ในห้องธุรการ: ทนายไปครั้งแรก จำเลยไปครั้งแรก เจ้าหน้าที่ก็เพิ่งเจอครั้งแรก
ในห้องธุรการ: จัดการไม่เป็นระบบ ไม่แจ้งวันนัดให้ทนายทราบล่วงหน้า
ศศินันท์ยกตัวอย่างคดีที่เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประสบการณ์ของเธอคือ >คดีของจำเลยชื่อชญาภา</a> ที่ถูกกล่าวหาว่า โพสต์เฟซบุ๊กเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 และ 116 คดีนั้นมีการนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลโดยที่ไม่แจ้งทนายความ และจำเลยเองก็รับสารภาพไปทั้งที่ยังไม่ได้มีโอกาสปรึกษากับทนายความก่อน ผลคือศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 7 ปี 30 เดือน
ในห้องธุรการ: ขอประกันตัวลำบาก ขอคัดถ่ายเอกสารไม่ได้
ในห้องธุรการ: ศาลทหารไม่มีทนายความอาสาช่วยเหลือจำเลยพลเรือน
ในห้องพิจารณาคดี: ตุลาการเป็นนายทหาร มีอิสระภายใต้ความเป็นทหาร
ในห้องพิจารณาคดี: อัยการทหาร ไม่มีหน้าที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย
ในห้องพิจารณาคดี: ทุกคนเป็นทหาร “เล่นละคร” กระบวนการยุติธรรม
ในห้องพิจารณาคดี: สร้างกระบวนการที่ช้า สร้างบทบังคับให้รับสารภาพ
นอกตัวอาคาร: คดีใหญ่ ศาลทหารปิดทางเข้าด้านหน้า ให้เข้าเฉพาะทนายความและชาวต่างชาติ
นอกกรุงเทพมหานคร: ศาลทหารต่างจังหวัดตั้งอยู่ในค่ายทหาร ผู้พิพากษาไม่มาทุกวัน
ศาลทหารปรับปรุงตัว ภายใต้สายตาของสังคมที่จ้องมอง
12 กันยาน 2559 หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่ 55/2559 ยุติการเอาพลเรือนขึ้นศาลทหารในคดีที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ออกประกาศเป็นต้นไป แต่คดีของพลเรือนอีกจำนวนมากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นก็ยังคงเดินหน้าพิจารณาต่อที่ศาลทหารดังเดิม พลเรือนยังต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่เป็นทหาร อัยการที่เป็นทหาร และตุลาการคนตัดสินคดีที่เป็นทหารต่อไป ระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ คงทำให้ทั้งทนายความและประชาชนที่สนใจเรื่องราวของระบบยุติธรรมได้เรียนรู้ไปไม่น้อย ขณะเดียวกัน ศาลทหารเองก็คงได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองหลายอย่างจากประสบการณ์ที่ต้องพิจารณาคดีพลเรือนเช่นเดียวกัน