กระทรวงดีอี บล็อคคลิป “วัคซีนพระราชทาน”

อัปเดตล่าสุด: 08/02/2564

ผู้ต้องหา

คลิปวีดิโอขอองคณะก้าวหน้าเรื่อง “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย?”

สถานะคดี

ศาลไม่รับฟ้อง

คดีเริ่มในปี

2564

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

บุตรฉัตร สิงขรอาจ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล

สารบัญ

29 มกราคม 2564 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ระงับการเผยแพร่เนื้อหาคลิปวีดิโอที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บรรยาย หัวเรื่อง "วัคซีนพระราชทาน ใครได้ ใครเสีย?" บนเฟซบุ๊กเพจคณะก้าวหน้า ยูทูป และเว็บไซต์ของคณะก้าวหน้า โดยอ้างว่า เนื้อหาอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กระทบต่อความมั่นคง ซึ่งศาลสั่งให้ระงับการเผยแพร่ในวันเดียวกัน
 
ต่อมาธนาธร ยื่นคำคัดค้านต่อศาล ระบุว่า เนื้อหาในคลิปวีดิโอไม่ได้เป็นความผิดตามมาตรา 14(3) เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ศาลเรียกทั้งสองฝ่ายมาไต่สวนแล้วมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิม การตีความคำว่า “อาจกระทบต่อความมั่นคง” ต้องตีความอย่างเคร่งครัดและเป็นภาวะวิสัย ข้อเท็จจริงเท่าที่ธนาธรพูดถึงเพียงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถือหุ้นบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ มิได้ทำให้พระองค์เสื่อมเสีย ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง หรือไม่เป็นที่เคารพสักการะแต่อย่างใด

ภูมิหลังผู้ต้องหา

ไม่มีข้อมูล

ข้อหา / คำสั่ง

มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 20 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ตามคำร้องที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยื่นต่อศาล ระบุว่า มีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บน
 
 
ทั้งสามยูอาร์แอล ปรากฏข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอ ทีมีเนื้อหาเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงีบการทำให้เผยแพร่ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้ ตามมาตรา 20
สำนักปลัดกระทรวงฯ มีหนังสือขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ร้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีให้มีอำนาจยื่นอคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจ 
 
(ดูคำร้องฉบับเต็มได้ที่ เอกสารแนบ)

พฤติการณ์การจับกุม

ไม่มีข้อมูล

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

พศ 76/2564

ศาล

ศาลอาญา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
18 มกราคม 2564 
 
เฟซบุ๊กเพจคณะก้าวหน้า และยูทูปของคณะก้าวหน้า ถ่ายทอดสดการนำเสนอของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในหัวข้อชื่อ “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย? โดยธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เนื้อหาโดยรวมเป็นการเปิดเผยข้อมูลการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ของรัฐบาลไทย ที่ธนาธรระบุว่า เป็นการจัดหาที่ช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ในจำนวนที่ไม่เพียงพอ ไม่กระจายความเสี่ยงไปหลายบริษัท และขาดแผนบริหารจัดการในการฉีดวัคซีน
 
ประเด็นปัญหาที่เป็นเรื่อง “อ่อนไหว” คือ การเปิดเผยข้อมูลว่า รัฐบาลตกลงจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจัดจ้างให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตวัคซีนในประเทศ และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ นั้นมีผู้ถือหุ้น คือ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” 
 
 
20 มกราคม 2564 
 
ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า เนวินธุ์ ช่อชัยทิพย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทศพล เพ็งส้ม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อแจ้งความเอาผิด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กรณีไลฟ์วิจารณ์บริษัทวัคซีน
 
ทศพล กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ให้มายื่นหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ฐานความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
 
 
29 มกราคม 2564
 
บุตรฉัตร สิงขรอาจ เจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยื่นคำร้องต่อศาลอาญา โดยมีเนื้อหาว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลนีสารสนเทศ (ปท.) ได้มีบันทึกข้อความเรียน ปดศ. ผ่าน รดศ. ตามบันทึกข้อความลับมาก ด่วนที่สุด ที่ ดศ. 02047/151 เรื่องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยระบุสามยูอาร์แอล ปท. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า มีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บน
 
1) เฟซบุ๊กไลฟ์ 
2) เว็บไซต์คณะก้าวหน้า 
3) ยูทูป
 
ทั้งสามยูอาร์แอล ปรากฏข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอ ทีมีเนื้อหาเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้เผยแพร่ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้ ตามมาตรา 20
สำนักปลัดกระทรวงฯ มีหนังสือขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ร้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีให้มีอำนาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจ 
 
ผู้ร้องจึงมีความประสงค์ขอให้ศาลได้โปรดมีคำสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหา ภาพ และคลิปวิดีโอ ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวนสามยูอาร์แอล
 
ศาลรับคำร้องไว้ และเรียกบุตรฉัตรมาไต่สวนในวันเดียวกัน แล้วจึงออกคำสั่งทันที
 
ในรายงานกระบวนพิจารณาระบุว่า ศาลออกนั่งพิจารณาคดีเวลา 16.00 น. ไต่สวนบุตรฉัตร สิงขรอาจ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หนึ่งปาก ศาลมีคำสั่งว่า
 
“พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากบุตรฉัตร สิงขรอาจ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ตรวจสอบพบเว็บไซต์เผยแพร่ มีข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอ ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ปรากฏอยู่สามยูอาร์แอล และแผ่นวีดิทัศน์ เป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในภาคสอง ลักษณะ 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ กรณีจึงมีเหตุที่จะให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ กรณีจึงมีเหตุที่จะให้ระงับการทำให้แพร่หลาย ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์จำนวนสามยูอาร์แอลดังกล่าวได้” 
 
 
1 กุมภาพันธ์ 2564 
 
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มอบอำนาจให้ พิพัฒน์พงษ์ รุจิตานนท์ เป็นทนายความยื่นคำร้องคัดค้าน โดยมีใจความว่า คดีนี้ศาลได้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปวีดิโอสามยูอาร์แอล โดยอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ประกอบมาตรา 20 ผู้คัดค้านขอให้ศาลได้โปรดพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปวิดีโอสามยูอาร์แอล ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
 
1. ศาลคดีนี้สั่งให้ระงับคลิปวีดิโอตามคำร้อง ซึ่งไม่ได้บรรยายเนื้อหาแห่งคำร้องให้ศาลพิจารณารายละเอียด สาระแห่งเนื้อความในคลิปวีดิโอว่า มีเนื้อหาข้อความอันต้องห้ามตามมาตรา 14(3) ในส่วนได้ ไม่ได้บรรยายโดยแสดงให้เห้นว่า ข้อความใดมีลักษณะฝ่าฝืนกฎหมาย และการกระทำของธนาธรครบองค์ประกอบทางกฎหมายหรือไม่ เนื้อหาแห่งคลิปวีดิโอไม่ได้ต้องห้ามตามมาตรา 14(3) แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการจัดการผลิตและสนับสนุนการผลิตวัคซีนโควิดของรัฐบาล อันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลโดยทั่วไป เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ การที่ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่วีดิโอจึงเป็นคำสั่งที่ผิดหลง สมควรจะเพิกถอนโดยเร็ว
 
2. ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปวีดิโอโดยคดีความที่ผู้ร้องกำลังดำเนินคดีอาญาพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้คัดค้านแต่อย่างใด ในกระบวนการพิจารณาคำสั่งนี้ศาลไม่ได้เรียกให้ผู้คัดค้านเข้าชี้แจงหรือแสดงพยานหลักฐานโต้แย้งคำร้อง ภายใต้หลักการรับฟังความทั้งสองฝ่ายประกอบกับบทสันนิษฐานแห่งกฎหมายว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิด 
 
ผู้คัดค้านขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปวีดิโอโดยเร็ว
 
 
4 กุมภาพันธ์ 2564 
 
ศาลอาญาเรียกให้ผู้ร้อง คือ เจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้คัดค้าน คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาศาล และให้มีการไต่สวนพยาน โดยฝ่ายผู้ร้องนำพยานเข้าเบิกความสองปาก คือ เจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นผู้ยื่นคำร้องให้ระงับการแพร่หลายซึ่งคลิปวีดิโอ และทศพล เพ็งส้ม ซึ่งอธิบายว่าเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายในคดีนี้ ส่วนฝ่ายผู้คัดค้าน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นพยานเบิกความถึงเนื้อหาที่นำเสนอในคลิปวีดิโอนี้
 
 
8 กุมภาพันธ์ 2564 
 
ศาลอาญามีคำสั่งสรุปได้ว่า 
 
คดีมีข้อพิจารณาประการแรกว่า มีเหตุให้รับคำคัดค้านไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 10 วรรคหนึ่งให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่โดยความเห็นชอบจากรัฐมนตรียื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้และมาตรา 20 วรรคสี่ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้แก่การพิจารณาคำร้องโดยอนุโลม เมื่อไม่ได้มีถ้อยคำที่แสดงว่า จะต้องนำบทบัญญัติส่วนใดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ การที่ศาลจะนำกระบวนการไต่สวนฝ่ายเดียวทำนองเดียวกับการพิจารณาคำขอหมายค้นและหมายจับมาใช้บังคับไม่สอดคล้องกับเรื่องนี้ เพราะกระบวนพิจารณาในชั้นขอหมายค้นและหมายจับให้อำนาจศาลเข้าไปควบคุมกระบวนการในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงาน คดีจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาลอีกซึ่งศาลมีโอกาสในการตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงต่อไป อีกทั้งโดยสภาพการค้นและจับเป็นงานที่จะต้องทำโดยฉับไวเพื่อให้บรรลุผลในการปราบปรามอาชญากรรม
 
แต่การออกคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์อันมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยชัดแจ้งและถาวร เมื่อสิ้นสุดกระบวนการแล้วไม่มีโอกาสให้ผู้ใดได้โต้แย้งอีกต่อไป การอนุโลมใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ถูกต้องแก่คำร้องเช่นนี้ สมควรที่จะรับพิจารณาเสมือนเป็นคดีอาญาคดีหนึ่งซึ่งต้องให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายได้ต่อสู้คดีเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ การให้โอกาสดังกล่าวยังเป็นหลักการสำคัญสำหรับการทำงานขององค์กรตุลาการตามหลักนิติธรรม
 
ดังนั้น การที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลในวันที่ 29 มกราคม 2564 และศาลไต่สวนพยานผู้ร้องฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งในทันทีเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ จึงมีเหตุให้รับคำคัดค้านของผู้คัดค้านไว้พิจารณา 
 
ประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปมีว่า มีเหตุสมควรให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์เรื่องนี้หรือไม่ ผู้ร้องอ้างว่าเนื้อความที่เผยแพร่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) เห็นว่าตามคำร้องนี้เป็นได้ทั้งกรณีตามมาตรา 20(1) หรือมาตรา 20(2) ซึ่งมีหลักการแตกต่างกัน
 
กรณีตามมาตรา 20(1) เชื่อมโยงไปยังมาตรา 14(3) ซึ่งกำหนดความผิดสำหรับการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ถ้อยคำที่ว่า “อันเป็นความผิด” แสดงว่ากฎหมายประสงค์จะลงโทษผู้นำข้อมูลซึ่งได้มีการวินิจฉัยโดยชัดแจ้งแล้วว่าเป็นความผิดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเมื่อยังไม่มีการฟ้องเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามคำร้องนี้ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาจึงไม่มีกรณีต้องวินิจฉัยตามมาตรา 14(3) และไม่เข้าเหตุตามมาตรา 20(1) 
 
กรณีตามมาตรา 20(2) ให้อำนาจศาลระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ลักษณะ 1 และลักษณะ 1/1 คำว่า “อาจ” แสดงว่าการห้ามตามมาตรานี้ มีลักษณะคล้ายมาตรการเพื่อความปลอดภัย แม้ถ้อยคำจะอ้างอิงไปถึงประมวลกฎหมายอาญา แต่ในชั้นนี้กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะแยกเป็นคนละเรื่องกับการพิจารณาความรับผิดของบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา สำหรับการพิจารณาในชั้นนี้ ศาลพิจารณาเฉพาะตัวข้อมูลคอมพิวเตอร์ว่าอาจกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ การวินิจฉัยคดีนี้จึงไม่เป็นการวินิจฉัยว่าผู้ใดจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องและศาลที่มีเขตอำนาจจะได้พิจารณาต่างหากไป
 
คดีมีข้อพิจารณาต่อไปว่า คำว่า “อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร” มีความหมายเพียงไร ซึ่งต้องแปลความโดยพิจารณากรอบของรัฐธรรมนูญด้วย
 
รัฐธรรมนูญมาตรา 34 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า 
 
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน”
 
การที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ หมายความว่า การห้ามหรือระงับการแพร่หลายซึ่งข้อมูลเป็นข้อยกเว้นในขณะที่การเผยแพร่ข้อมูลโดยเสรีเป็นหลัก ในการนี้ควรพิจารณาว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสาระสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ยอมรับความหลากหลายและอดทนอดกลั้นต่อความเห็นต่าง สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนี้จึงถือเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับความคุ้มครองโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ตามหลักสากลของการปกครองในระบบประชาธิปไตยที่มีนิติรัฐและมีพันธกรณีในการปกป้องสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยรับรองและเป็นภาคี
 
ดังนั้น การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะทำได้เมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดและเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองประโยชน์อันชอบธรรมของรัฐและต้องได้สัดส่วนกับความจำเป็นโดยต้องใช้มาตรการที่เป็นภาระน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การตีความคำว่า “อาจกระทบต่อความมั่นคง” ตามมาตรา 20(2) จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัดและเป็นภาวะวิสัย 
 
สำหรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามคลิปวีดิโอผู้คัดค้านนำเสนอเรื่องการจัดการวัคซีน เนื้อความระบุว่า รัฐบาลประมาทไม่เร่งรีบจัดหาทำให้การจัดหาล่าช้า จัดหาน้อยเกินไป เพราะรัฐบาลมุ่งแสวงหาความนิยมมากเกินไป มีการกล่าวถึงบริษัทซิโนแวคและการถือหุ้นบางส่วนของบริษัทซีพี กล่าวถึงวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกาซึ่งว่าจ้างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตระบุว่าบริษัทดังกล่าวมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดโดยระบุว่ารัฐบาลไม่พยายามจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากกว่าร้อยละ 21.5 กล่าวหาว่ารัฐบาลมุ่งผลทางการเมืองมากกว่าดูแลประชาชน กล่าวหาว่าบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ไม่อยู่ในแผนความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ และกล่าวถึงองค์กรที่มีศักยภาพ รัฐบาลฝากความหวังไว้กับบริษัทแอสตราเซเนกาและบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์มากเกินไปก่อนจะสรุปว่าหากเกิดความผิดพลาดนายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบไหวหรือไม่เพราะประชาชนจะตั้งคำถามกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
 
การพิจารณาว่าข้อความใดจะเป็นข้อความที่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะต้องพิจารณาจากข้อความทั้งหมดมิใช่เฉพาะข้อความตอนหนึ่งตอนใด ข้อความที่ผู้คัดค้านนำเสนอเนื้อหาทั้งหมดมุ่งเน้นที่การกล่าวหารัฐบาลว่าบกพร่องในการจัดหาวัคซีนข้อมูลที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงข้อมูลส่วนน้อยและไม่ใช่ประเด็นหลักในการนำเสนอ เมื่อพิจารณาข้อความที่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะเจาะจงคือในนาทีที่ 15.05 และนาทีที่ 28.10 ในส่วนแรกเป็นการกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งความข้อนี้ผู้คัดค้านนำสืบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเอกสารราชการและผู้ร้องไม่คัดค้านจึงฟังว่าเป็นความจริง ข้อเท็จจริงเพียงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถือหุ้นบริษัทดังกล่าวมิได้ทำให้พระองค์เสื่อมเสีย ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง หรือไม่เป็นที่เคารพสักการะแต่อย่างใด
 
ส่วนที่สอง ข้อความนี้ไม่อาจแปลความตามลำพังแยกขาดจากเนื้อความส่วนใหญ่ได้ เป็นส่วนเสริมจากข้อมูลส่วนใหญ่ของการนำเสนอที่กล่าวหารัฐบาลว่าผิดพลาดในการให้วัคซีนเกือบทั้งหมดถูกผลิตในบริษัทเดียว ไม่ได้มีลักษณะชักชวนให้ประชาชนกล่าวโทษพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่โดยข้อความที่สืบเนื่องกันมามีลักษณะเป็นการกล่าวหาว่า การกระทำของรัฐบาลจะกระทบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้คนฟังรู้สึกว่าความบกพร่องของรัฐบาลเป็นเรื่องร้ายแรงไม่ได้มุ่งเน้นความรับผิดชอบของบริษัทแต่อย่างใด
 
การแปลข้อความที่กล่าวว่า “อาจกระทบต่อความมั่นคง” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จนเป็นเหตุให้ระงับการแพร่หลายระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการแปลความในเชิงภาวะวิสัยกล่าวคือ ตามหมายความเท่าที่ปรากฎตามตัวอักษรทั้งหมด ไม่พึงนำข้อมูลเฉพาะตัวของผู้คัดค้านซึ่งรวมถึงประวัติและแนวทางทางการเมืองมาพิจารณา เพราะคดีนี้ไม่ใช่การพิจารณาความผิดของผู้คัดค้าน ซึ่งเมื่อพิจารณาแต่เฉพาะถ้อยคำที่ผู้คัดค้านกล่าวสืบเนื่องมาทั้งหมดของเรื่องนี้ยังไม่สามารถเห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจนว่าจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชัง องค์พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด 
 
ในส่วนการนำเสนอของผู้คัดค้านยังมีข้อความหัวเรื่องว่า “วัคซีนพระราชทานใครได้ใครเสีย” ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นคำพูดที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดทำนองนี้ และหน่วยงานของรัฐบาลเคยใช้คำนี้แม้ว่าถ้อยคำอาจไม่ตรงกันทั้งหมดแต่น่าจะแสดงว่าก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลได้มีการใช้ถ้อยคำที่แสดงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบการจัดหาวัคซีนแล้ว การที่ผู้คัดค้านนำข้อความดังกล่าวมานำเสนอจึงไม่ใช่ความเท็จและลำพังข้อความดังกล่าวก็ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระองค์ 
 
เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดแล้วแม้ผู้คัดค้านจะบรรยายว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ แต่ก็มิได้มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นชัดเจนเป็นการกล่าวหา หรือตำหนิติเตียน หรือกล่าวให้สงสัยในความสุจริตต่อพระองค์ไม่ว่าในทางใดๆ จึงไม่มีลักษณะชัดเจนและเห็นได้ในทางภาวะวิสัยว่าข้อความนี้อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงอันจะเป็นเหตุให้ศาลสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อความคอมพิวเตอร์
 
อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การไต่สวนและมีคำสั่งของศาลซึ่งมีผลให้คำสั่งศาลในวันที่ 29 มกราคม 2564 เป็นอันสิ้นผล
 
 

 

คำพิพากษา

ไม่มีข้อมูล

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา