เปิดใจผู้จัดหน้าใหม่ “วิ่งไล่ลุงเชียงราย” ให้ความร่วมมือแค่ไหนก็โดนคดี (และยังสู้ต่อ)

ถึงตอนนี้ (กุมภาพันธ์ 2563) กิจกรรมวิ่งไล่ลุงซึ่งจัดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศก็ผ่านพ้นไปแล้วประมาณ 1 เดือน โดยไม่มีรายงานว่ามีกิจกรรมใดที่เกิดเหตุวุ่นวาย

แต่เท่าที่ทราบ หลังกิจกรรมปรากฏว่ามีประชาชนทั้งที่เป็นผู้จัดกิจกรรมและผู้ร่วมกิจกรรม (ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัด) ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะไปแล้วอย่างน้อย 16 ราย ใน 12 จังหวัด แยกเป็นจังหวัดในภาคอีสาน 5 รายคือ บุรีรัมย์, นครพนม, สุรินทร์, ยโสธร และกาฬสินธุ์ ภาคกลาง 3 รายคือ กรุงเทพฯ นนทบุรี และนครสวรรค์ ภาคเหนือ 6 รายจากจังหวัดลำพูนและเชียงราย ภาคใต้อีก 1 ราย จากอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา

บางกรณีผู้ถูกออกหมายเรียกรับสารภาพกับพนักงานสอบสวนและมีการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว เช่น ที่จังหวัดยโสธร สุรินทร์ โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พนักงานสอบสวนปรับผู้ต้องหาในความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุมเพียง 500 บาท แต่ต่อมาตำรวจโทรไปตามตัวผู้ต้องหา เพื่อปรับเพิ่มเป็น 5,000 บาทพร้อมแจ้งว่าถูกผู้กำกับตำหนิเพราะ “ปรับน้อยไป” สำหรับกรณีที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดีที่ชั้นศาล เช่น ที่กรุงเทพฯ บุรีรัมย์ และนครสวรรค์ ผู้ต้องหาทยอยเข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว

กรณีของจังหวัดเชียงรายมีผู้ถูกออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมจากการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงรวม 5 คน เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 หรือประมาณ 1 เดือนหลังกิจกรรม ผู้ต้องหาทั้งห้าเข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ขอใช้สิทธิต่อสู้คดีในชั้นศาลแล้ว

กรณีวิ่งไล่ลุงที่จังหวัดเชียงรายมีความน่าสนใจตรงที่ผู้จัดกิจกรรมเป็นคนหน้าใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์จัดกิจกรรมสาธารณะในลักษณะนี้มาก่อน ระหว่างการเตรียมการต้องเผชิญอุปสรรคจากเจ้าหน้าที่ชนิด ‘ทั้งขู่ทั้งปลอบ’ มีการโทรเรียกผู้จัดงานไปพูดคุยกับตำรวจท้องที่หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งผู้จัดยอมเปลี่ยนสถานที่จัดงาน แต่แม้จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกประการ สุดท้ายก็ยังได้รับหมายเรียกดำเนินคดีในความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุม

บรรยากาศกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เชียงราย (ภาพจากเพจวิ่งไล่ลุงเชียงราย)

หลังออกหมายเรียก ตำรวจท้องที่พยายามเจรจาให้ทางผู้จัดยอมจ่ายค่าปรับและจบเรื่องแบบเงียบๆ แต่ผู้จัดตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยหวังว่าคดีของตัวเองจะช่วยวางบรรทัดฐานให้กับการใช้เสรีภาพของประชาชนและขอบเขตการใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต่อไป

 

ผู้จัดหน้าใหม่ ฝ่ายความมั่นคงตามหาตัวจ้าละหวั่น

“เปรี้ยว” และ “บอย” ผู้จัดงานวิ่งไล่ลุงเล่าว่า ในทางการเมืองพวกเขาถือเป็นคนหน้าใหม่เพราะเพิ่งเคยจัดกิจกรรมสาธารณะรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ทั้งสองอยู่ในบทบาทผู้ร่วมกิจกรรมเท่านั้น เช่น การชุมนุมประท้วง ส.ส.ศรีนวล บุญลือ ที่ย้ายพรรคหลังได้รับการเลือกตั้ง เปรี้ยวและบอยให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า แม้พวกเขาจะมีจุดยืนทางการเมืองและต้องการแสดงออกทางการเมือง แต่ก็เห็นว่าการแสดงออกที่จะสามารถดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ให้เข้าร่วมได้น่าจะเป็นกิจกรรมที่มีลักษณะสร้างสรรค์และไม่รุนแรง กิจกรรมประท้วง ส.ส.ศรีนวลที่ทั้งสองไปเข้าร่วมมีการวางพวงหรีดและเผารูป แม้จะเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แต่ก็อาจไม่ตรงจริตหรือรสนิยมของคนรุ่นเขา

ในเวลาต่อมาเมื่อทางกรุงเทพฯ จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เปรี้ยวและบอยจึงคิดกันว่าพวกเขาน่าจะจัดกิจกรรมในพื้นที่บ้าง แต่เนื่องจากทั้งคู่ต่างไม่มีประสบการณ์จัดงานลักษณะนี้มาก่อนจึงติดต่อไปยังทีมจัดงานวิ่งไล่ลุงที่กรุงเทพฯ เพื่อขอคำแนะนำเบื้องต้น แต่เนื่องจากผู้จัดที่กรุงเทพฯ ก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมงาน การพูดคุยจึงไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายทั้งสองต้องคลำทางกันเอง

กิจกรรมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างครั้งแรกเมื่อมีการเปิดเพจเฟซบุ๊ก วิ่ง ไล่ ลุง เชียงราย ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ในวันที่เปิดเพจ เปรี้ยวและบอยประชาสัมพันธ์จุดรวมพลและระยะทางวิ่งไว้ด้วย โดยนัดรวมพลที่ลานรูปปั้นรัชกาลที่ 5 ใกล้ศาลากลางเก่า (ตึกเหลือง) พร้อมทั้งกำหนดเวลาจัดกิจกรรมตั้งแต่เวลา 16:00-18:00 น. สำหรับคนที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมนี้เปรี้ยวระบุว่าทางผู้จัดต้องการจัดเป็นงานวิ่งแบบจริงจัง ผู้เข้าร่วมจึงต้องลงทะเบียนออนไลน์ตามช่องทางที่เปิดไว้ สำหรับ Bib หรือหมายเลขวิ่งนั้น เนื่องจากพวกเขามีงบประมาณจำกัดจึงทำได้เพียง 1,000 อันเท่านั้น คนที่อยากได้จึงต้องแข่งกันลงทะเบียน

เปรี้ยวและบอยเล่าต่อว่า หลังจากเริ่มเปิดเพจเฟซบุ๊ก เขาได้รับทราบจากคนรู้จักว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในจังหวัดพยายามติดตามหาตัวว่าใครเป็นคนจัดกิจกรรม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พุ่งเป้าไปยังคนที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ก็คว้าน้ำเหลวเพราะผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นคนหน้าใหม่ที่เจ้าหน้าที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อน

 

วิ่งไล่ลุง เผือกร้อนที่ไม่มีใครอยากรับ

กิจกรรมวิ่งไล่ลุง ถูกมองจากคนที่ไม่เห็นด้วยและขั้วตรงข้ามทางการเมืองว่า เป็นกิจกรรมที่พรรคการเมืองหนุนหลังเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ เปรี้ยวและบอยซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งจึงตัดสินใจยังไม่เปิดเผยตัวในฐานะผู้จัดงาน เพราะทั้งสองกังวลว่าจะเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเอาไปเชื่อมโยงกับพรรคทั้งที่กิจกรรมนี้พวกเขาจัดกันเอง ในการไปติดต่อยื่นเอกสารจัดงานครั้งแรกในวันที่ 6 มกราคม 2563 เปรี้ยวและบอยจึงขอให้น้องที่รู้จักกัน 5 คน ไปพบตำรวจที่ สภ.เชียงรายเพื่อแจ้งขอใช้สถานที่จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง

เปรี้ยวและบอยนัดทั้งห้าพบที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งใกล้สถานีตำรวจเพื่อพูดคุยและมอบเอกสารให้ไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ เปรี้ยวระบุว่าที่ร้านกาแฟ เธอเห็นคนแปลกหน้ามาถ่ายภาพเธอกับน้องๆ เปรี้ยวแปลกใจว่าเหตุใดจึงมีคนมารอถ่ายรูปทั้งๆ ที่พวกเธอยังไม่ได้แสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นคนจัดกิจกรรม

เมื่อน้องๆ ทั้ง 5 คนเข้าไปยื่นเอกสาร ตำรวจยังไม่รับเรื่องทันที แต่พาพวกเขาไปสอบถามในห้องสอบสวนทีละคนว่าเป็นใครมาจากไหน ที่บ้านทำอะไร นอกจากสอบถามข้อมูลส่วนตัวแล้ว ตำรวจยังพยายามเค้นด้วยว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงมีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหรือมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เอางบประมาณมาจากไหน บัญชีที่ใช้รับเงินจากคนที่สั่งซื้อเสื้อเป็นของใคร ไปสั่งทำเสื้อที่ร้านไหน ราคาเท่าไร นอกจากทั้ง 5 คนแล้วมีใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมนี้อีก น้องๆ ทุกคนที่เข้าไปยื่นเอกสารต่างถูกตำรวจขอถ่ายภาพและถ่ายเอกสารบัตรประชาชนไว้ทั้งหมด

การพูดคุยระหว่างตำรวจกับน้องๆ กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยการยื่นเอกสารครั้งนี้ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเพราะตำรวจได้แต่เก็บข้อมูลจากคนที่ไปยื่นเอกสารอย่างละเอียดฝ่ายเดียว แต่ไม่ให้คำตอบใดๆ เกี่ยวกับการใช้สถานที่ โดยอ้างว่า “นายไม่อยู่” แต่ก็ยอมลงชื่อและลงวันที่รับเอกสาร

ตำรวจยังแนะนำด้วยว่า เนื่องจากกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมวิ่งพวกเขาน่าจะไม่ต้องติดต่อตำรวจ แต่น่าจะไปคุยกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงรายแทน

ประมาณวันที่ 10 มกราคม 2563 เปรี้ยวและบอยทำตามคำแนะของตำรวจด้วยการไปติดต่อกับทางสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาฯ ซึ่งในจังหวัดเชียงรายมีสำนักงานอยู่ 2 แห่ง ครั้งแรกขอให้รุ่นน้องชื่อเอม ที่เป็นอาสาสมัครประสานงานกิจกรรมไปติดต่อแต่ก็ได้รับคำตอบว่าสำนักงานที่ดูแลเรื่องกีฬาเป็นอีกสำนักงานหนึ่ง เปรี้ยวจึงไปติดต่อยื่นเอกสารกับสำนักงานอีกแห่ง

“จะวิ่งไล่ลุง วิ่งซักร้อยหรือสองร้อยกิโลดี”
“พี่รับหนังสือไม่ได้เพราะผู้ว่าฯ ไม่โอเค”
เจ้าหน้าที่กล่าว

เปรี้ยวได้แต่คิดในใจว่า ผู้ว่าฯ ไม่โอเคแล้วอย่างไร เธอในฐานะประชาชนควรทำอย่างไร เปรี้ยวบอกด้วยว่าคำตอบของเจ้าหน้าทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนรังแก เธอจึงออกมาเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถคุยต่อได้และขอให้บอยเข้าไปแทน เมื่อบอยเข้าไปก็ได้รับคำตอบเดิมว่าไม่สามารถรับเรื่องไว้ได้ ทั้งสองจึงทำเพียงทิ้งหนังสือไว้

 

ติดตามใกล้ชิดอาสาสมัครผู้ประสานงาน

หลังเข้าไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ “เอม” รุ่นน้องคนหนึ่งที่มาช่วยประสานและให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ในเอกสารที่ยื่นต่อตำรวจเริ่มได้รับโทรศัพท์จากบุคคลแปลกหน้า

7 มกราคม 2563 เอมได้รับโทรศัพท์ตามตัวไปพบผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงรายเพื่อ “กินกาแฟ” ในช่วงเช้า เอมไปตามนัดเพราะต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่รอจนถึงเที่ยงก็ไม่ได้พบใคร เมื่อสอบถามตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ที่สถานีก็ได้ความว่าผู้กำกับติดประชุม เอมจึงเดินทางกลับบ้าน ช่วงบ่ายวันเดียวกันเอมถูกตามตัวอีกครั้งให้ไปที่สถานีตำรวจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครออกมาคุยด้วย

ระหว่างวันที่ 8 – 10 มกราคม เอมถูกตามตัวไปกินกาแฟกับผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงราย 2 ครั้งและรองผู้กำกับอีก 1 ครั้ง การพูดคุยทั้ง 3 ครั้งไม่มีข้อสรุปใดๆ ทั้งผู้กำกับและรองผู้กำกับพยายามหว่านล้อมให้เอมเลื่อนงานวิ่งไล่ลุงออกไปก่อนโดยให้เหตุผลว่าในวันที่ 12 มกราคมจะมีขบวนเสด็จในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเส้นทางวิ่งอาจไปทับเส้นทางขบวนเสด็จ

ในประเด็นนี้เปรี้ยวระบุว่า ตามเอกสารที่พวกเขาทำส่งตำรวจ มีการวางเส้นทางวิ่งไว้ถึง 5 เส้นทางโดยมีจุดเริ่มต้นคือลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ซึ่งตำรวจน่าจะสามารถเลือกเส้นทางที่ไม่กระทบขบวนเสด็จได้ ขณะที่บอยระบุว่า เท่าที่เขาเห็นกำหนดการในวันที่ 12 มกราคม ไม่มีกำหนดการเสด็จ

เปรี้ยวให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า กรณีของเอม ตำรวจไม่เพียงตามตัวเขาไปกินกาแฟเท่านั้น แต่ยังมีการติดตามรูปแบบอื่นด้วย

ช่วงประมาณวันที่ 8 – 9 มกราคม ระหว่างที่เอมกำลังเรียนอยู่ มีอาจารย์คนหนึ่งเดินมาหาที่ห้องเรียนเรียกชื่อของเอม เมื่อเอมแสดงตัวอาจารย์คนนั้นก็ถ่ายรูปแล้วเดินออกไป

อีกครั้งหนึ่ง พี่คนหนึ่งซึ่งทำงานในบริษัทที่เอมไปสมัครฝึกงานบอกกับเอมว่ามีตำรวจมาถามหา โดยเอมยืนยันกับเปรี้ยวว่าไม่เคยให้ข้อมูลกับตำรวจเรื่องสถานที่ฝึกงาน เปรี้ยวจึงตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลชุดนี้ตำรวจน่าจะไปหามาในทางลับ

 

ตร.งัดสารพัดเทคนิคตีกรอบกิจกรรม ผู้จัดยอมย้ายไปวิ่งในสวน

เปรี้ยวเล่าต่อว่าหลังตำรวจไปติดตามตัวเอม ตำรวจก็เริ่มโทรมาหาเธอ โดยเบอร์โทรศัพท์ของเปรี้ยวปรากฏอยู่ในเอกสารที่ยื่นต่อตำรวจด้วย แต่กว่าที่เธอจะได้พบกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นวันที่ 11 มกราคมแล้ว เปรี้ยวเล่าว่า พวกเธอไปยื่นเอกสารกับตำรวจตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ เกี่ยวกับการใช้สถานที่ จากนั้นในวันที่ 10 มกราคม เพจตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายก็โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกิจกรรม วิ่งไล่ลุง เชียงราย ซึ่งพอสรุปได้ว่า

ในวันที่ 9 มกราคม เวลาประมาณ 14.00 น. มีตัวแทนผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย เพื่อขอใช้สถานที่จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในพื้นที่ ทาง สภ.เมืองเชียงรายตรวจสอบข้อมูลพบว่าพื้นที่และเส้นทางที่จะขอใช้จัดกิจกรรมเป็นเส้นทางในการเสด็จพระราชดำเนิน และ สภ.เมืองเชียงรายก็ไม่มีอำนาจพิจารณาให้ใช้หรือไม่ให้ใช้พื้นที่ จึงไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรม และห้ามไม่ให้ใช้พื้นผิวการจราจรในเส้นทางดังกล่าวด้วย โดยตัวแทนผู้จัดกิจกรรมรับทราบและเข้าใจอย่างดีแล้ว

นอกจากนั้นในส่วนของกิจกรรมงานวิ่ง 1st D.S. Run For Health 2020th ที่มีการขอความอนุเคราะห์จาก สภ.เมืองเชียงรายกำหนดจัดงานในวันเดียวกัน ทาง สภ.เมืองเชียงรายก็ขอความร่วมมือให้เลื่อนการจัดกิจกรรมออกไปก่อนด้วยเหตุผลและความจำเป็นเดียวกัน ทางโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ผู้จัดงานก็ให้ความร่วมมือด้วยดีโดยเลื่อนการจัดออกไปเป็นวันที่ 26 มกราคม 63

เปรี้ยวระบุว่าข้อความข้างต้นมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง เพราะรุ่นน้องของเธอ 5 คนไปหาตำรวจตั้งแต่วันที่ 6 แล้วแต่ไม่เจอผู้กำกับ ส่วนวันที่ 7 เอมไปรอพบผู้กำกับที่สถานีแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พบ ส่วนที่บอกว่าก่อนหน้านี้เอมไปพูดคุยกับผู้กำกับ 3 ครั้งก็เป็นการพูดคุยข้างนอก ไม่ใช่เป็นการไปพบเจ้าหน้าที่ที่สถานี

เปรี้ยวเล่าต่อว่าเธอมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่แบบเจอตัวเพียง 1 ครั้งในวันที่ 11 มกราคม แต่ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ประมาณวันที่ 8-9 มกราคมก็มีตำรวจโทรศัพท์มาหาเป็นระยะ พูดจาแสดงความกังวลทำนองว่า จัดกิจกรรมแบบนี้ หากประชาชนลงไปวิ่งบนถนนตำรวจสามารถสั่งปรับได้ทุกคน ผู้จัดจะสามารถชำระค่าปรับให้ทุกคนได้หรือไม่ และถามทำนองว่าหากไปทำกิจกรรมในที่เปิดแล้วมีผู้ไม่หวังดีขว้างปาระเบิดเข้ามาเธอจะสามารถรับผิดชอบชีวิตคนที่มาร่วมกิจกรรมได้หรือไม่

“เค้ารู้ว่าหนูกลัวเรื่องความรุนแรง ก็เลยเอาเรื่องแบบนี้มาขู่ หนูก็ไม่เคยจัดอะไรแบบนี้มาก่อน ฟังแล้วก็กลัวเหมือนกัน” เปรี้ยวกล่าว

วันที่ 11 มกราคม เปรี้ยวรู้สึกร้อนใจเพราะใกล้ถึงเวลาจัดงานแต่ยังไม่มีความคืบหน้าหรือความชัดเจนใด เธอจึงตัดสินใจโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตอนประมาณ 2 ทุ่มเพื่อขอความชัดเจน รองผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงรายจึงนัดหมายให้เธอไปพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเวลาประมาณ 22.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เธอสามารถจะไปได้ เบื้องต้นรองผู้กำกับบอกว่าจะมาคุยกับเธอเพียงลำพังแต่หลังนั่งคุยไปประมาณ 10 นาทีก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกนายหนึ่งตามมาสมทบ

เปรี้ยวพยายามขอความชัดเจนจากทางตำรวจเพราะวันรุ่งขึ้นก็จะต้องจัดกิจกรรมแล้ว แต่รองผู้กำกับพยายามโน้มน้าวให้เปรี้ยวยอมย้ายสถานที่จัดกิจกรรม ท้ายที่สุดเปรี้ยวก็ยอมตกลงที่จะย้ายสถานที่จัดงานจากเดิมที่ตั้งใจจะรวมตัวที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 แล้ววิ่งไปตามถนน เปลี่ยนเป็นวิ่งในสวนสาธารณะหาดเชียงราย

เปรี้ยวระบุว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัย เรื่องมือที่สาม ยังคงเป็นประเด็นหลักที่ตำรวจหยิบยกมาหว่านล้อมให้ทางผู้จัดยอมย้ายสถานที่ หลังจากผู้จัดงานยอมย้ายสถานที่ ทางตำรวจก็แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ 40 นายไปที่งานเพื่อดูแลความเรียบร้อย

การพูดคุยที่ร้านอาหารกินเวลาเกือบตี 3 เปรี้ยวจึงขอตัวกลับ ก่อนกลับตำรวจยังแนะนำให้ทางผู้จัดออกแถลงการณ์เหมือนกรณีของฟอร์ด เส้นทางสีแดง เพื่อประกาศรูปแบบและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมต่อสาธารณชนให้ชัดเจนเพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีมาแอบอ้างหรือปลุกระดมระหว่างกิจกรรม ซึ่งเปรี้ยวก็เห็นด้วย

เมื่อกลับไปที่บ้านเธอและเอมซึ่งเพิ่งไปพบตำรวจมาก็ไม่ได้นอนเพราะต้องลงมือร่างแถลงการณ์ออกเผยแพร่ในเวลาประมาณ 3.00 น. ของวันที่ 12 มกราคม 2563 ซึ่งพอสรุปได้ว่า

เพื่อให้สามารถจัดกิจกรรมได้ ทางกลุ่มตัดสินใจย้ายสถานที่จัดงานเป็นสวนสาธารณะหาดเชียงรายเพื่อไม่ให้กระทบขบวนเสด็จ หรือกีดขวางการจราจร สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทางผู้จัดขอความร่วมมือ ห้ามใช้เครื่องเสียงหรือข้อความปลุกระดมทางการเมือง กิจกรรมครั้งนี้เป็นการวิ่งเพื่อแสดงจุดยืนเท่านั้น โดยหากมีการกระทำที่ผิดกฎหมายทางผู้จัดจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ระงับเหตุ และเนื่องจากทางผู้จัดประกาศย้ายสถานที่จัดงานแล้วหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่สถานที่จัดงานเดิม ถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้จัด

 

คุมเข้มกิจกรรม จำกัดการใช้เครื่องขยายเสียง

12 มกราคมเป็นวันงาน เปรี้ยวกับบอยและทีมงานไปถึงสถานที่สวนสาธารณะหาดเชียงรายตั้งแต่ช่วงเที่ยงเพื่อเตรียมงาน เมื่อไปถึงก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมารออยู่แล้ว

บอยเล่าว่ามีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมนี้ประมาณ 2,000 กว่าคน เขามาทราบภายหลังว่ามีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 500 คนที่ไม่ทราบข่าวการย้ายสถานที่แล้วไปสถานที่จัดงานเดิม ทำให้ตามมาที่สถานที่จัดงานใหม่ไม่ทัน บอยประเมินว่าในวันงานน่าจะมีคนมาร่วมงานประมาณ 1,800 – 2,000 คน

สำหรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในวันงาน เปรี้ยวเล่าว่ามีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ 2 คนมานั่งกับเธอบริเวณจุดลงทะเบียน บางทีก็ขอดูรายชื่อคนลงทะเบียนซึ่งเปรี้ยวปฏิเสธไป

บุคคลที่น่าจะเป็นสายข่าวถ่ายภาพกิจกรรมวิ่งไล่ลุงเชียงราย (ภาพจากผู้จัด)

เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบบางคนยังขอริบบิ้นรัดข้อมือที่มีไว้แจกช่างภาพด้วยซึ่งเปรี้ยวก็ให้ไป เปรี้ยวเล่าแบบติดตลกด้วยว่า ตำรวจคนหนึ่งพูดกับเธอตอนมาขอริบบิ้นว่าเขามีกล้องถ่ายรูปแบบมืออาชีพ เมื่อเสร็จงานจะแบ่งรูปบางส่วนมาให้ แต่ปรากฏว่าเมื่อเธอส่งข้อความไปขอรูปตำรวจคนดังกล่าว เขาส่งภาพถ่ายมา 4-5 ภาพ เป็นภาพขณะที่เธอกับบอยและรุ่นน้องอีก 3 คนยืนอ่านแถลงการณ์เท่านั้น

เปรี้ยวเล่าต่อว่าเมื่อมีประชาชนที่มาร่วมงานนำเครื่องเสียงเข้ามาในพื้นที่ ตำรวจก็บอกให้เธอรีบวิ่งไปแจ้งกับประชาชนคนนั้นว่าตำรวจขอให้งดใช้เครื่องเสียง บอยเสริมขึ้นว่าดูเหมือนตำรวจจะกลัวเรื่องเครื่องเสียงมาก แม้เขาจะยืนยันกับตำรวจอย่างหนักแน่นว่ากิจกรรมในวันนี้จะไม่มีการปราศรัย

บอยระบุว่าเนื่องจากมีคนเข้าร่วมหลักพัน การสื่อสารกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่ใช้เครื่องเสียงจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ดี เขาสามารถใช้เครื่องเสียงสื่อสารเรื่องการจัดการต่างๆ ได้ แต่ทำได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เช่น ประกาศให้มารับถุงขยะและแจ้งจุดที่มีห้องน้ำบริการ เพราะมีตำรวจคนหนึ่งมาบอกว่า “หมดโควตา” ใช้ลำโพงแล้ว เขาจึงต้องใช้เสียงของตัวเองสื่อสารกับผู้ร่วมกิจกรรมเกือบสองพันคน รวมทั้งตอนอ่านแถลงการณ์ก่อนเริ่มปล่อยตัววิ่ง

หลังกิจกรรมยุติลงด้วยความเรียบร้อยก่อนเวลา 18.00 น. เปรี้ยวเข้าไปพูดคุยกับรองผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงรายคนเดียวกันกับที่พูดคุยกับเธอถึงตีสามว่า กิจกรรมเรียบร้อยดีหรือไม่ซึ่งรองผู้กำกับคนดังกล่าวก็ตอบว่างานเรียบร้อยดีและไม่น่ามีปัญหาอะไร 

 

“สู้เพื่อวางบรรทัดฐาน” การตัดสินใจหลังได้รับหมายเรียก

หลังกิจกรรมผ่านพ้นไปบอยกับเปรี้ยวใช้ชีวิตตามปกติ แต่เปรี้ยวก็ยังได้รับการติดต่อจากรองผู้กำกับคนเดิมอยู่เป็นระยะ ครั้งหนึ่งเมื่อเพจวิ่งไล่ลุง เชียงราย แชร์ข่าวป้ายพิพิธภัณฑ์บ้านพักจอมพล. ป. หาย รองผู้กำกับก็โทรมาสอบถามเปรี้ยวว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับอะไรและได้ข้อมูลมาจากไหน หลังจากนั้นในช่วงปลายเดือนรองผู้กำกับคนเดิมก็โทรมาหาเปรี้ยวอีกครั้งแล้วถามว่า “ได้รับหมายหรือยัง”

ทันทีที่ทราบว่าตัวเองถูกดำเนินคดี เปรี้ยวระบุว่าเธอรู้สึกแปลกใจและไม่เข้าใจเพราะตัวรองผู้กำกับเองก็บอกว่ากิจกรรมเรียบร้อยดี และทางผู้จัดก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง แต่กลับมีหมายเรียกตามหลังมา ขณะที่บอยบอกว่าสำหรับเขาแล้วไม่แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าการทำกิจกรรมลักษณะนี้มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่คดีความ

เมื่อเปรี้ยวสอบถามไปยังรองผู้กำกับว่า เหตุใดจึงมีการดำเนินคดีก็ได้รับคำตอบว่า เพราะตอนเริ่มกิจกรรมทางผู้จัดมีการอ่านแถลงการณ์ที่มีคำว่า “การเมืองสร้างสรรค์” และคำว่า “ลุงออกไป” ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อเรียกร้อง กิจกรรมจึงเข้าข่ายเป็นการชุมนุม เมื่อทางผู้จัดไม่แจ้งการชุมนุมก็ถือเป็นความผิด

นอกจากเปรี้ยวและบอยยังมีรุ่นน้องถูกออกหมายเรียกอีก 3 คน คนหนึ่งคือเอมซึ่งเป็นคนที่คอยช่วยประสานงาน แต่อีก 2 คนเป็นรุ่นน้องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมใดๆ เพียงแต่ทั้งสองบังเอิญยืนอยู่แถวหน้าระหว่างที่มีการอ่านแถลงการณ์ เปรี้ยวเล่าย้อนไปอีกว่า คนที่ถูกออกหมายเรียกทั้งหมดเป็นคนที่ยืนอยู่แถวหน้าในรูปถ่ายที่ตำรวจส่งกลับมาให้เธอนั่นเอง

บรรยากาศขณะอ่านแถลงการณ์ก่อนปล่อยตัววิ่ง 12 มกราคม 2563 (ภาพจากผู้จัด)

บอยระบุว่า สำหรับตัวเขาการถูกออกหมายเรียกไม่ใช่เรื่องเกินคาดและเขาก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร ตอนแรกเขาเองก็เป็นห่วงน้องๆ ที่ถูกดำเนินคดีด้วย แต่ปรากฏว่าน้องๆ ทั้งสามคนยังมีกำลังใจดีและพร้อมสู้คดี

ขณะที่เปรี้ยวระบุว่ามีตำรวจติดต่อมาว่าให้จ่ายค่าปรับแล้วจบเรื่องเงียบๆ ไม่ต้องออกสื่อ ตอนแรกเธอก็คุยกับบอยว่าจะเลือกทางนี้ดีไหมเพราะเป็นห่วงน้องๆ ที่ถูกดำเนินคดีด้วย แต่เมื่อทั้งสามมีกำลังใจดีและอยากสู้คดี รวมทั้งครอบครัวของทั้งสามก็ให้การสนับสนุน เธอกับเพื่อนๆ ทั้งห้าคนจึงตัดสินใจว่าจะสู้คดีให้ถึงที่สุด

“เราอยากสู้เพื่อวางบรรทัดฐานบางอย่าง ถึงสุดท้ายศาลอาจจะสั่งปรับเงินแต่อย่างน้อยเราก็ได้สู้คดี ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเราแล้ว” บอยกล่าว


หมายเหตุ ภาพ thumb จากเพจ วิ่ง ไล่ ลุง เชียงราย