เส้นทางคดี “มานี-จินนี่” เรียกร้องสิทธิประกันตัว ศาลมอง “ใช้กฎหมู่” นอนเรือนจำ 10 วัน

25 สิงหาคม 2565 เวลาประมาณ 19.20 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า “มานี” เงินตรา คำแสน และ “จินนี่” จิรัชยา สกุลทอง สองนักกิจกรรมทางการเมืองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งชายหญิงเข้าจับกุมตัว ตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตและ “ดูหมิ่นศาล” โดยมีรองอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้มอบอำนาจให้กล่าวหาทั้งสองคน ต่อมาทั้งสองคนถูกควบคุมตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ภายในสโมสรตำรวจ

“ประมาณช่วงสองทุ่ม ตอนนั้นเรากำลังดูไลฟ์สดและกำลังไลฟ์สดอยู่ด้วย” จินนี่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวราษฎรถึงช่วงที่ตนถูกจับ

“เรากำลังดูที่มานีไลฟ์ว่า โดนจับที่สโมสรตำรวจ ของมานีมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 12 คน แต่ของเราน้อยกว่า มีประมาณ 7 คน เรากำลังไลฟ์สดว่าตอนนี้มีกลุ่มบุคคลแปลกหน้ามาอยู่หน้าบ้านของเรา ซึ่งซอยบ้านเราเป็นทางตัน บ้านเราเป็นหลังสุดท้าย ดังนั้นเมื่อมีคนมาลุ่มๆ ดอนๆ อยู่หน้าบ้านเราจึงเป็นเรื่องแปลกมาก เราเป็นคนไม่มีสามี ร้อยวันพันปีก็ไม่มีคนมาหา”

“เราไม่เปิดไฟหน้าบ้าน เพราะเรามีลางสังหรณ์ว่าเราต้องโดนตามตัวแน่ๆ เขามาเรียกเราในช่วงที่ฝนตกพอดี แจ้งหมายว่าเราโดนจับในวันนี้นะ เป็นหมายจับเลย เราก็เลยถามว่า ตามกฎกติกาต้องมีหมายเรียกก่อนสามครั้งไม่ใช่หรอ เขาบอกว่าผมก็ไม่รู้ แต่ผมมาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ เราก็เลยไปกับเขา เรานั่งไปในรถจนถึงสโมสรตำรวจ ก็สังคยนาตำรวจไปมากมายตามที่เห็นในคลิป”

คลิปวิดีโอไลฟ์สดของจินนี่ขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม 

ด้านมานีบอกว่า ตำรวจมาล้อมจับตัวเองที่ลานจอดรถหอพัก “ตำรวจตามเรามาสามสี่วันแล้ว มันผิดสังเกตมาหลายวัน เป็นอาทิตย์แล้วล่ะ”

“พอวันที่โดนจับ มีตำรวจมาจับเรา ทั้งหมด 13 คน มีผู้หญิง 3 คน เขาก็บอกว่า อุ้มมันเลยๆ เราก็บอกว่า อุ้มทำไม เราทำอะไรผิด เขาก็อ่านหมายแล้วควบคุมตัวเราไป บช.ปส.”

คลิปวิดีโอไลฟ์สดของมานีขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม 

เวลา 21.20 น. ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเดินทางมาถึง บช.ปส. แต่ในช่วงแรกตำรวจไม่อนุญาตให้ทนายเข้าพบผู้ต้องหา ให้รอพนักงานสอบสวนจาก สน.ยานนาวา เดินทางมาถึงก่อน ต่อมาราว 22.00 น. จึงได้เข้าพบผู้ต้องหาและเริ่มการสอบสวนในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยผู้ต้องหาทั้งสองทำหนังสือยื่นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ขอให้ทางตำรวจนำตัวผู้ต้องหาไป สน.ยานนาวา ซึ่งเป็นที่ทำการของพนักงานสอบสวนที่เกิดเหตุของคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 83 และ 84 เนื่องจากสถานที่ที่ถูกนำตัวมาคือ บช.ปส. นั้น ไม่ใช่ท้องที่ที่ถูกจับกุมหรือที่ทำการของพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนยังคงยืนยันว่าจะทำการสอบสวนภายใน บช.ปส. ต่อไป

พ.ต.ท.คมสัน เลขาวิจิตร รองผู้กำกับสอบสวน สน.ยานนาวา แจ้งว่าในคดีนี้ นายสันติ ชูกิจทรัพย์ไพศาล รองอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มอบอำนาจให้ นายเนติพันธ์ สมจิตต์ นิติกรศาลอาญากรุงเทพใต้ มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ให้ดำเนินคดีกับมานีและจินนี่จากกรณีที่ทั้งสองคนใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาหรือศาลอาญากรุงเทพใต้ในการสั่งเรื่องประกันตัวคดีมาตรา 112 ของใบปอ-ณัฐนิชและบุ้ง-เนติพร ที่บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 

โดยกล่าวหาว่า ถ้อยคำปราศรัยบางส่วนของสองคนมีลักษณะเป็นการใส่ร้าย ดูหมิ่นผู้พิพากษาหรือศาล ทำให้ผู้พิพากษาหรือศาลได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง รวมทั้งมีการไลฟ์สดการปราศรัยผ่านช่องทางออนไลน์ที่เปิดเป็นสาธารณะให้คนทั่วไปรับชมได้

คลิปไลฟ์สดการปราศรัยผ่านช่องทางออนไลน์ 

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อกล่าวหาต่อทั้งสองคน ได้แก่ ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณหรือพิพากษาคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 7 โดยทั้งคู่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และปฏิเสธการลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมด้วย

ในวันถัดมา หรือ 26 สิงหาคม 2565 พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้นำตัวมานีและจินนี่ไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฝากขัง ด้วยเหตุผลว่าการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบคำให้การพยานเพิ่มอีก 3 ปากและรอผลการตรวจสอบประวัติอาชญกรรมจากการพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา พร้อมกับคัดค้านการประกันตัวด้วยเกรงว่าผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและก่อภยันตรายอื่น

ส่วนเหตุผลที่ต้องนำตัวผู้ต้องหาไปที่ บช.ปส. แทน สน.ยานนาวานั้น พนักงานสอบสวนอ้างว่าเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติตามหนังสือของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ในเรื่องสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับความมั่นคงระหว่างสอบสวนเป็นการชั่วคราว แต่ ข้อกล่าวหาฐาน “ดูหมิ่นศาล” ในคดีนี้ ไม่ใช่ความผิดในหมวดความมั่นคงของรัฐแต่อย่างใด จึงไม่ใช่กรณีที่ตำรวจจะสามารถนำตัวไปควบคุมไว้ที่ บช.ปส. แทน สน.ยานนาวาได้

ต่อมา ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองคน โดยระบุเหตุผลว่า ผู้ต้องหาทั้งสองต้องการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายในเรื่องการพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาในคดีอื่น ทำให้เห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสองกระทำการโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเกลียดชังศาลหรือผู้พิพากษา ถือเป็นภัยอันตรายอย่างร้ายแรงต่อศาลในการปฏิบัติหน้าที่และกระบวนการยุติธรรม หากปล่อยตัวไปเกรงว่าจะไปก่อภัยอันตรายหรือสร้างความเสียหายที่เกิดจากการปล่อยตัวชั่วคราว

วินาที มานี และ จินนี่ ถูกส่งเข้าเรือนจำ หลังศาลสั่งคุมขังในข้อหาดูหมิ่นศาล

มานี และจินนี่ ถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำทัณฑสถานหญิงกลาง โดยถูกจองจำเป็นเวลานานถึง 10 วัน 9 คืน ก่อนศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวที่ทนายผู้ต้องหาได้ยื่นไว้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 โดยศาลกำหนดหลักทรัพย์เป็นวงเงินคนละ 70,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นในลักษณะเดียวกันนี้อีก

“10 วัน 9 คืน” จินนี่เล่าถึงระยะเวลาที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ “10 วันที่เหนื่อยที่สุด อิสรภาพของเราถูกจองจำกับการที่ทำอะไรไม่ได้เลย เราอยู่ในสายตาและมีกล้องวงจรปิดสอดส่องอยู่ตลอด รวมถึงอาหารก็แสนห่วยแตก เข้าห้องน้ำก็ถูกทุกคนเห็นในการขับถ่าย เวลาจะนั่งหรือจะทำอะไรก็ต้องทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง“

“สิ่งที่เกิดก็คือ เรารู้สึกอัดมากเพราะว่ากฎกติกาในเรือนจำมีมากมาย ยิ่งอยู่บนเรือนขังก็มากแล้ว ถ้าเผื่อเราลงมาข้างล่างยิ่งหนักหนา จะไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้เลย อาบน้ำก็ต้องเป็นเวลา ทีละหนึ่ง สอง สาม ถึงสิบสอง ไม่ใช่ขันแต่เป็นฝักบัว บอกได้เลยอาหารเรือนจำเองก็แสนห่วย เหมือนอาหารหมู”

“นักกิจกรรมคนไหนที่ทำกิจกรรมแล้ว คำนึงถึงการเข้าคุกเข้าตารางด้วย” จินนี่วกกลับมาย้ำเตือนถึงความเสี่ยงของการทำกจิกรรม

“ต่อไปนี้พี่ขอบอกว่าการทำกิจกรรมของพี่จะฉลาดมากขึ้น การพูดของเราอาจจะไม่เจาะจง เราอาจจะพูดเลี่ยงๆ ไป เราจะไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่เราเคยทำแล้ว เพราะว่านั่นหมายความว่าเราต้องพูดไปไม่กี่ประโยคและต้องมานั่งรับทุกขเวทนาในนี้ ไม่พอ นั่งร้องไห้ทุกวัน อากาศก็ร้อน กอดกันกับมานีร้องไห้กันสองคน เหมือนกับว่าไม่ไหวแล้ว”

“ดีอย่างเดียว คือเราเหมือนกับวีรสตรีในนั้น ทั้งผู้คุมและนักโทษโครตให้เกียรติเราเลย นักโทษที่มาจากคดีการเมือง เป็นคดีที่มีเกียรติมาก ขอบอกได้เลย เพื่อนๆ ในเรือนจำทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่สู้ ๆ แม้แต่ผู้คุม ตอนที่สัมภาษณ์เรา สอบประวัติเรา ผู้คุมบอกว่า คุณจิรัชยา สู้ๆ นะ เราไม่สามารถพูดได้ แต่เราอยู่ข้างคุณ”

ด้านมานีก็เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าเรือนจำ “ผอมลงมาก เข้าไปน้ำหนัก 41 ตอนนี้เหลือ 38” 

“บรรยากาศข้างในก็สะอาดสะอ้านดี แต่ว่าอาหารการกินไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา อาบน้ำเป็นเวลา ขึ้นห้องเป็นเวลา เหมือนไปโรงเรียนในประจำ กับข้าวก็ไม่มีพริก ส่วนข้าวสวยไม่ต้องพูดถึง เข้าไปไม่กินข้าวเลย”

คลิปมานีและจินนี่ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับการประกันตัว

ดูรายละเอียดคดีนี้ในฐานข้อมูลได้ คลิกที่นี่