ความรู้สึกผู้ค้าขายในพื้นที่แยกดินแดง หลังการสลายการชุมนุมต่อเนื่องหลายวัน

ตั้งแต่วันที่ 7-17 สิงหาคม 2564 เป็นจำนวนกว่า 6 ครั้งแล้วที่เกิดการปะทะกันด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ประทัดและพลุ ระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน กับผู้ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลจำนวนหนึ่ง และเหตุการณ์ก็มักเกิดขึ้นบริเวณแยกดินแดงทางที่จะออกสูาถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อไปยัง “ราบ1” ที่ตั้งของบ้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนกลายเป็น “สมรภูมิ” ที่เป็นภาพจำของจุดปะทะ

ในช่วงครั้งแรกๆ ของเหตุปะทะ เราได้พูดคุยกับเจ้าของร้านค้าที่อยู่ตามทางถนนราชวิถี ใกล้แยกดินแดงถึงผลกระทบและความรู้สึกต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเขาเป็นประชาชนคนไทยที่มีสิทธิมีเสียง แม้ไม่ได้ร่วมการชุมนุมด้วย และไม่ได้มีส่วนร่วมกับการปะทะกับตำรวจด้วย แต่ก็เป็นคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องแบกรับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยไม่มีทางเลือก

๐ สมกิจ ร้านอาหารตามสั่ง วัย 55 ปี 

“ผมก็เปิดประตูเล็กไว้บานนึงแล้วออกมาดู เพราะว่าช่วงแรกเขายิงกันอยู่บริแยกดินแดง แต่วันที่ 7 เขายิงกันมาถึงบริเวณนี้[หน้าร้าน] เพราะเขายิงมาจากบนสะพาน แล้วมันมาไกล”

“ชุดแรกที่เขายิงมาเรายังไม่ทันรู้ เพราะรถมันก็ยังติดอยู่แต่เขาก็ยิงมาก่อน เราก็ล้างหน้า ไม่หายต้องรอสักพักหนึ่ง”

“ก็แสบตา ล้างหน้าล้างอะไร แล้วก็มีกลุ่มน้องๆที่เป็นอาสาพยาบาลเอาน้ำเกลือมาราดๆให้เรา เขาจะมีหน่วยของเขามาจอดตรงนี้พอดี เขาก็เดินไปเดินมา เดินกระจายตัวอยู่ คล้ายๆว่า จุดนี้เป็นจุดที่ใครโดนกระสุนยางก็จะมาปฐมพยาบาล”

“ที่ให้ได้ก็คือน้ำ เพราะเขาต้องการน้ำมาก พอดีเรามีก๊อกอยู่ตรงนี้[หน้าร้าน] เพราะเขาแสบตากันแล้วน้ำมันไม่พอ ก็ให้เขามารองเอา”

“ผมนึกถึงว่ามันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ก็คนเขาเดือดร้อน คนเขาแสบตาหิ้วปีกกันมา”

“เห็นเพื่อนอยู่ร้านทองบอกว่าอยู่ชั้นห้าก็ได้กลิ่น แต่ตอนนั้นเราอยู่ข้างล่างคอยดูเพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะมีฟืนมีไฟ”

“เราก็ค้าขายไม่ได้ แล้วก็ต้องปิดร้านเร็วกว่าทั่วๆ ไปลูกค้าก็น้อยคนก็น้อย”

“ในส่วนของผู้ชุมนุมเขาประกาศให้ยุติแล้วก็ควรจะเลิก ในส่วนของตำรวจบางทีเขายังไม่ทำอะไรก็ยิงก่อนแล้ว ผมก็คิดว่าถ้าไม่ไปยุ่งกับเขาแล้วปล่อยเขาไปตามเรื่องตามราวเดี๋ยวเขาก็กลับ ความคิดส่วนตัวของผมอะนะเท่าที่เห็นจากเด็กๆ เมื่อปีก่อนเขาจะไปไหนก็ตาม พอเขาไปถึงที่ปุ๊บ สามทุ่มเขาก็กลับ พอคุณไปขวางเขามันก็จะเกิดการปะทะ”

“ไม่มีชุมนุมการค้ามันก็แย่อยู่แล้ว เพราะให้ห่ออย่างเดียวห้ามนั่ง แต่พอมีชุมนุมมันทำให้เราต้องรีบปิดร้าน และมันเสี่ยงต่ออันตราย”

๐ประยุทธ์ ร้านอุปกรณ์จักรยานยนต์ วัย 65 ปี

“ผลกระทบคือแก๊สน้ำตาเข้ามาในร้านเลย”

“ก็โดนแก๊สน้ำตา เอาน้ำล้างธรรมดา ผมไม่ได้โดนเต็มๆ ถ้าโดนเต็มๆก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“ตั้งแต่ 5 โมงเลยจนถึงทุ่มหนึ่ง ไม่ได้ค้าขายเลย”

“เขาชุมนุมเพื่อประเทศชาติ แต่ตำรวจมาทำหน้าที่เพื่อเจ้านาย ถ้าเขาสั่งให้ทำผิดก็จะทำหรอ”

“ถ้าคิดว่าผู้ชุมนุมทำผิดกฏหมายเนี่ยนะ หัวหน้าเขาปฏิวัติขึ้นมาก็ผิดกฏหมายไหม ถ้าหัวหน้าเขาปฏิวัติมา แล้วยึดอำนาจมาแล้วผิดกฏหมาย ทำไมถึงไม่ไปจับเขาละ”

“ไม่ควรรุนแรงเพราะมันคุยกันได้ ขอให้เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน ไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนถือกฏหมายแล้วคุณไปยัดเยียดข้อหาให้ผู้ชุมนุมอันนี้มันไม่ถูกต้อง”

๐ พี ร้านผลไม้ วัย 70 ปี

“ขายตรงนี้มาสี่สิบสามปีแล้ว วันนั้นอยู่ทั้งวันจนเขา[ควบคุมฝูงชน] เลยไป”

“วันที่ 7 ผมก็เข้าไปเร็ว เพราะนั่งล้างหน้าตาให้เด็ก ผมเห็นเด็กมันเลยไปแล้วผมก็เก็บสายยาง ผมไม่ได้คิดอะไร สงสารมัน แสบตา แต่ผมไม่เป็นอะไร ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เป็นอะไร กระสุนเต็มหมด ตรงนี้ควันกลบหมดทั้งข้างหน้าข้างหลังผม ควันเข้าตาแสบกันเป็นแถวเลย”

“เราก็คิดว่าเขาก็เป็นคนไทยเหมือนกันทั้งหมด เราก็สงสารทั้งหมด ทั้งตำรวจด้วย เด็กด้วย”

“ทีแรกเขา [ควบคุมฝูงชน] ยิงมาตรงหน้าร้านเรา เราก็เอาตะกร้าผลไม้ไปวางไว้ว่าตรงนี้ร้านขายของ ไปวางข้างหน้าร้านเลย”

“โมโห ยิงอะไรนักหนา นักข่าวมันดึงผมบอกลุงๆ ไม่เอาๆ เดี๋ยวเขายิงมา มันยิงตลอดเวลา ยิงไม่รู้จักจบ ผมก็ยังเอาออกไปวาง โยนออกไปเลย เราต้องการสื่อให้เขารู้ว่าตรงนี้มันเป็นร้านค้าของเรา เราไม่มีเจตนาที่จะไปทำอะไรเลย เราค้าขายทำมาหากินของเรา แต่เด็กเขามาอาศัย คนเขามาอาศัยอยู่ตรงนี้ นักข่าวก็มาหลบตรงนี้จะให้ทำยังไง คุณจะมายิงใส่ร้านผมไม่ได้”

“ข้างหน้ามีแต่เด็กตีกันยาวไปถึงนู่น เด็กจริงๆ ตำรวจมองเห็นหน้าแล้วประมาณยี่สิบกว่า ยี่แปด ยี่เก้า สามสิบกว่านิดหน่อย เราคนแก่เนี่ยเสียใจไหม เสียใจนะ เพราะว่าพวกเราคนแก่จะไม่มีปัญญาห้ามเด็กได้ แต่คนที่จะห้ามเด็กได้คือผู้ใหญ่อย่างท่านนายกคนเดียว”

“เกิดมาอายุ 70 ปีแล้วผมไม่เคยพบเคยเห็นเลยผมสงสารเด็กมาก ผู้ใหญ่คิดยังไงให้เด็กตีกันได้ ผมพูดต่อหน้าตำรวจนั่นแหละ เขาไม่ตอบ เขาก็เฉยๆ”

“ผมไม่แสดงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ผมแสดงถึงคำพูดของเขาเองว่าไม่อยากเป็นนายก เมื่อพูดเองว่าไม่อยากเป็น เขามาไล่ ก็ไปซะก็ แค่นั้น ไม่อยู่คนอื่นเขาก็ทำได้ บ้านเมืองอะ ไม่ได้มีแต่เราคนเดียว”

๐ ป้าร้านขายของทอดวัย 67 ปี

“ป้าไม่โดนแก๊สน้ำตาเพราะมีรถเมล์มาจอดกันไว้ เลยไม่โดน …ป้ากลับไม่ได้ ป้าอยู่ซอยนู้น [ชี้ไปทางป.ป.ส.] แล้วรถมันเต็มเลย คนก็เยอะกลับไม่ได้”

“บนสะพานลอยเต็มไปหมดคนน่ะ แล้วตำรวจก็อยู่ตรงนี้ [ซ้ายมือของร้าน] ถือปืนถืออะไร ยิงอย่าเดียว ยิงแก๊สน้ำตา ยิงปืนอย่างเดียว

“ได้ออกจากบริเวณทุ่มเกือบสองทุ่ม พอเขาไปหมดแล้วถนนว่างๆ ป้าก็รีบเข็นหนีไปก่อน”

“ขายไม่ได้แล้ว มันเละไปหมดแล้วถนนนะ”

“อยากบอกตำรวจนะว่าทำอะไรให้ทำให้เบาๆหน่อย คนเหมือนกัน คนไทยเหมือนกัน เขามาขอร้องแค่ว่าให้นายกลาออกแค่นั้น อย่าไปทำเขาร้ายแรง แล้วพอเขาโต้ตอบก็หาว่าเขาต่อสู้ พวกม็อบต่อสู้อะไรอย่างนี้ ตำรวจเอาแต่ตัวเองรอด ม็อบผิดหมด”

“ตั้งแต่ประยุทธ์เข้ามาอยู่เนี่ยบ้านเมืองไม่สงบเลย มีแต่โทรมลง โทรมลง ไม่มีอะไรเจริญเลย”