1849 1805 1873 1601 1967 1814 1066 1165 1371 1311 1193 1755 1182 1976 1768 1159 1615 1499 1284 1517 1677 1090 1964 1616 1659 1756 1438 1165 1491 1554 1869 1875 1677 1972 1473 1212 1820 1894 1558 1117 1437 1069 1384 1495 1377 1133 1762 1730 1382 1400 1189 1005 1916 1792 1408 1691 1782 1721 1997 1040 1264 1620 1182 1465 1050 1420 1479 1249 1325 1869 1950 1579 1321 1897 1515 1691 1112 1806 1660 1860 1136 1952 1706 1009 1241 1765 1438 1922 1643 1077 1757 1937 1078 1164 1012 1450 1304 1764 1602 เพชร ธนกร : ในขั้นตอนของคดีเยาวชนที่มีแต่สร้างภาระเพิ่ม | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

เพชร ธนกร : ในขั้นตอนของคดีเยาวชนที่มีแต่สร้างภาระเพิ่ม

ภาพนักเรียนมัธยมผูกโบขาวชูสามนิ้วระหว่างเคารพธงชาติที่ถูกเผยแพร่ในช่วงปี 2563 คือหลักฐานยืนยันว่า กระแสความตื่นตัวทางการเมืองในช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ หลายคนอายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่มีบทบาทสำคัญที่ไม่เพียงไปเข้าร่วมการชุมนุมเท่านั้น แต่ยังขึ้นเวทีปราศรัยสลับกับรุ่นพี่ๆ ด้วย หลายคนพูดถึงปัญหาที่เขาพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ระบบการศึกษาที่ล้าหลัง หรือระบบอำนาจนิยมในโรงเรียนที่สะท้อนผ่านเครื่องแบบ พิธีกรรม และทรงผมมาบอกเล่าให้ผู้ร่วมชุมนุมฟัง และต่อมาเยาวชนหลายคนก็แสดงออกถึงข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่าง "ตรงไปตรงมา" 
 
และเมื่อมาตรา 112 ถูกนำกลับมาใช้อย่างกว้างขวาง เด็กและเยาวชนก็กลายเป็นผู้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ด้วย และต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายพิเศษที่มีขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กในกระบวนการยุติธรรม แต่กระบวนการที่ซับซ้อนเพื่อสิทธิเด็ก เมื่อนำมาใช้กับคดีการแสดงออกทางการเมืองกลับเพิ่มภาระและทำให้พบอุปสรรคเพิ่มขึ้น
 
ธนกร หรือ เพชร เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 คดีความได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเพชรไปมาก จากเยาวชนคนหนึ่งที่เคยมีความฝัน เคยมีความเชื่อว่าชีวิตข้างหน้ายังมีโอกาส มีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ การถูกดำเนินคดีและสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้เพชรต้องหาทางต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ในวันต่อๆไป 
 
2616
 
ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุ 16
 
เพชร เกิดและเติบโตที่จังหวัดสมุทรปราการ เขาเป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้องสี่คน แม้ครอบครัวของเขาดูจะเป็นครอบครัวใหญ่แต่เพชรก็ไม่สนิทกับพี่น้องของเขามากนัก คงเป็นเพราะตัวเขาเป็นลูกหลงที่เกิดหลังพี่ๆ หลายปี ประกอบกับพี่ๆของเขาใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตอยู่ที่ต่างจังหวัดในขณะที่ตัวเขาอยู่กับพ่อที่ประกอบอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่จังหวัดสมุทรปราการตั้งแต่เกิด แม้ฐานะของที่บ้านจะไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขั้นยากจน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นคงพอที่จะนิยามตัวเองว่าเป็นครอบครัว "ชนชั้นกลาง" 
 
ฐานะทางครอบครัวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เพชรต้องเดินเส้นทางที่เติบโตก่อนวัยด้วยการพยายามหารายได้เอง เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาตัดสินใจออกไปทำงานพิเศษรับจ้างล้างจานที่ศูนย์แสดงสินค้าใกล้บ้านเพื่อลดการพึ่งพาเรื่องเงินกับที่บ้าน การตัดสินใจออกมาทำงาน ทำให้เพชรรู้สึกว่าเขาโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับวัยรุ่นที่อยู่ในชุมชนแถวบ้าน การทำงานพิเศษไม่เพียงเปิดโลกของเพชรในแง่ของการใช้ชีวิต แต่มันยังทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามถึงเรื่องสภาพชีวิตความเป็นอยู่และเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมด้วย
 
เพชรนิยามตัวเองว่า เป็นเด็กร้านเกม ที่เวลาว่างมักไปขลุกอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ต เขาใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางในการติดตามข่าวดาราเกาหลี และเป็นทวิตเตอร์นี่เองที่ทำให้เขาได้เห็นข่าวการเมืองหลายๆ ข่าวที่ทำให้เขาต้องตั้งคำถาม และเริ่มหาข่าวหรือคอมเมนท์จากอินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองมาอ่านมากขึ้น จนกระทั่งการติดตามเนื้อหาการเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพชรมาตั้งแต่เขาอายุยังไม่ทันถึง 20 ขวบปี
 
บาดแผล จากการต่อสู้ทางการเมือง
 
การยุบพรรคอนาคตใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นชนวนเหตุให้ใครหลายๆ คน รวมทั้งเพชรออกมาร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต ครั้งแรกของเพชร คือ การชุมนุม #KUไม่ใช่ขนมหวานราดกะทิ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการเปิดโลกให้เพชร เขาได้เห็นคนเรือนพันออกมาร่วมชุมนุมกัน ซึ่งแม้การชุมนุมหลายๆครั้งหลังจากนั้นจะมีคนมาร่วมเรือนหมื่นหรือเรือนแสน แต่ด้วยบรรยากาศทางการเมืองที่ปิดมานาน ภาพของคนหลักพันมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ก็สร้างความประทับใจให้กับเพชรอย่างไม่รู้ลืม และเขาก็ตัดสินใจว่าหากมีการชุมนุมหลังจากนั้นเขาจะเข้าร่วมอีกให้ได้
 
"เมื่อมีการจัดชุมนุมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตอนต้นปี 2563 เราตัดสินใจว่า จะไป เราได้เห็นคนชูสามนิ้วแล้วตะโกนพร้อมกันว่า “เผด็จการจงพินาศ” วันนั้นเราก็ทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่รู้สึกว่ามีพลังมาก มีคนประมาณพันคน ส่งพลังได้มาก หลังจากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะไปอีก เพื่อจะไปรับฟังข้อมูลจากการปราศรัยมากขึ้น จนมีครั้งหนึ่งที่เราไปขอเป็นคนพูดบนเวทีเอง แล้วก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องมาตลอด หลังจากทนายอานนท์สร้างปรากฏการณ์ “ดันเพดาน” ทำให้เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกพูดถึงได้มากขึ้น เราก็จึงพูดมากขึ้นถึงประเด็นเรื่องการศึกษาแล้วก็ไม่พ้นการโดนคดี"
 
"เรื่องที่เราพูดในการปราศรัยครั้งแรกคือเรื่องการศึกษากับความไม่พอใจในที่มาของรัฐบาลชุดนี้ เรารู้สึกอึดอัดใจใน เลยอยากขึ้นพูด อยากช่วยเป็นกระบอกเสียงให้นักเรียนด้วยกันหลายๆคนที่ยังกลัวอำนาจรัฐ พูดเสร็จตอนนั้นก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเราต้องโดนเจ้าหน้าที่รัฐตามแน่ๆเลย มีผลกระทบแน่ๆ"
 
หลังจากนั้นในเดือนกันยายน 2563 เพชรเข้าร่วมการชุมนุม #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ ซึ่งจัดขึ้นที่ลานสาธารณะติดท่าน้ำนนท์ เขาได้ขึ้นปราศรัยในการชุมนุมครั้งนั้นด้วย เนื้อหาของการปราศรัยส่วนหนึ่งเป็นการตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการใช้คำราชาศัพท์ 
 
“เราคือมนุษย์คนหนึ่ง เราขอสนับสนุนและยืนยันว่าไม่ควรมีการใช้คําราชาศัพท์แบ่งชนชั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยค่ะ..." เพชรปราศรัยในลักษณะตั้งข้อสังเกตไปว่าในต่างประเทศประชาชนสามารถใช้คำสรรพนามที่ใช้กับสามัญชนพูดคุยกับพระมหากษัตริย์ได้แต่ทำไมในเมืองไทยถึงต้องใช้คำราชาศัพท์ในการพูดคุย นอกจากนั้นเพชรยังปราศรัยถึงเรื่องการประทับในต่างประเทศของรัชการลที่สิบ และเรื่องการใช้คำว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" ด้วย การปราศรัยครั้งนั้นกลายเป็นเหตุที่ทำให้เพชรถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และมาตรา 116 ในเวลาต่อมา
 
ในเดือนธันวาคม 2563 เพชรไปเข้าร่วมการชุมนุมที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน และได้ขึ้นปราศรัยด้วย ครั้งนั้นเพชรปราศรัยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับระบอบการเมืองการปกครองของไทยว่าไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแต่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพชรยังปราศรัยเรื่องบทบาทของพระมหากษัตริย์เชื่อมโยงกับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นด้วย การปราศรัยครั้งนั้นทำให้เพชรถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง ในช่วงปลายเดือนธันวาคมเพชรยังไปร่วมกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อปด้วย เขาไม่ได้แต่งตัวอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่เขียนป้ายรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 ไปร่วมถือกับนักกิจกรรมที่แต่งตัวด้วยชุดครอปท็อป ข้อความบนป้ายที่เพชรถือเป็นเพียงการขอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากตำรวจและอัยการเห็นว่าการกระทำของเพชรมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำกับนักกิจกรรมคนอื่นๆ เช่น พริษฐ์ ชิวารักษ์หรือเพนกวินและปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง จึงแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 กับเขาด้วย เท่ากับว่าการเคลื่อนไหวในปี 2563 ทำให้เพชรถูกดำเนินคดีมาตรา 112 รวมทั้งหมดสามคดี เป็นบาดแผลที่เขาที่เขาจะต้องแบกอาการ "อักเสบ" ต่อไปเมื่อกระบวนการคดีของเขาเดินไปข้างหน้า
 
2617
 
กระบวนการศาลเยาวชนที่ไม่เป็นมิตรกับเยาวชนในคดีการเมือง
 
"คดีเยาวชนมันเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก ไม่เหมือนคดีของผู้ใหญ่ที่เราพอจะรู้หรือคาดการณ์ขั้นตอนต่อไปได้ แต่คดีเยาวชนไม่ใช่แบบนั้น ตอนไปที่ สน.ปทุมวัน กับ สภ.นนทบุรี คือแบบเร็วมาก พอเสร็จขั้นตอนก็กลับบ้านได้เลย เจ้าหน้าที่แค่นัดว่าต้องไปสถานพินิจวันไหน แต่อย่างคดีที่ สน.บุปผาราม กับ สน.บางนา ไม่ใช่ พอสอบสวนเสร็จเจ้าหน้าที่จะเอาเราไปส่งศาลเยาวชนเลย ทำให้เรางงว่า ขั้นตอนตามกฎหมายจริงๆ แล้วมันควรจะเป็นแบบไหน" 
 
ในขณะที่เกิดเหตุคดีมาตรา 112 ทั้งสามคดี เพชรยังอายุไม่ถึง 18 ปี คดีทั้งหมดของเขาจึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลเยาวชนซึ่งมีกระบวนการและขั้นตอนที่แตกต่างออกไปจากการพิจารณาคดีของผู้ใหญ่ เช่น ต้องไปพบนักจิตวิทยาและต้องเข้ารับการพิจารณาคดีแบบ "ปิดลับ" กระบวนการและขั้นตอนที่กล่าวแม้จะกำหนดขึ้นโดยมีเจตนาเพื่อคุ้มครองเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี แต่สำหรับเพชรกระบวนการในศาลเยาวชนกลับเป็นกระบวนการที่ทำร้ายเขามากกว่าคุ้มครอง ขณะที่เพชรก็มองกระบวนการที่เกิดขึ้นกับตัวเองเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ คนอื่นที่อายุเกิน 18 ปี แล้วพบว่า กระบวนการในคดีของตัวเอง "ยุ่งยากกว่า" 
 
เพชรเคยเล่าว่า นักจิตวิทยาคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่พูดคุยกับเพชรระหว่างการถูกดำเนินคดีเคยเขียนรายงานการติดตามความประพฤติของเพชรว่า เขามีทัศนคติการเมืองที่ไม่ดี หลังเห็นว่าเพชรใช้รูปภาพของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเป็นภาพโปรไฟล์ในแอพลิเคชันไลน์ ซึ่งเพชรเห็นว่าโปรไฟล์ไลน์ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพราะจะมีเฉพาะคนที่เขารับเป็นเพื่อนเท่านั้นที่เห็นภาพได้ นักจิตวิทยาคนดังกล่าวยังเคยสั่งให้เพชรทำการบ้านด้วยการคัดลายมือเป็นข้อความศีลห้าและข้อความอาชีพสุจริตด้วย การถูกสั่งเช่นนั้นทำให้เพชรรู้สึกถูกลดทอนเพราะสิ่งที่ทำให้เขาถูกดำเนินคดีเป็นเพียงการแสดงความความคิดเห็นทางการเมือง 
 
"มีอีกเรื่องที่เรารู้สึกไม่โอเคกับกระบวนการในคดีเยาวชนคือพวกแบบสอบถามที่เราต้องทำ เราคิดว่าคำถามเรื่องทัศนคติหรือพฤติกรรมต่างๆ มันมีลักษณะเป็นการตีตราหรือจัดประเภทเด็กอย่างไม่ยุติธรรม เช่น ถามว่าคุณสักลายไหม คุณกินเหล้าสูบบุหรี่ไหม และมีถึงขั้นว่าคุณเคยมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันไหม หรือถามทำนองว่าถูกจับเพราะอะไร ทำผิดกฎหมายมาตราไหน ทั้งหมดทั้งสิ้นทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าแค่เด็กและเยาวชนแค่ก้าวขาเข้ามาในศาลก็เหมือนถูกตัดสินว่าผิดไปแล้ว"
 
กระบวนการในศาลเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่เพชรรู้สึกว่าเขาถูกโดดเดี่ยว แม้การกำหนดให้การพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนกระทำไป "โดยลับ" จะเป็นไปเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของจำเลยเยาวชน แต่คดีของเพชรเป็นคดีการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นคดีสาธารณะ การมีประชาชนที่สนใจหรือเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาให้กำลังใจในห้องพิจารณาคดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้น การมีเพียงผู้ปกครองอยู่ในห้องพิจารณาคดียังจำกัดแนวทางการต่อสู้คดีของเพชรด้วย เพราะเมื่อเขาต้องการที่จะโต้แย้งกับผู้พิพากษา เขาก็ต้องเผชิญความกดดันเพราะพ่อของเขามีความคิดเห็นต่อแนวทางการต่อสู้คดีที่แตกต่างออกไป พ่อของเพชรเป็นห่วงว่า หากเพชรโต้เถียงกับผู้พิพากษาหรือมีท่าทีแข็งกร้าวเกินไปอาจจะส่งผลเสียในทางคดี 
 
"เรื่องกระบวนการในศาลเด็กนี่เราอยากพูดมานานแล้ว มันแย่มากเลย ช่วงการสืบพยานศาลไม่อนุญาตให้ใครเข้าห้อง ไม่อนุญาตกระทั่งทีมงานของศูนย์ทนายที่จะเข้าไปช่วยจดประเด็นเพราะคดีของเราประเด็นมันเยอะ ทนายคนเดียวยังไงก็จดไม่ทัน คดี 112 เป็นคดีการเมือง ถูกเอามาใช้ในสถานการณ์ทางการเมือง แล้วเราจะเชื่อได้ยังไงว่าจะได้รับความเป็นธรรม พอไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง ไม่มีคนร่วมรับรู้ เราจะเชื่อได้ยังไงว่าศาลจะให้ความยุติธรรมกับเราจริงๆ ใจจริงเราอยากให้คนนอกเข้ามานั่งฟังการพิจารณาคดีของเราได้ เราจะได้รู้สึกว่าเราเข้าถึงความยุติธรรมจริงๆ ถ้ามีตัวแทนสถานทูตหรือองค์กรสิทธิฯ มาฟังด้วยมันคงดีกว่านี้ แต่นี่ไม่มีเลย" 
 
"อีกเรื่องที่เราปวดใจมากคือพอในห้องพิจารณาคดีมีแค่เรา พ่อของเรา ผู้พิพากษาแล้วก็ทนายความ พ่อก็อยากให้เราหลุดคดีหรืออย่างน้อยก็ให้มันเบาที่สุด พ่อเขาก็ไม่อยากให้เราโต้เถียงกับผู้พิพากษา จะไม่พอใจ จะรู้สึกอย่างไรก็ให้เก็บมันไว้ ตรงนี้แหละที่ทำให้เราอึดอัดมาก บางทีการมีผู้ปกครองอยู่ร่วมในห้องกับเราเพียงลำพังมันก็อาจจะไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เราหรือเด็กคนอื่นๆ เสมอไป"
 
2618
 
ความฝันหายไปในภาวะเศรษฐกิจ การเมืองที่ตกต่ำลง
 
ชีวิตของเพชรในปี 2564 วนเวียนอยู่กับสถานีตำรวจ อัยการและศาล แม้จะมีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนคอยให้ความช่วยเหลือทางคดีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่ "ราคา" ของกระบวนการยุติธรรมก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะคดีของเด็กและเยาวชนมีขั้นตอนพิเศษ คือ การเข้าพบพนักงานคุมประพฤติหรือนักจิตวิทยาตามกำหนดนัด เพชรจึงต้องใช้จ่ายเวลาและโอกาสในการทำงานในราคาที่ "แพง" กว่าผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดี 
 
"คดีที่นนทบุรีนี่หนักหน่อยตรงที่สถานพินิจอยู่ไกลเหมือนเข้าไปกลางทุ่งนา แล้วเรากับพ่อเราก็อยู่คนละบ้านกัน หลังถูกดำเนินคดีเราตัดสินใจออกมาอยู่ข้างนอกเพราะไม่อยากให้การทำกิจกรรมของเราไปเป็นปัญหาเดือดร้อนที่บ้าน โดยเฉพาะการติดตามคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ รวมแล้วค่ารถไปกลับของเรากับพ่อทั้งไปศาล ไปสถานพินิจในทุกๆ คดีรวมๆ กันแล้วก็เป็นหมื่นอยู่..." 
 
ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการถูกดำเนินคดีทำให้เพชรตัดสินใจมองหาลู่ทางอาชีพใหม่ๆ จากเดิมที่เคยทำงานพิเศษด้วยการรับจ้างล้างจาน การต้องไปสถานพินิจและขึ้นโรงขึ้นศาลทำให้เพชรไม่สามารถหางานประจำที่ทำงานเป็นเวลาได้ ทางเลือกของเขาจึงจำกัดอยู่ที่การทำอาชีพอิสระ เพชรเคยเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งเอาไพ่ยิปซีมาดูดวงในที่ชุมนุมซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นงานที่น่าสนใจและน่าจะทำรายได้ดี วันหนึ่งเขาแวะร้านหนังสือแถวสามย่านแล้วก็เห็นว่ามีหนังสือสอนดูดวงแถมไพ่ยิปซีลดราคาเหลือเล่มละ 250 วางขายอยู่ เพชรซึ่งตอนนั้นเหลือเงินในบัญชีประมาณ 900 บาทก็ตัดสินใจ "ทุบหม้อข้าว" ซื้อหนังสือดูดวงและไพ่มาสองชุด การดูดวงสร้างรายได้ให้เพชรพอสมควร มีบางช่วงที่เขาเคยทำรายได้ได้ถึงวันละพันบาท แต่ก็ยังเป็นงานที่มีรายได้ขึ้นลงไม่แน่นอน
 
"ความฝันเหรอ? ตอนนี้เหมือนเราไม่มีฝัน ไม่เห็นอนาคตตัวเอง ไม่มีแผนอะไรเลย หลายๆอย่างมันแย่ไปหมด ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สภาพการเมือง แล้วก็เรื่องคดีความของเรา ปี 65 เรียกได้ว่าทุกอย่างมันแย่ไปหมด"
 
"ตอนที่เราเริ่มหาเงินจากการดูดวงได้ เรามีความสุขมาก มีช่วงหนึ่งที่เราถึงขั้นซื้อไพ่ใหม่ทุกเดือน แต่ช่วงหลังๆพอเศรษฐกิจแย่ คนดูดวงน้อยลง เราก็รู้สึกจิตตก ปี 65 นี่เราจิตตกไปสี่ถึงห้าเดือน เราเหนื่อยกับทุกสิ่งที่เป็น เหนื่อยจนกระทั่งไม่อยากหยิบไพ่ ทั้งๆที่เราเคยมีความสุขกับการดูดวง เราเคยคิดถึงขั้นว่าอยากให้อะไรๆ มันจบไป แต่ก็มีแว่บหนึ่งที่เราคิดว่าไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้ตัวเองดิ่งแบบนี้ไม่ได้แล้ว เราเลยพยายามหาตัวขาวมาสู้กับตัวดำในจิตใจเรา"
 
เราทุกคนต่างต้องยืนด้วยตัวเอง
 
หากเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองบนท้องถนนช่วงปี 2563 - 2565 กับการเดินทางขึ้นเขา ช่วงปี 2563 น่าจะเป็นช่วงที่กระแสค่อยๆ ไต่ระดับจากพื้นราบขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ส่วนปี 2564 น่าจะเป็นช่วงขาลงแต่ยังถือว่ายังเป็นการเดินทางบนที่สูง ก่อนที่ตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงช่วงปี 2565 การต่อสู้บนท้องถนนน่าจะอยู่ในช่วงขาลงแบบยาวๆ จนถึงพื้นราบ ซึ่งสถานการณ์เดียวกันนั้นก็เกิดขึ้นกับตัวเพชรด้วยเช่นกัน ปี 2563 เป็นช่วงเวลาที่เขาเข้าร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่องและถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 รวมสามคดี ในช่วงปี 2564 เขายังไปร่วมการชุมนุมบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าเดิมเพราะเริ่มมีภาระมากขึ้น ก่อนที่ในปี 2565 เขาจะแทบไม่ค่อยได้ไปชุมนุม 
 
"ช่วงแรกๆ ที่ออกมาอยู่กับเพื่อนๆ มันคือเซฟโซน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว หลายคนอยู่ในช่วงที่สภาพจิตใจไม่ดีและต้องการการพักฟื้น หลายๆคนรวมทั้งตัวเราต่างรู้ว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองมันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต เราก็ยังมีชีวิตส่วนอื่นๆ ที่ต้องใช้ มีอีกหลายๆ เรื่องที่ต้องจัดการ เพื่อนนักกิจกรรมหลายคนเริ่มถอยไปโฟกัสกับชีวิตตัวเองมากขึ้น ตัวเราเองก็เริ่มต้องหันมาหาอาชีพหาทางเลี้ยงดูตัวเอง จริงอยู่สมัยที่เราขึ้นปราศรัยอาจจะมีแฟนคลับ มีคนที่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราออกมาเคลื่อนไหวให้การสนับสนุนเรา แต่ต้องไม่ลืมว่ามันก็เป็นแค่เรื่องเฉพาะกิจ สุดท้ายเราทุกคนก็ต้องมีอาชีพ ต้องหารายได้ ต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครจะมาสนับสนุนเราไปได้ตลอด เราทุกคนต่างต้องยืนด้วยตัวเอง" 
ชนิดบทความ: