ความโหดร้ายของการดำเนินคดีกับการลงโทษด้วยมาตรา 112 และความจริงที่คนถูกตั้งข้อหาจำนวนไม่น้อยต้องเข้าเรือนจำ นำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่คนที่ถูกดำเนินคดีเอาการ “หนีไปอยู่ต่างประเทศ” มาเป็นทางเลือก หรือที่เรียกว่าการ “ลี้ภัย”
ในทางสากล การลี้ภัยจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่พลเมืองของประเทศหนึ่งๆ ไม่สามารถอยู่ในประเทศต้นกำเนิดของตัวเองได้ เพราะอาจได้รับอันตราย อาจถูกฆ่า หรือถูกจำคุก เพราะความคิดเห็นทางการเมือง เพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือเหตุอื่นๆ ประเทศอื่นจึงอาจรับคนที่ตกอยู่ในอันตรายเหล่านั้นให้เข้ามาอยู่ในประเทศใหม่เพื่อรักษาชีวิตและความปลอดภัยตามหลักมนุษยธรรม
คดีมาตรา 112 หรือความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายในประเทศที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ และอัตรชาโทษที่สูงกับการบังคับใช้อย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่อาจยอมรับได้ในสายตาของหลายประเทศ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จึงนับได้ว่า เป็นผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายภายใต้อำนาจของรัฐบาลไทยเพราะความคิดเห็นทางการเมือง และเข้าข่ายมีสิทธิได้ลี้ภัยไปประเทศอื่น
หลังการรัฐประหารในปี 2549 เมื่อมาตรา 112 ถูกนำมาใช้ทางการเมือง เริ่มปรากฏมีผู้ที่ลี้ภัยทางการเมืองด้วยมาตรา 112 เช่น จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ (Feudalism), ใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ A Coup for the Rich ทั้งคู่ออกจากประเทศไทยเมื่อปี 2552 ซึ่งทั้งสองคนพอมีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยใจล์เป็นคนถือสองสัญชาติ และมีบ้านที่ประเทศอังกฤษด้วย
ผู้ที่เป็นพลเมืองประเทศอื่นและโดนคดี อย่าง โจ กอร์ดอน ชาวไทยสัญชาติอเมริกัน, วันชัย ตัน ชาวไทยสัญชาติสิงคโปร์, แฮรี่ นิโคไล ชาวออสเตรเลีย เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็กลับประเทศทันที ขณะที่ผู้มีชื่อเสียงหลายคนที่เคลื่อนไหวในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็อาศัยอยู่ในประเทศอื่น เช่น ปวิน ชัชวาลพงษ์พันธุ์, จรรยา ยิ้มประเสริฐ หรือแอนดรู แมกเกรเกอร์ มาแชล ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้ภาพลักษณ์ของมาตรา 112 มาควบคู่กับการ “ลี้ภัย”
แต่การจะได้สิทธิเป็นผู้ลี้ภัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และการ “ย้ายชีวิต” ไปอยู่ต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องสบายกายสบายใจสำหรับทุกคน
สำหรับผู้ที่ต้องการขอสิทธิเป็น “ผู้ลี้ภัย” และได้สถานะเป็นพลเมืองของประเทศอื่น อาจต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างเช่น
1. ในวันที่ยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัย ต้องอยู่ในประเทศที่มีที่ทำการของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่ไม่ใช่ประเทศไทย แม้กรุงเทพจะมีที่ทำการตั้งอยู่ แต่คนไทยจะยื่นขอลี้ภัยที่ที่ทำการในกรุงเทพไม่ได้ ต้องยื่นจากประเทศอื่น ซึ่งหากผู้ต้องหาถูกจับกุมแล้ว หรือถูกออกหมายจับแล้ว ก็ไม่สามารถเดินทางออกไปยื่นเรื่องได้
2. ต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า จะมีโอกาสถูกจับกุม หรือคุมขังด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และต้องมีประเทศใหม่ที่ยอมรับให้ย้ายเข้าไปอยู่ในฐานะพลเมือง
3. การตรวจสอบสถานะผู้ลี้ภัย อาจใช้เวลานานเป็นปี ระหว่างนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเสี่ยง บางคนอาจอยู่ในฐานะคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เอง ทำมาหากินในต่างประเทศ โดยไม่มีองค์กรใดช่วยเหลือ
หลังรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 เมื่อเข้ายึดอำนาจแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ คสช. เรียกคนไปรายงานตัวอย่างน้อย 666 คน มีผู้ที่ถูกจับกุมด้วยกฎอัยการศึกอย่างน้อย 362 คน คนที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง จึงเลือกที่จะ “ลี้ภัย” ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พบจำนวนผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 86 คนส่วนใหญ่ลี้ภัยออกทางเส้นทางธรรมชาติไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาวและกัมพูชา
คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ตัดสินใจออกนอกประเทศแล้วได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัย และเป็นพลเมืองของประเทศใหม่ บางส่วนตัดสินใจเดินทางกลับบ้านในเมืองไทยแล้วโดยปลอดภัย บางส่วนถูกจับที่ต่างประเทศหรือถูกจับในเมืองไทย บางส่วนยังคงใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีกำหนดได้กลับ
สองคนถูกพบเป็นศพในแม่น้ำโขง ถูกคว้านท้องและยัดเสาปูน และอย่างน้อย 7 คนยังคงสูญหาย
ในช่วงปี 2557 นั้น หลังนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งที่มีคดี 112 และไม่มี เลือกไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ก็ปรากฏข่าวลือถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของพวกเขาเป็นระยะ โดยการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ หากไม่เข้าองค์ประกอบทุกข้อก็ยังไม่ได้สิทธิเป็น “ผู้ลี้ภัย” และยังไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการที่จะได้รับการปกป้องจากรัฐบาลของประเทศอื่น
แม้ว่า เมื่ออยู่ต่างประเทศแล้วเขตอำนาจของรัฐไทยจะไปไม่ถึง ตำรวจหรือทหารไทยไม่อาจบุกไปจับกุมคนที่อยู่ในต่างประเทศได้ แต่เมื่อ 15 ธันวาคม 2561 ก็มีข่าวการจับกุม กฤษดา ไชยแค ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เขาเป็นคนเดียวที่ถูกจับตามกระบวนการ โดยข้อหาของเขาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ไม่ใช่มาตรา 112 ส่วนคนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ยังไม่ปรากฏข่าวว่า ถูกจับกุมเพื่อดำเนินคดี แต่หลายคนสูญหาย ไม่ทราบชะตากรรมหรือแม้บางรายสามารถย้ายไปประเทศใหม่ได้แล้ว แต่ชีวิตของคน “ไกลบ้าน” ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างแน่นอน
วงดนตรีไฟเย็น ‘อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยแม้แต่วันเดียว’
กลุ่มไฟเย็น คือ กลุ่มนักดนตรีที่ก่อตั้งขึ้นปลายปี 2553 เป็นที่รู้จักในแวดวงคนเสื้อแดง และมีผลงานเพลงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาทั้งหมด 5 คนเลือกลี้ภัยไปลาว สมาชิกในปัจจุบันทั้งหมด 5 คน คือ ขุนทอง หรือ นายไตรรงค์ สินสืบผล, จอม หรือ นิธิวัต วรรณศิริ, แยม รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล, โยนก ชฤต โยนกนาคพันธุ์ และ พอร์ท ปริญญา ชีวินกุลปฐม
ระหว่างที่อยู่ในลาวพวกเขายังแต่งเพลงเผยแพร่ และจัดรายการทางยูทูป หลังจากข่าวการหายตัวไปของลุงสนามหลวง, สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ในเดือนมิถุนายน 2562 ข่าวลือเรื่องการกวาดล้างผู้ลี้ภัยทางการเมืองแพร่สะพัด สมาชิกวงไฟเย็นถูกข่มขู่ฆ่าไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง ไม่นับรวมข้อความที่ส่งมาสาปแช่ง มีการระบุว่ารู้ที่พักและสามารถเข้าถึงตัวพวกเขาได้ทันที หรือหากคิดหนีจะส่งทหารรบพิเศษไปฆ่าทิ้ง ทำให้พวกเขาต้องหลบซ่อนด้วยความหวาดกลัว
22 สิงหาคม 2552 กลุ่มไฟเย็นได้รับการช่วยเหลือให้ออกมาจากลาว เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศฝรั่งเศส
5 มีนาคม 2564 พอร์ทถูกจับกุมที่บ้านพักในกรุงเทพ ข้อหามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากเดินทางกลับเข้ามาจากนครหลวงเวียงจันทร์ สมาชิกที่เหลือเปิดเผยว่า พอร์ทไม่ได้ลี้ภัยไปฝรั่งเศสตามวงไฟเย็นเนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพ พอร์ทถูกฝากขังและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว