จีน่า “ปภัสร”: เมื่อระบบแสดงผลของเฟซบุ๊กเป็นเหตุคดี 112

ในขณะที่มูลเหตุของคดีมาตรา 112 หลายๆ คดีเกิดจากการแสดงความคิดเห็นที่คนทั่วไปหรืออย่างน้อยก็คนที่มีความสนใจทางการเมืองพอจะตีความหรือเข้าใจได้ว่าผู้แสดงออกต้องการสื่อถึงพระมหากษัตริย์หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ คดีของ “ปภัสร” หรือ จีน่า แม่เลี้ยงเดี่ยววัย 52 ปี กลับมีความแตกต่างออกไปเพราะเธอเพียงแต่คัดลอกลิงค์คลิปวิดีโอคนสวดคาถาสาปแช่งพล.อ.ประยุทธ์มาเผยแพร่ต่อบนเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่เนื่องจากกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส – ตลาดหลวง” หรือกลุ่มตลาดหลวง ต้นทางที่เธอนำคลิปวิดีโอมาเผยแพร่ต่อเป็นกลุ่มเฟซบุ๊กแบบกลุ่มส่วนตัวที่จะแสดงเนื้อหาให้เห็นเฉพาะผู้เป็นสมาชิกกลุ่มเท่านั้น ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเมื่อมาเห็นโพสต์ของจีน่าก็จะเห็นเพียงภาพหน้าปกของกลุ่มตลาดหลวง ซึ่งการแสดงผลในลักษณะดังกล่าวก็เป็นไปตามกลไกของเฟซบุ๊กที่ผู้ใช้หลายๆ คนรวมถึงตัวจีน่าไม่เคยรู้มาก่อน

แต่เนื่องจากภาพหน้าปกของกลุ่มตลาดหลวง เป็นภาพคนที่มีใบหน้าคล้ายรัชกาลที่สิบกำลังเล่นสไลเดอร์ เมื่อคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มตลาดหลวง มาเห็นโพสต์ของจีน่าจากบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองก็อาจเข้าใจไปว่าจีน่าเป็นคนโพสต์รูปรัชกาลที่สิบและเมื่อดูทั้งโพสต์ประกอบกับข้อความที่จีน่าตั้งใจเขียนถึงพล.อ.ประยุทธ์ก็อาจทำให้เข้าใจได้ว่าจีน่าตั้งใจหมิ่นประมาทรัชกาลที่สิบได้ไม่ยาก ซึ่งปรากฎว่ามีประชาชนในจังหวัดกระบี่คนหนึ่งที่มีความเห็นทางการเมืองในทางตรงข้ามกับจีน่าและติดตามความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กของจีน่าอยู่เป็นประจำได้มาพบเห็นโพสต์ดังกล่าว โดยที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มตลาดหลวง จึงเข้าใจว่าจีน่ามีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจจนนำไปสู่การจับกุมตัวจีน่าในวันที่ 7 เมษายน 2565

จริงๆ แล้ววันที่ 7 เมษายน 2565 ควรจะเป็นวันที่ จีน่า มีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะลูกสาวคนโตของเธอซึ่งย้ายไปทำงานที่กรุงเทพหลายปีแล้วเดินทางมาเยี่ยมเธอที่จังหวัดกระบี่เพื่อมาเซอร์ไพรส์วันเกิดแม่ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างสิ้นเชิง เมื่อช่วงสายของวันนั้นมีชายแปลกหน้าสามคนมาที่บ้านของจีน่าพร้อมกับเอกสารที่มีตราครุฑอยู่บนหัว ทั้งสามคนคือตำรวจนอกเครื่องแบบและเอกสารที่นำมาคือหมายจับ! ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จีน่าที่เพิ่งได้รับแจ้งจากคนข้างบ้านทางไลน์หลังอาบน้ำเสร็จว่ามีตำรวจเอารูปมาถามหาเธอตัดสินใจเปิดประตูบ้านไปสอบถามตำรวจด้วยสภาพนุ่งกระโจมอกว่า มาหาเธอด้วยเหตุอันใด ทันทีที่ตำรวจเห็นจีน่าก็อ่านหมายจับให้เธอฟังและใส่กุญแจมือเธอเกือบจะทันทีที่อ่านหมายจับเสร็จทั้งที่จีน่าอยู่ในสภาพนุ่งกระโจมอกและไม่น่าจะหลบหนีไปไหนได้ เมื่อตำรวจทำท่าจะจับ จีน่าดิ้นขัดขืนทันทีจนผ้าที่พันไว้หลุด เพราะเกรงว่าตัวเองจะถูกจับไปทั้งที่ยังไม่ได้แต่งตัว ระหว่างที่กำลังยื้อกันอยู่ลูกสาวคนโตของจีน่ามาถึงบ้านพอดีจึงได้เจรจากับตำรวจโดยเอาตัวเองเป็นประกัน และยืนยันว่าตำรวจจะทำกับผู้ต้องหาในลักษณะนี้ไม่ได้ ต้องให้ผู้ต้องหาไปแต่งตัวก่อน ตำรวจจึงยอมให้จีน่าไปแต่งตัวก่อนจะพาตัวไปสถานีตำรวจ ค่ำวันนั้นจีน่าต้องไปนอนในห้องขังของสถานีตำรวจแทนที่จะได้กินข้าวเย็นกับลูกสาว ฝนที่ตกลงมาในค่ำวันนั้นดูจะกลายเป็นวันฝกตกที่เหงาที่สุดในชีวิตของเธอ

เพราะไม่เคลื่อนไหว จึงถูกตีตรา

จีน่าเป็นคนกรุงเทพ แต่ได้ย้ายถิ่นฐานมาสร้างครอบครัวที่จังหวัดกระบี่ตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2530 จีน่ามีสาวลูกสามคนกับอดีตสามี แม้ในเวลาต่อมาจะแยกทางกับสามีแต่เธอก็ยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดกระบี่กับลูกสาวทั้งสามคนต่อไป ตัวของจีน่าแม้จะเรียนจบเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม แต่เธอก็เป็นคนที่ทำงานเก่ง หลังจับธุรกิจมาหลายอย่างสุดท้ายเธอก็มายึดอาชีพขายประกันซึ่งเธอทำได้ดีจนมีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในความดูแลหลายราย มาถึงปี 2565 ลูกสาวของจีน่าทั้งสามคนต่างก็เติบโตและแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเองส่วนจีน่ายังคงใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดกระบี่ด้วยตัวเองต่อไป หลังลูกของเธอย้ายออกจากบ้านไปกันหมดไม่นานจีน่าก็ตัดสินใจพาแม่ที่มีอายุ 81 ปี มาอยู่ด้วยในช่วงประมาณต้นปี 2565 

ตัวของจีน่าแม้จะเป็นคนสนใจการเมือง แต่เธอก็จำกัดการเคลื่อนไหวอยู่เฉพาะบนโลกออนไลน์เท่านั้น ไม่ได้ออกมาร่วมชุมนุมข้างนอก เมื่อถามถึงทัศนคติทางการเมืองและการใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ของเธอ จีน่าเล่าแบบติดตลกว่าสมัยที่ทักษิณ ชินวัตร ยังเล่นการเมืองเธอเคยลงคะแนนเลือกพรรคไทยรักไทยในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะอยากให้ทักษิณเป็นนายก แต่ก็ปันใจไปเลือก ส.ส.เขตของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนการเลือกตั้งปี 2554 ที่สุดท้ายยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เป็นนายกรัฐมนตรีเธอไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แม้จีน่าจะไม่ได้ไปเลือกพรรคเพื่อไทยในครั้งนั้น แต่เธอก็รู้สึกว่าสิ่งที่ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเฉพาะการไปคุกคามลูกหรือการนำประเด็นส่วนตัวมาโจมตีก็ทำให้รู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ช่วงที่มีการโจมตีนายกยิ่งลักษณ์ พี่แค่เกิดความสงสัยว่าทำไมต้องไปด่าเขาด้วยคำเหล่านั้นอย่างคำว่าอีกะหรี่ อีนั่นอีนี่ อีกอย่างที่พี่ฟังแล้วก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเลยคือการเอาเรื่องส่วนตัวอย่างเรื่องเพศมาโจมตีกัน ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่การที่คุณเอามาพูดกันแบบนั้นแบบนี้สำหรับพี่มันคือการย่ำยีศักดิศรีของผู้หญิงคนหนึ่ง”

“ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือเรื่องที่มีคนไปคุกคามลูกคุณยิ่งลักษณ์ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย พี่เลยมาตั้งคำถามเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่า ที่สมัยกปปส.ไล่ด่ารัฐบาลก่อน ไล่คุกคามคุณยิ่งลักษณ์กับลูกของเธอ ยังไม่เห็นคุณยิ่งลักษณ์ส่งลูกน้องมาคุกคามกันแบบตอนนี้เลย”

ตอนที่การเคลื่อนไหวของกปปส.อยู่ในช่วงกระแสสูง คนรอบตัวของจีน่าทั้งลูกค้าประกันรายใหญ่ คนที่บริษัท และคนรู้จักที่จังหวัดกระบี่ต่างออกไปร่วมชุมนุมเป่านกหวีดร่วมกับลุงกำนัน หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ตัวของจีน่าซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส.ก็ตัดสินใจอยู่เงียบๆ จนสุดท้ายเธอก็ถูกตีตราทางการเมือง

“อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าพี่ไม่เห็นด้วยกับกปปส. ก็เลยไม่ได้ออกไปกับเขา เขาใส่สีเหลืองติดสัญลักษณ์ธงชาติ เป่านกหวีดอะไรพี่ก็ไม่เอา คนรู้จักที่อยู่กระบี่บางส่วนขึ้นไปชุมนุมกันที่กรุงเทพพี่ก็ไม่ไป สุดท้ายพี่ก็เลยถูกแปะป้ายไว้ว่าเป็นคนเสื้อแดง ลูกค้ารายใหญ่ของพี่บางคนเขาไปขึ้นเวทีกปปส. พอรู้ว่าพี่ไม่ไปชุมนุมเขาก็มาขู่พี่ว่าจะทิ้งประกันพี่ก็บอกเอาเลย พี่ถือว่าตัวพี่แยกแยะได้ เรื่องการเมืองเป็นความเห็นส่วนตัว แต่การดูแลลูกค้าพี่ดูแลทุกคนอย่างดีตามหน้าที่ ส่วนถ้าลูกค้าจะทิ้งประกันเพียงเพราะจุดยืนทางการเมืองของพี่ก็เป็นเรื่องของเขา”

เมื่อถามว่าตัวของจีน่านิยามตัวเองว่าอยู่ในฝ่ายการเมืองไหน จีน่าตอบโดยตั้งคำถามกลับมาว่า

“พี่ก็ไม่รู้ว่าจะนิยามตัวเองว่าอะไร แต่ที่มีคนเรียกพี่ว่าเป็นควายแดง พี่ก็ยังมีคำถามว่าตัวพี่ไม่เคยไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ไม่เคยผ่านการสูญเสีย ร่วมทุกข์ร่วมสุขเหมือนคนเสื้อแดงหลายๆคน เลยไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนเสื้อแดงได้งัย”

ไปม็อบเพราะห่วงลูก สุดท้ายถูกมองเป็นแกนนำ

แม้จีน่าจะเป็นคนที่สนใจการเมือง แต่ก่อนหน้าปี 2563 เธอไม่เคยร่วมชุมนุมมาก่อน แม้แต่ช่วงที่มีคนออกมาชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ในปี 2557 เธอก็ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง แต่เมื่อลูกสาวคนเล็กของเธอที่ช่วงปี 2563 เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายออกมาร่วมแฟลชม็อบขับไล่รัฐบาลในพื้นที่จังหวัดกระบี่ จีน่าเริ่มออกมาชุมนุมด้วยเพื่อดูแลลูกก่อนจะจับพลัดจับผลูไปเป็นหนึ่งในคนปราศรัยเพื่อคั่นเวลา

“พี่ออกมาร่วมชุมนุมครั้งแรกนี่เป็นเพราะลูกเลย ช่วงปี 63 ลูกสาวพี่ยังเรียนอยู่ชั้นม.ปลายที่จังหวัดกระบี่ ลูกสาวพี่เป็นคนพูดในที่สาธารณะได้ดี พอถึงช่วงที่น้องๆ ในจังหวัดกระบี่เขาจะชุมนุมกันก็มาชวนลูกพี่ไปขึ้นปราศรัยด้วย น้องที่เป็นคนจัดม็อบคนหนึ่งยังโทรมาถามพี่อยู่เลยว่าลูกสาวพี่สนใจการเมืองไหม”

“วันที่มีแฟลชม็อบกระบี่ตอนเช้าพี่กับลูกสาวพี่ยังใส่เสื้อสีเหลืองไปร่วมพิธีเปิดซุ้มเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่สิบอยู่เลย พอตกเย็นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปร่วมชุมนุมที่ลานปูดำ ซึ่งตัวพี่คิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน จะประท้วงรัฐบาลก็ประท้วงไป ไม่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แต่มันก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เอามาโยงกัน เอามาบอกว่าพวกชูสามนิ้วเป็นพวกล้มเจ้าซึ่งมันไม่ใช่เลย”

จีน่าไม่ได้ตั้งใจมาปราศรัยหรือมามีบทบาทอะไรในที่ชุมนุม แต่เนื่องจากการจัดแฟลชม็อบครั้งนั้นเป็นการจัดแบบไม่มีแกนนำ ต่างคนต่างมาต่างคนต่างช่วยกัน จึงมีเหตุติดขัดอยู่บ้าง ในช่วงที่นักกิจกรรมบางคนที่มีกำหนดปราศรัยมาถึงช้า จีน่าก็เข้าไปช่วยปราศรัย “คั่นรายการ” ให้ หลังจบการชุมนุมครั้งนั้นคลิปการปราศรัยของลูกสาวคนเล็กของจีน่ากลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ จอม เพชรประดับ ผู้สื่อข่าวที่ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศถึงขั้นติดต่อมาเพื่อขอสัมภาษณ์ลูกสาวของเธอ แต่จีน่าเกรงว่าหากลูกของเธอไปให้สัมภาษณ์ก็อาจมีกระแสต่อต้านและแรงเสียดทานต่างๆ ตามมา เธอจึงตัดสินใจบอกกับจอมว่าเธอจะให้สัมภาษณ์เอง

จีน่ายังพูดแบบติดตลกด้วยว่าหลังจากให้สัมภาษณ์กับจอม เพชรประดับ เธอลองกลับไปเปิดคลิปของตัวเองก็ยังฟังสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เหมือนถามอย่างตอบอีกอย่าง แต่กลายเป็นว่าหลังไปร่วมการชุมนุมครั้งแรก เธอก็เริ่มถูกจับตามองโดยไม่รุ้ตัว ทั้งโดยตำรวจในพื้นที่และโดยคนที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างในจังหวัดกระบี่ว่าเป็นแกนนำของกลุ่มกิจกรรม “กระบี่ไม่ทน” ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมที่ถูกตั้งขึ้นและเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดกระบี่

“เอาจริงๆ นะที่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่รัฐมาเพ่งเล็งพี่ว่าเป็นแกนนำนี่พี่ยังงงอยู่เลย ว่า เอ๊ะ ทำไม่เขาถึงมาให้ความสำคัญกับพี่ขนาดนี้ ทั้งๆที่เริ่มแรกพี่ก็ออกไปม็อบเพราะต้องตามไปดูลูก เสร็จแล้วบังเอิญกิจกรรมปราศรัยมันติดขัดเพราะคนพูดมาไม่ทันพี่ก็เลยพูดขัดตาทัพไปก่อนเฉยๆ พอลองคิดดูก็อาจเป็นเรื่องที่พี่คอยสอดส่องดูแลน้องๆที่มาร่วมชุมนุม ไม่ให้ทำผิดกฎหมาย เพราะผู้ชุมนุมหลายคนเพิ่งอายุ 14 -16 ปี พอพี่เห็นการแสดงออกบางอย่างที่อาจจส่งผลเสียต่อภาพของการชุมนุมโดยรวมหรือเป็นอันตรายต่อตัวน้องๆเขาเอง พี่ก็จะเข้าไปเตือนว่าหนูอย่าทำเลยนะลูก เชื่อป้านะ แล้วก็อาจเป็นเพราะพี่เป็นคนแก่คนเดียวที่อยู่ท่ามกลางเด็กรุ่นใหม่ ตรงนั้นมั้งที่ทำให้พวกเค้า (เจ้าหน้าที่รัฐ – ฝ่ายที่เห็นต่าง) คิดว่าพี่เป็นแกนนำ”

“พี่คิดว่ามันเป็นความเชื่อที่ฝังหัวไปแล้วของทั้งฝ่ายรัฐและคนฝั่งตรงข้ามที่เขาจะคิดว่าคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นพวกที่ถูกคนจ้างมา ถ้าไม่มีเงิน จะไม่ออกมาชุมนุม ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลยอย่างม็อบที่กระบี่นี่อาจจะเรียกว่าไม่มีเจ้าภาพเลยด้วยซ้ำ ใครมาถึงยกอะไรได้ยก จัดอะไรได้จัด การชุมนุมมันเลยติดขัดแบบที่เห็น”

จีน่าเล่าด้วยว่าในบางครั้งก็จะมีแชทหรือสายจากแชทของ “ผู้หวังดี” เป็นญาติๆหรือคนสนิทของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดโทรมาหาเธอ ขอร้องว่าไม่ให้เธอออกไปร่วมการชุมนุม หรือถามความเคลื่อนของกลุ่มนั้นกลุ่มนี้อยู่เป็นระยะๆ ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นคนจัดกิจกรรม หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจใดๆ นอกจากนั้นก็ยังมีคนสนิทของนายตำรวจคนหนึ่งพูดกับเธอทำนองว่า อยากให้เธอย้ายออกไปนอกพื้นที่ของเขา อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของเธอ เพราะเธอถูกล๊อคเป้า ซึ่งจีน่ามองว่าเป็นเรื่องตลก จีน่ายังระบุด้วยว่า

“ตำรวจที่คอยติดตามพี่ก็คงรู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร ก็อยากให้เค้าปายรายงานนายตามความเป็นจริงและเลิกมาตามพี่ได้แล้ว” 

สิงหาคม 64 เดือนพลิกชะตาจากคดีคาร์ม็อบถึงคดี 112

แม้จะเริ่มออกมาชุมนุมครั้งแรกตั้งแต่ปี 2563 และเคยไปร่วมการชุมนุมที่หอนาฬิกาหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาในม็อบราษฎรใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2563 แต่ตัวของจีน่าก็ยังไม่เคยถูกดำเนินคดีจากการร่วมชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมือง กระทั่งเมื่อถึงเดือนสิงหาคม 2564 การแสดงออกทางการเมืองของจีน่าทั้งในการชุมนุมและการแสดงออกบนโลกออนไลน์ก็เป็นมูลเหตุให้เธอถูกดำเนินคดีถึงสองคดี คือคดีฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามชุมนุมตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการร่วมคาร์ม็อบเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม2564 กับการโพสต์ลิงค์การสวดคาถาสาปแช่งพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ซึ่งกลายเป็นมูลเหตุให้มีคนไปร้องทุกข์กล่าวให้ตำรวจดำเนินคดีจีน่าด้วยมาตรา 112 จนนำมาสู่กรณีที่เธอถูกใส่กุญแจมือที่บ้านทั้งสภาพนุ่งกระโจมอก เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565

“ช่วงปลายเดือนกรกฎาปี 64 มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้ามาติดตามคุกคามพี่ มาเดินป้วนเปี้ยนหน้าบ้านห้าคน ไม่ใส่เครื่องแบบใดๆ พี่ตกใจมาก ถามว่าพี่จะไปร่วมม็อบที่จังหวัดนั้นจังหวัดนี้หรือเปล่า พี่ก็บอกว่าไม่ได้ไป และไม่ทราบว่ามีม๊อบอะรัยด้วยซ้ำ พี่รู้สึกไม่พอใจ เลยโพสต์เรื่องนี้ลงเฟซบุ๊ก สุดท้ายก็มีคนรู้จักที่เป็นส.ส.กระบี่ของพรรคก้าวไกลมาเห็นที่พี่โพสต์ แกนัดให้พี่มาเจอในวันหลังจากที่พี่โพสต์ข้อความ เพื่อให้มาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทีนี้วันที่ 1 สิงหา พี่ก็ไปพบกับส.ส.ตามนัด แต่ก็เห็นว่ามีผู้ชายหัวเกรียนยืนดักรอเราอยู่สี่ถึงห้าคนในบริเวณที่เรานัดคุยกัน พี่กับส.ส.ก็เลยชวนกันขับรถทำเป็นคาร์ม็อบไปเลยเพื่อบอกให้สังคมรู้ว่าเราถูกคุกคาม แล้วก็ถือโอกาสสื่อสารเรื่องปัญหาวัคซีนไปด้วยในตัว”

“วันนั้นมีรถมาร่วมคาร์ม็อบกับพี่ห้าคันถ้วน ถ้าพี่เป็นแกนนำจริงคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พวกพี่มากันห้าคัน มีกันไม่ถึงสิบคน ส่วนพวกเสื้อเหลืองที่เข้ามาป่วนพวกพี่น่าจะมากันสี่สิบห้าสิบคน วันนั้นถึงจะไม่ได้มีกระทบกระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันก็จริง แต่พวกนั้นมาถึงก็เปิดก่อนเลยตะโกนด่าส.ส.ก่อนเลย “ไอ้เหย็ดแหม่มึง” “ไอ้พวกสามนิ้ว” แบบใส่เต็มมาก แล้วพอเลิกพวกนั้นก็ไปแจ้งให้ตำรวจดำเนินคดีพวกพี่ สุดท้ายพวกนั้นก็โดนคดีไปด้วย ที่มันตลกคือพวกพี่ไปกันไม่ถึงสิบคน โดนคดีไปหกคน ส่วนพวกเสื้อเหลืองมากัน 50 คน โดนคดีแค่สองคน แล้วมันก็แปลกมากๆเลยคือสุดท้ายอัยการฟ้องคดีพี่กับพวกเสื้อเหลืองรวมเป็นคดีเดียวกัน แต่พวกนั้นเขารับสารภาพไปก่อนแล้วก็ถูกตัดสินว่ามีความผิด ส่วนพวกพี่สู้คดีจนสุดท้ายศาลยกฟ้อง”

“ระหว่างการสืบพยานคดีคาร์ม็อบพวกตำรวจพยายามโยงว่าพี่เป็นแกนนำกลุ่มกระบี่ไม่ทนทั้งๆ ที่กลุ่มกระบี่ไม่ทนเขานัดชุมนุมวันที่ 7 สิงหา ส่วนพี่ไปชุมนุมวันที่ 1 สิงหา และที่พี่ออกไปก็เป็นเพราะพวกเขา (ตำรวจ) มาคุกคามพี่ที่บ้าน แถมในเฟซบุ๊กพี่ก็ไม่เคยแชร์กิจกรรมคาร์ม็อบวันที่ 7 ของเพจกระบี่ไม่ทนเลย ที่ตลกยิ่งกว่านั้นก็คือตำรวจเชื่อว่าพี่เป็นแกนนำ ขอโทษนะ วันนั้นมีรถมาห้าคันถ้วน คนที่มามีทั้ง ส.ส. ส.จ. มีนักเรียนนอก พี่จบ ม.สาม จะไปนำอะไรเขา แล้วอีกอย่างถ้าพี่เป็นแกนนำจริง ทำไมพอโดนคดี 112 ถึงมาศาลคนเดียวแบบนี้ ถ้าเป็นแกนนำก็ต้องมีคนมาชุมนุม มีคนมีให้กำลังใจที่ศาลบ้างสิ เป็นแกนนำไม่มีคนตามแบบนี้เรียกแกนนำได้เหรอ” จีน่าร่ายยาว

หลังไปเข้าร่วมคาร์ม็อบในวันที่ 1 สิงหาคม จีน่ายังคงใช้ชีวิตตามปกติและใช้เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวๆ ต่างต่อไป ในวันที่ 8 สิงหาคม ระหว่างที่จีน่าเล่นเฟซบุ๊กเธอบังเอิญพบเห็นคลิปวิดีโอที่มีคนสวดคาถาสาปแช่งพล.อ.ประยุทธ์ถูกนำมาโพสต์ในกลุ่มเฟซบุ๊ก รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส – ตลาดหลวง เธอเห็นว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวตลกดีประกอบกับช่วงเวลานั้นในเฟซบุ๊คมีแต่เรื่องเครียดและน่าหดหู่โดยเฉพาะข่าวสลายการชุมนุม จีน่าเล่าว่าเธอแชร์คลิปดังกล่าวโดยไม่ได้สังเกตต้นทางว่าถูกเผยแพร่ที่ไหนและใช้วิธีคัดลอกลิงก์ไปวางที่หน้าโปรไฟล์เพื่อให้เครดิตผู้ทำคลิป จีน่ายังเขียนข้อความลงไปในโพสต์เดียวกันด้วยว่า  “หนทางเดียวของกูละ ไอ่เปรตนี่..เด่วกูจัด!!” โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อเธอนำลิงค์ดังกล่าวไปแปะบนเฟซบุ๊กของตัวเอง คนที่เข้ามาดูจะเห็นการแสดงผลที่แตกต่างกัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เป็นสมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊กตลาดหลวงจะเห็นคลิปวิดีโอคนสวดคาถาสาปแช่งพล.อ.ประยุทธ์ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มตลาดหลวงจะเห็นเพียงลิงค์นี่จีน่านำมาโพสต์ไว้กับข้อความที่เธอโพสต์แต่จะไม่เห็นคลิปวิดีโอ นอกจากนั้นยังเห็นภาพหน้าปกของกลุ่มดังกล่าวซึ่งเป็นภาพชายที่มีใบหน้าคล้ายรัชกาลที่สิบกำลังเล่นสไลเดอร์ในสวนน้ำเท่านั้น

ชาวจังหวัดกระบี่คนหนึ่งซึ่งมีแนวคิดทางการเมืองในทางตรงกันข้ามกับจีน่าและมักคอยติดตามความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กของจีน่าพบเห็นโพสต์ของจีน่าในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 หรือประมาณหนึ่งวันหลังจากที่จีน่าโพสต์ลิงค์ดังกล่าวบนโปรไฟล์ของเธอ ชาวจังหวัดกระบี่ผู้พบเห็นข้อความซึ่งกำลังประชุมอยู่กับเพื่อนอีกประมาณห้าถึงหกคนจึงได้ชวนให้เพื่อนคนอื่นดูโพสต์ดังกล่าวด้วยกันก่อนจะพากันไปพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับจีน่า

หลังถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ จีน่ายังไม่ได้ถูกจับในทันที เธอยังคงไปออกกำลังกายสวนสาธารณะ ไปทำงาน และใช้ชีวิตตามปกติในจังหวัดกระบี่ ไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่ระหว่างที่เธอใช้ชีวิตปกติเธอก็มักจะได้รับโทรศัพท์เตือนด้วยความหวังดี ทำนองว่า อย่าไปชุมนุมนะ มีหมายจับอยู่ ถ้าไปจะถูกจับ หรือทำนองว่าพวกเขา (เจ้าหน้าที่) จับตาความเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอด แม้กระทั่งช่วงที่เธอจะต้องไปรายงานตัวตามนัดของตำรวจในคดีคาร์ม็อบก็ยังมีผู้หวังดี เตือนเธอว่าอย่าไปเพราะจะถูกจับ จีน่าขอให้ทนายความตรวจสอบว่ามีหมายจับของเธอค้างอยู่ในระบบหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันว่าไม่มีหมายจับในระบบ จีน่าจึงใช้ชีวิตไปตามปกติกระทั่งมาถูกจับตัวในวันที่ 7 เมษายน 2565 หรือประมาณแปดเดือนให้หลังจากที่มีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษเธอกับตำรวจ       

คดีที่คลุมเครือกับความผิดที่ไม่ได้ก่อ

เช้าวันที่ 6 เมษายน 2565 จีน่าได้รับข่าวดีเมื่อลูกสาวคนโตของเธอที่แต่งงานมีครอบครัว และย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ จะเดินทางมาที่จังหวัดกระบี่ในเช้าวันที่ 7 เมษายนเพื่อเซอร์ไพรส์เเละฉลองวันเกิดของจีน่าในวันที่ 9 เมษายน ช่วงสายของวันที่ 7 เมษายน ขณะที่จีน่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังจะแต่งตัว มีคนข้างบ้านติดต่อเธอมาทางไลน์ว่ามีชายแปลกหน้าสามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นตำรวจเอารูปจีน่ามาถามหาว่าจีน่าพักอยู่ที่ไหน หลังทราบเรื่องจีน่าโทรศัพท์หาลูกสาวคนโตของเธอซึ่งทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย ลูกของเธอบอกให้จีน่าไปคุยกับตำรวจเลยว่าต้องการอะไร

“แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด แม่ไม่ต้องกลัว”

แม่ของจีน่าเห็นว่าจีน่ายังนุ่งกระโจมอกเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ได้แต่งตัว จึงอาสาไปรับหน้าตำรวจก่อนเพื่อให้จีน่าไปแต่งตัว แต่จีน่าเห็นว่าแม่ของเธออายุ 81 ปีแล้ว จึงตัดสินใจไปรับหน้าตำรวจด้วยตัวเอง ทันทีที่เธอเปิดประตูออกไป

ตำรวจเริ่มอ่านหมายจับและใส่กุญแจมือเธอทั้งๆที่ตอนนั้นนั้นจีน่าอยู่ในสภาพนุ่งกระโจมอกและไม่น่าจะหนีไปไหนได้

“คนข้างบ้านพี่โทรมาบอกว่ามีชายแปลกหน้าสามคนที่น่าจะเป็นตำรวจเอารูปพี่มาถามหาว่ารู้จักพี่ไหม ทีนี้ พอพี่รู้ว่าตำรวจอยู่ที่หน้าบ้านก็เลยเปิดประตูกะจะไปถามให้รู้เรื่องว่ามาทำไม แม่พี่บอกให้พี่ไปแต่งตัวก่อนเค้าจะดูให้เอง แต่แม่พี่เค้าอายุ 81 แล้ว จะให้ไปเจอตำรวจได้ไง พี่ก็บอกแม่ว่าพี่ไปเอง แต่แม่พี่ก็ไม่ยอม เดินตามประกบตัวพี่มา พอเปิดประตูผู้ชายหัวเกรียนที่มามันก็ถามพี่ว่าพี่ชื่อจีน่าใช่ไหม พอบอกใช่เท่านั้นแหละ มันก็อ่านหมายจับ ผู้ชายคนที่คล้องบัตรอ่านหมายได้แค่สองประโยคได้ พอถึงท่อนอาฆาตมาตรร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ชายหัวเกรียนอีกคนที่ตัวสูงใหญ่ก็ยกกล้องถ่ายรูปพี่ พี่บอกพี่ไม่เคยทำนะ พี่บอกตำรวจด้วยว่าคุณไม่มีสิทธิถ่ายรูปชั้นในสภาพนี้ เท่านั้นแหละเขาก็เก็บโทรศัพท์แล้วดึงกุญแจมือมาสับแขนพี่ข้างหนึ่ง พอถูกสับกุญแจมือพี่ดิ้นจนผ้าหลุดหมดเลย จนต้องเอาตัวแนบคว่ำลงกับพื้นเพื่อปิดบังร่างกาย ระหว่างนั้นชายร่างใหญ่อีกคนที่มาด้วยก็พยายามล้วงมืออีกข้างของพี่ที่ซุกอยู่กับตัวระหว่างที่พี่นอนคว่ำราบไปกับพื้นออกมาเพื่อใส่กุญแจมือให้ครบทั้งสองข้าง แขนพี่ช้ำไปหมดเลย แม่พี่ที่เดินตามพี่มาด้วยตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลยร้องตะโกนให้คนช่วย แกยังตัวแกคร่อมตัวพี่ด้วเพราะกลัวพวกนั้นจะอุ้มพี่ไป แต่พวกนั้นก็ผลักแม่พี่จนหงายท้องเลย หลังเหตุการณ์จบลงและพี่ออกจากห้องขังพี่ยังต้องพาแม่ไปหาหมอด้วยเพราะการถูกผลักครั้งนั้นทำให้แกมีอาการปวดตั้งแต่เอวลงมาจนถึงขา ต้องไปฝังเข็มรักษาหลายครั้งถึงจะดีขึ้น”

“ระหว่างที่กำลังยื้อกันอยู่ลูกสาวพี่มาพอดี ก็เข้ามาเจรจา เขาต้องเอาตัวเองเป็นตัวประกันแทนพี่ ตำรวจถึงยอมให้พี่ไปแต่งตัว”

“ถามว่าทำไมตอนนั้นพี่ทำท่าเหมือนขัดขืน อย่างแรกเลยพี่ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นตำรวจจริงไหม พวกนั้นมากันสามคน ไม่แต่งเครื่องแบบ ใส่เสื้อบอลกางเกงขาสั้น ในสามคนนั้นมีแค่คนเดียวที่แขวนบัตรประจำตัวซึ่งสมัยนี้มันก็คงทำปลอมกันไม่อยากหรอก ที่สำคัญตัวพี่เองมั่นใจว่าไม่เคยโพสต์เรื่องเกี่ยวกับสถาบันฯบนเฟซบุ๊กเลย ตั้งแต่เริ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ว่าจะโพสต์ชื่นชมหรือโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ พี่ยังให้ทนายคอยเช็คอยู่ตลอดด้วยว่าพี่มีหมายจับไหมเพราะถ้ามีก็พร้อมรายงานตัวสู้คดี แต่ปรากฎว่าเท่าที่ทนายเช็คปรากฎว่าไม่มีหมายจับ พี่ก็ใช้ชีวิตปกติไม่ได้หนีไปไหน แล้วดูสิ่งที่ตำรวจทำกับพี่สิ”

จีน่าระบายความในใจที่เธออัดอั้นแสนนาน

“ตอนที่ตำรวจเอาหลักฐานที่พี่ถูกกล่าวหามาให้ดู พี่งงมากเพราะพี่ไม่เคยโพสต์ภาพภาพนั้นมาก่อน (ภาพปกของกลุ่มตลาดหลวง) ตอนนั้นพี่ยังถึงขั้นคิดไปว่าเฟซบุ๊กของพี่น่าจะโดนแฮก เพราะพี่ไม่ได้โพสต์แน่ๆ”

“จริงๆแล้ววันนั้น (7 เมษายน) พี่ควรจะได้ไปกินข้าวเย็นกับลูก แต่กลายเป็นว่าพี่ต้องไปนอนในห้องขังหนึ่งคืนเพราะตำรวจไม่ให้ประกันตัวแต่จะฝากขังพี่กับศาลในวันที่ 8 เมษา ห้องขังของสภ.เมืองกระบี่ก็สกปรก ที้งฝุ่นทั้งหยากใย่ พี่ขอไม้กวาดจากตำรวจมากวาดพื้นให้พอนอนได้ ที่พี่จำได้แม่นเลยคือคืนนั้นฝนตก ฟ้าร้อง ปกติพี่เป็นคนชอบบรรยากาศฝนตกนะ แต่พี่พบว่า เสียงฟ้าร้องในห้องขังนี่มัน เคว้งคว้าง เวิ้งว้าง สิ้นดีเลย”

หลังอยู่ในห้องขังหนึ่งคืนจีน่าก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนโดยต้องวางเงิน 150,000 บาท ต่อศาล เธอยอมรับว่าก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ประกันตัวเธอก็รู้สึกกังวลใจอยู่เหมือนกันเพราะถ้าศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวเธอในวันที่ 8 เมษายน เธอก็อาจจะต้องอยู่ในคุกยาวเพราะช่วงนั้นใกล้ถึงวันหยุดสงกรานต์แล้ว 

แม้จะได้รับการประกันตัวจีน่ายังคงมืดแปดด้านว่า ตัวเองทำอะไรผิดเพราะเธอมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนโพสต์รูปแน่ๆ เธอจึงไม่รู้ว่าจะไปหาโพสต์ต้นทางได้อย่างไร คดีของเธออยู่ในสภาวะคลุมเคลือจนกระทั่งในนัดคุ้มครองสิทธิในเดือนมิถุนายน 2565 ผู้พิพากษาได้แนะนำให้จีน่าไปไล่ดูโพสต์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ผู้ช่วยทนายความซึ่งเป็นคนที่มีความรู้เรื่องการทำงานของเฟซบุ๊กสามารถหาโพสต์ที่เป็นต้นตอแห่งคดีเจอ และพบว่าที่ภาพบุคคลคล้ายรัชกาลที่สิบที่ไปปรากฎในเฟซบุ๊กของจีน่า เกิดจากการกำหนดค่าของเฟซบุ๊กทำให้ผู้กล่าวหาเธอซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มตลาดหลวงเห็นเพียงภาพดังกล่าวซึ่งเป็นภาพหน้าปก  เรื่องทั้งหมดจึงกระจ่าง ขณะที่ทั้งจีน่าและทนายความต่างก็มั่นใจว่าศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องในท้ายที่สุด

คำถามคาใจ ทำไมต้องทำร้ายกัน

หลังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีกระจ่างออกมา ทั้งจีน่าและทนายความต่างเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการสืบพยานในเดือนพฤศจิกายน 2565 อย่างมั่นใจ ทนายความของจีน่าระบุว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐานทางเทคโนโลยี ที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องของความคิดเห็น ขณะที่ตัวของจีน่าเองหลังถูกจับเธอจมอยู่กับความกังวลว่าเฟซบุ๊กตัวเองถูกแฮคหรือไม่ เพราะมีภาพที่เธอไม่ได้เป็นคนโพสต์เองมาปรากฎในเฟซบุ๊กของเธอจนเป็นมูลเหตุในคดีนี้ แต่เมื่อทุกอย่างกระจ่างขึ้นว่าเป็นเรื่องระบบการแสดงผลของเฟซบุ๊ก จีน่าก็คลายความกังวลและต่อสู้คดีได้อย่างมั่นใจ สิ่งเดียวที่เป็นคำถามในใจของเธอมาตลอด โดยเฉพาะหลังถูกดำเนินคดีนี้คือเหตุใดคนที่เพียงแค่ความคิดความเชื่อบางอย่างไม่ตรงกันถึงพร้อมทำร้ายกันได้ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับเธอ

“ถามว่าวันมาขึ้นศาลแล้วได้เจอพวกที่มาแจ้งความพี่ แล้วพี่รู้สึกยังไง พี่ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเขาหรอกนะ พี่แค่รู้สึกว่าแค่เรามีความเห็นต่างกันต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ พี่ว่ามันแปลกอยู่เหมือนกันว่าคนที่มาเป็นพยาน บางคนไม่เคยเจอหน้าพี่เลย แต่ถึงเวลาศาลให้ชี้ตัวเขาชี้ตัวพี่ถูกได้ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งถ้าเป็นตัวพี่ ต่อให้พี่เคยเห็นหน้าคนที่แจ้งความพี่บนเฟซบุ๊ก แต่ถ้ามาถึงศาลแล้วไม่มีใครบอกพี่ก็คงชี้ตัวเขาไม่ถูกหรอก”

“มีพยานบางคนในคดีนี้ที่พูดในศาลว่า เขาก็ชอบพี่นะ บอกว่าทรงผมพี่สวยดี แต่เขาโกรธที่เห็นโพสต์แบบนั้นในเฟซบุ๊กของพี่ก็เลยไปรุมแจ้งความกันในวันนั้น พี่ก็อยากบอกเขาว่าถ้าพวกเขาได้มารู้จักพี่จริงก็จะชอบพี่มากกว่าทรงผมแน่ๆ”

“เอาจริงๆ ทั้งการถูกดำเนินคดีนี้และคดีคาร์ม็อบมันทำให้พี่ตั้งคำถามว่าคนเราแค่เห็นต่างกันจะต้องทำร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ อย่างคดีนี้ถ้าสุดท้ายพี่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่พี่แค่แชร์คลิปสวดมนต์สาปแช่งประยุทธ์ พี่ก็อยากถามพวกคนที่แจ้งความว่าเพราะเรื่องแค่นี้คุณต้องทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งเลยเหรอ”

“ย้อนกลับไปตอนคดีคาร์ม็อบ วันนั้นพวกพี่ไปกันไม่กี่คน พวกเขายกกันมาห้าสิบ มาถึงก็ด่าแบบสาดเสียเทเสีย คือพี่ไม่เข้าใจว่าการที่เรามีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน มันต้องถึงขั้นทำลายอีกฝั่งขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย อย่างตอนที่ล็อคดาวน์โควิด พี่ก็เอาเงินไปซื้ออาหารไปช่วยเหลือคนที่ถูกปิดหมู่บ้านเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้ ทั้งที่พี่ก็รู้ว่าคนที่กระบี่ส่วนใหญ่เขามีความคิดความเชื่อทางการเมืองแบบไหน แต่มันก็คนละเรื่องกัน ในช่วงวิกฤตยังไงก็ต้องช่วยกันไป พี่คิดแบบนี้จริงๆ แต่กลายเป็นว่าคนที่คิดที่เชื่ออีกทางหนึ่งเขาเหมือนจะอยากทำลายเราให้ได้ พี่ก็ไม่เข้าใจทำไมมันต้องขนาดนั้น”