“ไม่อยากจับแต่นายสั่งมา” เหตุการณ์รวบกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี ระหว่าง Car Mob

1 สิงหาคม 2564 สมบัติ บุญงามอนงค์หรือ บก.ลายจุด นัดหมายประชาชนทำกิจกรรม #CarMob บนถนนวิภาวดีรังสิต ในเวลา 13.00 น. กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนในหลายๆ จังหวัด เท่าที่มีข้อมูลมีประชาชนจาก 40 จังหวัด นัดหมายทำกิจกรรม CarMob รวม 48 จุด นอกจากนั้น ประชาชนที่จัดกิจกรรมในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพ เช่น นนทบุรี นครปฐม และปทุมธานี ยังวางแผนนำขบวนมาร่วมสมทบกับขบวนที่ถนนวิภาวดีด้วย
 
เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจของกลุ่มในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ประกาศจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ โดยจะรวมตัวในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 น. ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สะพานพระนั่งเกล้า จากนั้นจะเคลื่อนตัวไปที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ กระทรวงสาธารณสุข ท่าน้ำนนท์ กรมราชทัณฑ์ ศูนย์ราชการนนทบุรี ก่อนจะเข้าไปร่วมกับขบวนหลักที่ถนนวิภาวดี 
 
อย่างไรก็ตามเมื่อขบวนเคลื่อนมาถึงบริเวณหน้าศูนย์ราชการนนทบุรี ตรงข้ามสภ.รัตนาธิเบศร์ ปรากฎว่าขบวน CarMob นนทบุรีถูกสกัดและมีประชาชนถูกควบคุมตัวไปเบื้องต้นเก้าคน หลังจากมีการตั้งข้อกล่าวหากับผู้ร่วมกิจกรรมรวมเจ็ดคน ทั้งหมดถูกส่งตัวไปทำการสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาคหนึ่ง (ตชด.ภาค1) ปทุมธานี แต่ภายหลังเมื่อมีประชาชนไปชุมนุมที่หน้าตชด. เจ้าหน้าที่ก็เพียงแต่พิมพ์ลายนิ้วมือและปล่อยผู้ต้องหาทั้งหมดกลับโดยนัดมาสอบปากคำที่สภ.รัตนาธิเบศร์ในวันที่ 4 สิงหาคม 2564   
กีตาร์ ประธานเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี หนึ่งในผู้ถูกจับกุมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทางกลุ่มประชาสัมพันธ์กิจกรรมบนเฟซบุ๊กตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 31 กรกฎาคม มีการชี้แจงเส้นทางและเวลานัดหมายชัดเจน โดยทางกลุ่มไม่ได้ประกาศว่าจะปักหลักปราศรัยสถานที่ใดที่หนึ่งแต่อย่างใด จะเคลื่อนขบวนไปร่วมกับคาร์ม็อบที่วิภาวดีเท่านั้น โดยเมื่อถึงเวลานัดหมายมีรถมาร่วมในขบวนประมาณ 30 คัน มีรถเครื่องเสียงสีส้มนำหน้า ในเวลาประมาณเที่ยงเมื่อขบวนคาร์ม็อบนนทบุรีเคลื่อนตัวมาถึงหน้าศูนย์ราชการนนทบุรีก็พบว่า มีการตั้งจุดสกัด เจ้าหน้าที่ทำการยึดเครื่องเสียงของพวกเขาและมีผู้ชุมนุมทั้งหมดเก้าคนทุกควบคุมตัว

นาทีจับตัว โดยไม่รู้ว่าผิดอะไร

“ประมาณเที่ยงขบวนของเราถึงศูนย์ราชการนนทบุรี จริงๆก็ยังไม่ถึงดี มีรถขนผู้ต้องหาคันใหญ่ของเจ้าหน้าที่จอดขวางถนนคู่ขนานที่เป็นถนนสองเลนส์ด้านหน้าศูนย์ราชการ รถผู้ต้องขังจอดขวางเลนศ์ซ้ายแล้วบังคับให้เดินรถเลนส์ขวาช่องทางเดียว พอรถเครื่องเสียงสีส้มของเรามาถึงก็ต้องจอดเพราะรถคันใหญ่ขับผ่านได้ยาก รถถูกเรียกให้จอดแล้วตำรวจสามคนก็ขึ้นไปบนรถ”
กีตาร์ระบุว่า ตัวเขาไม่ได้อยู่บนรถเครื่องเสียง เขาเพียงแต่ขับรถยนต์ตามขบวนและอยู่ห่างจากรถเครื่องเสียงไปประมาณ  2 คันรถ แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทำท่าจะปัดอุปกรณ์จากมือของรุ่นน้องทีมงานคนหนึ่งที่กำลังถ่ายทอดสดกิจกรรมเขาก็รีบวิ่งขึ้นไปบนรถเครื่องเสียงทันที
“ผมวิ่งขึ้นไปบนรถพยายามเอาตัวไปขวางระหว่างรุ่นน้องกับตำรวจก็โดนจับแล้ว ตำรวจเอามือกดคอผมไปติดกับผนังรถแบบที่เห็นในภาพข่าว ตำรวจตะโกนถามผมว่ามึงทำอะไร ผมก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วตำรวจบอกผมให้ลงจากรถ ผมก็บอกว่าจะลงได้ไงพี่กดผมอยู่ เขาก็เลยกันตัวผมลงจากรถ จากนั้นก็มีตำรวจแต่งชุดคฝ. (ควบคุมฝูงชน) เข้ามาจับผม ผมก็ได้แต่ตะโกนถามเขาว่าพี่จับผมข้อหาอะไร 
ถามซ้ำๆ หลายรอบเขาก็ไม่ตอบ ผมก็บอกว่าจะจับก็ได้แต่แจ้งข้อหามาก่อนผมจะได้รู้เขาก็ไม่บอก ผมก็บอกว่างั้นผมขอไปที่รถไปเอาโทรศัพท์เอากระเป๋าตังก่อนเขาก็ไม่ยอมให้ผมไป ผมเป็นคนตัวใหญ่ คฝ.ที่คุมตัวผมเลยเข้ามากันทั้งหมดสี่คน สองคนจับแขนคนละข้างอีกสองคนประกบด้านหลัง แต่ไม่ได้อุ้มตัว ผมเดินไปเองเพราะผมก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนอยู่แล้ว เขาเอาตัวผมไปขึ้นรถคุมผู้ต้องขังตรงนั้น” 
กีตาร์เล่าย้อนกลับไปว่า บนรถเครื่องเสียงมีตำรวจสามคน สองคนแต่งชุดควบคุมฝูงชนสีน้ำเงิน ส่วนอีกคนแต่งชุดสีกากี
“ตำรวจคนที่แต่งควบคุมฝูงชนหนึ่งในสองคนที่ขึ้นมาบนรถและน่าจะเป็นผู้สั่งการทำท่าชี้นิ้วสั่งแล้วก็มีขึ้นมึงขึ้นกูด้วย บอกว่าพวกมึงขึ้นรถไปก่อน แล้วก็สั่งการคนอื่นๆ ว่าจับพวกมันไปให้หมด ส่วนตำรวจแต่งชุดคฝ.คนอื่นๆรวมทั้งคนที่เข้ามาคุมตัวผมถึงจะไม่ได้ขึ้นมึงขึ้นกู พูดว่าขึ้นรถไปก่อนนะครับ แต่ฟังจากน้ำเสียงคิดว่าไม่ใช่น้ำเสียงที่เป็นมิตรแน่ๆ” 
รัตน์ ผู้ร่วมขบวนอีกคนซึ่งอยู่บนรถปราศรัยเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมีการจับกุมตัวว่า ตัวเธอทำธุระส่วนตัวก่อนมาร่วมคาร์ม็อบ จึงไม่ได้ตามขบวนมาแต่แรก แต่เข้ามาร่วมขบวนตอนที่ขบวนมาถึงกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เธอเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องวัคซีนจึงได้ไปขึ้นรถเครื่องเสียงเพื่อปราศรัยวิจารณ์การทำงานและเรียกร้องให้ดูแลประชาชน
“พี่เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์เลยขึ้นไปปราศรัย เรียกร้องให้ดูแลประชาชนโดยเฉพาะเรื่องวัคซีน แล้วก็เชิญชวนประชาชนที่ผ่านไปมาให้มาร่วมคาร์ม็อบแล้วพี่ก็ปราศรัยต่อไปเรื่อยๆ ตั้งใจว่า พอไปถึงหน้าศูนย์ราชการจะลงจากรถเครื่องเสียงกลับไปขึ้นรถเก๋งเตรียมไปร่วมขบวนต่อแล้วก็มาถูกจับ”
 
รัตน์เป็นนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่นนทบุรีมานานและมีประสบการณ์ประสานงานกับตำรวจในพื้นที่มาก่อนระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาเมื่อเจ้าหน้าที่มาประสานงานเธอมักจะเป็นคนเจรจา อะไรที่ยอมได้ก็จะยอมเพื่อลดการเผชิญหน้า
“ตอนอยู่บนรถ ตำรวจบอกว่า ถ้าไม่หยุดใช้เครื่องเสียงจะยึด พี่ก็บอกว่า ได้ จะหยุดใช้ เขาก็พุดต่อว่าให้พวกพี่ลงจากรถไม่งั้นจะยึดเครื่องเสียง แต่สุดท้ายถึงจะยอมลงเขาก็ยึดอยู่ดี พี่เองก็ถูกจับด้วย พี่ลงจากรถเป็นคนสุดท้าย แต่พี่บอกตำรวจว่าจะไม่ขึ้นรถคุมผู้ต้องขังเพราะสภ.มันอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่กับน้องผู้หญิงอีกคนเดินข้ามฝั่งไป มีตำรวจห้าหกคนเดินคุมเชิงตามมาด้วยแล้วก็คอยโบกรถให้พวกเราเดินข้ามถนน”
รัตน์ทราบภายหลังว่า ตำรวจที่แต่งเครื่องแบบควบคุมฝูงชุนและทำท่าทางสั่งการ คือ รองผู้กำกับการ สภ.รัตนาธิเบศร์
เมื่อถามว่าระหว่างการจับกุมมีเหตุวุ่นวายอะไรหรือไม่ กีตาร์ระบุว่าไม่มี เพราะคนที่ถูกจับก็ไม่ได้มีใครขัดขืนแบบเจตนา อาจจะมียื้อบ้างนิดหน่อยตอนที่ขอความชัดเจนว่า ถูกจับเพราะเหตุใด
“ตัวผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ส่วนคนที่มากับคาร์ม็อบที่ขับรถตามเขาก็แค่ลงมาถ่ายรูป ถ่ายไลฟ์ อาจจะมีคนด่าตำรวจบ้างแต่ก็ไม่ได้มีใครเข้ามาขัดขวางอะไร”

รอคอยการตั้งข้อหา

หลังการจับกุม ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกนำตัวไปไว้ที่ห้องประชุมบนชั้นสองของอาคารสภ.รัตนาธิเบศร์ กีตาร์และรัตน์เล่าตรงกันว่า การถูกควบคุมตัวที่นี่น่าจะไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการยื้อเวลา เพราะกว่าตำรวจจะบอกว่าพวกเขาจะจับกุมและดำเนินคดีข้อหาอะไรบ้างก็ล่วงเลยไปราวสี่โมงเย็น ที่น่าสนใจกว่าคือพวกเขาดูเหมือนจะเป็น ‘เผือก’ ที่สภ.รัตนาธิเบศถ์ก็ไม่อยากควบคุมตัวและเมื่อพวกเขาถูกส่งไปที่กองบังคับการตชด.ภาคหนึ่งตำรวจที่นั่นก็ดูจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
“สามสี่ชั่วโมงไม่มีอะไรเลย รออย่างเดียว พอพวกเขาจับตัวพวกผมเสร็จก็พามาไว้ที่ห้องประชุมชั้นสอง ตำรวจก็ไม่ได้ใส่กุญแจมือและไม่ได้ยึดโทรศัพท์ของใคร ทนายความจากศูนย์ทนายฯ (ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน) ก็มาหาพวกเราหลังถูกจับไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีการสอบสวน ตำรวจเข้ามาในห้องที่เราอยู่ในลักษณะเข้าๆ ออกๆ ไม่ได้คุยอะไรกับใคร เรื่องคดีผมเองไม่รู้รายละเอียดอะไรเ พราะทนายจะเป็นคนคุย ผมรู้แค่ว่าที่หน้าห้องประชุมน่าจะมีตำรวจแต่งชุดคฝ.ประมาณสิบคนยืนประจำการอยู่” กีตาร์เล่าถึงบรรยากาศระหว่างอยู่ที่สภ.รัตนาธิเบศร์ 
ขณะที่รัตน์ก็เล่าทำนองเดียวกันว่า “ตอนที่อยู่ที่สภ.รัตนาธิเบศร์ไม่ได้มีการสอบปากคำพวกเรา มีแค่ตำรวจนายหนึ่งที่น่าจะอยู่ฝ่ายสืบมาคุยกับพี่ทำนองว่า พวกเขา(สภ.รัตนาธิเบศร์) ไม่ได้ตั้งใจจะจับ และที่ผ่านมาทางสภ.กับกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อน ซึ่งก็ถูก เพราะที่นี่จะมีนายตำรวจท่านหนึ่งที่เคยประสานงานเจรจากับพี่ อะไรถอยได้ก็ถอย พี่ก็เลยถามเขาไปว่าทำไมไม่มาคุยดีๆ ตำรวจที่มาคุยก็บอกว่า จริงๆทางรัตนาธิเบศร์ตั้งใจแค่จะสกัดชะลอขบวนของพวกเขาไว้ชั่วระยะหนึ่งแล้วจะปล่อยให้ไปต่อ แต่มีทางจังหวัดสั่งมาว่าให้ทำการจับกุมก็เลยต้องจับ”
กีตาร์เล่าต่อว่า พอถึงสี่โมงเย็นตำรวจก็มาแจ้งข้อกล่าวหาพวกเขารวมสามข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามชุมนุมตามพรกฉุกเฉินฯ ข้อหาใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาส่งเสียงดังอื้ออึงในที่สาธารณะ ซึ่งจุดนี้รัตน์ระบุว่า ตัวเธอลงจากรถเครื่องเสียงเป็นคนสุดท้ายแต่มีชื่อถูกดำเนินคดีเป็นอันดับแรกในฐานะแกนนำ
“กลายเป็นว่าพี่มีชื่อถูกดำเนินคดีเป็นคนแรกเลย ตำรวจที่มาคุยกับพี่เค้าก็ถามว่าทำไมถึงไม่ขับเข้าไปที่กรุงเทพเลย ขับเวียนปราศรัยในเมืองนนท์ทำไม พี่ก็ตอบไปว่า ก็ที่เมืองนนท์มันมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ พี่ก็เลยต้องไปบอกกับประชาชนว่ารัฐบาลไม่ดูแลประชาชน ประชาชนก็ต้องออกมาเรียกร้อง แต่เราก็ไม่ได้ปักหลักเปิดเวทีปราศรัย พวกเราให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี อย่างตอนรวมตัวที่ MRT สะพานพระนั่งเกล้า ตำรวจบอกจอดไม่ได้พวกเราก็ไปวนรถรอคนมาร่วมขบวน”
สำหรับตัวกีตาร์ที่ถูกจับตัวมาด้วยที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ก็เพียงแต่เอาเขามากักไว้เฉยๆ เพราะเขาไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
“ตอนแรกในเอกสารมันมีชื่อผมด้วย ตำรวจคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นระดับผู้บังคับบัญชาบอกว่า ผมจะไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเพราะผมไม่ได้อยู่บนรถเครื่องเสียงแต่แรก แต่พอเอาเอกสารแจ้งข้อหามามันมีชื่อผมด้วยก็เลยโวยกลับไป เขาบอกว่ามันมีภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมลงจากรถ ผมก็เลยโต้ไปว่า งั้นมันก็ต้องมีภาพตอนที่ผมขึ้นไปบนรถด้วยเหมือนกัน จำได้ว่าตอนนั้นผมเดือดแล้วมีขึ้นมึงกูไปด้วย”
รัตน์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมตรงจุดนี้ว่าผู้กำกับการสภ.รัตนาธิเบศร์เป็นคนที่แจ้งกับคนที่ถูกจับมารวมเก้าคนว่าคดีนี้ว่ากันไปตามเนื้อผ้า คนที่ไม่อยู่บนรถเครื่องเสียงตั้งแต่แรกจะไม่ดำเนินคดี แต่รองผู้กำกับคนที่เป็นคนสั่งการช่วงการจับกุมจะดำเนินคดีกับกีตาร์ด้วย รัตน์จึงบอกกับทางตำรวจไปว่าทางเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินคดีกับเธอกับพวกรวมเจ็ดคนแล้ว น้อง (กีตาร์) เขาไม่ได้อยู่บนรถ จะเอาชื่อเขาออกไปสักคนหนึ่งคงไม่เป็นไร เมื่อผู้กำกับยอมรองผู้กำกับก็ยอมตามและนำเอกสารไปแก้ไข
ภาพผู้ต้องหา จาก เฟซบุ๊ก เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี

เพราะเพื่อนสู้จึงมีอิสรภาพ

“หลังตำรวจนำเอกสารแจ้งข้อกล่าวหามา ก็บอกกับพี่ว่าจะพาพี่กับคนที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมดไปควบคุมและสอบปากคำที่ตชด. แล้วพรุ่งนี้เช้าจะพาตัวกลับมาทำเรื่องฝากขังและประกันตัว พี่ก็บอกไปว่า งั้นวันนี้ก็สอบให้เสร็จไปเลยจะโต้รุ่งก็ได้แล้วก็ประกันตัวพรุ่งนี้เช้า แต่ตำรวจก็ไม่ยอม พี่กับคนที่ถูกจับทั้งหมดเจ็ดคนถูกพาขึ้นรถผู้ต้องหาไปที่ตชด. แต่ปรากฎว่า พอไปถึงเขาก็ไม่เอาพวกเราลงจากรถ ตอนแรกก็ทำท่าเหมือนจะสอบปากคำเราบนรถนั่น แต่พอสุดท้ายม็อบมาก็มีตำรวจโทรมาหาพี่บอกว่า เปลี่ยนแผน เดี๋ยวปล่อยตัวกลับเลยแล้วนัดมารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมทั้งให้การวันที่ 4 สิงหาแทน จากนั้นตำรวจก็รีบพาเราออกจากรถไปพิมพ์ลายนิ้วมือแล้วก็ปล่อยเราไป”
“พอตำรวจพาตัวคนที่ถูกจับไปที่ตชด.ประชาชนก็ไปชุมนุมที่นั่น ผมได้ยินมาว่าตำรวจตชด. กับตำรวจสภ.คลองหลวงที่รับผิดชอบพื้นที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่คนถูกจับถูกส่งไป เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยแต่กลายเป็นว่าจะต้องถูกพวกเพนกวิ้นไปปราศรัยด่าแทน ส่วนที่รัตนาธิเบศ์ส่งตัวคนที่ถูกจับไปที่ตชด.ฯ ก็เป็นเพราะไม่อยากให้พวกเพนกวิ้นมาปราศรัยด่าที่หน้าสถานี” กีตาร์ระบุ
“พี่เชื่อว่าถ้าไม่มีคนมาชุมนุมที่หน้าตชด.พวกเราก็คงไม่ได้ออกกัน” รัตน์ระบุก่อนปิดท้ายบทสนทนา