“เขาจะเอาเราให้ตายเลยพี่ เขาขู่ผมว่าถ้าไม่หยุดมึงตายนะไอ้อ้วน” เสียงจากแป๊ะ สมรภูมิดินแดง

“ถ้าเรามาเพื่อป่วนเมือง เราคงทุบเละหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของเอกชนหรือของรัฐ แต่ที่ผ่านมาเป้าหมายเราชัดเจนคือสู้กับรัฐเท่านั้นโดยไม่เคยไปแตะต้องทรัพย์สินเอกชน”
“แป๊ะ” สันติภาพ อร่ามศรี

ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 แยกดินแดงถูกขนานนามโดยใครหลายคนว่าเป็นสมรภูมิ พื้นที่ปะทะประลองกำลังระหว่างผู้ชุมนุมต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากับตำรวจชุดคุมฝูงชน บทสรุปของการปะทะเกือบทุกครั้งจบลงด้วยการสลายการชุมนุมโดยตำรวจ เริ่มต้นด้วยการเขย่าเส้นความอดทนของตำรวจด้วยการใช้ประทัดยักษ์ พลุ ระเบิดเพลิง หรือขวดแก้วตามแต่จะหยิบฉวยได้ปาใส่แนวคอนเทนเนอร์ หลายครั้งด้วยแนวสิ่งกีดขวางและระยะห่างของตำรวจก็ยากที่จะทะลุทะลวงอุปกรณ์ป้องกันของฝ่ายรัฐที่มีทั้งโล่ ชุดเกราะ แต่ทุกครั้งจบด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนยางและอุปกรณ์อื่นๆในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่ถูกประเคนคืนกลับมาในฐานะ “การบังคับใช้กฎหมาย”

สมรภูมิดินแดงกลายเป็นพื้นที่อันตรายในสายตาของใครหลายคน แม้แต่คนที่เคยร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์บางส่วนเองก็แสดงความเห็นในลักษณะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของผู้ชุมนุมอิสระที่มักปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่แยกดินแดง บางส่วนให้ความเห็นในลักษณะเป็นห่วงว่าปะทะอย่างไรก็คงสู้เจ้าหน้าที่ที่มีอุปกรณ์ครบมือไม่ได้และอาจถูกตอบโต้จนเกิดความสูญเสีย บางส่วนแสดงความกังวลว่า การใช้วิธีปะทะตรงอาจทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาพใหญ่สูญเสียความชอบธรรม บางส่วนอาจมองว่าผู้ที่เลือกเคลื่อนไหวในแนวทางนี้ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ บางคนถึงขั้นปรามาสว่าพวกเขาเป็นแค่วัยรุ่นที่ไม่มีอนาคตและคิดไม่เป็น ทว่าที่จริงแล้วสมรภูมิดินแดงเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อนกว่านั้น 

ผู้คนที่สมรภูมิดินแดงหลายคนเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับราษฎรมาหลายต่อหลายครั้ง หลายคนเข้าร่วมการต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้พวกเขาจะไม่เคยจับไมค์ขึ้นปราศรัยแต่เสียงก่นด่าที่บ่อยครั้งเป็นคำหยาบคายก็ไม่ใช่แค่การแสดงออกด้วยความคึกคะนอง หากแต่เป็นถ้อยคำที่เปล่งออกมาด้วยความคับแค้นที่อัดแน่นและตกผลึกจากประสบการณ์ชีวิตที่ถูกกดทับด้วยโครงสร้างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำ ดังเช่นเสียงสะท้อนของ “แป๊ะ” สันติภาพ อร่ามศรี  ผู้เคยใช้ช่วงชีวิตวัยเยาว์อยู่ย่านดินแดงก่อนจะย้ายไปทำงานที่จังหวัดสมุทรปราการ 

“แป๊ะ” คือหนึ่งในผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมจากการสลายการชุมนุมในช่วงค่ำวันที่ 22 สิงหาคม 2564 ทว่าค่ำคืนในห้องขังที่เขาพบมิตรภาพจากผู้ชุมนุมที่ประสบชะตากรรมเดียวกันและเป็นเวลาที่เขาต้องทนกับความเจ็บจากกระสุนยางนับสิบนัดที่ถูกกระหน่ำใส่ร่างของเขาที่มีเพียงสองมือเปล่าจากบุคคลที่เรียกตัวเองว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ซึ่ง “แป๊ะ”ระบุว่า หากเขามีโอกาสได้พบกับคนเหล่านั้น เขาก็หวังจะโอภาปราศรัยกับคนกลุ่มนั้น…ด้วยกระสุนยาง

คนเสื้อแดง-เสธ.แดง-เลือดสีแดง

 “แป๊ะ” ชายร่างใหญ่วัยต้น 26 ปี เล่าว่า ตอนที่เขาอายุประมาณ 13 ปี เขาติดสอยหอยตามลุงไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.ในปี 2553 และเป็นประจักษ์พยานในการสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริง ภาพที่พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงกำลังพูดอยู่บนเวทีและล้มลง ซึ่งเขามารู้ภายหลังว่า เสธ.แดงถูกยิงนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเด็กคนนั้นที่เติบโตมาเป็นผู้ชุมนุมทะลุแก๊ซในวันนี้

“ผมจำไม่ได้ว่า ตอนนั้นมันวันที่เท่าไหร่เพราะมันนานมาแล้ว แต่ผมจำได้ว่าตอนนั้นนั่งอยู่ด้านล่างเวทีกับคุณลุง เสธ.แดงกำลังพูดอยู่บนเวทีแล้วอยู่ๆก็ร่วงลงไป จากนั้นก็มีคนเข้าไปมุงแล้วบอกว่าเสธ. แดงถูกยิงจากนั้นก็พาเสธ.แดงลงจากเวทีไป ผมเองไม่ได้อยู่ใกล้มากก็เลยไม่ได้เห็นว่า กระสุนเข้าตรงไหนมีเลือดออกตรงไหน แต่มาเห็นจากภาพข่าวเอาทีหลัง”

“สำหรับผมความทรงจำครั้งนั้นมันยังติดตา พอเริ่มมีอายุมากขึ้น เข้าใจโลกเข้าใจอะไรมากขึ้นผมก็จุกในอกได้แต่ตั้งคำถามว่า เรามากันดีๆ ทำไมต้องใช้กระสุนจริงกับเราขนาดนี้ แล้วรู้สึกก็เจ็บแทนเขา (เสธ.แดง)”

“ช่วงที่เสธ. แดงถูกยิงทหารยังไม่ได้กระชับพื้นที่เข้ามา คุณลุงเห็นว่ามันอันตรายแล้วก็เลยตัดสินใจพาผมออกจากพื้นที่การชุมนุม”

“เหตุการณ์ครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงวันนี้ ถึงแม้ภาพที่เสธแดงถูกยิงเลือดอาบจะเป็นแค่ภาพข่าว แต่การได้เห็นภาพที่อยู่ๆเสธ. แดงล้มลงผมว่ามันก็มากไปแล้วสำหรับเด็ก”

กลับมาม็อบอีกครั้งเพราะรัฐล้มเหลว

หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 “แป๊ะ” ห่างหายจากสนามการเมืองไปนานเพราะไม่มีคนพาไป คุณพ่อคุณแม่ของแป๊ะแม้จะเป็นคนเสื้อแดงและเปิดทีวีช่องเสื้อแดงทั้งวัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ไปร่วมการชุมนุมเพราะต้องทำธุรกิจรับเหมาที่เป็นธุรกิจครอบครัว ขณะที่คุณลุงก็เริ่มอายุมากขึ้นจึงไม่ได้ไปร่วมการชุมนุมประกอบกับช่วงหลังๆก็ไม่ค่อยมีการชุมนุมขนาดใหญ่แบบปี 2553 “แป๊ะ” จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียน จากนั้นจึงกลับมาร่วมชุมนุมอีกครั้งในปี 2563

“ผมเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งบนถนนรัชดาฯ ใกล้ตลาดห้วยขวาง ส่วนม.ปลายย้ายไปเรียนแถวประชาราษฎร์บำเพ็ญ หลังจากที่ไปร่วมการชุมนุมช่วงปี 53 ผมก็ไม่ได้กลับไปร่วมการชุมนุมอีกเพราะคุณลุงที่เคยพาไปอายุมากขึ้นประกอบกับผมต้องเรียนหนังสือและช่วงนั้นก็ไม่ค่อยมีการชุมนุมขนาดใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ถึงจะไม่ได้ไปร่วมชุมนุมแล้วแต่ผมก็ยังตามข่าวอยู่ตลอด บ้านของคุณปู่ที่ผมอาศัยอยู่มีญาติอยู่หลายคน มีทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงปนๆกัน เอาเข้าจริงถ้าชีวิตของผมช่วงนี้จะห่างจากการเมืองก็คงห่างแค่เรื่องการชุมนุมเท่านั้น”

“หลังจบม.6 ผมก็ไม่ได้เรียนต่อแต่ไปช่วยงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของพ่อ พ่อกับแม่ผมทำธุรกิจอยู่ที่สมุทรปราการผมก็เลยต้องย้ายออกจากดินแดงไปอยู่ที่นั่น แต่ผมก็เรียนและก็อาศัยที่ดินแดงประมาณห้าหกปีอยู่นะช่วงที่เรียนชั้นมัธยมแล้วหลังจากนั้นก็ยังไปๆมาๆ ก็ผูกพันกับที่นี่พอสมควร เวลามีการปะทะที่นี่ผมก็รู้สึกแย่นะ แต่เอาจริงๆถ้าตำรวจปล่อยให้พวกเราไปถึงราบหนึ่งก็คงไม่มีการปะทะแล้วผมคิดว่า การปล่อยให้พวกเราไปก็ไม่เสียหายอะไรเพราะอย่างมากเราก็ไปแสดงออกที่หน้าราบหนึ่ง คงไม่ได้บุกเข้าไปในค่ายทหารอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้”

“กลับมาเรื่องธุรกิจของพ่อ พ่อผมเขาทำรับเหมามีคนงานประมาณ 20 คน ผมก็ต้องช่วยเขาทำงานเลยไม่ได้ไปชุมนุมอะไรเลยตั้งแต่ปี 53 จนกระทั่งช่วงปี 63 ตอนที่มีชุมนุมสนามหลวง ผมเพิ่งได้กลับไปร่วมชุมนุมอีกครั้ง”

“ถ้าถามอะไรผลักให้ผมกลับไปร่วมชุมนุม ก็ต้องบอกเลยว่าหลักคือเรื่องเศรษฐกิจ สมัยรัฐบาลเพื่อไทยคิวงานพ่อผมเต็มยาวข้ามปีแต่พอหลังการรัฐประหารงานก็เริ่มขาดเพราะเศรษฐกิจแย่ แล้วยิ่งมาเจอโควิดอีก อย่างตอนนี้ถ้าผมทำงานที่รับเหมาอยู่เสร็จก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่าจะมีงานใหม่ ที่ผ่านมาก็มีบางช่วงที่เราไม่มีงานสามเดือนติด แต่ต้องจ่ายเงินคนงานให้เขาอยู่ได้ก็เป็นแสนอยู่ ผมต้องเรารถไปขายเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงคนงาน”

“รัฐบริหารงานล้มเหลว พวกเราเลยต้องออกมา”

จากสนามหลวงถึงดินแดง จากทะลุฟ้าถึงทะลุแก๊ซ

เดือนกันยายน 2563 เขาร่วมชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร กับแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จากนั้นก็ร่วมชุมนุมกับนักกิจกรรมกลุ่มต่างๆเรื่อยมาเพราะรู็สึกว่าการขับไล่รัฐบาลน่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้อะไรอะไรดีขึ้น 

“หลังไปร่วมชุมนุม 19 กันยา ผมก็ร่วมชุมนุมกับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้มาเป็นระยะ ช่วงปี 63 การต่อสู้มันดูมีความหวัง แกนนำอยู่กันครบ การชุมนุมมีระบบระเบียบ แล้วก็มีคนร่วมเยอะ ผมไปชุมนุมทั้งห้าแยกลาดพร้าว แยกเกษตร สามย่าน การชุมนุมช่วงนั้นที่มีแกนนำ มีการปราศรัยผมคิดว่ามันก็ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง คืออย่างในหมู่ผู้ชุมนุมมันก็มีสายพิราบสายเหยี่ยว การชุมนุมแบบนั้นมันก็ตอบโจทย์สายพิราบอยู่”

“แต่สำหรับผมหลังไปร่วมมาหลายม็อบจนถึงทะลุฟ้ากับทะลุแก๊ซ ผมคิดว่าแนวปะทะแบบทะลุแก๊ซเนี่ยน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วกับสถานการณ์นี้”

“เราสันติกันมาปีกว่าแล้วพี่ นายกฯยังหน้าด้านอยู่ได้แล้วมันจะออกเหรอ แบบสันติอ่ะ ขนาดทะลุแก๊ซออกมาขนาดนี้ยังไม่เห็นหน้าของนายกฯเลย มันต้องมีอะไรตอบโต้บ้าง เราจะโดนยิงอย่างเดียวไม่ได้นะพี่ แล้วการตอบโต้ของเรามันก็ไม่ได้มีอาวุธร้ายแรงอะไรเลย ก็แค่พลุ กับประทัดยักษ์ก็แค่นั้น”

แม้ “แป๊ะ” จะเชื่อว่า การเคลื่อนไหวเน้นปะทะตรงแบบทะลุแก๊ซจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการเคลื่อนไหวในปีนี้ ทว่าตัวเขาเองกลับไม่เคยพกพา “อุปกรณ์เสริมหลักสูตร” ไปร่วมการชุมนุมที่แยกดินแดง

“ผมไม่ถนัดครับใช้ของพวกนี้ ถนัดใช้หมัดมากกว่า ตอนที่เขายิงพลุเราก็คอยซัพพอร์ทข้างหลังเวลา พอคฝ. เข้าประชิดค่อยวิ่งเข้าไปช่วยแนวหน้าออกมา ช่วยไหวก็ช่วยได้ ช่วยไม่ไหวก็เกม ผมเดินทางไกล จะขน(พลุหรือประทัด)ไปก็ไปไม่ถึงหรอก อย่างมากก็แค่หนังสติ๊กครับ”

แม้จะไม่เห็นด้วยในแนวทางแต่แป๊ะยังคงไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มอื่นที่ไม่เผชิญหน้าและมีเป้าหมายเพื่อขับไล่พลเอกประยุทธ์เช่นเดียวกัน อย่างวันที่ 22 สิงหาคม 2564 ที่เขาถูกจับจากแยกดินแดง “แป๊ะ” เองก็ไปร่วมการชุมนุมกับกลุ่มทะลุฟ้าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อน จากนั้นจึงค่อยแวะมาแยกดินแดง

“ผมอาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา แต่ถ้าเป้าหมายเรากับเขาตรงกันคือเอาประยุทธ์ออกไป ผมก็ยินดีสนับสนุนทุกกลุ่ม อย่างวันที่ 22 ผมก็ไปชุมนุมกับทะลุฟ้าก่อน ยังไปเดินพาเหรดกับเขาอยู่เลย”

ตกเป็นเป้าฝ่ายความมั่นคง

ก่อนหน้านี้ “แป๊ะ” แสดงความเห็นทางการเมืองและโพสต์วิจารณ์การเมืองแบบสาธารณะมาระยะหนึ่งแล้วแต่เขาก็เชื่อว่า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเขาน่าจะไม่เคยถูกจับตามาก่อนเพราะตัวเขาเองไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอะไร แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 เมื่อเขาถูกเรียกที่ด่านความมั่นคงในจังหวัดสมุทรปราการเพราะใส่เสื้อต่อต้านรัฐบาลเตรียมไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ได้ทำการถ่ายภาพบัญชีเฟซบุ๊กของเขาไปด้วย 

ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2564 เขานัดรวมตัวกับเพื่อนๆที่อิมพีเรียลสำโรงก่อนขับรถจักรยานยนต์เข้ากรุงเทพฯปรากฎว่า ตำรวจมารอที่หน้าห้างตั้งแต่ก่อนเขาจะมาถึง แนวโน้มการตรวจสอบของตำรวจในสมุทรปราการคือ ไม่ต้องการให้มีการรวมตัวในพื้นที่ หากจะรวมตัวก็ให้ไปรวมตัวกันที่ปลายทางนัดหมายเลย

“จริงๆผมเริ่มมาชุมนุมที่แยกดินแดงตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาแล้วแต่เพิ่งมาถูกจับตอนวันที่ 22 วันที่ 7 ผมเองก็ไม่ได้มีเรื่องของการปะทะอะไรในหัวเลยแค่จะเอาป้ายไปชู แต่สุดท้ายมันก็มีการสลาย หลังจากนั้นผมก็ไปร่วมชุมนุมที่ดินแดงทุกครั้งเท่าที่พอจะไปได้ เวลาไปผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ไป ค่าน้ำมันไปกลับสมุทรปราการ-ดินแดงก็ตกวันละร้อยกว่าบาท”

“ผมมาถูกเจ้าหน้าที่เรียกครั้งแรกในวันที่ 14 สิงหาตอนไปร่วมคาร์ม็อบกะณัฐวุฒิ ที่จังหวัดสมุทรปราการมีการตั้งด่านความมั่นคง วันนั้นผมใส่เสื้อมีข้อความต่อต้านรัฐบาลขี่รถไปก็เลยถูกเรียก”

“เข้าใจว่า ที่เจ้าหน้าที่เขาตรวจเข้มน่าจะเป็นเพราะมีเพจอะไรสักเพจไปนัดรวมตัวในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่ตัวผมตอนนั้นไม่ได้มีเพื่อน ผมไปชุมนุมคนเดียวก็เลยเลยตั้งใจจะขับเข้ากรุงเทพฯไปเลย ทีนี้คงเป็นเพราะเสื้อที่ใส่ผมเลยถูกเรียก จริงๆเจ้าหน้าที่เขาก็พูดดี เขาบอกทำนองว่าจะไปชุมนุมก็ไปได้ แต่ที่นี่บ้านเรา อย่ามาทำลายบ้านที่เราอยู่กันเลยจะนัดอะไรก็ไปนัดกันกรุงเทพ”

“ครั้งนั้นผมถูกรั้งตัวไว้ไม่นานเขาก็ปล่อยผมขี่รถต่อไป แต่ก่อนออกจากด่านก็ถ่ายรูปผม รูปบัตรประชาชนกับป้ายทะเบียน แล้วก็รูปหน้าบัญชีเฟซบุ๊กของผม”

“ผมก็ต้องให้เขาถ่ายแหละพี่ ผมอยู่คนเดียวเขามากันห้าหกคน แล้วไม่ใช่แค่เฟซบุ๊กนะ ได้ยินว่ารุ่นน้องผมถึงขนาดโดนถ่ายหน้าโปรไฟล์ Tiktok กันแล้วก็มี” “แป๊ะ” ตอบเมื่อได้รับคำแนะนำไปว่าจริงๆแล้วเจ้าหน้าที่มีอำนาจดูบัตรประชาชนเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการถ่ายภาพ 

“ทีนี้พอมาถึงวันที่ 22 สิงหา หนึ่งวันก่อนหน้านั้นผมใช้เฟซบุ๊กตัวเองแชร์ข้อมูลจากเพจที่เขานัดหมายคนสมุทรปราการที่จะไปม็อบทะลุฟ้า หลังจากผมแชร์โพสต์นั้นมาก็มีเพื่อนตอบรับและนัดว่าจะไปกับผมอีกสามคน วันนั้นผมก็ใส่เสื้อต่อต้านรัฐบาลไปเหมือนเดิม พอผมขับไปถึงที่อิมพีเรียลสำโรงเท่านั้นแหละเรียบร้อยเลย จอดรถที่หน้าห้างควักบุหรี่ออกมายังไม่ทันจะเปิดแมสก์ก็มีตำรวจทั้งในทั้งนอกเครื่องแบบเข้ามาล้อม”

“คนที่นัดกับผมอีกคนมาถึงที่อิมพีเรียลสำโรงไล่เลี่ยกับผมก็เลยถูกตำรวจดักไว้พร้อมกัน ส่วนอีกสองคนที่ยังมาไม่ถึงผมก็เลยบอกให้เขาล่วงหน้าไปรอที่แยกบางนาก่อนเลย”

“ตำรวจห้าหกนายทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเข้ามาล้อมผม ขอดูบัตรประชาชน แล้วก็ขอถ่ายหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กผมไป ผมกับเพื่อนสองคนถูกล้อมแบบนั้นก็ต้องยอมให้เขาถ่ายไป ผมเดาว่าตำรวจคงเริ่มติดตามเฟซบุ๊กผมหลังถูกถ่ายรูปไปเมื่อวันที่ 14 สิงหาที่ผ่านมา ตอนที่ตำรวจเข้ามาล้อมผมกับเพื่อนอีกคนก็มีคนที่มาห้างเข้ามาถ่ายรูปแต่ก็ไม่มีใครพูดใครช่วยอะไร ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินออกไปกัน” 

“ครั้งนี้ผมถูกกักไว้ที่อิมพีเรียลประมาณชั่วโมงนึง ตำรวจที่มาคุยกับผมก็พูดคล้ายๆกับที่ตำรวจด่านความมั่นคงเมื่อครั้งก่อนคือไม่อยากให้นัดหมายในพื้นที่จังหวัด ให้ไปเจอกันที่แยกคอกวัวเลย แต่จะให้ผมทำไงบ้านผมก็อยู่ที่นี่แล้วไปที่โน่น (คอกวัว) คนก็เยอะจะไปหากันเจอยังไง เราแค่อยากขับไปด้วยกันจะได้ปลอดภัย แต่สุดท้ายตำรวจก็ปล่อยให้ผมกับน้องอีกคนออกจากอิมพีเรียล”

ไม่หยุดมึงตาย

หลังตำรวจปล่อยตัว “แป๊ะ” กับเพื่อนก็ไปร่วมการชุมนุมกับกลุ่มทะลุฟ้า พอกิจกรรมของทะลุฟ้ายุติแป๊ะกับกลุ่มมอเตอร์ไซด์ที่ไปเจอที่สี่แยกคอกวัวประมาณสิบคันก็เดินทางออกจากพื้นที่ ครั้งแรกเขาไม่ได้คิดจะไปร่วมการชุมนุมแยกดินแดง แต่มีคนที่มาด้วยบอกว่าที่ดินแดงจะปะทะแล้ว ช่วยกันไปดูน้องหน่อย “แป๊ะ”กับเพื่อนๆเลยตัดสินใจแวะไปที่ดินแดงก่อน

“ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะไปที่ดินแดงหรอกนะ แต่พอมีคนบอกว่าให้ไปดูน้องๆที่ดินแดงหน่อยพวกเราก็เลยไปกัน พอไปถึงแยกดินแดงผมก็แยกตัวขับย้อนศรขึ้นไปบนทางลงทางด่วนเพื่อคอยสังเกตการณ์เจ้าหน้าที่ ตอนนั้นฟ้าก็ยังไม่ทันมืดดี ผมจอดรถตรงทางด่วนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ทันลงจากรถเลย ผมก็เห็นรถของเจ้าหน้าที่หลายคันกำลังวิ่งลงจากทางด่วน ผมเลยรีบออกรถลงจากทางด่วนเลย แต่ผมเป็นคนตัวใหญ่ เลยออกตัวช้า สุดท้ายก็ไม่ทัน”

“รถตำรวจส่วนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าผมไป แล้วก็มีรถตู้ตำรวจคันหนึ่งวิ่งมาขนานมอเตอร์ไซค์ของผม ประตูรถตู้เปิดออกในนั้นมีตำรวจควบคุมฝูงชนอยู่บนนั้นเต็มรถ มีปืนลูกซองประมาณห้าหกกระบอกเล็งมาที่ผมจากนั้นกระสุนยางก็กระหน่ำยิงใส่ตัวผมตรงแผ่นหลังสีข้างฝั่งขวา ตอนนั้นผมทั้งเจ็บทั้งชาไปหมด พอยิงเสร็จผมก็ได้ยินเสียงตำรวจตะโกนมาว่า ไอ้อ้วนหยุด ไม่หยุดมึงตาย”

“ผมยกมือขวาปล่อยแฮนด์แล้วค่อยๆจอดรถข้างทาง รถตู้ตำรวจคันนั้นจอดแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนหกคนวิ่งเข้ามาหาผมแล้วยิงกระสุนยางใส่หน้าอกผมอีกสามนัดทั้งที่ตอนนั้นผมไม่มีอาวุธ และก็คงหนีไปไหนไม่รอดแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จับผมกดตัวราบกับพื้น แล้วเอาเคเบิลไทร์รัดแขนจากด้านหลัง แต่ด้วยความที่ผมตัวใหญ่เอามือไพล่หลังแล้วมันไม่ถนัด เจ้าหน้าที่เลยถอดเคเบิลไทร์ให้ผมแล้วเอาเคเบิลไทร์มารัดมือด้านหน้าแทน” 

“ผมว่าวันนั้นเขาจับแบบไม่เลือกเลยนะ ระหว่างที่ผมถูกเอาตัวไปที่รถผู้ต้องขังก็เดินผ่านไรเดอร์ส่งอาหารคนหนึ่งที่ขับรถมาส่งอาหารแถวนั้น ไรเดอร์คนนั้นยังมีถุงอาหารในมือแล้วก็ยังไม่ได้กดส่งงานแต่ก็ถูกจับไปด้วย แล้วผมก็มารู้ทีหลังอีกว่ามีพี่วินคนหนึ่งที่พานักข่าวมาส่งแนวหน้า แต่ตอนกำลังจะขี่รถกลับออกไปก็ถูกรวบไปด้วย”

“ผมอยู่บนรถผู้ต้องขังประมาณชั่วโมงเศษ พอคนถูกเอาตัวมาขึ้นรถผู้ต้องขังจนเต็มรถก็ทยอยออกจากจุดจอดตรงแถวศูนย์เบนซ์วิภาวดี แล้วแยกไปสามสน. ผมถูกเอาตัวไปสน.ห้วยขวาง อีกส่วนถูกเอาตัวไปที่สน.ดินแดง ส่วนผู้ชุมนุมเยาวชนถูกเอาตัวไปที่สน.พหลโยธิน พอไปถึงที่สน.ห้วยขวาง เจ้าหน้าที่ก็ทำการตรวจอาวุธคนที่ถูกเอาตัวมาแล้วก็มีการตรวจร่างกายทำแผล ผมเป็นคนเดียวในหมู่คนที่ถูกเอาตัวมาที่สน.ห้วยขวางที่มีแผลจากการถูกยิง ส่วนคนอื่นๆจะมีแผลถลอกการถูกถีบรถมอเตอร์ไซค์ให้ล้ม”

“ผมถูกเอาตัวไปสอบปากคำตอนประมาณเที่ยงคืน ผมให้การปฏิเสธแล้วก็บอกตำรวจว่าจะให้การเป็นเอกสารโดยมีทนายจากศูนย์ทนายฯ [ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน] มาให้ความช่วยเหลือ ตอนอยู่ในห้องขังผมก็ไม่ได้เครียดอะไรเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะมีคนที่ถูกจับจากที่ชุมนุมอยู่ด้วยหลายคนเราเลยเจี๊ยวจ๊าวกันและมีกำลังใจดี พอวันรุ่งขึ้นเราก็ถูกพาตัวไปศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลให้ประกันตัวผมโดยวางเงิน 20,000 บาทซึ่งทนายเป็นคนจัดการเข้าใจว่าคงเป็นเงินกองทุนฯ (กองทุนราษฎรประสงค์) แล้วศาลก็ตั้งเงื่อนไขห้ามชุมนุมก่อนที่ผมจะได้รับการปล่อยตัวไป”

ไม่มีตำรวจ ไม่มีความรุนแรง?

จากนี้ “แป๊ะ” คงต้องแวะเวียนขึ้นโรงขึ้นศาลจากการถูกดำเนินคดีครั้งแรกในชีวิต แต่ถ้าจะมีสิ่งที่เขาตกผลึกจากการถูกยิงและถูกดำเนินคดีในครั้งนี้คงไม่พ้นความอัดอั้นตันใจที่มีต่อตำรวจและผู้มีอำนาจรัฐ

“ถ้ามาเรามาเพื่อป่วนเมือง เราคงทุบเละหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของเอกชนหรือของรัฐ แต่ที่ผ่านมาเป้าหมายเราชัดเจนคือสู้กับรัฐเท่านั้นโดยไม่เคยไปแตะต้องทรัพย์สินเอกชน”

“ผมถามทนายแล้ว เรื่องที่ศาลตั้งเงื่อนไขประกัน จากนี้หากจะมีชุมนุมอีกผมก็ยังจะมาเข้าร่วม” แป๊ะยืนยันว่าเขาจะร่วมการชุมนุมที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ต่อไปแม้ศาลจะตั้งเงื่อนไขห้ามร่วมการชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง 

เมื่อย้อนถามถึงการใช้กำลังตำรวจในวันที่เขาถูกจับกุม “แป๊ะ” เล่าด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิมคล้ายต้องการระบายตะกอนความรู้สึกบางอย่างออกมา 

“ผมคิดว่า วันที่ผมถูกจับ ตำรวจที่ยิงผมไม่ได้แค่ปฏิบัติตามหน้าที่แต่เขามองผมเป็นศัตรู เขาจะเอาเราให้ตายเลยพี่ เขาขู่ผมว่าถ้าไม่หยุดมึงตายนะไอ้อ้วน เขาไม่ได้จะประนีประนอมอะไรเลย ไม่มีบอกเฮ้ย ถ้ามึงไม่หยุดกูยิงนะ นี่คือเปิดประตูมาแล้วยิงก่อนถึงค่อยพูด ขนาดผมจอดรถแล้วก็ชูมือให้ดูแล้วว่าผมไม่มีอะไรเขายังยิงใส่หน้าอกผมอีกสามนัด แบบนี้มันคืออะไร”

“ผมคิดว่าคฝ. ปีนี้โหดกว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาก็แค่ตั้งแนวโล่เข้ามา ผมเอาไหล่ไปชนโล่ดันให้คนข้างหลังถอยแล้วผมก็ถอนออกมา ตอนนี้มันไม่ใช่ นี่คือเจอหน้าปุ๊ปยิงเลย เจอหน้าปุ๊บยิงเลย ไม่มีการประนีประนอม ไม่มีการพูดการคุย”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพวกเขา ผมอยากยิง(กระสุนยาง)ใส่พวกเขาบ้าง” แป๊ะตอบเมื่อถูกถามว่าหากมีโอกาสพบตำรวจที่ยิงเขาอยากพูดอะไรกับตำรวจเหล่านั้น

“ผมบอกเลยว่าการชุมนุมครั้งนี้ถ้าไม่มีตำรวจไม่รุนแรง ถ้าพวกคุณไม่มาเราจะไปสู้รบกับใคร ถ้าคุณไม่มาเราก็อยู่กันเฉยๆ นี่คุณมาถือปืนจี้ไปทางเราแล้วบอกว่าคุณจี้เฉยๆไม่ยิง มันเป็นไปได้ไหมพี่ ต้องบอกว่าคุณลองไม่เอาตำรวจมาซักวันแล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่มีความรุนแรง พวกผมจะสู้กับใครถ้ามันไม่มีตำรวจ”

“แล้วที่บอกว่าม็อบใช้ความรุนแรง แน่นอนมันมีคนใช้ประทัด มีคนยิงพลุ หรือขว้างปาขวด แต่ตำรวจมีทั้งโล่ ชุดเกราะ หน้ากากกันแก๊ส หมวกนิรภัย มีรถฉีดน้ำ มีกระสุนยาง มีแก๊สน้ำตา ถามว่ามันเทียบกันได้ไหม” 

“ส่วนที่พี่ถามว่าถ้าม็อบใช้ความรุนแรงระดับไหนแล้วผมจะถอยออกมา ผมคงบอกไม่ได้ ก็ต้องดูว่าตำรวจเล่นอะไรกับเราก่อน ตอนนี้เล่นกระสุนยางเราก็เล่นพลุ แต่ถ้าวันหนึ่งตำรวจเล่นกระสุนจริง พี่จะให้เอาพลุไปยิงกับกระสุนจริงเหรอ มันต้องดูเลเวลขึ้นไปเรื่อยๆ ผมไม่สามารถจะตอบได้ว่า ผมจะไปสิ้นสุดอยู่ตรงไหน แต่ผมไม่สามารถทำแบบทะลุฟ้าได้ ผมไม่สามารถเอาสีไปปาตำรวจแล้วตำรวจยิงกระสุนยางใส่เรา พี่เข้าใจใช่มั้ย เขายิงกระสุนยางเราไปปาสี เพื่ออะไร”

เรื่องที่อยากฝาก

“แป๊ะ” บอกว่า อยากให้คนที่ออกมาต่อสู้ได้พื้นที่การแสดงออกทางการเมืองอย่างการใช้สิทธิเลือกตั้ง เด็กและเยาวชนที่ออกมาพอเห็นได้ว่า พวกเขาออกมาต่อสู้แทนพ่อแม่เขาที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

“เรื่องแรกผมขอฝากว่าหลังจากนี้ถ้ามีการเลือกตั้งผมขอให้กำหนดให้คนอายุ 13 ปีขึ้นไปมีสิทธิเลือกตั้ง เพราะที่ดินแดงคนที่ออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตยมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเยอะมาก แต่พอเขาออกมาชุมนุมแล้วกลับไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ถ้าถามว่าทำไมช่วงนี้คนที่ออกมาชุมนุมโดยเฉพาะที่ดินแดงอายุน้อยลงน้อยลง ผมพูดแทนความคิดคนอื่นไม่ได้ แต่ผมพอจะเข้าใจได้ว่าบางคนอาจจะออกมาสู้แทนพ่อแม่เขาที่ต้องขายของ ออกมาต่อสู้แทนพ่อแม่ที่ออกมาไม่ได้ เขาเห็นชีวิตพ่อแม่เขาลำบากเขาต้องออกมา”

“เรื่องที่สองผมอยากฝากว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปะทะ แนวทางที่ดินแดง คุณก็นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องมาแต่อย่ามาด้อยค่ากัน สำหรับผมทั้งการชุมนุมแนวปราศรัยไม่เน้นปะทะและการชุมนุมแบบเน้นปะทะที่แยกดินแดงเราต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือไล่ประยุทธ์ ถ้าคุณจะไม่มาก็เป็นสิทธิของคุณแต่สำหรับผมผมไปทั้งสองม็อบ ถึงตัวผมเองจะไม่เคยมีของแต่ผมปล่อยให้น้องๆเขาสู้อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้” 

ทั้งนี้ “แป๊ะ” ถูกตั้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่สิบคน ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง เขาจะถูกดำเนินคดีที่ศาลแขวงพระนครเหนือ

หมายเหตุ ภาพถ่ายของแป๊ะและภาพแผลกระสุนยางของแป๊ะ นำมาจากเฟซบุ๊กของแป๊ะโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวแล้ว