1083 1293 1653 1815 1783 1245 1811 1126 1045 1306 1343 1848 1697 1454 1064 1654 1961 1314 1092 1810 1573 1258 1114 1848 1796 1887 1221 1851 1231 1569 1532 1443 1170 1105 1886 1137 1970 1843 1780 1243 1844 1714 1864 1984 1869 1390 1776 1892 1591 1208 1912 1937 1741 1964 1469 1095 1336 1379 1373 1294 1916 1642 1519 1637 1530 1587 1190 1321 1301 1451 1492 1084 1355 1027 1826 1970 1007 1431 1144 1637 1913 1115 1746 1032 1722 1819 1029 1041 1366 1112 1392 1932 1694 1926 1431 1512 1786 1445 1064 กระเทยแม่ลูกอ่อน: จากเพจสายบุญสู่สื่อพลเมืองในม็อบ | Freedom of Expression Documentation Center | ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ

กระเทยแม่ลูกอ่อน: จากเพจสายบุญสู่สื่อพลเมืองในม็อบ

สำหรับคนที่ติดตามการชุมนุมที่ดินแดงอย่างใกล้ชิด คงอาจจะคุ้นชินกับชื่อ "กระเทยแม่ลูกอ่อน" สื่อพลเมืองผู้เกาะติดสนามและนำเสนอข่าวผ่านการถ่ายทอดสดการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ โดยก่อนหน้าที่จะผันตัวมาเป็นสื่อพลเมือง ตัวเพจนั้นมีชื่อเสียงมาก่อนจากการทำโรงบุญแจกอาหารกับคนยากไร้ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ หลังจากนั้น ถึงมาทำหน้าที่รายงานเรื่องราวในการชุมนุมในฐานะสื่ออิสระแห่งหนึ่ง
 
แม้ว่าเพจกระเทยแม่ลูกอ่อนจะไม่ถูกรับรองความเป็นสื่อโดยกรมประชาสัมพันธ์หรือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แต่ทีมงานก็ยืนยันว่าพวกเขาเป็นสื่อพลเมืองอย่างเต็มภาคภูมิ โดยพวกเขาได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจการสื่อสารออนไลน์อย่างถูกต้องกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และมีจุดยืนชัดเจนว่าจะผลิตเนื้อหาออนไลน์ในประเด็นที่สังคมสนใจ ทั้งการชุมนุม และเหตุการณ์อื่นๆ ที่ประชาชนสนใจหรือมีประชาชนได้รับความเดือดร้อน แต่ความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของพวกเขา ก็ต้องแลกมากับการถูกข่มขู่ คุกคาม โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชุมนุม 
 
จากเพจสายบุญสู่การเป็นสื่อพลเมืองในม็อบ
 
เพจกระเทยแม่ลูกอ่อนถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2562 จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กติดตามเพจกว่า 29,771 บัญชี รวมถึงมีช่องอยู่ในแพลตฟอร์มยูทูปอีกด้วย
 
"แป้ง" หนึ่งในนักข่าวของช่องกระเทยแม่ลูกอ่อน เล่าว่า กระเทยแม่ลูกอ่อนเป็นสื่อออนไลน์ที่ทำหน้าที่ผลิตเนื้อหาที่สังคมสนใจ สถานการณ์การชุมนุมเป็นประเด็นหนึ่งที่คนในสังคมสนใจและน่าจะเพิ่มยอดวิวให้กับช่องได้ ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนจึงเข้ามาติดตามถ่ายทอดสดการชุมนุมอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงการชุมนุมใหญ่ในปี 2563 และลงพื้นที่การชุมนุมต่อเนื่องเรื่อยมา และเธอก็เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะทีมงานถ่ายทอดสดของช่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 
 
แป้ง บอกว่า จริงๆแล้ว สถิตย์ คำเลิศ คือ ผู้ก่อตั้งช่อง หรือที่ทีมงานเรียกกันว่า 'แม่' โดยเริ่มทำช่องยูทูปมาพักใหญ่แล้วตั้งแต่ก่อนมีการชุมนุม โดยตัวของสถิตย์เริ่มต้นจากการทำ "โรงบุญ ประชาร่วมใจ" หรือโครงการแจกอาหารให้กับผู้ยากไร้ทั้งตามวัดและสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และทุกครั้งที่สถิตย์ไปแจกอาหารก็จะถ่ายทอดสดลงยูทูป ซึ่งผู้ชมที่สนใจก็สามารถร่วมสมทบทุนการทำงานของโรงบุญได้  
 
ต่อมาในปี 2563 สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้ช่องต้องปรับตัวเพราะไม่สามารถไปแจกอาหาในวัดหรือตามสถานเลี้ยงเด็กได้ ประกอบกับช่วงกลางปีถึงปลายปี 2563 มีการชุมนุมใหญ่หลายครั้ง ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนจึงเปลี่ยนมาแจกอาหารในพื้นที่การชุมนุมแทน และเนื่องจากการชุมนุมเป็นประเด็นที่สังคมสนใจ จึงได้เริ่มปรับตัวมาถ่ายทอดสดสถานการณ์การชุมนุม ตั้งแต่สมัยที่การชุมนุมยังเป็นแบบมีปราศรัย มีแกนนำ กระทั่งเมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมตั้งแต่การสลายการชุมนุม 17 พฤศจิกายน 2563 เรื่อยมาจนถึงการสลายการชุมนุมที่ดินแดง
 
ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนเริ่มขยายทีมข่าวภาคสนาม จนถึงเดือนตุลาคม 2564 ทางช่องมีทีมงาน 18 คน เนื่องจากในระยะหลังสื่อกระแสหลักเริ่มลดความสนใจในการทำข่าวการชุมนุมที่ดินแดงซึ่งเป็นจุดปะทะ ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนจึงตัดสินใจปักหลักรายงานสถานการณ์ที่แยกดินแดงอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะถ่ายทอดสดสถานการณ์ที่ดินแดงแล้ว ทีมงานอีกส่วนยังมาตั้งโรงบุญแจกอาหารประชาชนที่มีความต้องการในพื้นที่การชุมนุมโดยไม่เลือกฝักฝ่ายด้วย ควบคู่ไปกับการรายงานสถานการณ์ที่ดินแดง ทางทีมงานกระเทยไม่ลูกอ่อนยังไปถ่ายทอดสดและตั้งโรงบุญแจกอาหารตามพื้นที่ภัยพิบัติอื่นๆ เช่นน้ำท่วมที่อยุธยาและในเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานที่กิ่งแก้วด้วย
 
"ข่มขู่-คุกคาม-จับกุม" สิ่งที่รัฐกระทำกับสื่อพลเมือง
 
จากคำบอกเล่าของทีมงานและข้อมูลจากในข่าว ระบุว่า สื่อพลเมืองอย่างกระเทยแม่ลูกอ่อนต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามหรือถูกดำเนินคดีจากรัฐ อย่างน้อย 3 กรณี ได้แก่
 
หนึ่ง ตำรวจออกหมายเรียกแต่ไม่แจ้งข้อหา
 
ในวันที่ 13 กันยายน 2564 สถิตย์ คำเลิศ ซึ่งเป็นบรรณาธิการและเจ้าของช่องกระเทยแม่ลูกอ่อนถูกออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มตั้งแต่ห้าคนในเขตที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยเขามีกำหนดไปรายงานตัวพนักงานสอบสวนสน.ดินแดงในวันที่ 17 กันยายน 2564 เมื่อถึงวันนัดสถิตย์เดินทางไปรายงานตัวตามนัดและยังได้นำอาหารไปแจกด้วย 
 
สถิตย์ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงถูกดำเนินคดีเพราะที่ผ่านมาเขาแจกอาหารในพื้นที่ดินแดงเป็นประจำแต่ก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน จากการสอบถามแป้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ปรากฎว่าเมื่อสถิตย์ไปรายงานตัวที่สน.ดินแดงตามหมายเรียกตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพราะที่สน.ไม่มีสำนวนคดี สถิตย์จึงเดินทางกลับโดยยังไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ และไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ถูกออกหมายเรียกคือเหตุการณ์ ใด
 
สอง ตำรวจจับกุมทีมงานพร้อมตั้งข้อหาหนัก
 
วันที่ 15 กันยายน 2564 ชุดควบคุมฝูงชนจับกุม พรชัย แซ่ซิ้ม หรือ อ้วน ทีมงานของกระเทยแม่ลูกอ่อนที่บริเวณใกล้กระทรวงแรงงาน พรชัยเล่าว่าในวันที่ 15 กันยายน 2564 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาเศษ ระหว่างที่เขาขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ใกล้ๆกระทรวงแรงงานเพื่อนำข้าวไปส่งให้ทีมงานที่ถนนมิตรไมตรี ปรากฎว่ามีรถกระบะบรรทุกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนไม่เปิดไฟหน้ารถวิ่งตามเขามาและสั่งให้เขาหยุดรถซึ่งเขาก็ปฏิบัติตาม 
 
ในขณะนั้นตัวเขายังใส่เสื้อกั้กวินมอเตอร์ไซค์อยู่ พรชัยพยายามแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า เขาเป็นทีมงานของกระเทยแม่ลูกอ่อนและกำลังจะนำข้าวไปส่งนักข่าว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรได้แต่นำกุญแจมือพลาสติกสีดำรัดมือเขาในลักษณะเอามือไพล่หลังแล้วสั่งให้เขานั่งลงบนพื้นถนน โดยก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นตัวเขาและได้ยึดโทรศัพท์มือถือพร้อมทั้งกระเป๋าสตางค์ของเขาไปเพื่อทำการตรวจสอบ
 
พรชัยจำไม่ได้ว่าเขานั่งอยู่บนพื้นถนนกี่นาทีแต่ก็เป็นเวลาครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเขาถูกนำตัวไปขึ้นรถกระบะของเจ้าหน้าที่โดยนอกจากตัวเขาก็มีเยาวชนไม่ทราบชื่อคนหนึ่งถูกควบคุมตัวมาบนรถกระบะคันเดียวกับเขาด้วย นอกจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่เขาจำไม่ได้ว่าจำนวนกี่นายอยู่บนท้ายรถด้วย หลังเคลื่อนออกจากบริเวณที่ถูกจับกุมรถของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนขับไปจอดที่ลานจอดรถวิทยาลัยป้องกันประเทศอีกครู่ใหญ่ จากนั้นเขากับเยาวชนที่ถูกควบคุมตัวก็ถูกพาตัวไปขึ้นรถผู้ต้องขังซึ่งจอดอยู่บริเวณใกล้เคียงและจึงถูกพาตัวไปที่สน.พหลโยธินเพื่อสอบปากคำ โดยระหว่างที่สอบปากคำมีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนคอยให้ความช่วยเหลือ สำหรับรถจักรยานยนต์ของเขาที่ถูกยึดพรชัยระบุว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ขับไป
 
เมื่อไปถึงที่สน.พหลโยธิน เจ้าหน้าที่นำโทรศัพท์ที่ยึดไว้มาให้เขาโทรติดต่อคนรู้จักหนึ่งสายซึ่งเขาก็โทรหาแป้ง จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยึดโทรศัพท์ของเขากลับไปเพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้ง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า พรชัยถุกตั้งข้อกล่าวหารวม 5 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความมาตรา 9  แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อหาชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองและไม่เลิกมั่วสุมเมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้เลิกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และ 216 ข้อหาร่วมกันต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 และ ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามออกนอกเคหะสถานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 
 
พรชัย ระบุว่า เขาได้รับการประกันตัวในวันที่ 16 กันยายนแต่ในวันดังกล่าวเขายังไม่ได้สิ่งของที่ถูกยึดไว้คืน เนื่องจากเมื่อไปถึงสน.ดินแดง เจ้าหน้าที่ที่ยึดรถจักรยานยนต์และทรัพย์สินของเขาไว้ออกเวรไปแล้ว อย่างไรก็ตามเช้าวันที่ 17 กันยายนเมื่อเขาไปติดต่อขอรับสิ่งของคืน เจ้าหน้าที่ก็คืนโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และรถจักรยานยนต์ให้เขา โดยพรชัยพบว่าที่ใส่ซิมโทรศัพท์ของเขาค้างต้องนำไปซ่อม พรชัยเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่น่าจะพยายามตรวจสอบโทารศัพท์ของเขาแต่ตัวเขาเองไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต เขาใช้โทรศัพท์เพื่อโทรเข้าโทรออกเท่านั้น
 
สาม ตำรวจคุกคามให้หยุดถ่ายทอดสด
 
แป้งระบุว่า วันที่ 14 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 21.00 น. ระหว่างที่ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนกำลังถ่ายทอดสดเหตุการณ์ที่แยกดินแดงอยู่ที่ถนนใต้ทางด่วนข้างแฟลตดินแดง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาพูดคุยกับทีมงาน สอบถามว่าเป็นสื่อสำนักใด มาถ่ายทอดสดด้วยเหตุอันใด และยังดูหน้าจอโทรศัพท์ของทีมงานเพื่อดูว่าผู้ชมคอมเมนท์อะไรเข้ามาบ้าง และเมื่อพบว่ามีผู้ชมคอมเมนท์ด้วยคำหยาบนายตำรวจคนที่เข้ามาขอดูโทรศัพท์ก็พูดกับทีมงานในลักษณะแสดงความ "ไม่สบายใจ" ด้วย
 
จากคลิปวิดีโอถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ถ่ายทอดสด สามเหลี่ยมดินแดงวันนี้ #ตั้ม บนช่องยูทูป กะเทยแม่ลูกอ่อน สำรอง ช่วงเวลา 2 ชั่วโมง 38 นาที 15 วินาที จะปรากฎภาพตำรวจแต่งเครื่องแบบสีกากีกลุ่มหนึ่งไม่ต่ำกว่าห้านายเดินเข้ามาหาทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนที่กำลังถ่ายทอดอยู่ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินเข้ามาพูดกับทีมงาน โดยบอกว่า สี่ทุ่มเรียบร้อยนะ พร้อมสะบัดมือ คล้ายจะสื่อไว้ให้ยุติการถ่ายทอดและออกจากพื้นที่ภายในเวลา 22.00 น. ทีมงานที่ถ่ายทอดสดก็แจ้งว่ารับทราบแต่เวลาขณะนั้นยังไม่ถึงสี่ทุ่ม
 
พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ถามต่อว่าแล้วมีอะไรต้องรายงาน ทีมงานก็ตอบว่ามาทำข่าวทั่วไป พร้อมระบุว่าทีมงานทำข่าวทั่วไปไม่ได้เจาะจงทำที่ใดที่หนึ่ง พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ถามต่อว่าที่มาทำนี่สังกัดอะไร ทีมงานก็ตอบไปว่าสังกัดกระเทยแม่ลูกอ่อนเป็นสื่อออนไลน์ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ พยายามถามว่าเป็นสื่ออะไร ทีวี หรือหนังสือพิมพ์ และเป็นสื่อด้านไหนบันเทิงหรืออะไร ทีมงานก็ตอบว่าเป็นสื่อทั่วไปและทำโรงบุญด้วย 
 
พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ถามซ้ำว่าเป็นสื่ออะไร ทีวี วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ทีมงานจึงตอบย้ำว่าพวกเขาเป็นสื่อออนไลน์พร้อมระบุว่าขณะนั้นแทบไม่มีสื่อหลักมาทำข่าวในพื้นที่แล้ว พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ตอบกลับว่าก็มันไม่ได้มีข่าวสารอะไร พร้อมถามว่าที่มาทำนี่ต้องการอะไร ทีมงานพยายามตอบไปว่าแค่มาทำข่าว มาสังเกตสถานการณ์ ส่วนพล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ก็ถามย้ำหลายครั้งว่าที่มานี่ต้องการอะไร ทีมงานกระเทยแม่ลูกอ่อนย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาเพียงมาเพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์และรายงาน ไม่ได้จะมารายงานการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ สอบถามว่าสำนักงานอยู่ที่ไหน ทางทีมงานตอบว่าไม่ได้มีสำนักงานมีแต่บ้าน แต่จะไม่ให้ที่อยู่บ้าน
 
จากนั้นพล.ต.ต.รุ่งโรจน์ สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาดูคอมเมนท์ที่ถูกส่งเข้ามาระหว่างการรายงานสด โดยตำรวจดูจากโทรศัพท์ของทีมงาน ไม่ได้เปิดดูจากโทรศัพท์ของตัวเอง ระหว่างนั้นน่าจะมีคนพิมพ์ข้อความว่า "ไอ้สารเลว" เข้ามา พล.ต.ต.รุ่งโรจน์จึงสอบถามว่าที่พิมพ์มาหมายความว่่าอย่างไร ทีมงานก็ตอบว่าไม่ทราบเพราะการคอมเมนท์เป็นเรื่องของผู้ชม พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ จึงกล่าวคล้ายตำหนิว่าเป็นสื่อเหตุใดจึงปล่อยให้มีการเขียนลักษณะดังกล่าว ทีมงานก็ตอบว่าที่คนคอมเมนท์มาเป็นการคอมเมนท์แบบถ่ายทอดสดซึ่งถ้าข้อความไหนไม่เหมาะสมทีมงานก็ไม่อ่านออกอากาศอยู่แล้ว พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ กล่าวกับทีมงานด้วยว่าในฐานะสื่อก็ต้องเลือกการนำเสนอเพราะอาจมีข้อความที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน จากนั้นก็ย้ำกับทีมงานว่าให้ยุติการถ่ายทอดสดและออกจากพื้นที่ภายใน 4 ทุ่มก่อนจะเดินออกไป
 
ต่อกรณีนี้ แป้งซึ่งจับตาสถานการณ์ผ่านการถ่ายทอดสดของทีมงานตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการขอดูคอมเมนท์ของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของนักข่าวหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่สามารถเปิดดูคอมเมนท์จากช่องยูทูปที่ถ่ายทอดสดเป็นสาธารณะได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาดูจากหน้าจอของนักข่าว 
 
ชนิดบทความ: