1525 1569 1958 1258 1161 1769 1329 1119 1829 1152 1939 1852 1275 1657 1050 1666 1239 1852 1479 1877 1154 1829 1769 1043 1248 1341 1354 1819 1550 1181 1632 1175 1081 1068 1137 1202 1591 1776 1979 1957 1015 1414 1489 2000 1707 1640 1027 1210 1843 1671 1224 1272 1904 1174 1868 1109 1428 1252 1755 1957 1432 1802 1412 1570 1291 1234 1113 1331 1555 1900 1636 1306 1532 1981 1811 1749 1533 1703 1562 1199 1514 1369 1941 1644 1205 1920 1552 1905 1785 1370 1822 1839 1670 1300 1815 1085 1934 1956 1154 จดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่บริษัทธรรมเกษตร จำกัด กล่าวโทษเพื่อเอาผิดแรงงานชาวเมียนมาร์และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

จดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่บริษัทธรรมเกษตร จำกัด กล่าวโทษเพื่อเอาผิดแรงงานชาวเมียนมาร์และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

 

 

14 กุมภาพันธ์ 2562  
 
นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี   ทำเนียบรัฐบาล  เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก  ดุสิต กรุงเทพฯ 10300 ประเทศไทย  

เรื่อง คดีใหม่ที่บริษัทธรรมเกษตร จำกัด ฟ้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน 

เรียน  นายกรัฐมนตรี  
 
องค์กรที่มีชื่อแนบท้ายลงนามในจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงข้อกังวลอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่บริษัทธรรมเกษตร จำกัด กล่าวโทษเพื่อเอาผิดแรงงานชาวเมียนมาร์และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยหลายคนในข้อหาหมิ่นประมาทและข้อหาอาญาอื่น ๆ

 
ด้วยความเคารพ เราขอเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดำเนินการโดยทันที เพื่อคัดค้านและหาแนวทางยุติการดำเนินคดีของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด ต่อแรงงานชาวเมียนมาร์และนักปกป้องสิทธิมนษุยชน ซึ่งมีเจตนารมณ์ตรงข้ามกับนโยบายที่รัฐบาลของท่านประกาศไว้ ที่จะสนับสนุนการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน รวมทั้ง ผลประโยชน์ของประเทศ พันธกรณีทางกฎหมาย และพันธกิจที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนษุยชนระหว่างประเทศ  


จนถึงปัจจุบัน บริษัทธรรมเกษตร จำกัดของไทย ซึ่งมีกิจการฟาร์มไก่ในจังหวดัลพบุรี ได้ฟ้องคดีไม่ต่ำกว่า 13 คดี ทั้งแพ่งและอาญาเพื่อเอาผิดกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งอดีตลูกจ้าง ที่ผ่านมาทางพนักงานอัยการและศาลได้ยกฟ้องคดีส่วนใหญ่ไปแล้ว แต่ยังหลงเหลืออยู่บางคดี ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตัวแทนของบริษัทยังประกาศจะฟ้องคดีเพิ่มเติม  
 

ในเดือนธันวาคม 2561 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองลพบรุีได้เรียกตัวอดีตลูกจ้าง 14 คนของบริษัท ธรรมเกษตร จำกัด ซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยทางบริษัทกล่าวหาว่าคนงานเหล่านี้ “แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อ [บคุคลหรือหน่วยงานอื่น]” พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจอำเภอโคกตูม จังหวัดลพบรุียังเรียกตัวสุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) กลุ่มที่ทำงานสนับสนุนสิทธิคนข้ามชาติในไทย ไปสอบถามในฐานะพยานเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2562 กรณีที่บริษัทธรรมเกษตร จำกัดแจ้งข้อกล่าวหากับเธอ ในวันเดียวกันนั้น พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจ อำเภอโคกตูม จังหวัดลพบุรี ขอข้อมูลจากพยานบุคคลเพื่อสืบสวนคำร้องของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด ซึ่งแจ้งความกับบุคคล 6 รายจากกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียก่อนหน้านี้


การฟ้องร้องคดีอาญาของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตลูกจ้าง 14 คนได้ให้ข้อมูลกับ คณะกรรมการสิทธิมนษุยชนแห่งชาติ (กสม.) เกี่ยวกับการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิแรงงานในปี 2559 ซึ่งจากการสอบสวน ข้อร้องเรียนแยกกันของทั้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกสม. พบว่า มีหลักฐานบ่งชี้ถึงการปฏิบัติมิชอบด้านแรงงาน โดยบริษัทธรรมเกษตร จำกัดไม่ได้จ่ายค่าแรงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้จ่ายค่าทำงานล่วงเวลาและไม่อนุญาตให้คนงานลาหยุดงานได้มากเท่าที่กฎหมายกำหนด ในวันที่ 15 มกราคม 2562 ศาลฎีกายังพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น สั่งให้บริษัทธรรมเกษตร จำกัด จ่ายเงินประมาณ 1.7 ล้านบาท เป็นค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลา และดอกเบี้ยให้กับอดีตลูกจ้าง 14 คน จากการละเมิดพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน  


เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทธรรมเกษตร จำกัด ยังร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ออกมาเปิดเผยการ ปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิแรงงาน และการตอบโต้คนงาน จนถึงเดือนตลุาคม 2561 นาน วิน อดีตลูกจ้างชาวเมียนมาของ บริษัทธรรมเกษตร จำกัดถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญาอีกครั้ง จากการกล่าวหาว่ามีการปฏิบัติมิชอบด้านแรงงาน และการตอบโต้อดีตลูกจ้าง 14 คน ในสารคดีที่จัดทำโดยฟอร์ตี้ฟายไรต์ หน่วยงานด้านสิทธิมนษุยชน และในระหว่างการแถลงข่าวซึ่งจัดโดยฟอร์ตี้ฟายไรต์ ที่มีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก สุธารี วรรณศิริ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนษุยชนของ ฟอร์ตี้ฟายไรต์ ยังถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาททั้งทางอาญาและแพ่ง จากการเผยแพร่สารคดีของฟอร์ตี้ฟายไรต์ทางโซเชียลมีเดีย ศาลอาญากรุงเทพฯ มีกำหนดพิจารณาคำฟ้องต่อนาน วิน และสุธารี วรรณศิริ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และ 11 มีนาคม 2562 ตามลำดับและศาลแพ่งมีกำหนดฟังการพิจารณาคดีในเดือนสิงหาคม 2562 ในคดีที่สุธารี วรรณศิริถูกฟ้องทางแพ่ง  


การดำเนินคดีต่อแรงงานและนักปกป้องสิทธิมนษุยชนของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด โดยเฉพาะหลังจากศาลแขวงดอนเมืองได้ยกฟ้องคดีหมิ่นประมาททางอาญาที่คล้ายคลึงกันไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 เป็นคดีที่ทางบริษัท ฯ ฟ้องอดีตคนงานทั้ง 14 คน ข้อกล่าวหาใหม่ของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด มีลักษณะเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคาม ย่อมทำให้เกิดความสูญเปล่าด้านทรัพยากรและเวลาของตำรวจ พนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ศาล  


เราเห็นว่าการฟ้องคดีของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด มีลักษณะเป็นการตอบโต้และคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ที่เปิดโปงการปฏิบัติมิชอบ การตอบโต้เช่นนี้ถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนษุยชน และ ขัดขวางการดำเนินงานเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงาน การฟ้องคดีของบริษัทธรรมเกษตร จำกัดเป็นกรณีตัวอย่างของคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (Strategic Litigation Against Public Participation -SLAPP) คดี เหล่านี้สะท้อนให้เห็นอันตรายของคดีฟ้องปิดปากที่มีต่อคนงานและนักปกป้องสิทธิมนษุยชนในไทย และสะท้อนให้เห็น ความจำเป็นที่รัฐบาลของท่านต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและมีบทบญัญัติทางกฎหมายและข้อบังคับเพื่อป้องกันไม่ให้คดี เหล่านี้เดินหน้าต่อไป ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันบริษัทธรรมเกษตร จำกัด ดำเนินคดีอย่างน้อย 13 คดีที่มุ่งฟ้องร้องอดีตลูกจ้างที่เรียกร้องสิทธิของตนเอง รวมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เปิดเผยการละเมิดสิทธิมนษุยชนในการดำเนินธุรกิจ  


ในเดือนสิงหาคมและตลุาคม 2560 บริษัทธรรมเกษตร จำกัด ได้ฟ้องคดีอาญาต่อแรงงานข้ามชาติสองคนและ สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ในข้อหาลักทรัพย์รวมถึงบัตรลงเวลาทำงาน โดยในความเป็นจริง พวกเขาได้ใช้บัตรลงเวลาเหล่านี้ เป็นหลักฐานที่มอบให้กับเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อพิสูจน์ว่า มีการละเมิดด้านแรงงานเกิดขึ้นจริง เป็นการช่วยเหลือ เจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แม้ว่าต่อมาศาลไทยได้ยกฟ้องคำร้องของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด แต่อันที่จริงแล้วไม่ควรมีการรับฟ้องคดีนี้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากส่งผลให้เกิดแรงกดดันที่ไม่จำเป็น ค่าใช้จ่ายทางคดีที่ไม่จำเป็น ทำให้เสียเวลาและเสียรายได้จากการทำงานสำหรับผู้ถููกดำเนินคดี  


เราตระหนักว่า ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พยายามแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 161/1 ของประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อเดือนธันวาคม มาตรา 161/1 ให้อำนาจศาลในการใช้วิจารณญาณเพื่อยกฟ้องคำร้องของราษฎร และห้ามไม่ให้มีการฟ้องซ้ำโดยราษฎร กรณีที่เป็นการ “ฟ้องคดีโดยไม่สจุริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย” จึงควรนำมาตรา 161/1 มาใช้กับการฟ้องคดีล่าสุดของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด


มาตรา 161/1 นี้ยังไม่เพียงพอที่จะพูดถึงกรณีการฟ้องแกล้งทั่วไปในประเทศไทยได้ นอกจากการคาดหวังให้ศาล ใช้มาตรา 161/1 ในการพิจารณาคดีแล้ว เรายังเรียกร้องรัฐบาลของท่านให้กำหนดมาตรการอย่างชัดเจนเพื่อคัดค้านการฟ้องแกล้ง ดังกรณีของการฟ้องของบริษัทธรรมเกษตร จำกัด การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องและศาลมีคำพิพากษาที่จะไม่รับฟ้องคดีของบริษัทธรรมเกษตร จำกัดโดยเร็ว ย่อมเป็นการส่งสัญญาณต่อหน่วยงานธุรกิจทั้งของต่างชาติและไทย ที่ดำเนินงานในประเทศไทย และสะท้อนให้เห็นพันธกิจของรัฐบาลของท่านที่จะบังคับใช้กฎหมายและปฏิบัติตามหลักการธุรกิจและสิทธิมนุษยชน

 
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฟ้องคดีปิดปากแบบของบริษัทธรรมเกษตร จำกัดอีก เราเสนอแนะให้มีการจัดทำกฎหมายต่อต้านการฟ้องคดีปิดปากอย่างเป็นองค์รวม เพื่อให้การคุ้มครองอย่างเต็มที่กับคนงาน นักปกป้องสิทธิมนษุยชน และบุคคลอื่น ๆ ไม่ให้ถูกคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังจำเป็นที่พนักกงานอัยการและสำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องมีทรัพยากรและความสนับสนนุมากเพียงพอ เพื่อให้สามารถใช้อำนาจของตนตามมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 เพื่อคัดกรองการฟ้องคดีที่ไม่พึงประสงค์ออกไป รวมทั้งคดีที่มุ่งคุกคาม ข่มขู่ หรือตอบโต้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหรือบุคคลอื่น ๆ ประเทศไทยยังควรยกเลิกการเอาผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาท และยกเลิกบทลงโทษจำคุกหรือโทษปรับในคดีหมิ่นประมาทด้วย  

 

เราเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ จากคณะผู้ชำนาญการด้านสิทธิมนุษยชนหกคนของ สหประชาชาติเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่เสนอให้ “ทบทวนกฎหมายแพ่งและอาญา รวมทั้งกระบวนการฟ้องคดีเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทอย่างมิชอบโดยบริษัท” ในระหว่างการเดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน 2561 คณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนษุยชน ได้เรียกร้องในทำนองเดียวกันให้รัฐบาลไทย “ประกันว่า ภาคธุรกิจจะไม่ใช้คดีหมิ่นประมาทเป็นเครื่องมือเพื่อขัดขวางการใช้สิทธิและเสรีภาพโดยชอบของผู้ทรงสิทธิที่ได้รับผลกระทบหน่วยงานภาคประชาสังคม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” คณะทำงานยังเสนอแนะต่อไปว่า ควร “ตรากฎหมายต่อต้านคดีปิดปากเพื่อประกันว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะไม่ถูกฟ้องในทางแพ่งจากการดำเนินงานของตน” เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปผนวกเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนษุยชน และดำเนินการให้มีการปรึกษาหารืออย่างจริงจังกับหน่วยงานภาคประชาสังคม เพื่อจัดทำและดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแห่งชาตินี้
 

เราขอขอบคุณที่ท่านให้ความใส่ใจต่อปัญหาและข้อเสนอแนะตามจดหมายนี้ เรายินดีที่มีโอกาสช่วยเหลือและสนับสนุนรัฐบาลไทย เพื่อให้ปฏิบัติตามพันธกิจของหลักการธุรกิจและสิทธิมนุษยชนได้ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของคนงาน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานในประเทศไทย  
 
ขอแสดงความนับถือ  
 

กลุ่มการเมืองหลังบ้าน
กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม จังหวัดเชียงใหม่
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จังหวัดเลย
กลุ่มด้วยใจ
กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
กลุ่มโรงน้ำชา Togetherness for Equality in Action Group
เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี
เครือข่ายชีวิตสาธารณะ จังหวัดพัทลุง
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ
โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนษุยชนและการพัฒนา
มูลนิธิศักยภาพชุมชน
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
มูลนิธิไอเจเอ็ม IJM Foundation
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
สหพันธ์คนงานข้ามชาติ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนษุยชน
ห้องเรียนเพศวิถีและสิทธิมนษุยชน ร้านหนังสือบูคูู