สหพันธรัฐไทคดีที่ 5: ‘บาลี’ ใส่เสื้อดำที่เซ็นทรัล รามอินทรา

อัปเดตล่าสุด: 09/06/2563

ผู้ต้องหา

‘บาลี’

สถานะคดี

ชั้นศาลชั้นต้น

คดีเริ่มในปี

2561

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

ไม่มีข้อมูล

สารบัญ

คดีของ ‘บาลี’ เป็นหนึ่งในชุดคดีมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นของกลุ่มสหพันธรัฐไท คดีนี้จำเลยถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 และ 209 ของประมวลกฎหมายอาญาจากการสวมเสื้อสีดำที่หน้าอกมีสัญลักษณ์แถบสีขาวแดงขาวที่อาจเชื่อมโยงกับกลุ่มสหพันธรัฐไทที่บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รามอินทรา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 คดีนี้จะมีนัดสืบพยานในวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ 2563

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไม่เปิดเผย

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2561 จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ดังนี้
 
 
หนึ่ง จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องเป็นสมาชิกของ “องค์การสหพันธรัฐไท” กลุ่มดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้าน คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
 
 
สอง จำเลยกับพวกได้ปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปให้ต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านคสช. จำเลยกับพวกได้นัดหมายสวมใส่เสื้อดำที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รามอินทราในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ชักจูงให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
 
 
ขอให้ศาลพิจารณาลงโทษในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และการเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 ของประมวลกฎหมายอาญา

พฤติการณ์การจับกุม

11 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 14.40 น. ขณะที่ ‘บาลี’ กำลังเดินผ่านจุดคัดกรองตรวจสอบประวัติบุคคลบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จ.นนทบุรี ตำรวจได้แสดงตัวว่า ‘บาลี’ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 14 มกราคม 2562 กล่าวหาว่า ‘บาลี’ กระทำความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 จากนั้นตำรวจจึงควบคุมตัวไปส่งพนักงานสอบสวน ที่กองกำกับการหนึ่ง กองบังคับการปราบปราม

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล

5 ธันวาคม 2561
 
ตามรายงานการสืบสวนระบุว่า ที่เซ็นทรัล รามอินทรา เวลาประมาณ 12.00 น. พบ ‘บาลี’ สวมใส่เสื้อดำนั่งรับประทานอาหารในร้านเคเอฟซี เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจบัตรประชาชน ‘บาลี’ ยินยอมแสดงบัตรประชาชนและถ่ายรูปบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ไว้ และเดินทางกลับ
 
 
7 ธันวาคม 2561
 
เวลาประมาณ 20.15 น. มีทหารในเครื่องแบบและตำรวจสวมเสื้อกั๊กมาขอค้นบ้าน ‘บาลี’   อ้างว่า เธอขัดคำสั่ง คสช. โดยไม่แสดงหมายค้นและอ้างอำนาจตามมาตรา 44  ‘บาลี’ ไม่ยินยอมให้เข้าค้นเนื่องจากเป็นยามวิกาล ภายหลังเจ้าหน้าที่จึงเดินทางกลับ โดยบอกว่า จะมาแจ้งข้อหาในวันรุ่งขึ้น
 
 
8 ธันวาคม 2561
 
ช่วงเย็นตำรวจสายสืบมาที่บ้าน ‘บาลี’ อีกครั้ง ระบุว่า มีหน้าที่มาเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของ ‘บาลี’  โดยได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้กับสามีของ ‘บาลี’  และให้สามีของเธอโทรศัพท์แจ้งทุกครั้งที่เธอออกจากบ้าน หลังจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับไปราวสองชั่วโมง เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวก็โทรศัพท์หาสามีของ ‘บาลี’ ให้ถ่ายรูปส่งทางไลน์เพื่อนำไปรายงานว่า ‘บาลี’ อยู่บ้าน
 
 
9 ธันวาคม 2561
 
เวลาประมาณ 08.30 น. มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบหลายนายไปที่บ้านของ‘บาลี’ แจ้งว่า ทางผู้บังคับบัญชาทั้งฝ่ายทหารและตำรวจต้องการเชิญตัวเธอไปพูดคุย แต่เธอปฏิเสธที่จะไปหากไม่มีหมายและไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้ามาในบริเวณบ้าน ภายหลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งได้กลับไป อีกส่วนหนึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน และบอกว่า หากวันนี้ ‘บาลี’ จะออกไปไหนให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ก่อนด้วย
 
 
ต่อมา เวลาประมาณ 14.00 น. สายสืบที่มาบ้าน‘บาลี’ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ไปพบเธออีกครั้ง ครั้งนี้แสดงบัตรเจ้าหน้าที่ว่าเป็นตำรวจสืบสวนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลสอง พร้อมทั้งแจ้งว่า ทหารขอความร่วมมือให้เขามาติดตามดูเธอ และรายงานกลับไปให้ทราบ ทั้งยังแจ้งว่า ทหารต้องการควบคุมตัวเธอไปด้วย เจ้าหน้าที่คนเดิมโทรศัพท์ให้สามีถ่ายรูป ‘บาลี’ ขณะอยู่ที่บ้านส่งไปให้อีก
 
 
14 มกราคม 2562
 
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นคำร้องต่อศาลให้ออกหมายจับ ‘บาลี’ ซึ่งต้องหาว่า กระทำความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209
 
 
11 เมษายน 2562
 
เวลาประมาณ 14.40 น. ขณะที่ ‘บาลี’ กำลังเดินผ่านจุดคัดกรองตรวจสอบประวัติบุคคลบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จ.นนทบุรี ตำรวจได้แสดงตัวว่า ‘บาลี’ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 14 มกราคม 2562 กล่าวหาว่า ‘บาลี’ กระทำความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 จากนั้นตำรวจจึงแจ้งสิทธิเบื้องต้นให้แก่ ‘บาลี’ และควบคุมตัวไปส่งพนักงานสอบสวนที่กองกำกับการหนึ่ง กองบังคับการปราบปราม
 
 
16 พฤษภาคม 2562
นัดฟังคำสั่งฟ้อง
 
พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-7 ธันวาคม 2561 จำเลยกับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ดังนี้
 
 
หนึ่ง จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้องเป็นสมาชิกของ “องค์การสหพันธรัฐไท” กลุ่มดังกล่าวมีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านคสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปเป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
 
สอง จำเลยกับพวกได้ปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไน์ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปให้ต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านคสช. จำเลยกับพวกได้นัดหมายสวมใส่เสื้อดำห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รามอินทราในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ชักจูงให้ประชาชนเกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบสหพันธรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
 
 
ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
 
 
31 พฤษภาคม 2562
นัดสอบคำให้การ
 
จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
 
 
15 กรกฎาคม 2562
นัดตรวจพยานหลักฐาน
 
ศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหา โจทก์แถลงว่า คดีนี้มีพยานบุคคลที่จะต้องนำสืบหลายปาก หากจำเลยได้ตรวจดูพยานหลักฐานของโจทก์แล้วสามารถแถลงรับข้อเท็จจริงพยานปากใดได้ โจทก์ก็จะตัดและไม่นำพยานปากนั้นเข้าสืบ
 
 
ทนายจำเลยแถลงว่า คดีนี้จำเลยไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ต่อมามีการแต่งตั้งทนายความขึ้นเป็นคณะทำงานสำหรับคดีนี้ โดยมีทนายความที่รับผิดชอบเป็นเจ้าของสำนวนหนึ่งคน เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง ประกอบกับหากคณะทำงานร่วมตรวจพยานหลักฐานก็จะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี อย่างไรก็ตามวันนี้คณะทำงานไม่ได้มาศาล ด้วยเหตุนี้จึงขอเลื่อนการประชุมคดีและตรวจพยานหลักฐานไปก่อน โจทก์ไม่ค้าน นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งวันที่ 19 สิงหาคม 2562
 
 
19 สิงหาคม 2562
นัดตรวจพยานหลักฐาน

 
 
18 กุมภาพันธ์ 2563
นัดสืบพยานโจทก์

พยานโจทก์ปากที่หนึ่ง พ.ต.ท.แทน ไชยแสง กองกำกับการสอง กองบังคับการตำรวจสันติบาลสอง
 

พ.ต.ท.แทนเบิกความว่า มีหน้าที่สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ เกี่ยวเนื่องในคดีนี้ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนติดตามเกี่ยวกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐบาลคสช. กลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และหลบหนีหมายจับไปที่ประเทศลาว กัมพูชาและเวียดนาม ประกอบด้วยชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวงหรือสหายปรีชา วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณหรือสหายหมาน้อย สยาม ธีรวุฒิและกฤษณะ ทัพไทย
 

ทั้งหมดมีลักษณะเป็นแกนนำที่มีพฤติการณ์ในการจัดรายการทางเว็บไซต์ยูทูปเพื่อปลุกระดมแนวร่วมในประเทศไทยเพื่อให้เกิดการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีคำขวัญคือต่อต้านสถาบันกษัตริย์ สถาปนาสหพันธรัฐไท ศาลอ่านข้อความในเอกสารให้พ.ต.ท.แทนฟังว่า ล้มล้างระบอบxxxx สถาปนากลุ่มสหพันธรัฐไท จากนั้นจึงถามว่า ข้อความดังกล่าวเป็นคำขวัญของสหพันธรัฐไทใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ พร้อมกล่าวว่า พอดีจำ[รายละเอียด]ไม่ค่อยได้
 
 
พ.ต.ท.แทนเบิกความต่อว่า สหพันธรัฐไทแบ่งเป็นสามกลุ่มคือ หนึ่ง กลุ่มแกนนำทางความคิดอยู่ในต่างประเทศ สอง กลุ่มเคลื่อนไหวปฏิบัติการเผาพระบรมฉายาลักษณ์และแจกใบปลิว สาม กลุ่มแนวร่วมมวลชน มีการใช้เสื้อดำติดธงชาติสีขาวแดงขาวเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งธงชาติไทยจะมีสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ถูกนำออกไป ศาลไม่ได้บันทึกในประเด็นนี้ เขาเบิกความต่อว่า กลางปี 2561 มีส่วนปฏิบัติการใช้ความรุนแรง โดยการลักลอบเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น แต่เจ้าหน้าที่ได้ตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาได้ทุกคน ในส่วนของการสื่อสารจัดรายการมีพื้นที่ให้สมาชิกสหพันธรัฐไทเข้าไปพูดคุยได้ ขณะที่สมาชิกกลุ่มมีการติดต่อกันทางกลุ่มไลน์ที่แบ่งเป็นสิบกลุ่มตามมลรัฐที่สหพันธรัฐไทได้วางกรอบไว้ หากสมาชิกที่มีที่อยู่ในกทม.ซึ่งเป็นมลรัฐที่สิบก็จะต้องไปอยู่ในกลุ่มไลน์ของมลรัฐที่สิบ และมีรหัสประจำตัวเช่น ป้าจอมซน 10010002 ป้าจอมซนคือชื่อ 10 คือลำดับมลรัฐ 01 คือกทม. และ 0002 คือลำดับสมาชิก
 

พ.ต.ท.แทนเบิกความย้ำอีกครั้งว่า วัตถุประสงค์ของสหพันธรัฐไทคือ ล้มล้างสถาบันฯ สถาปนาการปกครองแบบสหพันธรัฐไทโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เขาได้ทำรายงานการสืบสวนและถอดเทปรายการของกลุ่มสหพันธรัฐไทเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อรายงานสถานการณ์ของกลุ่มดังกล่าวและแจ้งเตือนข่าวสารให้แก่หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
 
เกี่ยวกับคดีนี้ จากการติดตามกลุ่มสหพันธรัฐไท วันที่ 2 ธันวาคม 2561 สถานการณ์ตึงเครียด วิทยากรในรายการของกลุ่มสหพันธรัฐไทเริ่มปลุกระดมมวลชนในประเทศให้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ที่ผ่านมามีการเผาป้ายและเผยแพร่แนวคิดทางเว็บไซต์ยูทูป แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงหันมาปลุกระดมประชาชนให้ใส่เสื้อดำในห้างสรรพสินค้าหรือพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน มีการติดสัญลักษณ์ขาวแดงขาวเพื่อให้สมาชิกกลุ่มรู้ว่า เป็นพวกเดียวกัน การออกมาเคลื่อนไหวเป็นไปเพื่อบอกว่า ปฏิวัติระบอบการปกครอง ปลุกระดมให้ออกมาแสดงออกในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป การปลุกระดมมีความเข้มข้นระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคม 2561 พ.ต.ท.แทนกล่าวย้ำอีกว่า “สรุปคือวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมฉลอง ใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มเขาพูดง่ายๆคือเขาจะล้มเจ้า ให้ออกมาเยอะๆ เพื่อไม่เอาสถาบันxxxx”
 
 
จากการเฝ้าฟังพบว่า การจัดรายการวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ถือเป็นไฮไลท์มีการปลุกระดมให้ออกมา หากเจ้าหน้าที่มาคัดค้านการกระทำก็ให้ถ่ายรูปไว้ ให้ประชาชนเปิดหน้าเข้าชน ถ้าหากมีการปฏิวัติจะยึดทรัพย์xxxxด้วย อัยการถามว่า หากประชาชนออกมาเยอะและปฏิวัติสำเร็จจะนำหลักฐานภาพถ่ายมาเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่และจะยึดทรัพย์ของxxxx ศาลถามว่า พ.ต.ท.แทนถอดเทปข้อความไว้ในเอกสารส่วนใด เนื่องจากอ่านตามเอกสารที่นำส่งในคดีนี้แล้วไม่พบข้อความว่า จะยึดทรัพย์xxxx อัยการจึงถามพ.ต.ท.แทนว่า นำมาจากไหน พ.ต.ท.แทนพยายามหาข้อความในเอกสารและตอบว่า หากไม่มีข้อความดังกล่าวก็ขอให้ตัดคำที่ได้เบิกความไปแล้ว ศาลอ่านข้อความว่า ทหารตำรวจขู่ก็ช่างแม่งมันเถอะ ถ่ายรูปและเช็คบิลมัน และถามว่าใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนไม่ค้านข้อความที่ศาลอ่าน
 
 
พ.ต.ท.แทนเบิกความต่อว่า หลังจากนั้นได้มีการแจ้งเตือนข่าวสารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากหน่วยใดอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าใดให้ไปที่นั้น ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2561 เขาได้รับมอบหมายให้ไปสืบสวนสังเกตการณ์ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อไปถึงพบว่า ห้างสรรพสินค้าดังกล่าวมีการรวมตัวกันของกลุ่มคนเสื้อดำจริงและมีการควบคุมตัวไปที่สน.ลาดพร้าว นอกจากการชุมนุมที่เดอะมอลล์ บางกะปิแล้ว เท่าที่จำได้ยังมีสยามพารากอน สกายวอล์คปทุมวันและเซ็นทรัล รามอินทรา กรณีของเซ็นทรัล รามอินทรานั้นพบว่า มีผู้เข้าข่ายน่าสงสัยสองคนคือ ‘บาลี’ จำเลยในคดีนี้และประชาชนอีกคนหนึ่ง กรณีของ ‘บาลี’ นั้นมีการถ่ายรูปบัตรข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปแสดงตัว จากนั้นจึงโพสต์เข้าไปในไลน์กลุ่มทำนองว่า ถ้าใครมาถึงรามอินทราแล้วก็ทักไลน์คุยกัน อัยการถามถึงสาเหตุที่ต้องถ่ายรูปบัตรประจำตัวของเจ้าพนักงานไว้ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เกิดจากการที่ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ แกนนำได้ปลุกระดมว่า ไม่ให้กลัวเจ้าหน้าที่
 

เหตุที่ทราบว่า สมาชิกในกลุ่มไลน์ที่ชื่อว่า ป้าจอมซน 10010002  และจำเลยเป็นคนๆเดียวกัน เนื่องจากว่าเจ้าหน้าที่ที่แสดงตัวเข้าตรวจสอบที่เซ็นทรัล รามอินทราในวันนั้นได้ถ่ายรูปบัตรประชาชนของจำเลยไว้เช่นกัน นอกจากนั้นสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า ป้าจอมซน10010002 ยังได้โพสต์ข้อความทำนองว่า เซ็นทรัล รามอินทรามาถึงแล้วนะคะ เดินช็อปไปเรื่อยๆ ลักษณะของการโพสต์คือรายงานสถานการณ์ให้สมาชิกกลุ่มรับทราบ จากนั้นสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า ป้าจอมซน10010002 ได้โพสต์ข้อความทำนองว่า บอกตรงๆไม่มั่นใจค่ะว่า ในกลุ่มอาจจะมีเจ้าหน้าที่ อย่างวันนี้สงสัยมากกว่า ทำไมถึงเจาะจงมาที่เรา จากข้อความดังกล่าวจึงเชื่อว่า จำเลยและป้าจอมซนเป็นคนเดียวกัน ต่อมาสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า ป้าจอมซนได้เปลี่ยนชื่อเป็นยูเรนัสและออกจากกลุ่มไป
 
 
จากสืบสวนบัญชีโซเชียลมีเดียของจำเลยพบว่า จำเลยโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องการปฏิวัติเช่น เพลงปฏิวัติ ดูแล้วมีรสนิยมชอบการปฏิวัติ โดยมีภาพที่ชูสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ ชูสามนิ้วหมายถึงการไม่เอาเผด็จการ โดยสรุปเห็นว่า จำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มสหพันธรัฐไท มีแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบสหพันธรัฐ นอกจากนี้ในเฟซบุ๊กของจำเลยยังเป็นเพื่อนกับคนที่มีแนวคิดไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น เอกชัย หงส์กังวานและประเวศ ประภานุกูล ศาลถามว่า เอกชัยเคยถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือยัง พ.ต.ท.แทนตอบว่า เคยถูกศาลสั่งจำคุกและพ้นโทษออกมาแล้ว
 
 
ทนายจำเลยถามค้าน
 
 
ทนายจำเลยถามว่า ในการสืบสวนพ.ต.ท.แทนได้ข้อมูลมาจากคณะทำงานที่เฝ้าฟังรายการทางเว็บไซต์ยูทูปใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่า การจัดรายการเป็นการนำเสนอเสียงของผู้จัดรายการเท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยหน้าตา พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่และรายการดังกล่าวบุคคลทั่วไปสามารถเข้าฟังได้ ทนายจำเลยถามว่า เนื้อหาของรายการโดยรวมมีลักษณะเรียกร้องประชาธิปไตย การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและเลือกตั้งทุกระดับใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว ทนายจำเลยถามว่า ในการถอดเทปรายการออกอากาศวันที่ 4 ธันวาคม 2561 มีการนัดหมายให้ไปเพียงที่ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอซ์แลนด์เท่านั้น ไม่ได้มีการให้ไปที่เซ็นทรัล รามอินทรา พ.ต.ท.แทนตอบว่า เป็นเรื่องของรายละเอียดในการถอดเทป ชูชีพผู้จัดรายการก็ไม่ได้บอกแต่มีการนัดหมายกันในกลุ่มไลน์ ศาลกล่าวเสริมว่า มีการพูดว่า ใกล้ที่ไหนให้ไปที่นั่น ทนายจำเลยแย้งว่า แต่ตามเอกสารการถอดเทปที่นำส่งเป็นหลักฐานในคดีนี้ ไม่มีได้มีการนัดหมายให้ไปที่เซ็นทรัล รามอินทรา
 

ทนายจำเลยถามว่า วันที่ 5 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ พ.ต.ท.แทนได้ไปดูสถานการณ์ที่เดอะมอลล์ บางกะปิที่เดียวใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ส่วนที่อื่นนั้นได้รับข้อมูลมาจากการรายงานจากประชาคมข่าวที่ขนาดใหญ่มาก จำไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่รายใดเป็นผู้รายงาน  ทนายจำเลยถามว่า พฤติการณ์ในการชุมนุมที่พ.ต.ท.แทนได้ทำเอกสารสรุปนั้นบอกว่า ที่เซ็นทรัล รามอินทรา สถานที่เกิดเหตุในคดีนี้มีสองรายเท่านั้น เพราะเหตุใด พ.ต.ท.แทนตอบว่า เนื่องจากได้รับรายงานมาเพียงเท่านี้
 
 
ทนายจำเลยถามว่า จากเนื้อหาคำเบิกความที่พ.ต.ท.แทนอ้างถึงเรื่องข้อความที่พูดคุยกันในกลุ่มไลน์ พ.ต.ท.แทนได้เป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มไลน์ เนื้อหาที่ได้มาจัดทำเอกสารประกอบนั้นได้มาจากภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์จากประชาคมข่าว ทนายจำเลยถามว่า ประชาคมข่าวคืออะไร พ.ต.ท.แทนอธิบายว่า ประชาคมข่าวคือช่องทางการรับข่าวสารเหมือนอย่างที่กลุ่มทนายความมีสภาทนายความ แต่ประชาคมข่าวจะได้ข่าวมาอย่างไร เขาไม่อาจทราบได้ ทนายจำเลยถามย้ำว่า เป็นบุคคลอื่นที่อยู่ในกลุ่มไลน์ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ เป็นสายลับที่อยู่ในกลุ่มไลน์ ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.แทนไม่ได้เป็นผู้บันทึกภาพ รายละเอียดทั้งหมดในกลุ่มไลน์ได้มาจากสายลับทั้งสิ้น ไม่ได้รู้เห็นด้วยตาตัวเอง ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่
 
 
ทนายจำเลยถามว่า กลุ่มไลน์ที่อ้างถึงมีชูชีพและสยามเป็นสมาชิกด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่แน่ใจว่า ทั้งสองอยู่ในกลุ่มด้วยหรือไม่ แต่จะมีแอดมินคนหนึ่งในการอนุมัติคนให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มคือ ชูชีพ แต่เขาไม่แน่ใจว่า อยู่ในกลุ่มหรือไม่ ส่วนในกลุ่มไลน์จะมีการส่งข่าวเรื่องอื่นนอกจากสหพันรัฐไทหรือไม่ ตนไม่ได้ติดตามจึงไม่ทราบ ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.แทนได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยตรงกับไอดีไลน์ที่เบิกความอ้างถึง พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้มีการตรวจสอบเนื่องจากตอนนั้นไม่ทราบหมายเลขโทรศัพท์ ทนายจำเลยถามว่า โพสต์เกี่ยวการปฏิวัติเช่น เพลงปฏิวัติ พ.ต.ท.แทนทราบหรือไม่ว่า มีการแต่งและเผยแพร่มาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ปี พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ และเบิกความต่อว่า ประเด็นที่กลุ่มสหพันธรัฐไทต้องการคือ ไม่เอาระบอบxxxx กูจะเอาราษฎรเป็นใหญ่ ศาลถามว่า เป็นลักษณะให้ประชาชนเป็นใหญ่ ไม่เอากษัตริย์ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่
 

ทนายจำเลยถามว่า การชูสามนิ้วนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่นักศึกษาใช้ในการต่อต้านรัฐประหารใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ กลุ่มสหพันธรัฐไทมองว่า ระบอบxxxxเป็นเผด็จการ ทนายจำเลยถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เคยโดนนักศึกษาชูสามนิ้วใส่ด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบและไม่เกี่ยวข้องด้วย ทนายจำเลยถามว่า จำเลยมีการโพสต์ข้อความเรื่องที่ตำรวจ 15 นายไปที่บ้านพัก พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ทราบ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าว ทนายจำเลยถามว่า พ.ต.ท.แทนได้ตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลยด้วยตัวเองใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนรับว่า ใช่ ทนายจำเลยถามต่อว่า ที่เบิกความไปว่า จำเลยมีเพื่อนในเฟซบุ๊กที่ต่อต้านสถาบันฯสองคนนั้น พ.ต.ท.แทนทราบหรือไม่ว่า เพื่อนในเฟซบุ๊กคนอื่นๆจะมีจุดยืนอย่างไร พ.ต.ท.แทนตอบว่า ไม่ได้มีการตรวจสอบ ดูเฉพาะที่แสดงออกชัดเจน หากมีการโพสต์ก้ำกึ่งก็ให้โอกาสกลับตัว
 

อัยการถามติง
 
อัยการถามว่า จากเอกสารการถอดเทปที่ระบุว่า ให้ไปแสดงออกที่เซ็นทรัล รามอินทรานั้น เป็นเพียงการยกตัวอย่างใช่หรือไม่ พ.ต.ท.แทนตอบว่า ใช่ นอกจากนี้กลุ่มดังกล่าวยังมีการสื่อสารเพื่อนัดหมายสถานที่กันผ่านกลุ่มไลน์ อัยการถามว่า ตามเอกสารรายงานการสืบสวนที่ระบุว่า มีผู้ชุมนุมสองรายที่เซ็นทรัล รามอินทรานั้น อยากให้พ.ต.ท.แทนอธิบายเพิ่มเติม พ.ต.ท.แทนตอบว่า สองคนที่รายงานเป็นเพียงสองคนที่สุ่มตรวจสอบในวันนั้น ไม่ใช่ว่ามีผู้ชุมนุมแค่สองคน
 
 
พยานโจทก์ปากที่สอง ร.ต.อ.พรชัย ว่องประเสริฐการ เจ้าหน้าที่สืบสวนสน.บางเขน
 

ร.ต.อ.พรชัย เบิกความว่า เกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ผู้บังคับบัญชาที่สน.บางเขนได้ทราบข้อมูลว่า กลุ่มสหพันธรัฐไทที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะสวมใส่เสื้อดำเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆในกรุงเทพมหานครในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของรัชกาลที่เก้า ปกแล้วจะมีการเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปสวมใส่เสื้อเหลือง จึงให้ทำการสืบสวน โดยมีพ.ต.ท.นิเวศ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนและตนเป็นรองหัวหน้าชุดสืบสวน
 
 
เมื่อได้รับทราบคำสั่งสืบสวน ประมาณ 12.00 น. เขาจึงได้ไปที่เซ็นทรัล รามอินทรา ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร กระจายกำลังโดยรอบห้างสรรพสินค้า ในเวลาประมาณ 14.30 น. เขาได้รับแจ้งว่า มีหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อดำที่ร้านเคเอฟซี มีการใช้หูฟังโทรศัพท์ตลอดเวลา หลังจากได้รับแจ้งจึงไปตรวจสอบที่บริเวณดังกล่าวพบหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อดำอยู่จริง ภายในร้านไม่ปรากฏบุคคลอื่นที่สวมใส่เสื้อดำ เขาจึงแสดงตัวว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและถามว่า เป็นสมาชิกกลุ่มสหพันธรัฐไทหรือไม่ หญิงรายดังกล่าว ซึ่งต่อมาคือจำเลยในคดีนี้ตอบว่า ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม เพียงแต่มาสังเกตการณ์และซื้อของ
 
 
เหตุที่ต้องแสดงตัวเนื่องจากว่า วันดังกล่าวเขาไม่ได้แต่งกายในเครื่องแบบ อย่างไรก็ตามจำเลยไม่ให้ความร่วมมือ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ พยายามหลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงและจะเดินหลบหนี เขาจึงได้ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยและถามถึงที่พักอาศัย นอกจากนี้จำเลยยังได้ถ่ายภาพบัตรประจำตัวของตนไปด้วย จากนั้นจำเลยจึงแยกตัวออกไปและเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการใด
 
 
ต่อมาในช่วงเย็นของวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาว่า ภาพบัตรประจำตัวของเขาถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูปในช่องของสหพันธรัฐไท เมื่อเขาเข้าไปตรวจสอบพบว่า เป็นภาพบัตรประจำตัวของเขาจริง เนื้อหารายการเป็นลักษณะการต่อต้านระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกล่าวในทำนองไม่ดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
 
 
พยานโจทก์ปากที่สาม สารวัตรสืบสวน สน. บางเขน
 

พยานเบิกความว่า อายุ 36 ปี ขณะเกิดเหตุเป็นสารวัตรสืบสวนสน.บางเขน มีอำนาจในการสืบสวนและจับกุมตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา วันเกิดเหตุได้รับแจ้งว่าจะมีกลุ่มสหพันธรัฐไทรวมตัวกัน มีการสวมใส่ชุดดำ จึงไปตรวจสอบที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รามอินทรา ซึ่งเป็นท้องที่รับผิดชอบของสน.บางเขน  กลุ่มดังกล่าวมีแนวคิดไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านระบบเผด็จการ
 
 
วันเกิดเหตุเขาเดินทางไปถึงห้างฯในเวลาประมาณ 13.00 น.  จนกระทั่งเวลา 14.00 น. พยานได้รับแจ้งว่า มีหญิงสวมใส่เสื้อดำอยู่บริเวณร้านเคเอฟซี เมื่อไปถึงร้านพบ ‘บาลี’ จำเลยในคดีนี้ ลักษณะท่าทางคือ สวมเสื้อดำ มีหูฟังโทรศัพท์ตรงตามที่ได้รับแจ้ง ‘บาลี’ จึงเข้าไปแสดงตัว จากนั้น‘บาลี’จึง ขอดูบัตรประจำตัวเจ้าพนักงาน เขาจึงได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.พรชัย ว่องประเสริฐการ เจ้าหน้าที่ที่ไปด้วยกันแสดง ‘บาลี’ ได้ถ่ายภาพบัตรประจำตัวของ ร.ต.อ.พรชัยไว้ ในการพูดคุย ‘บาลี’มีลักษณะบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ สอบถามไม่ยอมให้คำตอบ
 
 
ในวันดังกล่าวได้ทำการตรวจสอบบุคคลอื่นที่ใส่เสื้อดำประมาณหนึ่งถึงสองคน แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหพันธรัฐไทจึงไม่ได้ดำเนินคดี จากนั้นพยานจึงกลับไปที่สน.บางเขน
 
 
ต่อมาในช่วงเย็นได้รับแจ้งว่า พบภาพของตำรวจสน.บางเขนและภาพบัตรประจำตัวของร.ต.อ.พรชัยไปอยู่ในรายการของกลุ่มสหพันธรัฐไท จึงตามไปดูคลิปรายการดังกล่าวพบว่า เนื้อหามีการโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเป็นภาพที่‘บาลี’ถ่ายไว้ที่หน้าร้านเคเอฟซี หลังจากนั้นจึงรายงานของผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงตรวจสอบเฟซบุ๊กของ ‘บาลี’ ชื่อว่า xxxxxx ภาพหน้าโปรไฟล์ของ ‘บาลี’เป็นภาพของเธอชูสามนิ้ว ที่พยานเห็นและเข้าใจว่า เกี่ยวกับการต่อต้านเผด็จการและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ
 
 
พยานได้ติดตามพฤติกรรมและไปที่บ้านของ ‘บาลี’ สองครั้งแรก ครั้งแรกในวันที่ 7 ธันวาคม 2561 เวลา 20.00 น. ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหาร วันดังกล่าวเขาพบกับ‘บาลี’ สามีและลูกของเธอ เหตุที่ไปเพราะต้องการหลักฐานที่เชื่อมโยงกับสหพันธรัฐไท แต่ไม่ได้เพราะ‘บาลี’ไม่ให้ความร่วมมือ พยานได้ถาม‘บาลี’ด้วยว่า เหตุใดภาพบัตรประจำตัวของร.ต.อ.พรชัยจึงไปบนเว็บไซต์ยูทูป ‘บาลี’ตอบว่า เธอได้ส่งภาพให้กลุ่มเพื่อนของเธอ
 
 
ครั้งที่สองในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 เวลา 9.00 น. เหตุที่ไปเพราะต้องการติดตามไม่ให้ ‘บาลี’ไปร่วมงานอุ่นไอรักเพราะกลัวจะก่อความไม่สงบ พยานได้พูดคุยกับสามีของ ‘บาลี’ ขณะที่ ‘บาลี’ถ่ายไลฟ์สดลงเฟซบุ๊ก พยานเคยพูดคุยให้สามีของ‘บาลี’ส่งรายงานความเคลื่อนไหวของ ‘บาลี’ให้แก่ตำรวจ สามีของเธอให้ความร่วมมือส่งให้ ต่อมาพยานจึงให้ร.ต.อ.พรชัยไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เนื่องจากรูปของร.ต.อ.พรชัยไปปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ยูทูปจึงทำให้เชื่อว่า ‘บาลี’ มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มสหพันธรัฐไท
 
 
 
20 กุมภาพันธ์ 2563
นัดสืบพยานจำเลย
พยานจำเลยปากที่หนึ่ง 'บาลี' อ้างตัวเองเป็นพยานจำเลย
 
 
 
 
26 มีนาคม 2563
นัดฟังคำพิพากษา

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา