1432 1810 1891 1844 1814 1983 1100 1330 1299 1319 1749 1446 1842 1559 1630 1615 1228 1052 1547 1181 1934 1765 1715 1397 1203 1357 1709 1917 1458 1741 1323 1150 1780 1671 1098 1688 1015 1066 1547 1744 1179 1703 1905 1439 1094 1451 1535 1970 1805 1643 1491 1935 1784 1236 1465 1081 1081 1532 1403 1349 1150 1916 1403 1000 1524 1109 1975 1522 1044 1088 1740 1154 1954 1808 1658 1854 1958 1494 1655 1567 1138 1194 1720 1871 1475 1275 1128 1035 1115 1437 1000 1581 1061 1318 1569 1895 1562 1820 1805 วิวัฒนาการของ “การลงโทษในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

วิวัฒนาการของ “การลงโทษในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง

 

ปัจจุบันแทบไม่มีใครไม่รู้จักกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ กฎหมาย “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” กฎหมายพิเศษที่คุ้มครองชื่อเสียงเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
 
ในประวัติศาสตร์ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง บุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยเป็นอย่างมากและต่อเนื่องมายาวนานยาวนาน กฎหมายดังกล่าวจึงไม่อาจแยกออกจากบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองไทยแต่ละยุคสมัยได้ ตัวบทของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ มีวิวัฒนาการไปตามสภาพสังคมการเมืองแต่ละยุคสมัย และการบังคับใช้กฎหมายนี้ก็มีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน 
 
 
ยุคการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
 
ในยุคนี้พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ พระมหากษัตริย์กับรัฐจึงเป็นเสมือนสิ่งๆ เดียวกันตามคติว่าด้วยสมมติเทพและธรรมราชา โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ การละเมิดต่อชื่อเสียงเกียรติยศของพระมหากษัตริย์จึงเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายสูงสุดหรือทำลายความมั่นคงของรัฐ
 
กฎหมายตราสามดวง
 
กฎหมายตราสามดวง ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บัญญัติให้ความผิดฐานเจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัว มีโทษ 8 สถาน คือ “ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีนเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที 50 ที ให้จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่ ให้ไหมทวีคูน ให้ไหมลาหนึ่ง ให้ภาคทัณท์ไว้” ความผิดฐานติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัว มีโทษ 3 สถาน คือ “ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที หมิสกัน 25 ที” 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
            • ช่วงปี 2425 (รศ.101) นายเทียนวรรณถูกฟ้องร้องกรณีเขียนฎีกาให้กับราษฎรผู้หนึ่งโดยไม่ขออนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และถูกตัดสินว่าหมิ่นตราพระราชสีห์ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ที่ใช้ประทับในการบริหารราชการของกษัตริย์ โดยกล่าวว่าตรานี้ไม่สามารถบังคับกรมการในหัวเมืองได้ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและหมิ่นประมาทเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตร โทษทัณฑ์ของเขาเป็นไปตามกฎหมายโบราณ คือ ถูกโบย 50 ที และขังคุกโดยไม่มีกำหนด เทียนวรรณถูกจำขังอยู่ 17 ปี จึงได้รับอิสรภาพในปี พ.ศ. 2442 (รศ.118)
            • ช่วงปี 2441 มีการเนรเทศนายเจ เจ ลิลลี บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Bangkok Free Press ออกนอกประเทศข้อหาดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ รัฐบาลและประชาชนสยาม ที่ประท้วงและพยายามส่งโทรเลขรายงานการเซ็นเซอร์โทรเลข รายงานการสู้รบระหว่างกองทัพสยามกับชาวเขมรที่ไม่จ่ายภาษีของรัฐบาลสยาม ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นข้อความที่ผิดข้อเท็จจริงและกระทบความมั่นคง
 
พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118
 
ต่อมาเมื่อการสื่อสารในรูปแบบเขียนและการพิมพ์เริ่มแพร่หลาย นำไปสู่การประกาศใช้ พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งระบุความผิดการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ไว้ในมาตรา 4 ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1,500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
            • ช่วงปีพ.ศ.2449 รัชกาลที่ 5 ด้วยทรงกริ้วได้วินิจฉัยว่าบทความของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ว่ามีถ้อยคำและความคิดที่มีลักษณะสบประมาทต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ ไม่ได้เกรงพระบรมเดชานุภาพ ที่กล่าวเทียบเคียงว่ารัชกาลที่ 5 จะเป็นกษัตริย์ที่สุดของวงศ์จากการพูดถึงพระราชโอรสที่เข้าครองราชย์สมัยสุโขทัยองค์หนึ่งไม่มีความสามารถจึงเสียบ้านเสียเมืองแก่กรุงศรีฯ โดยให้จับตัวคุมขังไว้ในโรงพยาบาลคนเสียจริตจนกว่าจะเป็นปกติ ซึ่งมีข้อมูลว่าเขาอยู่เพียง 7 วัน
 
กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127
ด้วยกระแสรัฐสมัยใหม่จากตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการปฏิรูปกฎหมายและศาลนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ซึ่งกำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ไว้ในมาตรา 98 ให้มีโทษสูงขึ้น คือ จำคุกไม่เกินเจ็ดปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท 
 
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดความผิดจากการทำให้เกิดการดูหมิ่นและขาดความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ไว้ในมาตรา 104 ด้วย ให้มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกิน 1,000 บาท 
 
ต่อมาในพ.ศ. 2470 ปลายสมัยรัชกาลที่ 7 มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคอมมิวนิสต์ จึงแก้ไขเพิ่มเติมในให้การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเกิดความเกลียดชังระหว่างชนชั้น เป็นความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
             ช่วงปี 2475 ศาลตัดสิน ตามมาตรา 104 ของกฎหมายลักษณะอาญา กรณีจำเลยตัวต่อราษฎรว่าอ้างว่าเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินปกครองไม่ดี จะต้องถอด และจำเลยจะขึ้นครองราชย์สมบัติแทน และอนุญาตให้ฆ่าโคกระบือและทำสุราเถื่อนกินได้ ว่ามีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ให้จำคุก 7 ปี (ดูคำพิพากษาศาล ฎีกา 612/2475)
            
พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470
 
ในภาวะสังคมที่เทคโนโลยีและสื่อสิ่งพิมพ์ที่แพร่หลายต่อสาธารณะมากขึ้น สื่อกลายเป็นพื้นที่ช่วงชิงการอธิบายความเป็นชาติ ในสมัยรัชการที่ 6 จึงมีการออกพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2465 มาตรา 5 กำหนดให้บทประพันธ์ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อจะยุยงให้กระทำความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวและราชอาณาจักรเป็นบทประพันธ์ประเภท “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ซึ่งเป็นความผิดกำหนดโทษกรณี “…เมื่อได้พิมพ์ขึ้นในกรุงสยาม…ผู้ประพันธ์บรรณาธิการและเจ้าของ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำและปรับทั้งสองสถาน” 
 
ต่อมาในพ.ศ. 2470 มีการแก้ไขเพิ่มเติมความหมายของคำว่าเสี้ยนหนามแผ่นดินในมาตรา 6(5) ว่าคือบทประพันธ์ “..อันมีความมุ่งหมายทางตรงหรือทางอ้อม คือโดยอนุมานก็ดีแนะก็ดี กล่าวกระทบก็ดีกล่าวเปรียบก็ดี โดยปริยายหรือประการอื่นก็ดี เพื่อจะ ให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว…”
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
            • ช่วงปี2466 ศาลตัดสินตามพ.ร.บ.สมุดเอกสารฯ 2465 กรณีนายเอ อี ซูฟอาลี และนายสถิต เสมานิลผู้จัดการและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์วายาโม ถูกกล่าวหาว่ามีบทประพันธ์ที่มีถ้อยคำหมิ่นประมาทต่ออำมาตย์ของพระเจ้าอยู่หัวและต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี ให้จำคุก 5 ปี
 
 
 
[[wysiwyg_imageupload::]]
ภาพจาก archer10 (Dennis)
 
ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
 
24 มิถุนายน 2475 เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยคณะราษฎรที่ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดในรัฐเป็นของประชาชน ตำแหน่งพระมหากษัตริย์จึงเปลี่ยนสถานะจากเจ้าของอำนาจรัฐผู้อยู่เหนือกฎหมายไปสู่ตำแหน่งประมุขของรัฐ เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญ
 
แก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา ลดโทษและกำหนดบทยกเว้นความผิด
 
ในช่วงปี พ.ศ.2478 รัฐสภา ยกเลิกมาตรา 100 ของกฎหมายลักษณะอาญาฯ ที่กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา เป็นพิเศษ ต่อมา ขณะที่ในเวลาใกล้เคียงกัน มีการแก้ไขในมาตรา 104 (1) ของประมวลกฎหมายลักษณะอาญาฯ กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่ให้มีเหตุยกเว้นโทษ กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
           • ช่วงปี 2503 ศาลฎีกาตัดสิน ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา98 กรณีนายสุวัฒน์ วรดิลกและนางเพ็ญศรี พุ่มชูศรีคู่สามีภรรยา ศิลปินนักร้องนักแต่งเพลง ซึ่งถูกผู้ที่เคยอยู่บ้านเช่าอยู่ร่วมกันแต่ภายหลังมีเหตุทะเลาะเบาะแว้งกันนำความมากล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองตั้งชื่อสุนัขด้วยพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินี เขาถูกฟ้องจากการกระทำ 4 กรรมที่เกิดระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2496 ถึง 15 มกราคม 2501 โดยมีการจับกุมดำเนินคดีในช่วงเดือนมกราคม 2501 หลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ศาลชั้นต้นให้จำคุกสุวัฒน์ 3 ปี ยกฟ้องเพ็ญศรีในข้อหานี้ เพราะผู้กล่าวหามีสาเหตุโกรธเคืองกับเพ็ญศรีในเรื่องอื่นมาก่อน ศาลอุทธรณ์ตัดสินลงโทษจำคุกทั้งสองคนคนละ 5 ปี โดยศาลฎีกาให้จำคุกนายสุวัฒน์ 5 ปี และยกฟ้องนางเพ็ญศรี (ดูคำพิพากษาศาลฎีกา 1643/2503)
 
เปลี่ยนมาใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 จุดเริ่มต้นมาตรา 112 
 
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 ถูกตราขึ้นใช้แทนกฎหมายลักษณะอาญา ฉบับเดิม โดยย้ายบทบัญญัติมาตรา 98 ของกฎหมายลักษณะอาญาไปอยู่ในมาตรา 112 โดยยกเลิกบทยกเว้นความผิดพร้อมแก้ไขเนื้อความเป็นว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี” 
 
ในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์   ธนะรัชต์ ช่วงทศวรรษ 2500 การหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ถูกนำไปผูกเข้ากับความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ เช่น การเป็นคอมมิวนิสต์ นำไปสู่ดำเนินการกำจัดและกวาดล้างศัตรูทางการเมือง
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
           • ช่วงปี 2500 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีนายสง่า เนื่องนิยม ถูกกล่าวหาว่าไฮด์ปาร์คกล่าวถึงกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 พร้อมทำท่าทางประกอบการพูด ซึ่งหลังตำรวจทำการจับกุมในยุครัฐบาลจอมพลป. ดำเนินการเพียงปรับตามข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่หลังจากจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจอัยการจึงยื่นฟ้องเขาต่อศาลในข้อหาตามมาตรา 112 ศาลพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ เหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน
           • ช่วงปี 2503 ศาลฏีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นค้น กรณีนายโกศัย มุ่งเจริญ ซึ่งถูกกล่าวหาว่า ถูกกล่าวหาว่า กล่าวถึงสาเหตุกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ว่ามีความผิดตามมาตรา112 ให้จำคุก 3 ปีลดโทษ 1 ใน 3 เพราะรับสารภาพ เหลือจำคุก 2 ปี  (ดู คำพิพากษาศาลฎีกา 51/2503)
           • ช่วงปี 2503 ศาลฎีกาตัดสิน กรณีนายประจวบ สารพัด นักหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาของหนังสือพิมพ์เสรี ที่ถูกกล่าวหาว่า ตีพิมพ์บทความที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์วันจักรีเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2500 ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เห็นพ้องกันว่าบทความมีการมุ่งกล่าวถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วย เป็นความผิดตามาตรา 112 ให้จำคุก 5 ปี (ดูคำพิพากษาศาลฎีกา1641/2503)
           • ช่วงปี 2504 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีนายบุญคอง ลืออำนาจ ที่จังหวัดนราธิวาส ที่ถูกกล่าวหาว่ากล่าวขณะมึนเมาและทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในวงเหล้าพาดพิงถึงพระเจ้าแผ่นดินว่า มีความผิดตามมาตรา112 ให้จำคุก 6 เดือน ลดโทษเพราะรับสารภาพคงเหลือ3เดือน
           • ช่วงปี 2505 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีนายภารปตาปซิงห์ ชาวฮินดูขายถั่วที่จังหวัดนครราชสี ที่ถูกกล่าวหาว่า กล่าวถ้อยคำดุด่าคนซื้อถั่วแล้วไม่จ่ายเปรียบถึงพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นความผิดมาตรา 112 ที่ผู้ที่จำเลยมีเรื่องด้วยนำเรื่องไปแจ้งความ โดยศาลให้จำคุก 1 ปี
           • ช่วงปี 2505 ศาลชั้นต้นตัดสินนายแฮนด์เล่ย์ นายเอ็ดเวอร์ด โซบาวฮิตี้ และนายวิลลเลี่ยม เฮนรี่ กลุ่มนักบินชาวอเมริกันที่จังหวัดอุดรธานี จากการที่ถูกกล่าวหาว่ายิงปืนไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์ในบ้านพักขณะมึนเมา ว่ามีความผิดตามมาตรา 112 ให้จำคุกคนละ 4 ปีลดโทษเพราะรับสารภาพคงเหลือ 2 ปี รอลงอาญา
 
แก้ไขเพิ่มโทษสูงสุดเป็น 15 ปี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519
ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ขึ้นสู่จุดที่รุนแรงที่สุดในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จากกรณีการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา อันเป็นที่มาของการปลุกระดมและนำไปสู่การใช้ความรุนแรง หลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีการออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็น “มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” 
 
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างชุดคำอธิบายว่าพระมหากษัตริย์มีอำนาจทางการเมืองในสภาวะวิกฤต ในฐานะเป็นหลักชัยในการระงับเหตุร้ายแรง  ที่สำคัญพระมหากษัตริย์ไทยยังทรงเป็นเหมือน “พ่อ” ของรัฐ ชุดความสัมพันธ์สร้างอารมณ์ความรู้สึกความผูกพันใกล้ชิดหรือความรักของพลเมืองที่มีต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ทำให้การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เพิ่มความหมายในลักษณะที่กระทบความรู้สึกของประชาชน 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
           • ช่วงปี 2519 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีนายประเสริฐ ลอยตระกูล นักศึกษาที่ทำกิจกรรมทางการเมืองในมหาวิยาลัยเชียงใหม่ ที่ถูกกล่าวหาว่าเขียนข้อความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บริเวณสถานที่ประทับในพิธีพระราชทานปริญญาฯ บริเวณศาลาอ่างแก้วในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2519 ว่ามีความผิดตามมาตรา 112 ให้จำคุก 4 ปีลดโทษกึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพจึงเหลือ 2 ปี
           • ช่วงปี 2521 ศาลตัดสิน กรณีนายอนุชิต ธนัครสมบัติ ถูกกล่าวหาว่า ในวันที่ 16 มกราคม 2519 ไม่ยืนตรงและกล่าวถ้อยคำที่แสดงความไม่เคารพว่า ”เฮ้ยเปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง” ขณะเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างการอภิปรายของกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งประชาชนต่างยืนตรงแสดงความเคารพ ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 112 ให้จำคุก 2 ปี (ดู ฎีกา 1294/2521)
           • ช่วงปี 2521 ศาลตัดสิน กรณีนายเสนีย์ สูงนารถ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ดาวดารายุคสยาม ประจำวันที่ 10 เมษายน 2518 วิพากษ์วิจารณ์พระบรมราวาทของพระราชินีที่พระราชทานแก่นายร้อยตำรวจ และอัดสำเนาบทความนี้เผยแพร่แก่นักข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเป็นความผิดตามมาตรา112 ให้จำคุก 3 ปี และนายเล็ก ลักษณะผล ในฐานะบรรณาธิการ ตามพรบ.การพิมพ์ 2484 ให้ลงโทษจำคุก1ปี (ดู คำพิพากษาศาลฎีกา 861/2521)
           • ช่วงปี 2524 ศาลตัดสิน กรณีนายรัตนะ อุตตพันธ์ ถูกกล่าวหา ว่าแสดงท่าทางและกล่าวถ้อยคำที่หมิ่นประมาทกษัตริย์ตามมาตรา 112 ขณะเข้าเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วัดอรุณและยังพบใบปลิวมีเนื้อหาเชิงหมิ่นฯหลังตรวจค้นบ้านพัก ให้จำคุก 6 ปี
           • ช่วงปี 2525 ศาลตัดสินกรณีนายสนั่น วงศ์สุธี ถูกกล่าวหาว่า กล่าวพาดพิงสถาบันกษัตริย์ฯ ในการสัมมนาผู้นำแรงงาน ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน 
           • ช่วงปี 2526 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์อดีตนายตำรวจและผู้ก่อตั้งขบวนการชนวน ถูกกล่าวหาว่า ปราศรัยที่สนามหลวงในวันที่ 29 มีนาคม และ 24 เมษายน 2526 พาดพิงถึงบทบาททางการเมืองของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ กล่าวถึง การซุบซิบเรื่องสถาบันอันเป็นเรื่องปกติของคนไทย โดยเปรียบเทียบเหมือนองค์พระปฏิมาซึ่งกำลังสกปรกและตนได้เริ่มต้นทำความสะอาด ว่า เป็นการกระทำที่ผิดมาตรา112 ให้จำคุกกรรมละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี
           • ช่วงปี 2544 ศาลชั้นต้นตัดสิน กรณีนายโคชิ ทากาฮาชีชาวญี่ปุ่น ถูกกล่าวหาว่าเขียนบทความสารคดีเรื่องชีวิตชนบที่เชียงใหม่ ซึ่งมีข้อความบางตอนที่ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปีลดโทษกึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพแต่เนื่องจากเป็นชาวต่างชาติจึงให้รอลงอาญา 2 ปี
 
ในปี 2553 สังคมการเมืองไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองสูง โดยมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อขับไล่รัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 91 คน หนึ่งในเหตุที่รัฐบาลอ้างเพื่อเข้าสลายการชุมนุม คือ มี "ขบวนการล้มเจ้า" อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งภายหลังการสลายการชุมนุมก็มีการจับกุมดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นจำนวนมาก 
 
ดังที่เคยปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
             • ช่วงปี 2554 ศาลตัดสิน กรณีนายอำพล ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความสั้น SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ จำนวน 4 ข้อความ ซึ่งข้อความเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกรรมละ 5 ปี รวม 20 ปี
            • ช่วงปี 2554 ศาลตัดสิน กรณีนายธันย์ฐวุฒิ ถูกกล่าวหาว่าโพสต์รูปภาพข้อความลงในเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ 2 ข้อความ และเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ที่ปล่อยให้ผู้อื่นโพสข้อความเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ 1 ข้อความ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 13 ปี
            • ช่วงปี 2555 ศาลตัดสิน กรณีนายโจ กอร์ดอน ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของบล็อกที่ชื่อว่า บาทเดียว ซึ่งใส่ลิงก์ให้ดาวน์โหลดหนังสือThe King Never Smiles ให้จำคุกจำเลย 5 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยรับสารภาพ เหลือจำคุก 2 ปี 6 ปี
 
ในปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการรัฐประหารยึดอำนาจและเข้าบริหารประเทศ โดยประกาศให้คดีที่อยู่ในหมวดความมั่นคง รวมทั้งคดีมาตรา 112 พิจารณาที่ศาลทหาร และภายใต้การบริหารประเทศด้วยกฎอัยการศึกเกือบ 1 ปี ในช่วงเวลานี้มีสถิติการจับกุมและดำเนินบุคคลตามมาตรา 112 เป็นอย่างน้อย 53 คน
 
ดังที่ปรากฏคดีตัวอย่าง เช่น 
           •  ช่วงปี 2557 ศาลทหารกรุงเทพตัดสิน กรณีนายคฑาวุธ ถูกกล่าวหาว่าจัดรายการวิทยุออนไลน์ มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ให้จำคุกจำเลย 10 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยรับสารภาพ เหลือจำคุก 5 ปี
             ช่วงปี 2558 ศาลทหารเชียงใหม่ตัดสิน กรณีศศิวิมล ถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊กเป็น 7 ข้อความ มีลักษณะเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ให้จำคุกจำเลยกรรมละ 8 ปี รวม 56 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยรับสารภาพ เหลือจำคุก 28 ปี
             ช่วงปี 2558 ศาลทหารกรุงเทพตัดสิน กรณีนายพงษ์ศักดิ์ ถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพและข้อความ 6 ครั้ง มีลักษณะเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ให้จำคุกจำเลยกรรมละ 10 ปี รวม 60 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยรับสารภาพ เหลือจำคุก 30 ปี
 
 
[[wysiwyg_imageupload::]]
 
......................................................................
อ้างอิง
สรุปเรียบเรียงจาก  
นพพล อาชามาส, การประกอบสร้างความกลัว และการเมืองว่าด้วยการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112  วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2556
 
Article type: