ไวรัสอู่ฮั่น อีกเหตุผลที่เราต้องรักษาเสรีภาพ

“อู่ฮั่นอยู่ไม่ไกลตัวเรานัก” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ที่มีแหล่งกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2563 มีผู้ติดเชื้อเกือบ 2,000 รายแล้ว ในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเป็นรายที่แปดแล้ว สถานการณ์โรคระบาดรอบนี้เริ่มต้นขึ้นจากการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเดือนธันวาคม 2562 ก่อนจะแพร่กระจายไปในหลายประเทศในเดือนมกราคม 2563 ในการแพร่ระบาดของโรคครั้งนี้ทางการจีนได้แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) หลังพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเป็นเวลา 23 วัน เร็วกว่าครั้งที่ไวรัสซาร์ส ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกันระบาดในปี 2545 ครั้งนั้นทางการจีนแจ้งต่อ WHO หลังพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเป็นเวลา 86 วัน

แม้จีนจะมีพัฒนาการในการแจ้งต่อ WHO แต่มาตรการที่เกี่ยวข้องในการระงับการแพร่กระจายของโรคยังเป็นที่ถกเถียง ไวรัสอู่ฮั่นเริ่มระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ในด้านหนึ่งทางการจีนมีการเรียกตัวแพทย์มาเตรียมความพร้อมและตรวจสอบคนที่ใช้บริการสาธารณะ รวมทั้ง “สีจิ้นผิง” ประธานาธิบดีของจีนยังออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2563 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากโลกตะวันตกมองว่า จีนรับมือไวรัสอู่ฮั่นอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าอดีต

แต่อีกด้านหนึ่ง ทั้งที่การแพร่ระบาดเริ่มต้นในเดือนธันวาคม 2562 จีนยังคงปล่อยให้ชาวเมืองอู่ฮั่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเดินทางออกจากเมือง และนำไปสู่การแพร่เชื้อในประเทศอื่นๆ จนกระทั่งประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 นอกจากนี้สิ่งที่สังคมโลกสงสัยคือ ความร้ายแรงที่แท้จริงของการแพร่ระบาด จีนเป็นประเทศที่ควบคุมเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชน การรายงานข่าวเรื่องไวรัสอู่ฮั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น มีรายงานความพยายามปิดปากบรรดานักวิจารณ์และสื่อมวลชนที่พูดถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งทำให้คาดการณ์กันว่า ทางการจีนได้แจ้ง WHO เมื่อโรคได้แพร่กระจายไปในวงกว้างแล้ว และสถิติผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตอาจมีมากกว่าที่จีนรายงานก็ได้

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนแสดงท่าทีปกปิดข้อเท็จจริงหรือจำกัดเสรีภาพการแสดงออกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในครั้งการแพร่ระบาดของโรคซาร์สเมื่อปี 2545 การแพร่ระบาดของไวรัสในระบบทางเดินหายใจทั้งสองครั้งกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า ทำไมเราต้องปกป้องเสรีภาพในทุกด้านของมนุษย์ทุกคน

WH

 

774 ชีวิต คือราคาที่ต้องจ่ายระหว่างการปิดข้อมูลซาร์ส

ในปี 2545 จีนเคยเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS) หรือโรคซาร์ส ที่ยังคงเป็นปริศนาทางวิทยาศาสตร์ถึงการป้องกันรักษา ครั้งนั้นจีนพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่มณฑลกวางตุ้งในเดือนพฤศจิกายน 2545 และรายงานต่อ WHO ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อ 305 คน ในจำนวนนั้นมีบุคลากรด้านสาธารณสุข โดยมีผู้เสียชีวิตห้าคน

ก่อนและระหว่างการระบาดของโรคซาร์ส ทางการจีนปิดกั้นสื่อมวลชนในการรายงานเรื่องดังกล่าว นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 ทางการจีนปิดกั้นการรายงานของสื่อต่างประเทศในทุกข่าวที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคซาร์สในจีน แม้ว่าเชื้อจะแพร่ระบาดไปที่ปักกิ่งและมณฑลต่างๆ แล้วก็ตาม เหตุผลที่ทางการจีนอ้างคือ เป็นการรายงานข่าวในด้านลบของจีน ขณะเดียวกันยังมีรายงานการจับกุมผู้ที่แพร่ข่าวการระบาดของไวรัสซาร์สด้วย

ในเดือนเมษายน 2546 เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขของจีนเคยยืนกรานว่า การแพร่ระบาดอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ติดเชื้อไม่มากนัก ต่อมารัฐบาลจีนกลับลำยอมรับว่า รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตต่ำกว่าความเป็นจริง อันเป็นผลมาจากการที่เจียง เหยียนหยง แพทย์ทหารเขียนจดหมายบอกต่อสื่อมวลชนถึงตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์ส แรกเริ่มเขาส่งไปให้สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนและโฟนนิกซ์ของฮ่องกง แต่ทั้งสองไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ต่อมาจดหมายดังกล่าวรั่วไหลไปถึงสื่อต่างชาติ ทำให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่แตกต่างจากทางการจีนออกมาว่า มีผู้ติดเชื้อไม่น้อยกว่า 100 คนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง ซึ่งเวลานั้นเจ้าหน้าที่ของจีนรายงานว่า ผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มากนัก

ความจริงที่ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมกันตีแผ่ต่อสังคม คือ แรงกดดันให้เหวิ่น เจียเป่า ประธานาธิบดีของจีนในขณะนั้นสั่งให้เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์สต่อสาธารณะ การสื่อสารระหว่างทางการจีนกับ WHO ที่เพิ่มขึ้นหรือในอีกนัยหนึ่ง คือ ความโปร่งใสด้านข้อมูลเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดของซาร์สบรรเทาลง ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2547 WHO ได้ประกาศว่า ไม่มีผู้ติดเชื้อโรคซาร์สเพิ่มอีกในจีน รวมแล้วโรคซาร์สคร่าชีวิตคนไปไม่น้อยกว่า 774 คน

บทเรียนหนึ่งของซาร์สที่ประชาคมสาธาณสุขเห็นร่วมกัน คือ การแพร่ระบาดของซาร์สจะไม่ร้ายแรงเช่นนี้หากรัฐบาลจีนโปร่งใสเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสังคมอย่างทันท่วงที ไม่ใช่กล่าวในทำนองว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม และไม่ยื้อเวลา 86 วันก่อนการแจ้งต่อ WHO ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อการเตรียมพร้อมรับมือของประเทศในภูมิภาคด้วย ด้านผู้เชี่ยวชาญประเทศจีน มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ระบุว่า จากเหตุการณ์นี้ทำให้กรอบคิดของจีนเรื่องกิจการภายในประเทศ ที่วางตัวออกห่างจากการแทรกแซงของต่างประเทศถูกท้าทาย

 

ไวรัสอู่ฮั่นกับฉากปิดกั้นเสรีภาพเดิมๆ ของจีน

ประวัติศาสตร์วนซ้ำกลับมาอีกครั้ง จีนต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลโคโรนาเช่นเดียวกับไวรัสซาร์สที่เคยแพร่ระบาดในจีนเมื่อ 17 ปีก่อน แม้ทางการจีนจะมีพัฒนาการในการแจ้งต่อ WHO เร็วขึ้น แต่การปิดกั้นข้อมูลและการวิพากษ์วิจารณ์ยังคงปรากฏเช่นที่เคยเป็นมา รัฐบาลจีนมีประวัติของการควบคุมอินเทอร์เน็ต สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมในประเทศมาโดยตลอด ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญในการควบคุมความรับรู้ข้อมูลภายในประเทศในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น

หลังจากที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกในวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ทางการจีนยังไม่มีมาตรการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพและวาดภาพความปกติให้แก่สังคม บทความจากเดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินหายใจระดับสูงบอกในรายการโทรทัศน์ของทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ว่า การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ 11 วันถัดมาเขากลับติดเชื้อระหว่างการตรวจโรคที่อู่ฮั่น ขณะที่วันที่ 20 มกราคม 2563 จีนยังคงจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ที่เปิดให้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากกว่า 40,000 ครอบครัวเพื่อทำลายสถิติโลก ส่วนเจ้าหน้าที่ในเมืองอู่ฮั่นยืนยันว่า ไวรัสดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมและรักษาได้ ตำรวจสอบประชาชนแปดคนในอู่ฮั่นที่โพสต์เกี่ยวกับไวรัสอู่ฮั่น อ้างว่า ทั้งหมดมีพฤติการณ์แพร่ข่าวลือทางอินเทอร์เน็ต

ในสายตาของนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนมองทำนองว่า ลักษณะการรับรู้ของสังคมต่อไวรัสอู่ฮั่นเหมือนกับตอนที่ไวรัสซาร์สแพร่ระบาดเมื่อ 17 ปีก่อน คือการรับรู้ของประชาชนในเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสยังมีอย่างจำกัด เมื่อสื่อเริ่มเผยแพร่ว่าเชื้อกระจายไปในหลายพื้นที่แล้ว เจ้าหน้าที่จึงเริ่มขยับตัวเช่นเดียวกับครั้งที่ไวรัสซาร์สระบาด เมื่อนายแพทย์เจียงเปิดโปงต่อสื่อทางการ จีนจึงแสดงท่าทีจริงจังในการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น อย่างไรก็ตามการที่จีนจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชนมาตลอดทำให้สื่อจำนวนมากที่เคยมีบทบาทในอดีตสูญเสียความเข้มแข็ง เหลือเพียงสื่อไม่กี่แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ที่รายงานสถานการณ์ปัจจุบัน

การเก็บข้อมูลของสื่อมวลชนยังคงมีอุปสรรค ตำรวจได้ควบคุมตัวกลุ่มนักข่าวจากฮ่องกงที่บันทึกภาพในโรงพยาบาลอู่ฮั่นและให้ลบภาพวิดีโอที่บันทึกไว้ รวมถึงตรวจสอบโทรศัพท์และกล้องทั้งหมดด้วย ขณะที่การรายงานข่าวบนเว็บไซต์ qq.com เกี่ยวกับมาตรการที่ฮ่องรับมือกับเชื้อไวรัสถูกลบหลังเผยแพร่ไปได้เพียงสิบชั่วโมง

เสรีภาพในโลกอินเทอร์เน็ตไม่ใช่ข้อยกเว้น บีบีซีรายงานถึงการลบโพสต์ในเว่ยป๋อและวีแชท โซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน กรณีของเว่ยป๋อผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาถึงรู้เพียงแค่กรณีการติดเชื้อที่อู่ฮั่นเท่านั้น  และยังให้ความเห็นในทำนองว่า รัฐบาลท้องถิ่นไม่ยอมให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้เป็นอย่างดีว่า การระบุคำว่า “รัฐบาล” อย่างเจาะจงจะทำให้โพสต์มีแนวโน้มถูกเซนเซอร์ได้ ขณะที่เว็บไซต์ฟรีวีแชท เว็บไซต์ที่จับตาการลบโพสต์ของวีแชทรวบรวมข้อมูลพบว่า ความเห็นถึงนายแพทย์เจียงที่เปิดโปงรัฐบาลจีนเรื่องสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์สถูกลบออกไป

ในเรื่องการปกปิดสถิติที่แท้จริง วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเชื่อว่า รัฐบาลจีนรายงานสถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตต่ำกว่าความเป็นจริง โดยอ้างจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่รัฐในจีน แม้จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สถิติผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตที่แท้จริงมีมากกว่าที่ทางการจีนประกาศไว้หรือไม่ แต่การที่ทางการจีนจำกัดเสรีภาพการแสดงออกและเสรีภาพสื่อตลอดมา ทำให้ช่องทางที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคมีอย่างจำกัด ในแง่นี้รัฐคือ ผู้ผูกขาดอำนาจการเล่าเรื่อง ขณะที่ความเห็นบางอย่างสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนจีนได้รับข้อมูลที่ไม่มากพอเท่าทันกับสถานการณ์ ไม่สามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที

แก่นแท้ของเสรีภาพในสถานการณ์เช่นนี้คือ การที่ประชาชนมีเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเต็มที่และสามารถวิพากษ์การทำงานของรัฐ ส่งผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของรัฐและประชาชนเองจะสามารถวางแผนชีวิตของพวกเขาต่อไปได้ ขณะที่การไหลเวียนของข้อเท็จจริงในการแพร่ระบาดและแบ่งปันข้อมูลทางการแพทย์อย่างเป็นอิสระนำไปสู่การบรรเทาการแพร่ระบาดของโรค ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราทุกคนต้องรักษาเสรีภาพในทุกด้านของมนุษย์ทุกคนไว้ เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราในวันใดวันหนึ่ง


เรียบเรียงจากแหล่งข้อมูล