ประมวล #ม็อบ10พฤศจิกา64 #ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง

10 พฤศจิกายน 2564 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ ณฐพร โตประยูร ร้องขอให้วินิจฉัยว่าการชุมนุมและปราศรัยของผู้ชุมนุมแปดคน ได้แก่ อานนท์ นําภา, ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก, รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, อั๋ว-จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อาทิตยา พรพรม เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญรับคําร้องเฉพาะการกระทําในการชุมนุมปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ของอานนท์, ไมค์-ภาณุพงศ์ และรุ้ง-ปนัสยา ไว้พิจารณาวินิจฉัย

ลำดับเหตุการณ์

9 พฤศจิกายน 2564 

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่ข่าวระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย เรื่อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 เวลา 15.00 น. โดยหน่วยงานทางความมั่นคงได้แจ้งต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า จะมีสถานการณ์ที่มีสิ่งบอกเหตุหรือข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า อาจจะมีเหตุการณ์ความปลอดภัยและความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้น 

เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณที่ทำการศาล คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ศาลรัฐธรรมนูญอาศัยอำนาจตามมาตรา 38 วรรคสองของพ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ประกอบข้อ 4,5 และ 8 (8) ของข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว้าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรรมนูญ 2562 และข้อ 16 ของระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในที่ทำการศาล 2562

ประธานศาลรัฐธรรมนูญออกประกาศศาลรัฐธรรมนูญ “เรื่อง อาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย” และมีคำสั่งคือ กำหนดอาณาเขตที่ใช่้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและรักษาความสงบเรียบร้อย คือ ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และพื้นที่รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยคือ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์หรืออาคาร A โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 เวลา 00.01-23.59 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564

ในเอกสารข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังระบุด้วยว่า มีการกำหนดบุคคลให้เฉพาะผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ผู้รับมอบอำนาจหรือผู้รับมอบฉันทะ หรือผู้ที่ศาลอนุญาต รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้นอยู่ในห้องพิจารณาคดีเพื่อรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลในวันดังกล่าว และให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีช่องทางการรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและสื่อมวลชน

10 พฤศจิกายน 2564 

เวลาประมาณ 9.30 น. ที่หน้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เจ้าหน้าที่วางแผงเหล็กกั้นทางเข้าอาคารและติดป้ายประกาศศาลรัฐธรรมนูญ “เรื่อง อาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย” โดยประชาชนสามารถอยู่ได้บริเวณฟุตบาทด้านหน้าและมีการวางพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนไว้ด้วย ขณะนี้มีตำรวจในเครื่องแบบชุดสีกากีและนอกเครื่องแบบวางกำลังกระจัดกระจาย 
เวลา 10.19 น. เจ้าหน้าที่คาดว่า สังกัดสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมาพูดคุยกับเจมส์ เจษฎา ศรีปลั่งเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีที่กำลังไลฟ์สถานการณ์อยู่ที่ฟุตบาท เจ้าหน้าทีระบุว่า ถ้าเหตุการณ์ปกติจะเข้าไปนั่งฟังบริเวณประตูสี่ได้ เขาจึงถามกลับไปว่า วันนี้แสดงว่า ไม่ปกติหรืออย่างไร เจ้าหน้าที่ไม่มีคำตอบ จากนั้นตำรวจให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้จะมาดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีการวางแนวสิ่งกีดขวางไว้และมีเจ้าหน้าที่วางกำลังประจำจุดที่จะสามารถเข้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ โดยจัดกำลังมาพอสมควร แต่จะต้องพิจารณาปรับกำลังตามสถานการณ์ให้เหมาะสม เชื่อว่า ประชาชน สื่อมวลชนทั่วไปให้ความสนใจในคำวินิจฉัยวันนี้ หากมีมวลชนมาก็จะสามารถอยู่บริเวณหน้าแนวสิ่งกีดขวางและทางโซเชียลเน็ตเวิร์คได้
เวลา 11.35 น. ทีมทะลุฟ้าขับรถขึ้นมาที่หน้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขณะที่เจมส์-เจษฎาตามขึ้นมาที่หน้าอาคารด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่พยายามสอบถามว่า พวกเขาขึ้นมาที่หน้าอาคารได้อย่างไร เจมส์ตอบว่า เดินขึ้นมา มันมีทางให้เดิน เวลาไล่เลี่ยกันทีมทะลุฟ้าเริ่มวางอุปกรณ์ เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจำลอง เจ้าหน้าที่มาห้ามว่า ไม่ให้วางและให้ทีมงานของทะลุฟ้าหยุดไลฟ์ด้วย
เวลา 11.58 น. ทะลุฟ้ากลับมาไลฟ์อีกครั้งบริเวณหน้าฟุตบาทด้านหน้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้บรรยายระบุว่า เมื่อสักครู่ที่ต้องหยุดไลฟ์เพราะว่า เจ้าหน้าทีอ้างว่า จะเป็นการกระทำที่ละเมิดอำนาจศาล ตอนนี้ทีมงานทะลุฟ้าสามารถวางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจำลองได้แล้วและติดป้ายผ้าข้อความว่า ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง ขณะที่ตำรวจในเครื่องแบบชุดสีกากีวางกำลังหลังแนวรั้ว 
เวลา 13.00 น. ผู้ชุมนุมเริ่มเข้าพื้นที่บริเวณหน้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ วันนี้มีรุ้ง-ปนัสยา ผู้ปราศรัยหนึ่งในสามคนเดียวที่ไม่ได้ถูกคุมขังมาติดตามฟังคำวินิจฉัย ขณะที่คณะราษฎรยกเลิก 112 ตั้งบูทเพื่อรับลงชื่อยกเลิกมาตรา 112 จนถึงเวลา 13.44 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 มีผู้ลงชื่อออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ No112.org แล้วไม่น้อยกว่า 207,249 คน
ทีมงานทะลุฟ้ามีการจัดวงแลกเปลี่ยน โดยมีผู้แลกเปลี่ยนคนแรกคือ เพชร-ธนกร ภิระบัน เยาวชนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพชรให้ความเห็นเรื่องปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้างว่า การปฏิรูปคือ การทำให้ดีขึ้น  ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การที่เราอยู่ร่วมกันในสังคมมีคนอีกมากมาย สิ่งที่จะทำให้ทุกคนมาพูดคุยกันได้คือ การปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อเปิดทางให้พูดคุยกันได้  วันนี้เขาสวมเสื้อตั้งสกรีนข้อความว่า กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ เขาตั้งคำถามว่า ข้อความดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างไร 
เวลา 14.00 น. รุ้ง-ปนัสยาอ่านแถลงการณ์ปิดคดีความยาว 4 หน้ากระดาษ


คำแถลงการณ์ปิดคดี 
 
ข้อ 1 คดีนี้ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันนี้ แต่เนื่องจากศาลมีคำสั่งไม่ดำเนินการไต่สวนซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่กระทบต่อสิทธิในการที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมของผู้ถูกร้อง ผู้ถูกร้องขอยื่นคำแถลงปิดคดีประกอบในวันนัดฟังคำวินิจฉัยเพื่อสรุปข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังต่อไปนี้
 
ผู้ถูกร้องขอเรียนว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 49 โดยเจตนารมณ์ของบทบัญญัตินี้มีขึ้นเพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ไม่ให้ได้รับอันตรายจากบุคคลที่ใช้สิทธิเสรีภาพในทิศทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบดังกล่าว โดยสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และปรากฏตัวในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ 2 ประการคือ 
 
ประการแรก เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชนแต่เพียงองค์กรเดียว โดยในระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ การใช้อำนาจรัฐต่างๆ ต้องมีเชื่อมโยงกับประชาชนตั้งแต่ในระดับรัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐ องค์กรของรัฐที่ใช้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ล้วนแล้วแต่เมื่อสืบย้อนกลับไปเกี่ยวกับที่มาและแหล่งของอำนาจจะต้องเกาะเกี่ยวกับการให้ความยินยอมของประชาชน ผ่านการออกเสียงประชามติ การเลือกตั้ง การแต่งตั้งโดยผู้แทนประชาชน หรือใช้อำนาจภายใต้กรอบของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยตัวแทนของประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้การใช้อำนาจในระบอบดังกล่าวเป็นไปโดยชอบธรรมและมีรากฐานมาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งหลักการเหล่านี้ปรากฏในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ
 
และประการที่สอง เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปของรัฐเป็นราชอาณาจักร กล่าวคือ มีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งโดยรับสืบทอดทางสายโลหิต โดยสถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน มีความแตกต่างจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) หรือการปกครองในระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ (Limited Monarchy) ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ ใช้พระราชอำนาจที่เกี่ยวกับภารกิจต่างๆของรัฐได้โดยพระองคืเอง และมีอำนาจเหนือกว่าองคืกรที่เป็นตัวแทนของประชาชน แต่สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ (The king can do no wrong)ที่ให้พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของรัฐ แต่มิใช่เจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ โดยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีในทางพิธีการเท่านั้น เนื่องจากการใช้พระราชอำนาจใดๆในนามของพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและยินยอมของสถาบันการเมืองที่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ซึ่งจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองและกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ต่อไป ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ (The king can do no wrong) จึงทำให้พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติและเป็นกลางทางการเมือง โดยหลักการเช่นนี้ได้ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562
 
โดยรูปแบบและการกระทำที่จะถือว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ตัวอย่างเช่น การใช้สิทธิเสรีภาพโดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศจากประชาชนไปเป็นขององค์กรอื่น การใช้สิทธิเสรีภาพรณรงค์ให้เปลี่ยนระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีประมุขแบบอื่น หรือการใช้สิทธิเสรีภาพโดยวัตถุประสงค์เพื่อทำให้การเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติไม่สามารถดำเนินการได้ เป็นต้น
 
ด้วยข้อกฎหมายเช่นนี้ เมื่อพิเคราะห์กับการกระทำของผู้ถูกร้อง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ผู้ถูกร้องได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 34 คุ้มครองไว้ ไม่ได้เผยแพร่ถ้อยคำปราศรัยหรือข้อความคิดใดต่อสาธารณะในลักษระที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศจากประชาชนไปเป็นบุคคลอื่น หรือเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงประมุขของรัฐจากพระมหากษัตริย์ไปเป็นอย่างอื่นแต่อย่างใด
 
นอกจากนั้ ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้ง 10 ประการ ผู้ถูกร้องได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายที่ธำรงไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์และรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายและรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับพระราชอำนาจให้สอดคล้องกับหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ (The king can do no wrong) ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
 
ข้อเสนอข้อ 1. การเสนอให้ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้แล้วเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของพระมหากษัตริย์ได้ ข้อเสนอดังกล่าวไม่ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ เนื่องจากการกระทำของพระมหากษัตริย์ หากกระทำไปภายใต้คำแนะนำและยินยอมของผู้รับสนองพระราชโองการ ในทางรัฐธรรมนูญก็ไม่มีบุคคลใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ แต่หากพระมหากษัตริย์กระทำผิดในทางส่วนตัวก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนพิจารณาจัดการตามรัฐธรรมนูญต่อไปได้ ซึ่งหลักการเช่นนี้ได้ปรากฏมาแล้วในปฐมรัฐธรรมนูญของประเทศไทย อย่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2475 และสภาผู้แทนราษฎรก็เคยวินิจฉัยความหมายของสถานะอันล่วงละเมิดมิได้ของพระมหากษัตริย์ไปในทำนองเดียวกันนี้ด้วย ปรากฏตามรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญ สมัยที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2476


 ข้อเสนอข้อ 2 การเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็เป็นไปเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดและการแสดงออกซึ่งเป็นเสรีภาพที่จำเป็นที่สุดในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ขยายวงกว้างออกไป เพื่อให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ สามารถวิพากษ์วิจารณ์องค์กรรัฐทุกองค์กรที่ใช้อำนาจของประชาชนได้

ข้อเสนอข้อ 3. การเสนอให้ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 และให้มีการแบ่งแยกระหว่างทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลังและทรัพย์ส่วนพระองค์ที่เป็นส่วนตัวของพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐ อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรของรัฐที่มีความเชื่อมกับประชาชนและรับผิดชอบทางการเมือง รวมถึงการถูกฟ้องคดีตามกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ตามหลักการบริหารทรัพย์สินของรัฐสมัยใหม่

ข้อเสนอข้อ 4. การเสนอให้ปรับลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้สถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อให้ต้องการให้พระมหากษัตริย์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนในทุกสถานการณ์อันจะเป็นการเชิดชูสถานะการเป็นศูนย์รวมจิตใจของพระมหากษัตริย์ให้สูงเด่นยิ่งขึ้น

ข้อเสนอข้อ 5. การเสนอยกเลิกส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่มีความจำเป็น เช่น องคมนตรี ก็เป็นเพียงขอเสนอเรื่องการปรับเปลี่ยนการจัดระเบียบหน่วยงานของรัฐเท่านั้น

ข้อเสนอข้อ 6. การเสนอให้ยกเลิกการบริจาคและการรับบริจาคโดยสมเด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมดนั้น เป็นไปเพื่อความปรารถนาดีต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลใดแอบอ้างหาผลกระโยชน์ในการรับบริจาคเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นการป้องกันการนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์มิชอบ

ข้อเสนอข้อ 7. การเสนอยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะของพระมหากษัตริย์ ก็เป็นข้อเสนอที่ต้องการส่งเสริมให้พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะเป้นศูนย์รวมของคนในชาติและเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ที่จะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษตริย์ในทางสาธารณะได้

ข้อเสนอข้อ 8. เรื่องการยกเลิกประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงาม ก็มิใช่ข้อเสนอที่มุ่งหมายที่มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงประมุขของรัฐจากพระมหากษัตริย์เป็นอย่างอื่นแต่อย่างใด โดยข้อเสนอดังกล่าวที่มุ่งความปรารถนาดี ที่มิต้องการให้บุคคลใช้พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป

ข้อเสนอข้อ 9. การเสนอให้สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับพระมหากษัตริย์ ก็เป็นไปด้วยความปรารถนาดีที่ต้องการสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ให้กับสังคมไทย และปกป้องพระมหากษัตริย์จากมลทินมัวหมองต่างๆ

ข้อเสนอข้อ 10.  การเสนอให้พระมหากษัตริย์ไม่ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหาร ก็เป็นข้อเสนอที่มีความมุ่งหมายในการธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและรักษาสถานะที่เป็นกลางไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญของพระมหากษัตริย์

ด้วยข้อเท็จจริงและกฎหมายข้างต้น ผู้ถูกร้องจึงขอเรียนว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ประการ มิได้เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด แต่กลับกัน การกระทำของผู้ถูกร้องและข้อเสนอทั้งหมดต่างจะช่วยส่งเสริมให้สถานะของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงด้วย ผู้ถูกร้องจึงขอให้ศาลวินิฉัยยกคำร้องของผู้ร้อง

เวลา 14.18 น. หลังรุ้งอ่านคำแถลงการณ์ปิดคดีเสร็จ เธอเข้าไปฟังคำวินิจฉัยในห้องพิจารณาคดี วันนี้เธอสวมเสื้อสกรีนข้อความ ปฏิรูป||| ≠ ล้มล้าง โดยวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะเริ่มอ่านคำวินิจฉัยในเวลา 15.00 น. ต่อมาเวลา 14.30 น. รุ้งทวีตแจ้งว่า เจ้าหน้าที่จะเก็บเครื่องมือสื่อสารก่อนเข้าห้องพิจารณาคดี
เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่นัดแนะว่า ระหว่างที่ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์จะมีเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณว่า แสดงความเคารพศาลครั้งหนึ่ง ขอความกรุณาทุกท่านลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการเคารพศาล ระหว่างที่ศาลอ่านคำวินิจฉัยขอให้ทุกท่านอยู่ในความเรียบร้อยห้ามประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อย ก่อความรำคาญ หรือกระทำการใดๆในลักษณะที่เป็นการยุยงส่งเสริม ยั่วยุ หรือสนับสนุนใดในการกระทำดังกล่าว ผู้นั้นอาจกระทำการละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 39 ของพ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง

ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์และเริ่มอ่านจากส่วนผลการวินิจฉัยคำร้องคือ หนึ่ง คำร้องขอให้ศาลมีการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดและมีคำสั่งให้ไต่สวน ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 ศาลมีคำสั่งให้ยุติการไต่สวนเพราะพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้และศาลกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 แล้ว จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง 

สอง คำร้องขอให้ศาลดำเนินการนำตัวผู้ถูกร้องที่หนึ่งมาศาลฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2564 และคำร้องขอให้ศาลดำเนินการนำตัวผู้ร้องที่สองมาศาลฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลส่งหนังสือแจ้งนัดอ่านคำวินิจฉัยไปถึงผู้ถูกร้องที่หนึ่่งและผู้ถูกร้องที่สองและผู้รับมอบฉันทะของผู้ถูกร้องทั้งสาม ซึ่งมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ผู้ถูกร้องที่หนึ่งและสอง และผู้รับมอบฉันทะของผู้ถูกร้องทั้งสามได้รับหนังสือนัดแล้วถือว่า ทราบนัดโดยชอบ หากไม่มาศาลตามนัดศาลย่อมอ่านคำวินิจฉัยไปได้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับ

ต่อจากนี้คณะตุลาการดำเนินการแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติต่อไป ต่อไปเป็นเรื่องการอ่านคำวินิจฉัย 

กฤษฎางค์ นุตจรัสกล่าวว่า ทนายผู้ถูกร้องขออนุญาตแถลงว่า การไต่สวนก่อนการมีคำวินิจฉัย อานนท์ นำภา ใช้คำว่า ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี ถ้าท่านมีคำวินิจฉัยเห็นว่า จะไม่ต้องไต่สวนคดีนี้สามารถจะวินิจฉัยไปได้เลย ตามคำร้องทนายขอให้ยุติไว้ก่อนและเบิกตัวอานนท์มาเบิกความต่อศาล ชี้แจงข้อกล่าวหา อานนท์บอกกับทนายความว่า หากตุลาการมีคำวินิจฉัยไม่รับคำร้องขอให้มีการไต่สวนและเบิกตัวมา อานนท์สั่งห้ามทนายความอยู่ในห้องพิจารณคดีเพราะไม่ประสงค์จะมีตัวแทนของเขาอยู่ในการฟังคำวินิจฉัยครั้งนี้เพราะเป็นคำสั่งของผู้ที่เป็นผู้ให้อำนาจทนายความมา

ทนายความกล่าวว่า ผมเรียนด้วยความเคารพ ผมมีความจำเป็นในฐานะผู้รับอำนาจ ตัวเขาอยู่ในเรือนจำมาไม่ได้เขาบอกผมอย่างนี้ผมคงต้องปฏิบัติตาม 

ศาลแจ้งว่า เรื่องนี้ศาลใช้ระบบไต่สวน ซึ่งศาลแสวงหาข้อเท็จจริงได้ และศาลได้แสวงหาข้อเท็จจริงจากหลายๆฝ่ายจนได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่สามารถจะวินิจฉัยได้ ศาลจึงสั่งงดการไต่สวน อันนี้เป็นการสั่งตามที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนจะไม่ฟังเป็นสิทธิของผู้รับมอบฉันทะ ศาลอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า การนัดแนะกันของทนายความและอานนท์เป็นการพูดด้วยวาจาใช่ไหม แต่หนังสือรับมอบอำนาจมาแต่แรกไม่มีเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าจะถือยืนยันแบบนี้เดี๋ยวศาลจะบันทึกไว้ให้ เพราะจริงๆมันไม่ถูกต้อง มันจะต้องเป็นลายลักษณ์อักษรมาว่า ความต้องการของเขาเป็นเช่นไร “คุณพูดเฉยๆจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ถ้ายืนยันไม่เป็นไร เดี๋ยวศาลบันทึกให้” 

ทนายความแจ้งว่า เขายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 และรอฟังคำสั่ง อานนท์ถามเขาทุกครั้งที่ไปเยี่ยมในเรือนจำว่า ศาลมีคำสั่งเบิกตัวไต่สวนไหม เขาขอยืนยันว่า อานนท์สั่งว่า ถ้าท่านไม่ให้ไต่สวนจะขอให้ทนายความออกจากห้องพิจารณาเพราะเขาไม่อยากให้มีตัวแทนฟัง ส่วนเรื่องการไต่สวนเขาและอานนท์เข้าใจดีว่า เป็นอำนาจของศาลที่จะงดการไต่สวนเพราะในศาลยุติธรรมหรือศาลอื่น ถ้าเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดี เขาเข้าใจตรงนี้ดี แต่เพียงเราอาจจะมองต่างมุมกันว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ยิ่งใหญ่และเราน่าจะมีโอกาสที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงเสนอต่อศาลด้วย 

ทนายความกล่าวอีกว่า วันนี้เขาพาพยานมาสองคนคือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์และอีกคนหนึ่ง หากให้ไต่สวนจะเริ่มได้โดยไม่ประวิงเวลา ศาลกล่าวว่า จะบันทึกว่า ผู้รับมอบฉันทะของผู้ถูกร้องที่หนึ่งมาอยู่ในห้องพิจารณาแล้วออกไป 

ปนัสยากล่าวว่า เธอเข้าใจว่า วันนี้จะมาฟังคำวินิจฉัย แต่ทนายความเคยขอให้มีการไต่สวน  “หนูไม่ได้เป็นนักเรียนกฎหมาย หนูไม่ได้รู้กฎหมายอะไรก็อาจจะรู้น้อยนะคะเรื่องนี้ แต่หนูเข้าใจว่า การได้มาซึ่งความยุติธรรม อย่างน้อยควรจะต้องรับฟังทุกอย่างเท่าที่จะได้รับฟังได้ ซึ่งวันนี้เอง…อาจารย์ส.ศิวรักษ์มารออยู่ก็พร้อมแล้วที่จะไต่สวนถ้าศาลอนุญาต แต่ถ้าวันนี้ศาลไม่อนุญาตให้มีการไต่สวนและจะให้หนูรับฟังคำวินิจฉัยเลย โดยที่ทางหนูเองไม่ได้มีโอกาสที่จะแสวงหาความจริงเพิ่มเติมให้ศาลรับทราบเลย หนูก็คงต้องขอออกจากห้องพิจารณาเหมือนกัน” ศาลกล่าวว่า จะบันทึกว่า มาแล้วแต่ขอออกห้องไม่ฟังคำวินิจฉัย

จากนั้นศาลชี้แจงว่า กระบวนการพิจารณาของศาลมีการไต่สวนเราแสวงหาข้อเท็จจริงทุกอย่าง เอกสารทุกอย่างที่ได้มาส่งให้ทางฝ่ายผู้ถูกร้องเรียบร้อยหมดแล้ว ผู้ถูกร้องมีหน้าที่ที่จะโต้แย้งมาเป็นหนังสือ ซึ่งได้รับมาหมดแล้ว ถือว่า ได้ให้ความเป็นธรรม ให้ความยุติธรรมกับผู้ถูกร้องครบถ้วน ไม่ใช่ตอนพิจารณาในระบบกล่าวหา แต่มันเป็นระบบไต่สวน ซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวนแต่ในการไต่สวนศาลได้ให้ฝ่ายผู้ถูกร้องทราบพยานหลักฐานทุกอย่างและให้โอกาสกับผู้ถูกร้องที่โต้แย้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถือว่า กระบวนการพิจารณาถูกต้องสิ่งที่คุณอ้างก็เป็นข้ออ้างของคุณ

ศาลจะบอกอย่างหนึ่งว่า การพิจารณาเรื่องนี้เราใช้เวลาการพิจารณาเป็นปี เพราะฉะนั้นเรารอบคอบ หาพยานหลักฐานจากที่ต่างๆตลอดเวลา ใช้เวลาปีเศษด้วยซ้ำไป แล้วแต่มุมมอง

กฤษฎางค์ กล่าวว่า จะเรียกว่า เหตุผลหรือข้ออ้างก็ตามแต่ เราเชื่อว่า พยานหลักฐานตามคำร้องที่เป็นคำพูดตามเอกสารไม่เพียงพอที่จะอธิบาย เรามีพยานหลักฐานที่อ้างมาในบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 เขาสอบถามและไม่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญท่านใดเรียกคนเหล่านี้ให้ส่งข้อมูลต่อศาล แต่เขาเชือว่า การไต่สวนของศาลมีจริง การยุติการไต่สวนของศาล ความเห็นของเขามองว่า ระบบการไต่สวนหาข้อเท็จจริงต้องฟังความเห็นทั้งสองด้าน ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพียงแต่เขามีความเชื่อมั่นว่า มันถูก เพราะคดีที่กำลังจะตัดสินไม่ได้มีผลกระทบแค่คนเท่านี้ แต่มันคือ ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นต่อไปในประเทศเรา

เวลา 15.30 น. รุ้ง-ปนัสยาเดินออกมาด้านนอกหลังปฏิเสธการรับฟังคำวินิจฉัยเนื่องจากศาลไม่ได้ทำการไต่สวนตามที่ผู้ถูกร้องได้ยื่นคำร้องไป
เวลา 15.20 น. ศาลเริ่มอ่านคำวินิจฉัยว่า 

เรื่องพิจารณาที่ 19/2563 คำวินิจฉัยที่ 19/2564 วันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน 2564 ระหว่างนายณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง นายอานนท์ นำภา ที่หนึ่ง นายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่สอง และนางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่สาม นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่สี่ นางสาวจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ที่ห้า นางสาวสิริพัชระ จึงธีรพาณิชย์ ที่หก นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เจ็ด นางสาว อาทิตยา พรหรหม ที่แปด ผู้ถูกร้อง

เรื่องคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา พยานหลักฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 1 หรือไม่ 

ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำชี้แจง พยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งบันทึกเสียงการปราศรัยของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม ฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามปราศรัยในที่สาธารณะหลายครั้ง หลายสถานที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 เรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามอภิปรายเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อเรียกร้องสิบประการคือ 

๐ หนึ่ง ยกเลิกมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญที่ว่า ผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้และเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร

๐ สอง ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงเปิดให้ประชาชนใช้เสรีภาพแสดงความคิดต่อสถาบันกษัตริย์ได้และนิรโทษกรรมผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทุกคน 

๐ สาม ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2562 และให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลังและทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่เป็นของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน

๐ สี่ ปรับลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

๐ ห้า ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจนเช่น หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่นและให้หน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็นเช่น คณะองคมนตรีนั้นให้ยกเลิกเสีย

๐ หก ยกเลิกการบริจาค การรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลเพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด 

๐ เจ็ด ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ

๐ แปด ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้ศึกษาเชิดชูสถาบันกษัตริย์เพียงแต่ด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด

๐ เก้า สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือมีความเกี่ยวข้องใดๆกับสถาบันกษัตริย์

๐ สิบ ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหาร

กรณีมีข้อโต้แย้งที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า  คำร้องคลุมเครือไม่ชัดเจนและไม่ครบองค์ประกอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หรือไม่ 

เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า  การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีเนื้อหาบิดเบือน จาบจ้วง ล้อเลียน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสถาบันกษัตริย์ เป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างเอกสารต่างๆรวมทั้งถอดคลิปเสียงที่แสดงถึงการกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามกับพวก ประกอบมาท้ายคำร้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้อง เช่นนี้คำร้องจึงมีความชัดเจนและเพียงพอที่จะให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามเข้าใจสภาพของการกระทำที่เป็นข้อกล่าวหา สามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นข้อโต้แย้งข้อนี้ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ฟังไม่ขึ้น 

ประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยมีว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 1 หรือไม่

พิจารณาเห็นว่า หลักการตามรัฐธรรมนูญวางรากฐานระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุณค่าทางรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นแก่นของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประกอบด้วยคุณค่าสำคัญได้แก่ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญหมวด 3 ทั้งนี้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีการบัญญัติไว้เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 และมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 25 วรรค 1 บัญญัติว่า สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่ไม่ได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำการนั้นได้และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งสามารถแยกได้ออกเป็นสองส่วนดังนี้ ส่วนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะและส่วนที่รัฐธรรมนูญหรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติให้ไว้ ปวงชนชาวไทยย่อมมีสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว ทั้งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงให้การคุ้มครองการใช้สิทธิหรือเสรีภาพทุกกรณี ทั้งที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะและที่ไม่ได้บัญญัติ ไม่ได้มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นห้ามหรือจำกัดไว้ โดยมีเงื่อนไขว่า การใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองนั้นต้องไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

เมื่อบุคคลมีสิทธิและเสรีภาพย่อมมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามมาด้วย หน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิหรือเสรีภาพทางการเมืองปรากฏชัดในรัฐธรรมนูญ หมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา 50 อนุมาตรา 1, 3 และ 6 ที่กำหนดให้บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม 

มาตรา 49 วรรค 1 บัญญัติว่า บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ วรรค 2 บัญญัติว่า ผู้ใดทราบว่า มีการกระทำตามวรรค 1 ย่อมมีสิทธิร้องขอต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ วรรค 3 บัญญัติว่า ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องจะขอยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้และวรรค 4 บัญญัติว่า การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรค 1 

รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมรณ์ปกป้องคุ้มครองระบอบการปกครองของประเทศที่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งกำหนดให้ผู้ที่ทราบว่า มีการกระทำอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีสิทธิที่ร้องต่ออัยการสูงสุดและในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามคำร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้ นอกจากนี้ยังกำหนดให้การดำเนินการตามมาตราดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ดังนั้นรัฐธรรมนูญมาตรา 49 มุ่งหมายให้ปวงชนชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการทำหน้าที่ตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยหลักการตามมาตรา 49 วรรค 1 บัญญัติเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2495 มาตรา 35 บัญญัติไปในทำนองเดียวไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เป็นการวางหลักการเพื่อปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจากภัยคุกคามหรือเกิดจากการกระทำซึ่งเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในลักษณะมุ่งหมายให้หลักการและคุณค่าทางรัฐธรรมนูญที่รองรับการมีอยู่ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ให้ล้มเลิกหรือสูญเสียไป

หลักการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2  ปรากฏเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 63 และบัญญัติในทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 68 โดยเป็นการบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดว่า เมื่อมีผู้ทราบการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บุคคลผู้นั้นย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ว่ากรณีดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้ บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการรับรองสิทธิของพลเมืองในการปกป้องรัฐธรรมนูญจากการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในประการที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

ดังนั้นการใช้สิทธิปกป้องรัฐธรรมนูญถือเป็นกลไกหนึ่งของระบบยุติธรรมทางรัฐธรรมนูญ โดยบุคคลผู้ใช้สิทธิในการปกป้องรัฐธรรมนูญจะต้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องก่อนเสมอด้วย พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการวินิจฉัยให้เลิกการกระทำดังกล่าว ไม่ว่าอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามคำร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ รัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิของผู้ร้องในการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เอง การรับรองสิทธิของผู้ร้องในกรณีดังกล่าวเป็นการสร้างหลักประกันธำรงไว้ซึ่งหลักการอันเป็นสาระสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อใดที่ปรากฏการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำในลักษณะดังกล่าวย่อมถูกกล่าวหาเป็นคดีในศาลรัฐธรรมนูญได้

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม คำชี้แจงข้อกล่าวหา เอกสารประกอบคำร้องและพยานหลักฐานต่างๆที่อัยการสูงสุด, ผู้กำกับการสภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี, เลขาธิการสภาความมั่นคง, ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ, อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง ที่สามจัดเวทีปราศรัยเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการปราศรัยของผู้ถูกร้องที่หนึ่งกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ที่เรามาชุมนุมกันในวันนี้ เพื่อจะยืนยันว่า นอกจากข้อเสนอสามข้อที่เราพูดกันอยู่ทุกเวที ความจริงมันมีข้อเสนอระหว่างบรรทัดที่เป็นข้อเสนอสำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาการขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และผมขอยืนยันอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่ม็อบล้มเจ้า ไม่ใช่ม็อบจาบจ้วง แต่เป็นม็อบที่พูดความจริงเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดวันนี้คือ ข้อเรียกร้องระหว่างบรรทัดของพวกเรา ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นหมายถึงกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พระราชกรณียกิจอันใดที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มายุ่งเกี่ยวการเมือง ต่อไปนี้ต้องถูกตั้งคำถามดังๆต่อสาธารณะ เราอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปรับตัวเข้าหาประชาชน ไม่ใช่พวกเราปรับตัวเข้าหาสถาบันพระมหากษัตริย์ การอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเป็นสาระสำคัญของการปกครองที่พวกเรามีอยู่ แต่ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามจะขยายพระราชอำนาจผ่านการรัฐประหาร ปี 2557 พระมหากษัตริย์ก็ยังเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากการรัฐประหารเกิดขึ้นสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น

ผู้ถูกร้องที่สองกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า นับแต่คณะราษฎรนำโดยท่านปรีดี พนมยงค์และท่านพระยาพหลพลพยุหเสนาได้มีการปฏิวัติประเทศสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยและให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปัจจุบันผมคิดว่า การใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังใช้ยาวมาถึงรัชกาลปัจจุบันเพราะกษัตริย์อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยทั้งสามอำนาจ อำนาจตุลาการ อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ถามว่า ทำไมต้องพูดแบบนี้ ท่านเคยรู้หรือไม่ครับว่า หมวดที่ 2 ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดไม่สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ เช่นนี้แล้วแสดงให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เจตนาการพูดของผมในครั้งนี้คือ ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ในที่ที่เหมาะสมและสามารถอยู่ร่วมกับประชาชนคนไทยได้ ที่บอกว่า อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยคือ การอยู่เหนืออำนาจของประชาชนโดยการที่ประชาชนไม่สามารถแตะต้องได้เพราะถ้าใครแตะต้องคนนั้นต้องโดนมาตรา 112 

และผู้ถูกร้องที่สามอ่านประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมฉบับที่หนึ่งมีสาระสำคัญสรุปว่า นับแต่คณะราษฎรอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยหวังว่า ประเทศจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่เหนือระบอบการเมืองอย่างแท้จริง แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พระมหากษัตริย์ยังคงทรงอำนาจแทรกแซงเหนือการเมือง เมื่อเกิดการรัฐประหาร กษัตริย์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธย…รวมถึงถ่ายโอนงบประมาณแผ่นดินเข้าเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรงใช้พระราชอำนาจนอกกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติให้สามารถเสด็จประทับนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์…เห็นได้ว่า พวกเขาเหล่านี้สมประโยชน์กัน เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ราษฎรทั้งหลายจงรู้เถิดว่า กษัตริย์ประเทศเรานี้ไม่ได้ทรงอยู่เหนือการเมือง หากแต่เป็นรากเหง้าของปัญหาการเมืองตลอดมา นอกจากจะทรงละเลยหน้าที่การเป็นประมุขที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนแล้ว ทรงเสด็จไปเสวยสุขประทับอยู่ต่างแดนโดยใช้เงินภาษีของราษฎร ทั้งที่ราษฎรประสบความยากลำบาก อีกทั้งยัง…สัมพันธ์อันแนบแน่นกับกลุ่มกบฏผู้ก่อการรัฐประหารล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจึงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนสิบข้อ

รัฐธรรมนูญที่มีบทลักษณะการห้ามใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 63 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 68 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 49 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 ได้วางหลักคำว่า ล้มล้างว่า เป็นภัยร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญที่สุดวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนได้ นอกจากนั้นเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะทำลาย หรือล้างให้สูญสลายหรือสิ้นไป ไม่ให้ดำรงอยู่หรือมีอยู่อีกต่อไป 

การใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและทรงอยู่เหนือความรับผิดชอบทางการเมืองตามหลักกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้และให้มีการยกเลิกกฎหมายที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชนุภาพของพระมหากษัตริย์ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะ อันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควร โดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด

พระมหากษัตริย์กับชาติไทยดำรงอยู่คู่กัน เป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบันและจะดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคต แม้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ปวงชนชาวไทยยังเห็นพ้องร่วมกันอัญเชิญพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นสถาบันหลักของชาติไทยและถวายความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ดังปรากฏในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 โดยมาตรา 1 บัญญัติว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของราษฎรทั้งหลาย มาตรา 2 บัญญัติว่า เมื่อมีบุคคลและคณะบุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร ดังที่จะกล่าวต่อไปในรัฐธรรมนูญคือ หนึ่ง กษัตริย์ สอง สภาผู้แทนราษฎร สาม คณะกรรมการราษฎร สี่ ศาล มาตรา 3 บัญญัติว่า กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่นๆที่จะมีกฎหมายไว้เฉพาะก็ดีจะต้องกระทำในนามกษัตริย์ 

ต่อมาได้มีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับดังกล่าว บททั่วไปมาตรา 2 บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้…หมวด 3 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ มาตรา 5 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสยาม มาตรา 6 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 7 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี มาตรา 8 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านศาลที่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมาย จากบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามดังกล่าว 

เห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์การปกครองของไทยนี้ อำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดนับแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ตลอดจนกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของไทยมีพระราชภารกิจที่สำคัญยิ่งเพื่อรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองและประชาชน โดยจะต้องดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยเพื่อนำกองทัพต่อสู้ปกป้องและขยายราชอาณาจักรตลอดเวลาในยุคก่อนที่ผ่านมา ประกอบกับพระมหากษัตริย์ทรงถือหลักการปกครองตามหลักธรรมแห่งพุทธศาสนาและยึดถือทศพิธราชธรรมเป็นหลักในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ของไทยจึงเป็นที่เคารพและศรัทธาเป็นศูนย์รวมจิตใจและความเป็นหนึ่งเดียวกันของปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายร้อยปี

ดังนั้นแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรเพื่อก่อการเปลี่ยนแปลงและประชาชนชาวไทยยังเห็นพ้องกันอัญเชิญพระมหากษัตริย์เพื่อทรงเป็นสถาบันหลักที่ยังต้องคงอยู่กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว โดยเรียกรูปแบบการปกครองนี้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  และราชอาณาจักรไทยได้คงไว้ซึ่งการปกครองระบอบนี้ต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำนองเดียวกันกับประเทศต่างๆที่มีความเป็นมาของชาติและเอกราชแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันประการหนึ่งคือเอกลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของชาติ รวมถึงทรัพย์สมบัติของชาติจะมีกฎหมายห้ามกระทำการอันทำให้มีมลทิน ต้องเสื่อมค่า เสียหายหรือชำรุด 

ข้อเรียกร้องเรืองการยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้รับรองพระราชฐานะขององค์พระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐ ซึ่งผู้ใดจะกล่าวหาละเมิดไม่ได้นั้นจึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยชัดแจ้ง 

การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคายและยังจะละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอื่นที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นกระทำตาม ยิ่งกว่านั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย แม้การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนกลุ่มต่างๆโดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์เป็นแบบไม่มีแกนนำที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบการกระทำอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน 

การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกันที่มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามมีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยมีการกระทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ มีลักษณะของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม 

ระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญสามประการคือ เสรีภาพ หมายถึงทุกคนมีสิทธิที่จะคิด พูดและทำอะไรได้ตามที่ไม่มีกฎหมายห้าม เสมอภาคหมายถึงทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ภราดรภาพหมายถึงบุคคลทั้งหลายมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างพี่น้อง มีความสามัคคีกัน การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ด้วยความผูกพันของปวงชนชาวไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมานับหลายร้อยปี พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขจึงได้รับความยินยอมจากปวงชนชาวไทย ผู้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล สถาบันพระมหาษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการกระทำใดๆที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะโดยวิธีการพูด การเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่าหรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์ 

การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม เป็นการอ้างสิทธิหรือเสรีภาพเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่น ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างจากบุคคล รวมถึงล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่นที่เห็นต่างด้วยการด่าทอ รบกวนพื้นที่ส่วนตัว ยุยงปลุกปั่นด้วยข้อเท็จจริงที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ปรากฏข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามมีการจัดตั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายสำหรับการใช้ความรุนแรงต่อเนื่อง ในเหตุการณ์ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามมีส่วนจุดประกายในการอภิปราย ปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมือง ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติอันเป็นการทำลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ ผลของการกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง ที่สามนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในที่สุด

นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า การชุมนุมหลายครั้งมีการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ การแสดงออกโดยลบแถบสีน้ำเงินซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์ออกจากธงไตรรงค์ ข้อเรียกร้องสิบข้อของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามเช่น การยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ การยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล การยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไม่ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติไทยที่ยึดถือปฏิบัติกันมาตลอดมา

ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามแสดงให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามว่า การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริตเป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 1 แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้ ด้วยเหตุข้างต้นจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามมาตรา 49 วรรค 2

เวลา 16.00 น. รุ้ง-ปนัสยาอ่านแถลงการณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า คำปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 เป็นการล้มล้างการปกครอง เมื่ออ่านจบมีการโปรยกระดาษที่ด้านหน้าอาคารเอ มีข้อความเช่น ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้างและปฏิรูปตุลาการ
เวลา 17.00 น. หลังการอ่านคำวินิจฉัย พี ทะลุฟ้า เรียกให้มวลชนมารวมตัวรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจำลองแล้วอ่านกวีร่วมกัน จากนั้นแยกย้าย