เปิดความในใจ “พายุ” เลือดไหลจากตาเหมือนอาบน้ำ

หลังจากพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิบวัน พายุ บุญโสภณ หรือ พายุ ดาวดิน จากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ผู้บาดเจ็บถูกยิงด้วยกระสุนยางเข้าที่ตาขวาระหว่างการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 บริเวณถนนดินสอมาบอกเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์วันดังกล่าวว่า ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2565 เขามาชุมนุมในช่วงการประชุมเอเปคระหว่างวันที่ ต้องการนำประเด็นปัญหาพี่น้องชาวบ้านมาพูด โดยเฉพาะประเด็นบีซีจี [Bio-Circular-Green Economy] ที่รัฐกำลังจะร่วมกับนายทุนผ่านนโยบายที่กำลังทำลายทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศ การชุมนุมสองวันแรกผ่านพ้นไปด้วยดี ผู้ชุมนุมปักหลักที่ลานคนเมืองเล่าปัญหาที่เผชิญและต้องเผชิญหนักขึ้นหากข้อตกลงพวกเขามองว่า ทำลายทรัพยากรธรรมชาตินั้นผ่านไปได้

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ผู้ชุมนุมตั้งเป้าเคลื่อนขบวนจากลานคนเมืองไปที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ผ่านถนนราชดำเนินกลาง วันนั้นพายุรับดูแลภาพรวมอยู่ด้านหน้าขบวน ระหว่างการเคลื่อนขบวนจากลานคนเมืองมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตำรวจตั้งจุดเหนี่ยวรั้งสามจุด สองจุดแรกผ่านได้ง่ายดาย จุดที่สามที่หัวถนนดินสอก่อนเข้าวงเวียนอนุสาวรีย์ ตำรวจนำรถกระบะมาตั้งเป็นสิ่งกีดขวางและไม่ให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนผ่านไปได้ ต่อมาผู้ชุมนุมใช้สลิงดึงเพลารถเพื่อเปิดแนวออก พอแนวเปิดตำรวจพุ่งเข้าหาผู้ชุมนุมและจับกุมตัวไป มีการใช้กระสุนยางโดยไม่แจ้งเตือนจังหวะนั้นพายุคิดแล้วว่า แปลก เนื่องจากว่า การชุมนุมรอบนี้เป็นกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้คาดหมายว่า จะมาเผชิญหน้ากับตำรวจจนมีเหตุเช่นนี้

ช่วงประมาณเที่ยงระหว่างที่ผู้ชุมนุมพักกินข้าวกลางวันกัน มีนักกิจกรรมบางส่วนไปแอคชั่นเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งกลุ่มทุนที่หน้าแนวรถกระบะของตำรวจ ใช้เตาอั้งโล่จุดไฟและนำกระทะใส่พริกเกลือวางบนหน้ารถตำรวจ เปิดพัดลมเป่าควันไปทางตำรวจ “ตอนแรกดูเหมือนเหตุการณ์ปกติไม่มีอะไร แต่หลังจากนั้นจำได้ว่า พอหันมองกลับไป ตำรวจฉีดน้ำใส่เตาที่เผาพริกเผาเกลือ พอมวลชนเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทำแบบนี้จึงมีการขว้างปาสิ่งของ และเกิดอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมา จากนั้นสักพักหนึ่งก็เกิดการสลายการชุมนุม”

“จริงๆ ตอนนั้นผมจำอะไรเกือบแทบไม่ได้ จำได้ลางๆ ผมบอกรถเครื่องเสียงว่า ไม่ต้องถอย และผมก็หันไปข้างหน้าเห็นทีมพี่เปา จากสมัชชาคนจนอยู่แนวหน้า ผมเห็นแล้วผมก็วิ่งขึ้นไปเพื่อที่จะคล้องแขนขบวน จังหวะที่กำลังจะวิ่งไปผมก็โดนยิงเลย ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นกระสุนยาง แต่มันแปลบจนวิ้งสว่างขึ้นมาแล้วหูก็อื้อข้างนี้ [จับหูข้างขวา] ก่อนที่จะพบว่ามีเลือดไหล พอจับที่ตาก็รู้ว่าโดนตาแน่ๆ ก็เลยคิดในหัวว่า ถ้าเราวิ่งไปตรงรถพยาบาลของทีมเรา น่าจะโดน คฝ.ตีแน่ๆ เพราะข้างหน้า คฝ.พร้อมที่จะใส่เราเต็มที่ เพราะพี่เปาก็โดนก่อน เราเลยเดินไปนั่งที่ฟุตบาทอีกฝั่ง [ฝั่งขวาหากหันหน้าเข้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย] ตำรวจสองคนวิ่งเข้ามาจะตี ผมก็ยกมือขึ้นและบอกว่า โดนยิงเลือดไหล และเขาก็ดูเหมือนว่าตกใจเขาก็วิ่งไปต่อ และก็มีสองคนวิ่งมาเขาบอกว่าตามพี่มารถโรงพยาบาลข้างหลัง [บริเวณหน้าร้านหนังสือริมขอบฟ้า]”

“ตอนรู้ตัวว่า โดนยิงที่ตาแน่ๆ เรากลับไม่รู้สึกว่า ซวยแล้วชีวิตนี้พังแล้ว แต่รู้สึกว่า รู้ตัวและยอมรับไปก่อนว่าตาโดนยิงแล้ว มีสติแล้วพยายามดูว่า คนอื่นยังโอเคไหม ซึ่งแต่ละคนก็โดนกันหนัก แต่ตอนนั้นเราไปช่วยก็ไม่ไหวเพราะจังหวะนั้นเลือดไหล จนเรารู้สึกเลยว่า มันไหลมาเยอะมาก คล้ายๆ กับตอนเราอาบน้ำเลย ก็เลยถอนตัวออกมาก่อนแล้วไปขึ้นรถโรงพยาบาล ระหว่างนั้นมันมีอาการ คือ เราเสียเลือดมาก มีความรู้สึกอยู่ดีๆ ก็หนาวขึ้นมา ขนเริ่มลุกและใจเริ่มเต้นแบบแปลกๆ ใจเริ่มสั่นเหมือนกินกาแฟสองแก้วก็เลยพยายามไม่ใช้ร่างกาย ใช้สายตาอะไรมาก เราก็หลับตาทำแผลเรียบร้อยอยู่กับตัวเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยป่วยหรือเจ็บหนักอะไรเลยนะ”

“จังหวะนั้นก็ฉุกคิดหลายเรื่อง เรื่องขบวนจะเป็นยังไงกันต่อ จะโดนหนักกันไหม ทำไมรัฐมันทำในรูปแบบนี้กับเรา มันไม่ได้มีมาตรฐาน ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย และคิดว่าซวยแล้วที่บ้านต้องหนักแน่ๆ ความรู้สึกคนที่บ้านคงจะหนัก เพราะที่บ้านอยู่กับตากับยายด้วย เป็นคนแก่ทั้งคู่ กลัวแกจะรู้สึกสภาพจิตใจจะไม่ไหว”

จากภาพบันทึกเหตุการณ์พบว่า พายุถูกยิงตั้งแต่นาทีแรกๆที่คฝ.บุกเข้ามาสลายการชุมนุม ตอนที่เขาไปที่รถพยาบาล โชคดีว่า มีผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นจึงขึ้นรถติดตามไปถึงโรงพยาบาลตำรวจด้วย พอถึงโรงพยาบาลก็โทรบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าอยู่ตรงนี้ แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงให้รอจนผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย หลังจากผ่าตัดเสร็จฟื้นขึ้นมาพายุถามพี่ที่มาเยี่ยมว่า “พวกเรา” ที่มาเคลื่อนขบวนเป็นยังไงบ้าง ได้รับคำตอบว่า ไม่ต้องห่วง เพื่อนเราโดนจับไป 25 คน ชาวบ้านก็โดนทำร้าย “แต่เอ็งหนักที่สุดแล้วไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่น”

“ผมพยายามถามอารมณ์ความรู้สึกคนอื่นๆ หลังจากเสร็จม็อบว่าถ้ารู้ข่าวผมจะรู้สึกยังไง คือเราประคองสติแล้วเราทำใจยอมรับมันได้มันก็เลยผ่านเรื่องนี้ไปได้ พอคนอื่นๆ ที่เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์และช็อคแบบนี้ ช็อคกับเรื่องของผมที่เกิดขึ้น ช็อคกับความรุนแรงที่เขาเจอต่อหน้าและมันส่งผลร้ายกว่าที่เขาประเมินไว้ ความรู้สึกของคนนั้นมันอยากจะระเบิด อาจจะสติหลุดไป ผมห่วงมากเรื่องนี้มาก แต่เช็คสภาพแล้วทุกคนยังโอเคอยู่ ทุกคนก็เป็นห่วงผมมาก เราผ่านเรื่องนี้ได้ก็โอเค ทำตัวเข้มแข็งปกติ คือไม่ได้แกล้งทำ”

ระหว่างที่พายุรักษาตัวที่โรงพยาบาล ประชาชนเริ่มทำแคมเปญถ่ายภาพปิดดวงตาขวาของตนเองลงบนโซเชียลมีเดียเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเมื่อพายุลืมตาได้ เขาจะได้เห็นกำลังใจจากทุกๆคน พายุบอกว่า “ไม่คิดว่าคนจะเอาเรื่องราวของเราไปพูด แอคชั่น หรือทำแคมเปญขนาดนั้น เห็นแล้วก็ดีใจ ชอบด้วย ชอบทั้งเรื่องโควทคำ ‘ดวงตาหนึ่งดวงจะสร้างดาวล้านดวง’ มีคนพยายามดันเรื่อง คฝ.ยิงพายุ ความรู้สึกมันยังมีการโอบรับกันตลอดเวลาไม่ว่าสถานการณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับทีมพวกเราและชาวบ้าน รู้สึกอบอุ่นดีและขอบคุณมาก”

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 พายุออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้าน ระหว่างนี้ก็ยังต้องพบแพทย์และเดินสายไปถามข้อเท็จจริงตามกลไกต่างๆที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ข้อเท็จจริงทั้งหลายนี้มีส่วนสำคัญที่จะดำเนินคดีไม่ให้ผู้กระทำพ้นผิดลอยนวลได้ “ทีใครทีมันแล้วกัน คุณทำกับพวกผมแบบนี้ ผมก็จะทำกับพวกคุณตามกฎหมาย เราไม่เล่นนอกกติกาแน่นอน ไม่ปล่อยเรื่องที่ไม่ชอบธรรมหรือความอยุติธรรมให้ลอยนวลยังไงก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

อาการบาดเจ็บที่หนักหนาอาจต้องใช้ระยะพักฟื้นยาวนาน ทำให้เขาเริ่มเป็นกังวลในงานที่ทิ้งไว้และคนที่เป็นห่วงหลายๆคน “อยากไปเดินสายหาเพื่อนๆ หลายคนก็คิดถึงผมอยากเจอ ทั้งพี่น้องชาวบ้านด้วยที่อยู่ในขบวนร่วมสู้กันมา อยากไปหาครอบครัวด้วยอาจจะไปหาให้พอหายคิดถึง จากนี้ก็คงต้องกลับไปทำงานต่อ”

สำหรับการชุมนุมวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บที่ตรวจสอบได้แล้วในขณะนี้อย่างน้อย 31 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ถูกยิงด้วยกระสุนยาง 6 คน โดย 5 จาก 6 คนถูกยิงบริเวณเหนือเอวและผู้ชุมนุมไม่ได้มีท่าทีที่กระทำอันตรายต่อตำรวจ บางคนกำลังหลบออกจากพื้นที่ความรุนแรงเสียด้วยซ้ำ ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย คือ พายุที่ดวงตาขวาสูญเสียการมองเห็น, ผู้ชุมนุมชายที่หลัง, ผู้ชุมนุมหญิงที่หัวคิ้วซ้าย, ผู้ชุมนุมชายที่จ่อยิงที่ช่องท้องส่วนบนและผู้ชุมนุมชายที่ต้นแขนขวาด้านหลังระหว่างหันหลังวิ่งกลับไปที่ลานคนเมือง

You May Also Like
อ่าน

กสม.ชี้หน่วยงานรัฐไทยเอี่ยวใช้สปายแวร์เพกาซัส ชงครม.สั่งสอบ-เรียกเอกสารลับ

กสม. เชื่อว่า มีการใช้สปายแวร์ เพกาซัสละเมิดสิทธิจริง โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ และบริบทแวดล้อมในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า หน่วยงานรัฐไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้สปายแวร์
อ่าน

ขนุน สิรภพ “คงแค่ยิ้มสู้” ระหว่างศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัวในคดีมาตรา 112

ขนุน สิรภพ “คงแค่ยิ้มสู้” ระหว่างศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัวในคดีมาตรา 112 . สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน นิสิตรัฐศาสตร์จากมศว จำเลยในคดีมาตรา 112 จากการกล่าวปราศรัยระหว่างการชุมนุม #ม็อบ18พฤศจิกา . 25 มีนาคม ที่ผ่านมาศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา จำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากการนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ศาลจึงลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา . จนถึงวันนี้(4 เมษายน 2567) เป็นเวลา 10 วันแล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว