปลง และผู้มีคุณสมบัติในการวิเคราะห์เนื้อหามีการลาออกเป็นระยะ
 

อธึกกิต กล่าวว่า เดิมทีคณะกรรมการกสทช.มีตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพคือ สุภิญญา กลางณรงค์ แต่มีเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่งไปและไม่มีการสรรหาใหม่ ทำให้ในตอนนี้ไม่มีผู้แทนจากองค์กรวิชาชีพอยู่ในกสทช.เลย ส่งผลให้เกิดการขาดความเข้าใจในวิชาชีพสื่อ การพิจารณาเนื้อหาที่ผ่านมาวอยซ์ ทีวีไม่เคยยกขึ้นสู่ศาลแล้วจะมากล่าวได้อย่างไรว่า วอยซ์ ทีวีทำความผิดซ้ำซาก
 

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า บรรยากาศการชี้แจงในช่วงที่ผ่านมาทุกอย่างเป็นไปอย่างเร่งรีบ อนุกรรมการด้านเนื้อหาฯไม่ได้เปิดโอกาสให้ชี้แจงเลย ขอสรุปว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นการเร่งทำการบ้านเพื่อรวบรวมข้อมูลว่า มีการตักเตือนแล้วและมีการออกคำสั่งบางอย่างตามมา
 

ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า ขอให้กสทช.ตอบในประเด็นความเร่งด่วนของการชี้แจงว่า ทำครบถ้วนตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ และกรณีเรื่ององค์กรวิชาชีพตามประกาศ คสช.ที่ 103/2557
 

สมบัติตอบว่า เรื่องการส่งเนื้อหาให้องค์กรวิชาชีพพิจารณานั้น เป็นกรณีเกี่ยวกับความผิดทางจริยธรรม แต่เรื่องนี้ขัดต่อประกาศคสช.ที่ 97/2557 ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 41/2559 ก็ระบุว่า หากเนื้อหาขัดต่อประกาศคสช.ที่ 97/2557 ให้ถือว่า ขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ซึ่งพ.ร.บ.นี้อยู่ภายใต้อำนาจของกสทช. จึงพิจารณาว่า ไม่จำเป็นต้องส่งต่อให้องค์กรวิชาชีพ
 

ส่วนการชี้แจงเป็นไปด้วยความเร่งรีบหรือไม่ ต้องเรียนว่า เป็นไปตามขั้นตอน ที่ให้ประทีปเป็นผู้ชี้แจงผู้เดียวเนื่องจากเห็นว่า ประทีปเป็นผู้รับมอบอำนาจ และคำถามที่ว่า เร่งรีบกระบวนการเพื่อเตรียมการหรือไม่นั้น เวลาที่กสทช.มีการเตือน วอยซ์ ทีวีก็รับในการปรับปรุง กสทช. ไม่ได้คิดมาก่อนว่า วอยซ์ ทีวีจะกระทำการในลักษณะนี้อีก
 

ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวอยซ์ ทีวีกล่าวว่า ตามที่กสทช.กล่าวว่า เหตุที่ไม่ส่งเรื่องเนื้อหาของวอยซ์ ทีวีไปให้องค์กรวิชาชีพพิจารณาเนื่องจากว่า ไม่ใช่ปัญหาทางด้านจริยธรรม ขอโต้แย้งว่า ไม่เป็นความจริง ในเรื่องความเป็นกลาง องค์กรวิชาชีพมีอำนาจในการวินิจฉัย
 

ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามกสทช.ว่า จะตอบในประเด็นนี้หรือไม่ สมบัติปฏิเสธที่จะตอบในประเด็นนี้ ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ จึงสอบถามเรื่องเนื้อหารายการที่พิพาทคือ Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 21-22 มกราคม 2562
 
 
ผู้รับมอบอำนาจจากกสทช.กล่าวว่า เนื้อหารายการ Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 21 มกราคม 2562 ได้ถอดเทปและนำส่งต่อศาลแล้ว โดยสรุปเนื้อหาของรายการก่อให้เกิดความสับสนใน 3 ประเด็นดังนี้
 

1. เรื่องผลการสำรวจความเห็นเรื่องการเลือกตั้งและเศรษฐกิจ มีการกล่าวว่า “คนคิดคล้ายๆกันว่า การเลื่อนเลือกตั้งคือ การเลิกเลือกตั้งแล้วเขามองกันว่า ผู้มีอำนาจท่าทีเหมือนกับไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ถ้าพูดตรงๆ คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ผู้มีอำนาจจะคิดยังไงเราไม่รู้ แต่คนจำนวนมากเขามองว่า ผู้มีอำนาจไม่อยากให้มีเลือกตั้งเลย” ทั้งที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มีสถานการณ์ของประเทศที่ต้องกำหนดใหม่ให้เหมาะสม นั่นคือเรื่องหมายกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ 10 ต่อมาวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้ออกมาชี้แจงแล้ว ซึ่งขอไม่ขยายความต่อในที่นี้
2. ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า มีต้นทุนที่มองไม่เห็นอีกเยอะ การเลือกตั้งไม่มีเสรีภาพเต็มที่ คนเบื่อมากขึ้น อาจทำให้ประชาชนเข้าใจว่า พรรคพลังประชารัฐมีข้อได้เปรียบจากการที่มีสมาชิกพรรคเป็นผู้แทนในรัฐบาล มีบางพรรคการเมืองได้รับผลประโยชน์
3. ซีพีได้รับสัมปทานรถไฟฟ้าความเร็วสูงเฟส 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวในทำนองว่า ควรรอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพิจารณา ทำให้เข้าใจว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยกระทำการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบ
 

หากพิจารณาเนื้อหาตามประกาศคสช.ที่ 97/2557 จะเห็นว่า เนื้อหา Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 21 มกราคม 2562 นั้นส่อให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะสับสนหรือไม่ เพราะประกาศคสช.ใช้คำว่า “ส่อ” และเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทั้งที่สามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นได้
 
 
ส่วนรายการ Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 22 มกราคม 2562 เป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้คำแนะนำเรื่องฝุ่น ซึ่งเป็นการนำข้อมูลมาใช้โดยทั่วไป กสทช.พิจารณาแล้วไม่ขัดต่อกฎหมาย
 
 
ม.ล. ณัฏฐกรณ์  กล่าวว่า สมัยเด็กเวลาครูสอนหนังสือ เขาจะให้ “อ่านเอาเรื่อง” แต่กรณีพิพาทนี้ถือว่า กสทช.ไม่ได้ “อ่านเอาเรื่อง” แต่กสทช.ฟังและ “อ่านหาเรื่อง” แต่ละเรื่องที่พูดมาไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่องการเลื่อนเลือกตั้งที่บอกว่า สับสนนั้น ตอนนั้นก็สับสนพอๆกับทุกคนว่า วันเลือกตั้งคือวันที่เท่าไหร่ สิ่งที่พูดในรายการทุกประเด็นมีต้นน้ำเป็นแหล่งข่าว ประเด็นคือวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 มีโพลของสวนดุสิตออกมา ถ้าหาก กสทช.ดูทุกช่องและอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับไปพร้อมกัน ไม่ใช่จับผิดแต่วอยซ์ ทีวีว่า ทำให้ประชาชนสับสน จะเห็นว่า ประเด็นอยู่ที่สวนดุสิตโพล ไม่ใช่วอยซ์ ทีวีเป็นผู้บอก แค่บทสรุปนี้สะท้อนถึงความพยายามในการฟังเพื่อหาเรื่อง ความสับสนไม่ได้เกิดจากการเสนอข้อมูลในรายการ คำว่า สับสน ไม่ได้เกิดจากเรา ความสับสนที่เกิดขึ้นมันมาจากโพลของสวนดุสิต โพล ข้อสรุปของ กสทช. สะท้อนถึงความไม่มีประสบการณ์ในการทำงานของสื่อ
 
 
ในเรื่องซีพี เวลาเราเล่าข่าวจะมีการชูพาดหัวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ซึ่งแหล่งข่าวเรื่องซีพีมาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ มีการตีพิมพ์ว่า รถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีการต่ออายุในเฟส 2 และมีความเป็นไปได้ว่า จะไม่มีการประมูล การชูหนังสือพิมพ์ในรายการคือความพยายามที่จะเสนอข่าวให้รอบด้านและแสดงให้เห็นถึงความไม่ต้องการให้มีเพียงมุมมองของผู้ดำเนินรายการ
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวสรุปว่า การนำเสนอในรายการเป็นการนำโพลมาวิจารณ์และแสดงออกตามปกติของผู้ดำเนินรายการ
 
 
สมบัติกล่าวว่า ประเด็นที่กสทช.มองว่า การนำเสนอข้อมูลของวอยซ์ ทีวีสร้างความสับสน คือ การกล่าวว่า การเลื่อนหรือไม่เลื่อนเป็นเพราะผู้มีอำนาจสั่ง ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการพูดเกินกว่าโพล การนำเสนอโพลเป็นเรื่องปกติ อีกเรื่องคือ รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ข้อมูลของวอยซ์ ทีวีทำให้เกิดความสับสนว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยไม่มีการประมูลและอนุญาตให้ซีพีดำเนินการได้
 
 
ม.ล. ณัฏฐกรณ์  กล่าวว่า คำพูดที่บอกว่า สับสนนั้นเป็นข้อสรุปของกสทช.เอง น่าสังเกตว่า ทำไม กสทช. ต้องมาเดือดร้อนแทนคำว่า “ผู้มีอำนาจ” ด้วย หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ กรุงเทพธุรกิจตีพิมพ์ในทำนองที่ว่า ซีพีอาจได้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเฟส 2 โดยไม่ต้องประมูล ถ้าผู้ดำเนินรายการพูดพาดพิงเอกชนจริงเป็นหน้าที่ของเอกชนในการดำเนินคดี ตนไม่เข้าใจว่า กสทช.มาเดือดร้อนแทนซีพีอย่างไร อย่างที่บอกว่า ที่ผ่านมาเป็นความพยายามดูรายการหาเรื่องมาตลอด
ผู้รับมอบอำนาจจากกสทช.กล่าวย้ำอีกครั้งว่า ในรายการศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ หนึ่งในผู้ดำเนินรายการกล่าวในทำนองที่ว่า ผู้มีอำนาจไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ทั้งที่ในโพลไม่มีประเด็นนี้
 
 
ม.ล. ณัฏฐกรณ์  กล่าวว่า ขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมามีดราม่าในการจัดรายการเยอะ ด้วยมีการใช้ลีลาและคำพูดสร้างความบันเทิงในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งเมื่ออ่านเนื้อหาการถอดความแล้วเห็นว่า ถอดความด้วยเจตนารมณ์ที่หาเรื่อง ในเนื้อความเขียนว่า นี่ของจริง แต่ในรายการมันมีอวจนภาษาคือ ตนชูหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ไปด้วยและกล่าวว่า นี่ของจริง หมายถึงเนื้อความมาจากหนังสือพิมพ์จริงๆ บางครั้งในรายการมีการชูหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆด้วยเพื่อให้คิดวิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณในฐานะแหล่งข่าวของสิ่งพิมพ์เหล่านั้น
การเสนอข่าวในรายการคือ หนังสือพิมพ์เสนออะไร ผู้ชมทางบ้านสนใจอะไร ผู้ดำเนินรายการไม่ได้มีเจตนาไปในทางที่จะสรุปแบบนั้น และที่ผ่านมาพลโทพีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกสทช. แสดงทัศนคติเหมือนอยากจัดรายการแทน
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า หลังจากชี้แจงเรื่องเนื้อหาไปบางส่วนแล้ว ขอให้ผู้แทนจากองค์กรซีป้าให้ความเห็นเพิ่มเติม
 
 
เทส บากัลลา ผู้แทนจากซีป้ากล่าวแนะนำตัวว่า เป็นผู้อำนวยการบริหารของซีป้า โดยซีป้าเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชนในภูมิภาค โดยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองให้วอยซ์ ทีวีสามารถออกอากาศได้ระหว่างนี้ และอ้างหลักสิทธิมนุษยชนสากล
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า ต้องขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า ศาลต้องพิจารณาตามกฎหมายไทย ดังนั้นหลักการที่ว่ามาไทยได้อนุวัตรตามหลักการดังกล่าวหรือไม่
 
 
เทส กล่าวว่า ไทยอนุวัตรตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ซึ่งได้บัญญัติถึงเสรีภาพของการแสดงออกไว้ [บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือการตีพิมพ์ ในรูป ของศิลปะ หรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก] ตามฐานที่กสทช.อ้างในการระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีนั้น ซีป้าเห็นว่า เหตุผลของกสทช.ไม่เพียงพออย่างยิ่ง ที่ระบุว่า เนื้อหาเป็นการยุยงปลุกปั่นนั้น คำตัดสินใช้มาตรฐานใด ข้อคิดเห็นในการวิจารณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ที่กสทช.มองว่า ไม่ยุติธรรม สร้างความสับสน ความเห็นดังกล่าวถูกตัดสินว่า สร้างความสับสนด้วยมาตรฐานอะไรและของใคร หากมองว่า ข้อคิดเห็นเหล่านี้มีน้ำหนักมากพอในการระงับการออกอากาศถือเป็นการวางโทษที่ไม่เหมาะสม
การวิเคราะห์ที่หลากหลายมีความสำคัญมากต่อสังคม พหุนิยมในสื่อ (Media pluralism) เป็นหลักในการสนับสนุนและส่งเสริมประชาชนในการเคารพเสียงที่หลากหลาย
 
 
สมบัติ ถามว่า ในกรณีที่สื่อกระทำความผิด ซีป้าแสดงท่าทีอย่างไรและดำเนินการอย่างไรในประเทศไทย
 
 
เทส กล่าวว่า ซีป้ามีภารกิจในการส่งเสริมเสรีภาพเป็นหลัก มีการดำเนินงานในลักษณะสมาชิกและเครือข่าย มีการทำงานในประเทศเช่น อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ ติดตามปัญหาสิทธิและเสรีภาพ ออกแถลงการณ์ในประเด็นที่มองเห็นว่า มีผลกระทบและเพื่อผ่อนคลายการละเมิดสิทธิ มีการจัดอบรมในการส่งเสริมศักยภาพสื่อ รวมทั้งการจัดประชุม ซึ่งในเดือนมกราคม 2562 ซีป้าเคยจัดประชุมและเชิญผู้แทนวอยซ์ ทีวีมาร่วมพูดคุยด้วย
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามว่า เคยดูรายการในประเด็นที่มีข้อพิพาทหรือไม่ และมีความเห็นต่อรายการอย่างไร?
 
 
เทส กล่าวว่า มีการพูดคุยกับผู้ร่วมงานชาวไทย ถือเป็นความรับผิดชอบในการรับรู้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผ่านการถกเถียงและพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก่อนที่จะมีการเตรียมแถลงการณ์
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามว่า มาตรฐานของซีป้าดำเนินการในประเทศอื่นหรือไม่?
 
 
เทส กล่าวว่า ซีป้ามีการดำเนินงานใน 7 ประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการติดตามความเคลื่อนไหวการละเมิดเสรีภาพสื่อที่เกิดขึ้นในทุกวัน นอกจากออกแถลงการณ์ยังมีแนวทางอื่นๆคือ การจัดการพูดคุยและเชิญผู้แทนจากรัฐเข้าร่วมด้วย เราเชื่อว่า การพูดคุยมีส่วนสำคัญ และสร้างกลไกในการกำกับดูแลตนเองของสื่อขึ้นมา ในฟิลิปปินส์มีการจัดตั้งกลไกเหล่านี้ขึ้น หากมีข้อพิพาท ผู้ร้องจะไม่จำเป็นต้องมุ่งไปหารัฐหรือศาล หากแต่จะร้องเรียนผ่านสภาสื่อแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลถึงไม่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงการทำงานของสื่อเลย และเป็นวิถีทางที่ไม่ทำให้สื่อต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว
 
 
สมบัติ กล่าวว่า อยากให้ซีป้าส่งข้อมูลเรื่องจริยธรรมสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทสื่อทางการเมือง มีข้อห้ามหรือไม่ว่า ห้ามนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า เห็นว่า กรณีนี้จะทำให้ยืดเยื้อไปอีก ข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว เพียงอยากจะให้ชี้แจงถึงสถานะของเทส ในการเบิกความเป็นพยานในวันนี้ โดยจะขอให้ส่งใบมอบอำนาจให้แก่ศาลภายในวันพรุ่งนี้ และขอให้กสทช.ชี้แจงเนื้อหาต่อจากเมื่อสักครู่
 
 
ผู้รับมอบอำนาจจาก กสทช. กล่าวว่า รายการ Tonight Thailand ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2561 จากการตรวจสอบรายการปรากฏว่า ทีมผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า “ความได้เปรียบเสียเปรียบก็ยังมีอยู่นะครับ อย่างลงพื้นที่จ.ศรีสะเกษก็มีการกันกลุ่มประชาชนว่าไม่ให้เข้ามาพบประพูดคุย หากเข้ามาพบกับทางพรรคเพื่อไทยจะมีการตัดงบในส่วนต่างๆ เป็นการใช้อำนาจของข้าราชการที่มีสี ยอมรับว่าการลงพื้นที่ยังยากลำบาก ยังมีทหาร ตำรวจคอยติดตามอยู่แม้เราจะไม่ว่าอะไรแต่ก็ไม่ควรที่จะห้ามให้ประชาชนหรือทางพรรคพบประกันเพราะกฎหมายได้อนุญาตแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ก็จะอดทนก้มหน้าก้มตาเดินหน้าทำงานต่อไป”
 

จากนั้นจึงมีการปล่อยเสียงสัมภาษณ์ของสุดารัตน์ ซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงที่ผู้ดำเนินรายการกล่าวในเสียงสัมภาษณ์เลย เช่น การมีทหารไปข่มขู่เกิดความสับสนต่อองค์กรทหารว่า มีการใช้อำนาจข่มขู่ประชาชน หมู่บ้านไหนไม่ได้รับงบประมาณก็อาจทำให้เข้าใจได้ว่า มาจากสาเหตุที่ไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทย โดยในการชี้แจงมีประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี โดยกสทช.เข้าใจว่า ในการออกอากาศนั้นไม่สามารถปล่อยเสียงสัมภาษณ์ได้ทั้งหมด หากมีหลักฐานให้นำมาแจ้งต่อ กสทช. แต่ประทีปไม่ได้แจ้งข้อมูลว่า สรุปแล้วในเสียงสัมภาษณ์ฉบับเต็ม สุดารัตน์ได้พูดตามที่พิธีกรกล่าวหรือไม่
 

ประทีปกล่าวว่า ก่อนที่จะไปถึงการสรุปข้อเท็จจริง นี่เป็นตัวอย่างของการใช้ดุลพินิจของคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหาฯที่ไม่ได้มีความรอบรู้ คำกล่าวที่ว่า ผู้ดำเนินรายการพูดเกินกว่าที่สุดารัตน์พูดนั้น ในแง่ของการทำสคริปต์รายการ ข้อความที่สุดารัตน์พูด ทีวีไม่จำเป็นต้องปล่อยเสียงทั้งหมด ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ที่ลงไปทำข่าวไม่ได้มีการยื่นไมค์สัมภาษณ์ตลอด ในข้อเท็จจริงยืนยันได้ว่า ไม่ใช่เรื่องของผู้ดำเนินรายการพูดเกินกว่าแหล่งข่าว หรือบิดเบือนสร้างความสับสน สื่ออื่นๆก็มีประเด็นที่คล้ายกันว่า สุดารัตน์ถูกทหารตามประกบ มีอำนาจรัฐไม่สามารถให้ลงพื้นที่หาเสียงได้เหมือนพรรคอื่น
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ ถามว่า เหตุใดถึงไม่ส่งหลักฐานให้กสทช. ในเรื่องเหล่านี้
 
 
ประทีป กล่าวว่า เวลาที่ไปชี้แจงอาจจะพูดไม่ได้ครบถ้วนในทุกประเด็น มันเป็นข้อเท็จจริง ไม่ได้มีการบิดเบือนและมีการพูดถึงเรื่องนี้ในหลายที่
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ สรุปว่า ในการชี้แจงเป็นการชี้แจงในภาพรวมของการเสนอเนื้อหา
 
 
เมฆินทร์ กล่าวว่า การชี้แจงเป็นการพูดในหลักการที่น่าจะเข้าใจได้กับคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ การทำรายการคือการรวบรวมข่าวและเรียบเรียง ซึ่งข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาเหล่านี้สถานีฯจะต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมาเราได้ชี้แจงอย่างเต็มที่ เพียงแต่ผู้วินิจฉัยมีบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพียงพอไหม
 
 
อธึกกิต กล่าวว่า คำว่า “ตอบแทนไม่ได้ทั้งหมด เรื่องนี้พูดยาก” เป็นสิ่งที่สุดารัตน์พูด แต่เมื่อไปอ่านในคำสั่งของกสทช.กลับเขียนเหมือนกับว่า เราพูดเอง ทั้งๆที่เราไม่ได้พูด สุดารัตน์ให้สัมภาษณ์ อ่านจากสิ่งที่เธอพูดทั้งหมด หรือสรุปมาจากหนังสือพิมพ์เช่น มติชน แนวหน้า ผู้จัดการ
 
 
ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากวอยซ์ ทีวีกล่าวว่า โดยหลักแล้วในการทำรายการจะไม่เลือกเนื้อหาที่ผู้ดำเนินรายการพูดไปปล่อยเสียงซ้ำอีก สภาพหน้างานการหาข่าวไม่สามารถบันทึกเสียงได้ทั้งหมด บางส่วนสัมภาษณ์เสร็จได้เสียงสัมภาษณ์แล้วไปพูดคุยกันต่อ ในชั้นของอนุกรรมการด้านเนื้อหาฯ หลายครั้งที่ไปชี้แจงมีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ข่มขู่ ขึ้นมึงขึ้นกู มันไม่ใช่สภาพที่เกิดขึ้นเหมือนที่กำลังชี้แจงต่อศาลในตอนนี้
 
 
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า ตามที่ชี้แจงมา ขอให้วอยซ์ ทีวีส่งเอกสารเพิ่มเติมว่า คำพูดในรายการปรากฏเป็นข่าวโดยทั่วไป
 
 
อธึกกิต กล่าวว่า คิดว่า กสทช.จับประเด็นผิด ด้วยความที่ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาชีพสื่อ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ดำเนินรายการวิจารณ์ กตต. ควบคุมสื่อ เป็นการสรุปที่ผิดไปจากเจตนาของผู้พูด จริงๆแล้วเรากังวลเกี่ยวกับข้อกำหนดความเท่าเทียมกันในการดีเบต คำถามคือ ความเท่าเทียมกันคืออะไร มติชยจะจัดดีเบตแต่กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียม จนยกเลิกจัดไป ข้อกำหนดเช่นนี้ทำให้สื่อกังวลใจในการใช้เสรีภาพ เราไม่ได้บอกเลยว่า ข้อกำหนดนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสื่อ เราไม่เห็นด้วยและเสนอทัศนะใหม่
 
 
1. สื่อโทรทัศน์ เอกชนเป็นผู้ลงทุน รัฐควรจะมีการช่วยเหลือเวลาที่รัฐใช้ประโยชน์จากสื่อ
2. เรามองว่า ไม่เป็นประโยชน์ การจัดแบ่งเวลา 10 นาทีให้ออกอากาศทางช่องของเรา จริงๆปัจจุบันคนอาจจะไม่ดูแล้วเพราะแฟนคลับจะไปดูทางเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตามเราก็ไม่ได้คัดค้านแนวคิดนี้
3. เราโต้แย้งในเชิงหลักการว่า ความเป็นกลางคืออะไร ในอเมริกา สื่ออย่างซีเอ็นเอ็นโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ฟอกซ์ นิวส์เชียร์ทรัมป์ ถ้าหากเราใช้หลักการความเป็นกลางอย่างจำกัดจะกลายเป็นวิธีคิดที่เป็นปัญหา
4. อีกส่วนหนึ่งคือ การควบคุมของกกต.ที่มากเกินไป สุดท้ายจะไม่เกิดการแข่งขัน เช่น การคัดเลือกส.ว. 250 คน ที่สุดท้ายคัดเลือกไปอย่างเงียบๆ
 

ทั้งหมดที่กล่าวมาคิดว่า กสทช.ไม่เข้าใจและจับประเด็นในลักษณะที่จะทำให้เกิดความสับสวน ไม่เข้าใจวิชาชีพสื่อ ความเป็นกลาง ความสับสนคืออะไร ถ้าตีความทุกอย่างสับสนไปหมด มันจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้และเกร็งกันไปหมด
ตุลาการผู้รวบรวมข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาให้ทั้งสองฝ่ายเขียนคำอธิบายอย่างเจาะจงในรายการที่ยังไม่ได้มีการชี้แจง ภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 16.30 น. โดยศาลจะสรุปข้อเท็จจริงส่งให้ตุลาการผู้แถลงคดี จากนั้นในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ศาลจะนำส่งรายงานสรุปข้อเท็จจริงผ่านทางอีเมล์ให้คู่ความทั้งสอง และวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00 น. ตุลาการผู้แถลงคดีออกนั่งพิจารณาแถลงข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีคำพิพากษาในวันเดียวกันเลย
 

25 กุมภาพันธ์ 2562
นัดฟังคำพิพากษา
 
ศาลเลื่อนการนัดอ่านคำพิพากษา
 

27 กุมภาพันธ์ 2562
นัดฟังคำพิพากษา
 
 
27 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 16.00 น. ศาลปกครองกลางนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่วอยซ์ ทีวีฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และสำนักงาน กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยฝ่ายวอยซ์ ทีวี มีเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวอยซ์ ทีวีและทนายความมาฟังคำพิพากษา ขณะที่ฝ่ายกสทช.มีผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีมาฟังคำพิพากษา นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้ารับฟังในห้องพิจารณาคดีด้วย
 
 
เวลา 10.30 น. องค์คณะตุลาการและตุลาการผู้แถลงคดีขึ้นนั่งพิจารณา โดยตุลาการเจ้าของสำนวนชี้แจงว่า เหตุที่ขึ้นนั่งพิจารณาช้าเนื่องจากองค์คณะฯได้หารือกันในเรื่องข้อเท็จจริงของวอยซ์ ทีวี ผู้ฟ้องคดีที่ส่งมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 มีประเด็นที่ทางคณะกรรมการกสทช.และสำนักงานกสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ระบุว่า เนื้อหาที่วอยซ์ ทีวีนำส่งเป็นข้อเท็จจริงใหม่ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงขอให้ศาลพิจารณาคำชี้แจงที่นำส่งเพิ่มเติมในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 องค์คณะฯจึงได้หารือกันให้ผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ชี้แจง ก่อนที่องค์คณะจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
 
 
ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวว่า ตามข้อเท็จจริงของวอยซ์ ทีวีที่ได้นำส่งศาลในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 มีการกล่าวอ้างเรื่องขั้นตอนของผู้ฟ้องคดีว่า ไม่ได้มีการรับชมเทปก่อนที่จะมีการรับฟังข้อเท็จจริง ซึ่งขอโต้แย้งว่า มีการเปิดเทปรายการให้ผู้ฟ้องคดีทราบแล้ว ในส่วนคำชี้แจงเพิ่มเติมที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้นำส่งศาลในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 นั้นประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ
 
 
1. การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นไปตามมาตรา 60, 78 และ 274 ของรัฐธรรมนูญ 2560
 
2. การชี้แจงข้อเท็จจริงของวอยซ์ ทีวีเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่วอยซ์ ทีวีมีอยู่ก่อนหน้าและย่อมชี้แจงต่อผู้ถูกฟ้องคดีได้ การชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลในภายหลังย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต 
 
3. ข้อเท็จจริงที่วอยซ์ ทีวีกล่าวอ้างในการมีคำสั่งของ กสทช. คลาดเคลื่อนไปจากคำสั่ง เช่น กรณีรายการ Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 21 มกราคม 2562 เกี่ยวกับโพลสวนดุสิต โดยกล่าวในทำนองที่ว่า สื่ออื่นๆก็นำเสนอโพลสวนดุสิตเช่นกัน ขอโต้แย้งว่า กสทช.ไม่ได้เห็นว่า การนำเสนอโพลเป็นสิ่งที่ผิด แต่สิ่งที่ ‘ส่อ’ สร้างความสับสนคือ ความคิดเห็นของผู้ดำเนินรายการที่กล่าวในทำนองที่ว่า ผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง อีกประเด็นหนึ่งคือ รถไฟฟ้าความเร็วสูง สื่ออื่นๆรายงานในอย่างไม่มีการสรุป แต่ผู้ดำเนินรายการ Wake up news กล่าวว่า ซีพีได้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงและรัฐไม่ควรข้ามขั้นตอนกฎหมาย ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า ข้อตกลงบรรลุแล้ว
 
 
กรณีเนื้อหาเรื่องสุดารัตน์ระอาทหารตำรวจยังตามประกบลงพื้นที่ ซึ่งวอยซ์ ทีวีได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเข้ามานั้น กสทช. ขอชี้แจงว่า ในชั้นพิจารณาได้สอบถามผู้ชี้แจงไปแล้วว่า กสทช.เข้าใจว่า ไม่สามารถเผยแพร่เสียงสัมภาษณ์ทั้งหมดได้ หากมีหลักฐานที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ให้นำส่งมา ซึ่งถ้าหากวอยซ์ ทีวีนำส่งในชั้นการพิจารณาก็อาจเป็นประโยชน์ได้ กรณีรายการ Wake up news เทปออกอากาศวันที่ 28 มกราคม 2562 วอยซ์ ทีวีได้ส่งข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ และกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การกำหนดเวทีสาธารณะของกกต. โดยผุ้ดำเนินรายการนำตัวเลขผู้สมัครมาเสนอ ทั้งที่เวลานั้นพรรคการเมืองยังไม่ได้ส่งผู้สมัคร และกกต.ยังไม่ได้มีการเปิดรับสมัครผู้สมัครส.ส. จึงถือเป็นการชี้แจงในภายหลังและไม่เกี่ยวข้องกับการพิพาทในคดีนี้แต่อย่างใด
 

ตุลาการเจ้าของสำนวนกล่าวว่า คดีนี้เป็นการพิจารณาคดีอย่างเร่งด่วน ศาลได้นัดไต่สวนข้อเท็จจริงในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 และเปิดโอกาสให้คู่ความได้ชี้แจงเพิ่มเติมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 16.00 น. ซึ่งต้องถือว่า กระบวนไต่สวนข้อเท็จจริงจบสิ้นตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อกสทช.ได้ยื่นคำชี้แจงเพิ่มในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 โต้แย้งว่า รายละเอียดที่วอยซ์ ทีวีนำส่งเป็นข้อเท็จจริงใหม่ตามที่กสทช.ได้ชี้แจงไปในข้างต้น ตามปกติแล้วหากเป็นข้อเท็จจริงใหม่ศาลจะต้องเปิดโอกาสให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งด้วย แต่ยังไม่สิ้นสุดว่า เป็นข้อเท็จจริงใหม่หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวเนื่องกัน ในขั้นนี้ศาลขอให้ดูข้อเท็จจริงตามที่ศาลสรุปมาว่า ขัดแย้งตรงใดหรือไม่ โดยมีทางเลือกสองทางคือ หนึ่ง สิ่งที่คู่ความเห็นว่า เป็นข้อเท็จจริงใหม่และรับกันได้ ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ด้วย สอง หากรับกันไม่ได้ ศาลจะถือข้อเท็จจริงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 และส่วนที่กสทช. ยื่นโต้แย้งมาเพิ่มในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นคำแถลง  ส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงใหม่ศาลจะไม่นำไปวินิจฉัย
 
 
ทนายความผู้รับอำนาจจากวอยซ์ ทีวีกล่าวว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาคดีวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ระบุให้วอยซ์ ทีวีชี้แจงในรายละเอียดแต่ละรายการเปรียบเทียบกับสื่ออื่นๆว่า มีรายงานแบบเดียวกันไหม ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกระบวนพิจารณา ข้อเท็จจริงหลายส่วนปรากฏในคำฟ้องด้วยซ้ำไป การที่ กสทช. อ้างว่า เป็นข้อเท็จจริงใหม่ จึงรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงที่นำส่ง ทำให้ศาลเห็นในภาพรวมของสื่ออื่นๆ ฉะนั้นแล้วจึงไม่เห็นด้วยว่า จะถือข้อเท็จจริงในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นคำแถลง
 
 
ตุลาการเจ้าของสำนวนกล่าวว่า สรุปอีกครั้งว่า ตามขั้นตอนศาลจะเปิดทำการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งได้ยุติไปในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 หมายความว่า ข้อเท็จจริงในวันดังกล่าวนั้นเพียงพอที่จะวินิจฉัยแล้ว ศาลไม่ได้ยุติการไต่สวนอย่างไม่มีเหตุผล แต่ด้วยทางคู่ความมีบางประเด็นที่ติดค้างและนำส่งมาเพิ่มเติมในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 แต่เมื่อเกิดการโต้แย้งและไม่สามารถยอมกันได้ ศาลจึงจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจ โดยจะขอพักการพิจารณา 10 นาที
 
 
เวลา 11.00 น. องค์คณะตุลาการกลับขึ้นนั่งพิจารณาอีกครั้ง โดยตุลาการเจ้าของสำนวนกล่าวว่า จากการพิจารณาเอกสารของกสทช. เนื้อหาเป็นการให้เหตุผลไม่เห็นด้วยในส่วนการชี้แจงข้อเท็จจริงของวอยซ์ ทีวี การทำคำร้องในลักษณะนี้เป็นการโต้แย้งเหตุผลของคำชี้แจงของวอยซ์ ทีวี เอกสารโต้แย้งของกสทช.ส่งหลังวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงคือ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ดังนั้นศาลจะถือคำชี้แจงนี้เป็นคำแถลง แต่ถ้าหาก กสทช. จะโต้แย้งขอให้ศาลรับไว้ก็ไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมายที่กำหนกไว้ว่า เมื่อสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ห้ามคู่กรณีส่งข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
 
 
ตุลาการผู้แถลงคดีกล่าวว่า ศาลได้กำหนดให้วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ดังนั้นเอกสารที่นำส่งหลังจากนั้นจึงรับไว้ไม่ได้ และให้ถือเป็นคำแถลง
 
 
จากนั้นตุลาการเจ้าของสำนวนได้อ่านสรุปข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง มีเนื้อหาว่า สำนักงานกสทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนในหัวข้อ สุดารัตน์ระอาทหารตำรวจยังตามประกบลงพื้นที่ และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รายการ Wake up news ออกอากาศวันที่ 21 มกราคม 2562 มีการเผยแพร่เนื้อหาเรื่อง 10 เรื่องที่คนไทยกังวลเกี่ยวกับการเมืองไทย เฉลิมเชื่อ 3 พรรคประชาธิปไตยกวาดที่นั่ง ,ออกอากาศวันที่ 22 มกราคม 2562 เนื้อหาเกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเสนอพอดแคสต์เรื่องแก้ไขปัญหาฝุ่น, ออกอากาศวันที่ 28 มกราคม 2562 เรื่อง เสรีพิสุทธ์ ปลุกประชาชนเอาประชาธิปไตย และออกอากาศวันที่ 29 มกราคม 2562 เรื่อง สุดารัตน์ เปิด 5 แนวทางกระเป๋าตุง, เนื้อหาเกี่ยวกับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และเนื้อหาเกี่ยวกับ กกต. ให้สื่อจัดดีเบต
 
 
สำนักงาน กสทช.ได้ให้วอยซ์ ทีวีเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ที่ประชุมกสทช.พิจารณาแล้วเห็นมีเนื้อหาออกอากาศต้องห้ามตามประกาศ 97 และ 103/2557 มาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ และบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานกสทช.และวอยซ์ ทีวี  โดยเป็นการกระทำผิดซ้ำซาก ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี กำหนดโทษทางปกครองระงับการออกอากาศทั้งสถานีเป็นเวลา 15 วัน ประเด็นที่จะวินิจฉัยคือ การกำหนดโทษทางปกครองเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
 
 
ต่อมาตุลาการเจ้าของสำนวนได้อธิบายว่า ตามกระบวนการแล้วศาลปกครองจะมีตุลาการผู้แถลงคดีมานำเสนอข้อเท็จจริงและแนวทางการวินิจฉัยในคดี ซึ่งจะเป็นการเสนอโดยอิสระ ไม่มีข้อผูกพันว่า องค์คณะตุลาการฯจะต้องพิจารณาตาม คู่กรณีไม่อาจโต้แย้งในประการใดๆ
 

ตุลาการผู้แถลงคดีเริ่มนำเสนอระบุว่า วอยซ์ ทีวี ผู้ฟ้องคดีได้ส่งคำแถลงในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 เนื้อหาเห็นว่า เป็นประเด็นที่เป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่องค์คณะฯได้พิจารณาในเบื้องต้นแล้วและจะไม่ทำให้ข้อเท็จจริงในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปและไม่ได้มีผลกระทบต่อแถลงการณ์ที่จะแถลงต่อองค์คณะฯ โดยตุลาการผู้แถลงคดีได้ขอให้ผู้ที่เข้าร่วมรับฟังคดีงดใช้โทรศัพท์และห้ามจดบันทึก
 
 
โดยมีคำสั่งห้ามบันทึกข้อมูลการแถลง โดยสรุปคือ มติทีประชุมกสทช.ที่ 3/2562 ระงับการออกวอยซ์ ทีวีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยกคำร้องวอยซ์ ทีวีที่ขอให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานกสทช.และวอยซ์ ทีวี

 

ต่อมาเวลา 16.15 น. ตุลาการเจ้าของสำนวนออกนั่งพิจารณาก่อนอ่านคำพิพากษาได้แจ้งสิทธิของคู่ความว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่พอใจในคำพิพากษา ให้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน จากนั้นจึงเริ่มอ่านคำพิพากษาว่า มติที่ประชุมกสทช.ที่ 3/2562 ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 กำหนดโทษทางปกครองให้ระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีทั้งสถานีเป็นเวลา 15 วันออกโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 64, 16 และ 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ และข้อ 20 ของประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555 สั่งให้เพิกถอนมติดังกล่าว
 

กรณีที่วอยซ์ ทีวีขอให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานกสทช.และวอยซ์ ทีวี ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2557 เห็นว่า หากวอยซ์ ทีวีเห็นว่า บันทึกข้อตกลงฯไม่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องใช้สิทธิทางศาลภายใน 90 วัน แต่เวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ฟ้องในปี 2562 ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้
 

 

คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลปกครองกลาง

 

คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า มติกสทช.ครั้งที่ 3/2562 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ที่มีคำสั่งระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีเป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่เวลา 00.01 ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงเวลา 00.00 ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 นั้นเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

 

จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า สำนักงานกสทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบรายการ Tonight Thailand ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เรื่อง สุดารัตน์ ระอาทหารตำรวจยังตามประกบลงพื้นที่ และตรวจสอบพบเนื้อหารายการ Wake up news ออกอากาศเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 เรื่อง 10 เรื่องที่คนไทยกังวลเกี่ยวกับการเมืองไทย เฉลิมเชื่อ 3 พรรคประชาธิปไตยกวาดที่นั่ง ,ออกอากาศวันที่ 22 มกราคม 2562 เนื้อหาเกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเสนอพอดแคสต์เรื่องแก้ไขปัญหาฝุ่น, ออกอากาศวันที่ 28 มกราคม 2562 เรื่อง เสรีพิสุทธ์ ปลุกประชาชนเอาประชาธิปไตย และออกอากาศวันที่ 29 มกราคม 2562 เรื่อง สุดารัตน์ เปิด 5 แนวทางกระเป๋าตุง, เนื้อหาเกี่ยวกับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และเนื้อหาเกี่ยวกับ กกต. ให้สื่อจัดดีเบต

 

โดยสำนักงาน กสทช.ได้ให้วอยซ์ ทีวีเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ก่อนที่จะรวบรวมส่งให้ที่ประชุม กสทช. ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 โดยเห็นว่า รายการ Wake up news วันที่ 21,22,28 และ 29 มกราคม และ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ส่อให้เกิดความสับสนแก่ ประชาชน

 

รายการ Wake up news วันที่ 21 มกราคม 2562 ผู้ดำเนินรายการมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้ความเห็นในทำนองที่ว่า ผู้มีอำนาจไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง หน่วยงานของรัฐไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง มีการร่วมมือกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประชาชนที่รับชมอาจเข้าใจได้ว่า พรรคพลังประชารัฐมีข้อได้เปรียบและการเลือกตั้งอาจไม่เสรีและเป็นธรรม อีกเรื่องคือ การให้ความเห็นเรื่องการออกใบอนุญาตสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยผู้ดำเนินรายการให้ความเห็นในทำนองว่า รัฐบาลไม่ควรออกใบอนุญาตการก่อสร้างในช่วงนี้
 


วอยซ์ ทีวียอมรับว่า มีการออกอดังกล่าวจริง แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นเสรีภาพของสื่อมวลชน ในส่วนความเป็นกลาง ผู้ชมจะตัดสินเองได้ การนำเสนอข่าวเรื่องดังกล่าวก็มีการออกอากาศที่ช่องอื่นด้วยเช่นกัน
 


รายการ Tonight Thailand วันที่ 16 ธันวาคม 2562 มีการปล่อยเสียงสัมภาษณ์ของสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งในเนื้อหาสุดารัตน์กล่าวว่า มีทหารตำรวจติดตาม คาดหวังให้กตต.ทำงานอย่างอิสระ ปราศจากข้อมูลที่ผู้ดำเนินรายการกล่าวเพิ่มเติมว่า มีการใช้อำนาจรัฐไม่ให้ชาวบ้านเข้าร่วมพูดคุยกับตัวแทนพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ประชาชนเกิดความสับสนในการทำงานของทหารและตำรวจ
 


วอยซ์ ทีวียอมรับว่า มีการออกอากาศเนื้อหาดังกล่าวจริง และมีการนำเสนอเนื้อหาอุปสรรคการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยอื่นๆ เช่น การยกเลิกการใช้สถานที่ปราศรัยที่จังหวัดพะเยา



รายการ Wake up news วันที่ 28 มกราคม 2562 ที่มีการนำเสนอเนื้อหาในทำนองที่ว่า คำสั่งคสช. เอื้อต่อพรรคใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐและมีการออกอากาศคำสัมภาษณ์ของพล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ส่งผลให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า คสช.เอื้อประโยชน์ให้พรรคพลังประชารัฐ



รายการ Wake up news วันที่ 29 มกราคม 2562 มีการนำเสนอข่าวนโยบายพรรคเพื่อไทยและยุทธศาสตร์ของพรรค, ห้วงเวลาที่กกต.กำหนดในระเบียบการดีเบทเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสื่อ แสดงความไม่เห็นด้วยในการใช้ประโยชน์ของสื่อเอกชนที่มีต้นทุน สื่อมีสิทธิเลือกข้างพรรคการเมืองใดก็ได้ ซึ่งการนำเสนอดังกล่าวอาจส่อให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า กกต.ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ



วอยซ์ ทีวียอมรับว่า มีการออกอากาศเนื้อหาดังกล่าวจริง ใน Wake up news วันที่ 28-29 มกราคม 2562 จริง โดยเห็นว่า ในการเลือกตั้งสื่อควรมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งเพื่อให้เกิดความเสรีเป็นธรรม ส่วนการนำเสนอข่าวพรรคเพื่อไทยในวันดังกล่าวเนื่องจากมีการประชุมใหญ่และแถลงนโยบายของพรรค โดยมีการเสนอข่าวของพรรคอื่นๆด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ข่าวของพรรคเพื่อไทยก็ปรากฏตามสื่ออื่นด้วย



รายการ Wake up news วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้ดำเนินรายการเสนอคำถามในทางชี้นำต่อแกนนำพรรคการเมืองเรื่อง การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี ซึ่งเวลานั้นหัวหน้าคสช.ยังไม่รับเป็นแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐ วอยซ์ ทีวียอมรับว่า มีการออกอากาศเนื้อหาดังกล่าวจริง โดยการสัมภาษณ์ตัวแทนของพรรคการเมืองขึ้นอยู่กับโอกาสและความสะดวก
 


ศาลพิจารณาข้ออ้างและข้อโต้แย้งของคู่ความ เห็นว่า วอยซ์ ทีวีมีการเสนอข่าววิเคราะห์การเมือง มีการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของรัฐ นโยบายพรรคการเมือง นโยบายสาธารณะ อย่างไรก็ตามมีบางส่วนที่เพิ่มเติมมาจากแหล่งข่าว จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทั้งหมดฟังไม่ได้ว่า การนำเสนอเนื้อหาของวอยซ์ ทีวีถึงขนาดที่จะทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ในประเด็นจริยธรรมสื่อมวลชนนั้นเป็นหน้าที่ขององค์กรวิชาชีพสื่อในการพิจารณา



โดยการเพิ่มเติมในรายการพิพาทไม่ถึงขนาดที่จะเป็นการเสนอข่าวในลักษณะส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกและไม่ปรากฏว่า ที่ประชุมกสทช.ได้พิจารณาถึงความเสียหายร้ายแรงก่อนพิจารณาโทษ ดังนั้นการระงับการออกอากาศจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 64 และ 37 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 (พ.ร.บ. ประกอบกิจการฯ) และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรวบรวมข้อเท็จจริง 2556
 


กรณีที่กล่าวอ้างว่า กสทช.มีอำนาจตามมาตรา 64 (2) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ในการระงับการออกอากาศ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นก่อนนั้นเห็นว่า มาตรา 64 (2) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ จะต้องมีองคืประกอบ 2 ประการคือ เนื้อหาขัดมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ และก่อความเสียหายร้ายแรง การกล่าวอ้างของกสทช.ไม่อาจรับฟังได้
 


ในเรื่องการกำกับสื่อเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่ที่ประชุมกสทช.จะมีมติในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ในการกำหนดโทษระงับการออกอากาศ สำนักงานกสทช.ได้มีหนังสือ 2 ฉบับให้วอยซ์ ทีวีชี้แจง โดยสำนักงานกสทช.ระบุว่า รายการ Wake up news ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 28 และ 29 มกราคม 2562 อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ฝ่าฝืนประกาศคสช. ที่ 97 และ 103/2557 , บันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานกสทช.และวอยซ์ ทีวี และมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ เมื่อวอยซ์ ทีวีไปชี้แจง กสทช.ไม่ได้มีคำสั่งให้แก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ 19 ประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555



อีกทั้งกสทช.ยังไม่แสดงข้อเท็จจริงว่า เนื้อหารายการสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะอย่างไร การระงับการออกอากาศจึงเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ใช่กรณีที่วอยซ์ ทีวีเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติและสร้างความเสียหายร้ายแรง ดังนั้นมติที่ประชุมกสทช.ครั้งที่ 3/2562 จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 16 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯและข้อ 20 ของประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555



กรณีที่วอยซ์ ทีวีขอให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานกสทช.และวอยซ์ ทีวี ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2557 เห็นว่า หากวอยซ์ ทีวีเห็นว่า บันทึกข้อตกลงฯไม่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องใช้สิทธิทางศาลภายใน 90 วัน แต่เวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ฟ้องในปี 2562 ศาลจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้
 


กรณีกสทช.กล่าวว่า การกระทำของวอยซ์ ทีวีเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากจึงใช้อำนาจตามมาตรา 64(3) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่วอยซ์ ทีวีกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯเรื่องเดียวกันหรือมีวิธีการเดียวกัน และต้องให้โอกาสวอยซ์ ทีวีในการโต้แย้งเสียก่อน ขณะที่หนังสือที่ให้วอยซ์ ทีวีเข้าชี้แจงต่อสำนักงานกสทช.ทั้ง 2 ฉบับไม่ได้มีประเด็นให้ชี้แจงเรื่องการกระทำรความผิดซ้ำแต่อย่างใด ในหนังสือคำสั่งของกสทช.ก็ไม่ปรากฏว่า มีการชี้แจงประเด็นความผิดซ้ำ มีเพียงข้อความว่า มีการกระทำความผิดซ้ำ เห็นว่า กสทช.ไม่ได้ประสงค์จะพิจารณาเรื่องการกระทำความผิดซ้ำ ไม่ให้โอกาสวอยซ์ ทีวีในการพิสูจน์ การอ้างตามมาตรา 64(3) ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ไม่อาจรับฟังได้
 


มติที่ประชุมกสทช.ที่ 3/2562 ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 กำหนดโทษทางปกครองให้ระงับการออกอากาศวอยซ์ ทีวีทั้งสถานีเป็นเวลา 15 วันออกโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 64, 16 และ 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ และข้อ 20 ของประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 2555 สั่งให้เพิกถอนมติดังกล่าว
 

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา