ไดโน่ นวพล ต้นงาม: เราจะสู้กับความรุนแรงของรัฐด้วยความสนุกสนาน

นวพล ต้นงาม หรือ ไดโน่ ทะลุฟ้า เป็นหนึ่งในผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้า ที่ร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 ที่หน้า กองบังคับการตํารวจปราบปรามยาเสพติด การชุมนุมครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากในวันที่ 1 สิงหาคม สมาชิกเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีบางส่วนถูกจับกุมระหว่างร่วมคาร์ม็อบและถูกควบคุมตัวไปที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ปทุมธานี ในช่วงเย็นจึงมีประชาชนบางกลุ่มเดินทางไปชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนที่ถูกจับกุม หลังการชุมนุมที่หน้ากองบังคับการ ตชด. ภาค 1 ยุติลง รถเครื่องเสียงของกลุ่มผู้ชุมนุมถูกสกัดจับ คนขับถูกควบคุมตัวและรถเครื่องเสียงถูกยึดโดยเจ้าหน้าที่ 
กลุ่มทะลุฟ้าจึงไปจัดการชุมนุมที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นสถานที่ที่รถเครื่องเสียงถูกยึดไว้ในวันรุ่งขึ้น ระหว่างการชุมนุมเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าล้อมพื้นที่และทำการจับกุมผู้ร่วมชุมนุมไปรวม 29 คน ซึ่งมีชื่อ ไดโน่อยู่ในนั้นด้วย จากนั้นในวันที่ 3 สิงหาคม ผู้ชุมนุมถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมข้อหากันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 
อย่างไรก็ตาม ไดโน่ และเพื่อนๆ ได้รับการประกันตัวภายใต้เงื่อนไข ห้ามก่อความวุ่นวายหรือกระทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา แต่เมื่อพวกเขาถูกพาไปปล่อยตัวที่ สน.ทุ่งสองห้อง พวกเขาได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้า สน. และมีการทำกิจกรรมสาดสี จนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประกัน ไดโน่ และเพื่อนๆ รวม 16 คน ชวนทำความรู้จักตัวต้นของไดโน่คนรุ่นใหม่ที่ออกมาสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมไทย

ทิ้งฝันตัวเอง เพื่อเรียนกฎหมาย

จริงๆ แล้วผมชื่อเล่นว่าต้น แต่เพื่อนๆ ในวงการเรียกผมว่า “ไดโน่” ตอนนี้ผมอายุ 24 ปี เรียนอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นชั้นปีที่ 6 พื้นเพผมเป็นคนภาคกลางเคยอาศัยอยู่ที่จังหวัดลพบุรีกับพ่อและแม่ที่ประกอบอาชีพรับราชการ แต่จากที่ผมได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและเคยลงพื้นที่กับชาวบ้านในภาคอีสานผมคงนิยามตัวเองในตอนนี้ว่าผมเป็นคนอีสานรุ่นใหม่

ใจจริงผมมีความฝันอยากเปิดร้านเบเกอรี เคยไปสมัครเรียนทำอาหารที่สวนดุสิตด้วยแหละ แต่พ่อผมเค้าอยากให้เรียนนิติศาสตร์ เพราะจบมาจะได้มาทำงานเป็นปลัดหรือเป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา ผมเลยต้องทิ้งความฝันที่จะเรียนเป็นเชพแล้วไปเรียนนิติศาสตร์ตามฝันของพ่อ ตอนนั้นก็ต้องถือว่าค่อนข้างเฉียดฉิวเลยเพราะตอนนั้นก็เหลือเวลาแค่ประมาณเดือนเดียวที่จะสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

นักเรียนกฎหมายลงพื้นที่ชุมชน

ผมเริ่มเรียนคณะนิติศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งช่วงปี 2559 พอมาที่คณะก็เจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นคนผิวคล้ำ สวมเสื้อนักศึกษาแขนสั้น ด้านหลังเสื้อมีข้อความเขียนด้วยสเปรย์สีแดงว่า “ไม่เอามหาลัยนอกระบบ” ตอนเข้าไปเรียนรุ่นพี่คนนั้นก็ใส่แว่นกันแดดเข้าไปเรียนด้วย รุ่นพี่คนนั้นก็คือ “ไผ่ ดาวดิน” ตอนแรกที่เจอผมก็งงครับว่าพี่แกเป็นใคร หลังจากนั้นผมก็เริ่มไปหาข้อมูลก็ได้รู้ว่าพี่แกเป็นนักกิจกรรม ทำงานกับชาวบ้านในประเด็นทรัพยากรน่าจะอยู่กับกลุ่มดาวดิน ครั้งหนึ่งตอนรู้จักกันใหม่ๆ พี่ไผ่ยังเคยถามผมเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองของผม โดยที่วิธีการตั้งคำถามก็แหวกแนวตามสไตล์แก

ผมรู้จักพี่ไผ่ได้ไม่นานแกก็ติดคุกเพราะคดีแชร์บทความบีบีซี ผมก็ได้แต่คิดว่าอะไรวะแค่นี้มึงเอาพี่กูไปขังเลยเหรอ แล้วผมก็เริ่มทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนักศึกษาที่ มข. ทำกิจกรรมปล่อยเพื่อนเรา หลังจากนั้นก็ยังทำกิจกรรมกับกลุ่มดาวดินไปลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงานในชุมชน

ในฐานะคนเรียนกฎหมาย การลงพื้นที่ทำให้ผมเกิดคำถามกับสิ่งที่เรียนมากมาย ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมกฎหมายถึงดูจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวและยากทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ง่ายและทุกคนสามารถเข้าใจได้ การไม่รู้ข้อกฎหมายทำให้ชาวบ้านเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบทั้งจากรัฐและทุน ผมยังตั้งคำถามต่อไปด้วยว่าทำไมโรงงานจากส่วนกลางต้องเข้ามาเปลี่ยนวิถีชิวิตชาวบ้านด้วย พวกเขามีวิถีชีวิตของเขา พวกเขาปลูกข้าวแต่มาถึงพวกมึงก็จะทำให้เขาเปลี่ยนมาปลูกอ้อย ทำไมพวกมึงต้องพยายามเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา

เริ่มทำกิจกรรมการเมือง

ในช่วงที่พี่ไผ่ติดคุกคดี 112  ผมก็เรียนไปทำกิจกรรมไปก็อกๆ แก็กๆ ไม่ได้ทำชมรมหรือสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะรู้สึกรักที่จะเป็น “มวลชนอิสระ” มากกว่า พอถึงปี 2563 ผมเริ่มทำกิจกรรมแบบจริงจังขึ้น ตั้งแต่กิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่ขอนแก่น ต่อมาพอนักศึกษา มข.จัดการชุมนุม  #มขพอกันที ผมก็ไปร่วมจัดกับเขาด้วย ตอนแรกเกือบได้ขึ้นปราศรัยด้วยละแต่วันนั้นผมเขินเลยถอนตัวหน้างาน

ทีนี้พอมาถึงวันที่ 13 ตุลา ผมกับเพื่อนๆ แล้วก็พี่ไผ่ในนามราษฎรอีสานมาที่กรุงเทพเพื่อมารอชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม เราชุมนุมไปได้พักหนึ่งก็โดนสลาย ผมโดน คฝ. (เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน) จับลากไปกับพื้น แล้วก็โดนตบบ้องหูด้วย คฝ.คนหนึ่งพูดกับผมว่า “มึงไม่รู้เหรอ วันนี้วันอะไร” “มึงนี่ไม่รู้เหี้ยอะไรเลยนะ” ผมก็ตอบไปว่าผมไม่รู้จริงๆ รู้แต่วันนั้นเป็นวันเกิดผม ผมยังบอกตำรวจเลยว่าพี่จะดูบัตรประชาชนผมก็ได้ ครั้งนั้นหลังถูกจับพวกผมก็ถูกเอาตัวเข้าคุกไปหกวัน  

ติดคุกครั้งแรก ครอบครัวไม่ยอมรับ

ตอนแรกที่ถูกจับแล้วต้องไปอยู่ในคุกตอนแรกผมก็กลัวนะ แต่เอาเข้าจริงพอเข้าไปผมก็รู้สึกว่าผมจัดการได้ มันไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิดตอนแรก นักโทษที่อยู่ในนั้นคนหนึ่งถามผมว่า มึงรู้ไหมหน้าห้องเขียนว่าพวกมึงโดนคดีอะไร พ.ร.บ.ความสะอาด แล้วมาเข้าคุก ผมก็อธิบายกับเขาไปว่านี่มันคดีการเมือง นักโทษคนนั้นก็บอกผมว่าพวกมึงไม่ควรมาอยู่ในนี้ พวกมึงเป็นนักสู้ ไม่ใช่นักโทษ

ตอนอยู่ในคุกผมนอนข้างๆ คนที่ถูกจับคดีพยายามฆ่า เขาบอกกับผมว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เพื่อนเขาคนที่ทำหนีไปแล้วส่วนตัวเขาต้องมาติดคุก เท่าที่ผมได้สัมผัสพูดคุยกับเขาผมก็คิดว่าเขาดูจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ก็คงเหมือนกับนักโทษหลายๆ คนที่ถูกขังทั้งที่ไม่สมควร โดยเฉพาะคนที่ศาลไม่ให้ประกันตัว

ถามว่าเรียนนิติศาสตร์มา พอเข้าไปอยู่ในคุกตกผลึกอะไร ผมบอกได้คำเดียวว่าควยมากๆ ไอ้เหี้ยกูเรียนกฎหมายมาแต่กูใช้กฎหมายช่วยตัวเองไม่ได้ ตอนที่อยู่ในศาลเราก็ยืนยันว่าพวกเรามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วหลายคนก็เรียนหนังสืออยู่ แล้วเราก็ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ศาลสั่งขังเรา กับคดีที่โทษมันไม่ได้สูงอะไรเลย ข้อหาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความสะอาด ผมบอกได้เลยว่ากฎหมายมันถูกใช้แบบบิดเบี้ยว ใช้เพื่อเอื้อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มพวกพ้องผู้มีอำนาจ

หลังอยู่ในคุกหกวัน ผมก็ได้รับการประกันตัวออกมา จำได้ว่าตอนนั้นก็ออกมามีเรื่องกับที่บ้าน ครอบครัวผมเป็นข้าราชการเขาไม่โอเคกับอะไรแบบนี้ พ่อผมถึงขั้นพูดว่าต้องให้กราบเลยไหมถึงจะเลิกทำกิจกรรมอะไรแบบนี้ แต่ผมก็ยืนยันว่าผมมีความเชื่อของผมและผมจะทำต่อไป ผมเคยพาชาวบ้านเข้ากรุงเทพเพื่อมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมและมาสื่อสารความเดือดร้อนของพวกเขา ผมหวังจะทำตรงนี้ต่อไป ผมยังหวังจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ช่วงหลังๆ ผมก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน ถึงตอนนี้ความฝันผมก็ชัดแล้วว่าผมอยากเป็นทนาย อยากกลับไปให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับชุมชนที่ผมเคยไปลงพื้นที่

ออกเดินทะลุฟ้าไล่ประยุทธ์ ยกเลิก 112

หลังออกจากคุกผมก็ยังทำกิจกรรมเรื่อยมา จนกระทั่งมาร่วมเดินทะลุฟ้า เพื่อส่งพี่ไผ่ไปศาล พวกเราคุยกันว่าอยากจะทำกิจกรรมสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ เลยคิดกันว่าเราอยากเก็บข้อมูลรายทางด้วยว่าคนข้างนอกเขาได้รับความเดือดร้อนจากประยุทธ์อย่างไรบ้าง ก็เลยไปเริ่มเดินกันที่โคราชเข้ากรุงเทพ ตอนนั้นขบวนใหญ่เขาชูข้อเรียกร้อง ขับไล่ประยุทธ์และองคาพยพ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เราคิดว่าข้อสามอาจจะส่งผลให้การเดินของเราสะดุดลง เพื่อให้กิจกรรมของเราเดินต่อไปได้เลยปรับข้อเรียกร้องจากปฏิรูปสถาบันฯ เป็นยกเลิก 112 ซึ่งสุดท้ายเราก็มาถึงกรุงเทพได้สำเร็จ หลังส่งพี่ไผ่พวกเราก็ไปตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้ากัน แล้วผมก็มาถูกจับอีกครั้งตอนหมู่บ้านโดนสลายแต่ตอนนั้นไม่ได้เข้าเรือนจำ

เอาชนะความรุนแรงด้วยความสนุก

ทีนี้มาถึงเรื่องที่ถูกถอนประกัน มันเริ่มจากพวกผมไปชุมนุมที่หน้ากองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม เพราะตอนนั้นตำรวจจับคนขับรถเครื่องเสียงของเพื่อนเราไป แล้วก็ยึดรถเครื่องเสียงไว้ พวกเราก็เลยจะไปตามหารถเครื่องเสียง วันนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ข้อมูลกับเรา ทั้งๆ ที่เราแค่อยากไปดูว่ารถเครื่องเสียงอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่บอกแล้วยังใช้กำลังสลายการชุมนุมพวกเรา

พอถูกจับไปที่ ตชด.พวกเราก็เลยต้องให้เจ้าหน้าที่ได้รู้บ้างว่าการจับพวกเราไปมันมีราคา พวกเราเปิดเพลง เอาของที่หาได้มาทำเป็นเครื่องดนตรี เคาะโน่นเคาะนี่ไปตามเรื่อง เตะฟุตบอลกันในห้องควบคุมตัว แล้วพวกเราก็เอาข้าวของที่หาได้ในห้องควบคุมตัวมาจัดวางใหม่เป็นอนุสรณ์ว่าทะลุฟ้ามาเยือน ผมจำได้ว่าพวกเรายังไปโวยกับตำรวจที่นั่นด้วยว่าเราอยากกินหมูกะทะ แล้วเราก็อยากเล่นฟิตเนส ทั้งๆ ที่เขามีฟิตเนสแต่ไม่ยอมให้เราใช้พวกผมก็โวยไป

วันรุ่งขึ้น พวกเราถูกพาตัวไปศาลเพื่อฝากขังแล้วเราก็ได้รับการประกันตัว เจ้าหน้าที่พาพวกเราไปปล่อยที่ สน.ทุ่งสองห้อง ปรากฎว่าที่หน้า สน. เจ้าหน้าที่เตรียมแผงเหล็กมากั้นพื้นที่ พวกเราก็โกรธมาก ไม่เข้าใจเขาจะกั้นแผงเหล็กทำไม สุดท้ายเราก็เลยช่วยกันจัดระเบียบแผงเหล็กกับสถานที่ใหม่แบบที่เห็นตามข่าว ทั้งหมดที่เล่ามามันสะท้อนตัวตนของทะลุฟ้าว่าพวกเราจะตอบโต้ความรุนแรงด้วยความสนุกสนาน แม้พวกเขาจะใช้กำลังจับพวกเรา สิ่งที่เกิดขึ้นใน ตชด.หรือที่หน้า สน.ทุ่งสองห้อง คือการตอบโต้ของพวกเรา แล้วก็เป็นเรื่องที่หน้า สน.นี่แหละที่ทำให้เราถูกถอนประกัน ต่อมาเราก็รู้ว่า ส.ส.สิระ เจนจาคะ เป็นคนที่ยื่นให้ศาลถอนประกันพวกเรา ผมงงนะที่คนเป็น ส.ส. เป็นผู้แทน ทำไมถึงพยายามปิดปากพวกเราแทนที่จะพูดแทนพวกเรา

วันที่ 16 กันยายนนี้ ศาลนัดไต่สวนถอนประกัน พวกผมไม่ซีเรียสอะไร ถ้าสุดท้ายจะถูกถอนประกัน ผมรู้ว่าเราสู้กับกฎหมาย เขาคุมกฎหมาย ยังไงเราก็ไม่มีทางชนะ พวกเราอาจจะแพ้ในทางกฎหมาย แต่พวกเราชนะในการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของพวกเรามีคนออกมาร่วมต่อสู้ ผมติดคุกมาแล้วตอนปี 2563 แล้วก็อาจจะติดอีกในปี 2564 ผมไม่เสียใจ เพราะประชาชนรับรู้ปัญหามากขึ้น ออกมามากขึ้น พวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของความไม่เป็นธรรม

ฝากถึงอำนาจตุลาการ

สุดท้ายผมอยากฝากถึงกระบวนการยุติธรรม ถึงศาล อำนาจตุลาการถือเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ศาลต้องใช้กฎหมายโดยตีความถึงเจตนารมณ์ของมันด้วยไม่ใช่เอาแต่ตีความตามตัวบทแบบแข็งๆ โดยไม่ดูบริบทแวดล้อมอื่นๆ เราอยากให้คุณทบทวนตัวเอง ใช้กฎหมายรับใช้ประชาชน คุณต้องไม่ลืมว่าอำนาจเผด็จการมันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า วันหนึ่งมันต้องไป แต่อำนาจตุลาการจะคงอยู่ต่อไป อยากให้พวกคุณลองถามตัวเองดูว่าคุณจะให้อำนาจตุลาการต้องมาเกลือกกลั้วแปดเปื้อนเพราะเผด็จการพวกนี้หรือ