การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่พัทยา

อัปเดตล่าสุด: 10/07/2563

ผู้ต้องหา

สิรวิชญ์

สถานะคดี

ชั้นศาลอุทธรณ์

คดีเริ่มในปี

2561

โจทก์ / ผู้กล่าวหา

พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผู้กำกับ สภ.เมืองพัทยา เป็นผู้กล่าวหาให้ดำเนินคดี

สารบัญ

4 มีนาคม 2561 สิรวิชญ์ หรือ "จ่านิว" ประกาศจัดกิจกรรมชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ที่ชายหาดพัทยา โดยมีคนเข้าร่วมราว 100-200 คน ต่อมาผู้ต้องหา 7 คน ได้รับหมายเรียกและเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ถูกตั้งข้อหาฐานเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และชุมนุมเกิน 5 คน ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.

31 กรกฎาคม 2562 ศาลแขวงพัทยา ลงโทษปรับสิรวิชญ์​, วันเฉลิม​, และศศวัชร์คนละ​ 4,000​ บาท​ แต่คำให้การและทางนำสืบเป็นประโยชน์​ต่อการพิจารณา​ ลดโทษปรับเหลือคนละ​ 3,000​ บาท​ จำเลยอื่นยกฟ้อง

ภูมิหลังผู้ต้องหา

สิรวิชญ์ หรือ จ่านิว ภูมิลำเนาเดิมมาจากจังหวัดนครราชสีมา เคยเป็นนักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษา เมื่ออยู่ชั้นปี 1-2 เคยทำงานอยู่ในสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่ต่อมาจะได้เข้าร่วมกลุ่มสภาหน้าโดม และเคยเคลื่อนไหวในนามกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา โดยแนวทางการเคลื่อนไหวเป็นการต่อต้านเผด็จการ คัดค้าน คสช. และเรียกร้องประชาธิปไตยมาโดยตลอด
 
 
วันเฉลิม 
 
จิดาภา 
 
อนุรักษ์  หรือผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "ฟอร์ด เส้นทางสีแดง" ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัว เมื่อมีเวลาว่างจะทำกิจกรรมปั่นจักรยานในนามกลุ่มเส้นทางสีแดง โดยเข้าร่วมกิจกรรมมาเป็นเวลา 4 ปี ก่อนการยึดอำนาจของ คสช. ทำกิจกรรมเดินทางไป 6 ประเทศในอาเซียน รวมทั้งประเทศไทย มอบเงินให้ชาวบ้านเพื่อช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วมและครอบครัวเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมปี 53
 
หลัง คสช. เข้ายึดอำนาจ อนุรักษ์เคยถูกจับกุมและดำเนินคดีฐานชุมนุมฝ่าฝืนประกาศ คสช. และเคยถูกศาลทหารพิพากษาลงโทษให้ จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และรอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาอนุรักษ์ยังเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรมคนอยากเลือกตั้งที่หน้าห้างมาบุญครอง หรือ MBK39 
 
วีรชัย
 
ดารณี หรือ ดา ตอร์ปิโด เป็นนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการตั้งแต่ยุคของการรัฐประหารปี 2549 เคยขึ้นปราศรัยและถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ถูกพิพากษาจำคุก 15 ปี โดยต้องอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ปี 2551 ต่อมาได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2559 ก่อนหน้านี้ ดารณียังเคยถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรมคนอยากเลือกตั้งที่หน้าห้างมาบุญครอง หรือ MBK39   
 
อารีย์ (สงวนนามสกุล)  

ข้อหา / คำสั่ง

อื่นๆ, ฝ่าฝืนประกาศคสช. 7/2557, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558
คำสั่งหัวหน้าคสช. 3/2558

การกระทำที่ถูกกล่าวหา

ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ลงวันที่ 12 มีนาคม 2461 ระบุว่า ผู้ต้องหากับพวกในคดีนี้เป็นแกนนำ แจ้งทางสื่อโซเชียลออนไลน์ รวมทั้งสื่ออินเทอร์เน็ตต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมในที่สาธารณะ ในวันที่ 4 มีนาคม 2461 ที่ลานตรงข้ามห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยาบีช ถ.เลียบชายหาด หมู่ 9 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 

ในวันที่ 4 มีนาคม 2561 เวลา 17.40 น. ผู้ต้องหากับพวกรวมประมาณ 30 คน ซึ่งผู้ต้องหาเป็นแกนนำปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล จัดให้มีการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต พฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหา เป็นความผิดฐานร่วมกันจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2548 และฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ
ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ลงวันที่ 12 มีนาคม 2461 ระบุว่า ผู้ต้องหากับพวกในคดีนี้เป็นแกนนำ แจ้งทางสื่อโซเชียลออนไลน์ รวมทั้งสื่ออินเทอร์เน็ตต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมในที่สาธารณะ ในวันที่ 4 มีนาคม 2461 ที่ลานตรงข้ามห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยาบีช ถ.เลียบชายหาด หมู่ 9 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 
 
ในวันที่ 4 มีนาคม 2561 เวลา 17.40 ผู้ต้องหากับพวกรวมประมาณ 30 คน ซึ่งผู้ต้องหาเป็นแกนนำปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล จัดให้มีการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต พฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหา เป็นความผิดฐานร่วมกันจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2548 และฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ

ขณะที่คำฟ้องของอัยการซึ่งฟ้องคดีต่อศาลแขวงพัทยาภายหลังจากที่คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ถูกยกเลิกพอสรุปได้ว่า

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 จำเลยทั้งสิบสองและพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะที่บริเวณลานฝั่งตรงข้ามห้างเซนทรัลเฟสติวัลพัทยาบีชซึ่งเป็นที่สาธารณะ พวกจำเลยมีการแจ้งนัดหมายเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง โดยไม่ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อพ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ซึ่งเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ที่จัดการชุมนุม

และไม่ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะพร้อมขอผ่อนผันกำหนดเวลาดังกล่าวต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จากนั้นจำเลยทั้งสิบสองกับพวกได้ร่วมกันชุมนุมโดยจำเลยที่หนึ่งได้ปราศรัยทางการเมือง และกล่าวโจมตีการทำงานของรัฐบาล และ คสช. เรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงให้ยกเลิกประกาศ คำสั่ง คสช. ทุกฉบับ จัดให้มีการถือป้ายและแสดงสัญลักษณ์ จึงเป็นการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พฤติการณ์การจับกุม

ผู้ต้องหาที่ได้รับหมายเรียกจากตำรวจ เดินทางเข้ารายงานตัวเอง หลังการแจ้งข้อกล่าวหา ตำรวจปล่อยให้กลับบ้านโดยไม่ได้ทำการจับกุม
 

บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล

ไม่มีข้อมูล

หมายเลขคดีดำ

ไม่มีข้อมูล

ศาล

ศาลแขวงพัทยา

เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

ไม่มีข้อมูล
4 มีนาคม 2561
 
ระหว่างที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจัดกิจกรรมชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาล คสช. จัดการเลือกตั้งภายในปี 2561 หลายครั้งที่กรุงเทพฯ สิรวิชญ์ฯ หรือ "จ่านิว" ก็ประกาศว่า จะเดินทางไปจัดกิจกรรมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่พัทยา โดยใช้ชื่อว่า กิจกรรม “START UP PEOPLE ON TOUR: ปลุกพลังคนอยากเลือกตั้ง ครั้งที่ 2” 

เวลาประมาณ 17.30 น. สิรวิชญ์ เริ่มกิจกรรมกล่าวปราศรัย บริเวณชายหาด หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา ถ.เลียบชายหาด โดยมีผู้มาร่วมกิจกรรมทั้งที่เดินทางมาจากกรุงเทพจำนวนหนึ่ง และที่เป็นประชาชนในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วมีคนเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 100-200 คน ตลอดกิจกรรมสิรวิชญ์ เป็นผู้ปราศรัยคนเดียว โดยใช้เครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก

เนื้อหาของการปราศรัยเน้นการโจมตีความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. และการเลื่อนกำหนดการการเลือกตั้งออกไปจากที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ยังมีการแจกเอกสาร "หยุดวางไข่เผด็จการ" ประชาสัมพันธ์ขายเสื้อ การชูสัญลักษณ์สามนิ้ว และถ่ายภาพร่วมกันของผู้ที่มาร่วมกิจกรรม ตลอดเวลาที่ทำกิจรรม นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงสัญจรบนท้างเท้า และเล่นน้ำที่ชายหาดได้ตามปกติ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดการจราจรบนถนนเลียบชายหาดบริเวณนั้นทั้งหมด และจัดเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบราว 100 นาย กระจายกำลังอยู่โดยรอบ
 
pattaya1
 
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า ในขณะที่ผู้ชุมนุมกำลังชุมนุมนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้นำหนังสือของ สภ.เมืองพัทยา ขอให้เลิกการชุมนุม ซึ่งอาจเข้าลักษณะการกระทำที่ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 มายื่นให้ โดยขอยกเลิกการชุมนุมเวลา 18.30 น. ซึ่งทางสิรวิชญ์ ได้รับหนังสือและได้อ่านหนังสือในการขอยกเลิกการชุมนุม โดยผู้ชุมนุมก็ได้รับปาก และการปราศรัยดำเนินไปจนถึงเวลาประมาณ 18.30 น. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็แยกย้ายกันกลับ 
 
 
12 มีนาคม 2561
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์, วันเฉลิม และจิดาภา สามผู้ต้องหาที่ได้รับหมายเรียกตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2561เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองพัทยา ตามวันเวลาที่กำหนดในหมายเรียก
 
พ.ต.ท.พิทักษ์ เนินแสง พนักงานสอบสวนในคดีนี้ แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้ง 3 ได้แก่ ข้อหาตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มาตรา 10 เรื่องการจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า และข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ฐานชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากนั้นได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 คนไว้ โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะส่งคำให้การเป็นเอกสารในภายหลัง
 
จากนั้นเวลา 14.00 น. เมื่อข้อกล่าวหาและสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 แล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหากลับ โดยไม่มีการควบคุมตัว และนัดหมายผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้มารายงานตัวที่ สภ.เมืองพัทยา ในวันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลา 10.00 น. เพื่อส่งตัวผู้ต้องหาให้อัยการต่อไป
 
19 มีนาคม 2561 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ได้นัด อนุรักษ์ เจนตวนิชย์, วีรชัย, ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล และ อารีย์ (สงวนนามสกุล) เข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และร่วมกันชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ 3/2558
 
ผู้ต้องหาทั้งสี่คนให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และจะให้การเป็นหนังสือในภายหลัง เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 4 แล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหากลับโดยไม่มีการควบคุมตัว และไม่ต้องประกันตัว
 
28 มีนาคม 2561 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ตำรวจสภ.เมืองพัทยา ส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน เข้ารายงานตัวเพื่อส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนการสอบสวนให้แก่อัยการแขวงพัทยา
 
ก่อนหน้าที่จะส่งตัวผู้ต้องหา พร้อมสำนวนการสอบสวนที่มีความเห็น​ควรสั่งฟ้อง​ให้กับอัยการ ตำรวจได้ประสานงานให้ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน มาพบที่สภ.เมืองพัทยาก่อน เพื่อทำการแถลงข่าว โดยมี พ.ต.อ.อภิชัย​ กรอบเพชร ผกก.​สภ.เมืองพัทยา ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 7 คนในคดีนี้ นั่งหัวโต๊ะในการแถลงข่าว​ ด้าน 6 ผู้ต้องหาได้เดินทางเข้าไปยังสภ.เมืองพัทยาพร้อมกับทนายความ ส่วนอีก 1 ผู้ต้องหาได้เดินทางไปรอที่สำนักงานอัยการแขวงพัทยาก่อนแล้ว
 
โดยระหว่างเข้าพบกับตำรวจที่สภ.เมืองพัทยา ฝ่ายผู้ต้องหาได้ยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อพนักงานสอบสวนในคดี จากนั้นเมื่อการแถลงข่าวเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ไปลงบันทึกประจำวันและได้ติดต่อให้ผู้ต้องหาอีก 1 คนที่รออยู่ที่สำนักงานอัยการแขวงพัทยาเข้ามาลงชื่อในบันทึกประจำวัน ก่อนนัดหมายผู้ต้องหาทั้ง 7 คนให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง ที่สำนักงานอัยการแขวงพัทยา ในเวลา 13.00 น.
 
ต่อมาเวลา 13.00 น. ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนเดินทางไปที่สำนักงานอัยการแขวงพัทยา เมื่อตำรวจได้ส่งตัวให้กับอัยการพร้อมด้วยสำนวนการสอบสวนแล้ว ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด โดยยื่นผ่านอัยการแขวงพัทยาผู้รับผิดชอบสำนวนคดี เพื่อให้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี เนื่องจากการฟ้องคดีต่อผู้ต้องหาทั้งหมดไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อัยการแขวงจึงได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาทั้ง 7 คน มารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งของอัยการแขวงอีกครั้งในวันที่ 5 เมษายน 2561 เวลา 9.30 น.
 
9 เมษายน 2561 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์, วันเฉลิม กุนเสน, จิดาภา ธนหัตถชัย, อนุรักษ์ เจนตวนิชย์, วีรชัย (สงวนนามสกุล), ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล และ อารีย์ (สงวนนามสกุล) 7 ผู้ต้องหา คนอยากเลือกตั้งพัทยาได้เดินทางเข้าพบ พนักงานอัยการตามหมายนัดเพื่อฟังคำสั่งในคดีฝ่าคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 ข้อ 12 เรื่องห้ามมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตและจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งผู้รับแจ้ง ตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ  
 
ทั้งนี้ ในวันดังกล่าว อัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้อง ออกไปเป็นวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 5 ราย ในคดีเดียวกันนี้ และนัดให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 17 เมษายน 2561 เวลาประมาณ 10.30 น.
 
25 เมษายน 2561 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ผู้ชุมนุมคนอยากเลือกตั้งพัทยา 5 คน ได้แก่ ศศวัชร์ คมนียวนิช, สุวรรณา ตาลเหล็ก, ฉัตรมงคล วัลลีย์, ประนอม พูลทวี, วลี ญาณะหงสา เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองพัทยา จากกรณีชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่พัทยา หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมากเรียกเพิ่มในคดีนี้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา
 
ทั้งนี้ หลังพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คน โดยไม่มีการควบคุมตัวระหว่างการสอบสวนและไม่ต้องประกันตัว พร้อมกับได้นัดให้ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน มาพบอีกครั้งเพื่อส่งตัวและสำนวนให้อัยการศาลแขวงพัทยาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันนัดฟังคำสั่งอัยการของผู้ต้องหาอีก 7 คนก่อนหน้านี้ในคดีเดียวกัน
 
10 พฤษภาคม 2561 
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ผู้ต้องหาเจ็ดคนที่ถูกออกหมายเรียกเป็นกลุ่มแรกได้แก่ สิรวิชญ์ วันเฉลิม จิดาภา อนุรักษ์ วีรชัย ดารณี และ อารีย์ เดินทางเข้าพบอัยการตามนัดแล้วโดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีครั้งต่อไปในวันที่ 26 มิถุนายน 2561
 
สำหรับผู้ต้องหาอีกห้าคนได้แก่ ศศวัชร์ สุวรรณา ฉัตรมงคล ประนอมและวลี ซึ่งถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกเป็นกลุ่มที่สองได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้เพื่อยื่นคำให้การเพิ่มเติม หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวทั้งห้าคนให้กับอัยการซึ่งอัยการนัดให้ผู้ต้องหาทั้ง 12 คนมาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 26 มิถุนายน 2561 

26 มิถุนายน 2561
 
นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 
 
24 กรกฎาคม 2561 

นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เนื่องจากอัยการแขวงพัทยายังไม่ได้รับสำนวนคดีจึงยังไม่สามารถสั่งคดีได้ 
 
 
27 สิงหาคม 2561
 
นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ผู้ต้องหาสองคนและตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้ต้องหาเดินทางเข้าพบอัยการตามนัดที่สำนักงานอัยการศาลแขวงพัทยา โดยอัยการแจ้งผู้ต้องหาว่ายังไม่มีคำสั่งคดีและนัดหมายให้ผู้ต้องหามารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งในวันที่อีกครั้งในวันที่ 24 กันยายน 2561 และวันที่ 24 ตุลาคม 2561
 
24 กันยายน 2561

นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 24 ตุลาคม 2561
 
 
24 ตุลาคม 2561
 
นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 24 มกราคม 2562
 
 
24 มกราคม 2562
 
นัดฟังคำสั่งอัยการ
 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ประมาณ 15.15 น. พนักงานอัยการคดีศาลแขวงพัทยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสิรวิชญ์ , วันเฉลิม , จิดาภา , อนุรักษ์ , วีรชัย , ดารณี , อารีย์ , วลี , สุวรรณา , ประนอม , ฉัตรมงคล , และศศวัชร์  เป็นจำเลยที่ 1-12 ฐานไม่แจ้งการชุมนุมต่อหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558
 
คำฟ้องระบุว่า 4 มีนาคม 2561 จำเลยทั้ง 12 คนกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะเพื่อเรียกร้องการเลือกตั้ง บริเวณลานฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช ติดถนนเลียบชายหาดพัทยา โดยไม่ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะดังกล่าวต่อ พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผู้กํากับการ สภ.เมืองพัทยา ซึ่งเป็นหัวหน้าสถานีตํารวจแห่งท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะ ก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และไม่ขอผ่อนผันกำหนดระยะเวลาแจ้งการชุมนุมต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี

จำเลยทั้งสิบสองให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นสอบสวน และขอต่อสู้คดีในชั้นศาลเช่นกัน ศาลแขวงพัทยาจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคดีนี้ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562  และอนุญาตปล่อยตัวจำเลยทั้งสิบสองระหว่างการพิจารณา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว
 
18 กุมภาพันธ์ 2562
 
นัดตรวจพยานหลักฐาน
 
หลังตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น ศาลนัดสืบพยานระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน 2562
 
 

11 มิถุนายน 2562

นัดสืบพยานโจทก์

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลว่า ก่อนเริ่มสืบพยานผู้พิพากษาแนะนำให้จำเลยทั้งหมดรับสารภาพ เพราะคดีมีเพียงโทษปรับ และสถานการณ์การเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่จำเลยทั้งหมดยืนยันให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช้ผู้จัดการชุมนุมที่มีหน้าที่ต้องแจ้งการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ

อัยการนำ พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพ็ชร พยานโจทก์ปากที่ 1  ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.เมืองพัทยา เข้าเบิกความต่อศาลในฐานะผู้กล่าวหา

พ.ต.อ.อภิชัย ให้การว่า ก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2561 สืบทราบว่ามีสื่อออนไลน์นัดหมายชุมนุมสาธารณะ จึงสั่งให้ชุดสืบสวนติดตามสื่อสังคมออนไลน์ และตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุจนถึงวันที่เกิดเหตุ คือ หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช

การชุมนุมในวันที่ 4 มีนาคม 2561 เริ่มเวลาประมาณ 17.00 น. สถานที่ชุมนุมอยู่ห่างจาก สภ.เมืองพัทยา ประมาณ 100 เมตร จึงเดินทางไปสังเกตการณ์ด้วยตนเอง พบผู้ชุมนุมประมาณ 30 คน โดยมีสิรวิชญ์ปราศรัยอยู่บนเวทีผ่านเครื่องขยายเสียงบนพื้นที่สาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ต้องขออนุญาตหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ที่จัดการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งกรณีนี้คือ สภ.เมืองพัทยา

พยานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีการแจ้งการชุมนุมดังกล่าว รวมถึงไม่มีการขอผ่อนผันกับทางกองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี จึงทำหนังสือแจ้งให้ยุติการชุมนุมเนื่องจากไม่มีการขออนุญาตชุมนุม ผู้ชุมนุมชุมนุมต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเลิกการชุมนุม

หลังจากนั้น พ.ต.อ.อภิชัย สั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนำบันทึกภาพและเสียงการชุมนุมมาตรวจสอบว่ามีบุคคลใดร่วมชุมนุมบ้าง ทราบชื่อคือจำเลยทั้ง 12 คน จึงเข้ากล่าวโทษและให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม อดีต ผกก.สภ.เมืองพัทยา ตอบคำถามค้านทนายความว่า จำ URL เว็บไซต์ และบัญชีอีเมล์ของ สภ.เมืองพัทยา ไม่ได้ ขณะที่การเดินทางจากกรุงเทพมหานครมายังเมืองพัทยาใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ขณะที่กองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจาก สภ.เมืองพัทยา ออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร นอกจากนี้ พยานยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้โพสต์เชิญชวนให้มาชุมนุม และขณะแจ้งให้ยุติการชุมนุม มีสิรวิชญ์เข้ามาเจรจาเพียงคนเดียว

จากนั้น รักษาการผู้อำนาวยการส่วนผังเมือง สำนักการช่าง เมืองพัทยา เข้าเบิกความยืนยันว่าพื้นที่การชุมนุมเป็นพื้นที่สาธารณะ มีไว้ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน จากการตรวจสอบพื้นที่ไม่พบว่ามีสิ่งใดเสียหาย

 พ.ต.ต.สุวิทย์ พยานโจทก์ปากที่ 2  อดีต สว.สภ.เมืองพัทยา ผู้ดูแลงานธุรการและหนังสือโต้ตอบของ สภ.เมืองพัทยา

พ.ต.ต.สุวิทย์ ให้การว่า พ.ต.อ.อภิชัย ผกก.สภ.เมืองพัทยา สั่งการให้พยานไปตรวจสอบหนังสือว่ามีการขออนุญาตชุมนุมหรือไม่ ทั้งทางโทรสารและอีเมล์ พบว่า การชุมนุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2561 ไม่ได้แจ้งการชุมนุมไว้ทั้งก่อนและหลังการชุมนุม อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต.สุวิทย์ ตอบคำถามค้านทนายความจำเลยว่า ในบัญชีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่เมืองพัทยา และบุคคลที่อาศัยในเมืองพัทยา ไม่มีใครทราบบัญชีอีเมล์ของ สภ.เมืองพัทยา

จากนั้น อัยการนำ พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ พยานโจทก์ปากที่ 3  อดีต สว.สส.สภ.เมืองพัทยา เข้าให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้รับมอบหมายให้สอดส่องติดตามเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีผู้มาชุมนุม พบการประกาศเชิญชวนทางสื่อสังคมออนไลน์ในกลุ่มที่มีสิรวิชญ์เป็นแกนนำ

จากการติดตามของ พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ พบว่า สิรวิชญ์เข้ามาในพื้นที่วันที่ 4 มีนาคม 2561 เวลาประมาณ 11.00 น. พร้อมพวกรวม 3 คน และนำเครื่องขยายเสียงติดตัวมาด้วย วันนั้นพยานแต่งกายนอกเครื่องแบบ ประมาณ 17.00 น. สิรวิชญ์ใช้เครื่องขยายเสียงยืนพูดบนที่นั่งเล่นริมชายหาด เนื้อหาการปราศรัยคือไม่ให้รัฐบาลเลื่อนจัดการเลือกตั้ง โดยจำเลยคนอื่นไม่ได้ร่วมพูดด้วย เพียงแต่ชูป้ายและร่วมถ่ายภาพเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนตอบคำถามค้านทนายความว่า ไม่ทราบว่าเฟซบุ๊กที่โพสต์เชิญชวนเป็นของใคร เพราะไม่ได้ตรวจสอบ แต่ไม่ได้มีชื่อตรงกับจำเลยในคดีนี้ ในคดีคนอยากเลือกตั้งอื่นๆ จำเลยบางส่วนถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ชุมนุม จำเลยสวมเสื้อแตกต่างกัน ไม่มีสัญลักษณ์ใดเหมือนกันเป็นพิเศษ รวมถึงเดินมาต่างเวลา ส่วน น.ส.อารีย์ พยานรู้จักมาก่อน และเป็นผู้ให้จำเลยไปถามผู้ชุมนุมว่าหลังเลิกการชุมนุมจะไปรับประทานอาหารที่ไหนต่อ ระหว่างการชุมนุม ไม่มีโฆษกปราศรัยเชิญชวนให้คนเข้ามาร่วมการชุมนุม สิรวิชญ์ปราศรัยเพียงคนเดียวเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดปรึกษาใคร

นอกจากนี้ พยานยังยอมรับว่าในการชุมนุมมีทั้งแกนนำและมวลชนผู้เข้าร่วม โดยพฤติกรรมของแกนนำมักจะปรากฏตัวบนเวที ขณะที่มวลชนจะชูป้าย ปรบมือ หรือชู 3 นิ้ว เป็นต้น

 

12 มิถุนายน 2562

นัดสืบพยานโจทก์

 ศาลแขวงพัทยาสืบพยานต่อเป็นวันที่สอง อัยการนำ พ.ต.ท.ออมสิน พยานโจทก์ปากที่ 4  พนักงานสอบสวนในคดีเข้าให้การ

พ.ต.ท.ออมสิน ให้การว่า รับแจ้งความจาก พ.ต.อ.อภิชัย ในข้อหาชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากนั้นจึงสอบสวนพยานในคดีนี้และไปตรวจสถานที่เกิดเหตุว่าเป็นพื้นที่สาธารณะหรือไม่ จากนั้นจึงออกหมายเรียกจำเลยมาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหา

โดยอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ให้การเพิ่มเติมภายหลังว่าไม่ได้มาร่วมชุมนุมแต่มาพักผ่อนที่เกาะล้าน ภายหลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้วมีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสิบสองฐานชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12

พนักงานสอบสวนตอบคำถามค้านทนายความว่า บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาไม่ระบุพฤติกรรมว่าจำเลยทั้งสิบสองแบ่งหน้าที่กันทำอย่างไร การตรวจที่เกิดเหตุไม่พบความเสียหาย พยานไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นผู้โพสต์เชิญชวนให้มาชุมนุม เมื่อทราบหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสิบสอง พยานไม่ได้ตรวจสอบต่อว่าจำเลยติดต่อกันมาก่อนหรือไม่

เกี่ยวกับการแจ้งการชุมนุม พ.ต.ท.ออมสิน ตอบคำถามของทนายความจำเลยว่า สภ.เมืองพัทยา มีแต่บัญชีเฟซบุ๊กแต่ไม่มีเว็บไซต์ สามารถแจ้งการชุมนุมได้ทางโทรสาร อีเมล์ หรือมาแจ้งด้วยตนเอง ตัวพยานเองก็ไม่ทราบอีเมล์ที่ใช้ติดต่อ สภ.เมืองพัทยา และผู้ที่จะมีความผิดตามมาตรา 10 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ต้องเป็นแกนนำหรือผู้จัดการชุมนุม

อย่างไรก็ตาม ทาง สภ.เมืองพัทยา ทราบล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะมีการชุมนุม และได้จัดการอำนวยความสะดวกตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ

 

นัดสืบพยานจำเลย


ช่วงบ่าย เป็นการสืบพยานของฝ่ายจำเลยบ้าง  เป็นจำเลยที่ 1 ขึ้นเบิกความเอง  สิรวิชญ์ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เขาเคยชุมนุมมาแล้ว 4 ครั้ง เพื่อเรียกร้องไม่ให้เลื่อนจัดการเลือกตั้ง และแจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาโดยตลอด กระทั่งวันที่ 3 มีนาคม 2561 ได้ค้นหาช่องทางติดต่อ สภ.เมืองพัทยา เพื่อแจ้งการชุมนุม เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องติดต่อ ผกก. โดยตรง และได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ไว้

เมื่อติดต่อ ผกก.สภ.เมืองพัทยา เพื่อขออีเมล์สำหรับแจ้งการชุมนุม ผกก. แจ้งว่าจำไม่ได้และให้จำเลยเดินทางมาแจ้งการชุมนุมด้วยตนเอง จำเลยพยายามค้นหาช่องทางแจ้งการชุมนุมของ สภ.เมืองพัทยา ต่อแต่ไม่พบ จึงถือว่าได้แจ้งทางวาจาต่อ ผกก. ไว้แล้ว ส่วนช่องทางโทรสาร ที่บ้านของจำเลไม่มีอุปกรณ์ส่ง และปัจจุบันหาร้านส่งได้ยาก ส่วนที่ไม่ได้ขอผ่อนผันการแจ้งการชุมนุม

ในวันเกิดเหตุ สิรวิชญ์เดินทางมาพร้อมศศวัชร์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เพราะต้องการให้เพื่อนติดตามมาด้วยเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ไม่ได้นัดหมายกับใครและเป็นผู้ปราศรัยเพียงคนเดียว เมื่อได้รับแจ้งให้ยุติการชุมนุม ก็เลิกการชุมนุมหลังจากนั้นไม่นาน

สิรวิชญ์ตอบคำถามค้านของอัยการว่า ไม่ได้เดินทางมาจากจำเลยคนอื่นนอกจากศศวัชร์ ส่วนที่ภาพกับวันเฉลิม เป็นการพบกันในห้างสรรพสินค้าโดยบังเอิญ และรู้จักกันผ่านสื่อ เฟซบุ๊กที่โพสต์เชิญชวนไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นของกลุ่มที่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของจำเลย

ก่อนมาชุมนุม จำเลยไม่ทราบว่า สภ.เมืองพัทยา อยู่ที่ใด และหากแจ้งการชุมนุมได้โดยสะดวกก็จะแจ้งทุกครั้ง ก่อนหน้านี้เคยโทรศัพท์แจ้งการชุมนุมต่อ ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา และได้รับอนุญาตให้ชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561 โดย ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา แจ้งว่าแม้การแจ้งการชุมนุมจะไม่สมบูรณ์แต่สามารถอนุโลมให้ได้ และไม่ถูกดำเนินคดี ส่วนจำเลยคนอื่นๆ บางคนเคยไปร่วมชุมนุมแต่ไม่เคยถูกดำเนินคดีในฐานะแกนนำ

 

13 มิถุนายน 2562

นัดสืบพยานจำเลย


สืบพยานจำเลยอีกปาก เป็นจำเลยที่ 4  อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ เข้าให้การต่อศาลว่า ในวันเกิดเหตุตั้งใจพาภรรยาไปพักผ่อนที่เกาะล้าน โดยจองที่พักตั้งแต่ 16 ก.พ. 2561 ก่อนทราบว่าจะมีการชุมนุม และเดินทางด้วยรถประจำทางลงที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช เห็นประชาชนชุมนุมห่างออกไปประมาณ 30 เมตร จึงเดินเข้าไปถ่ายรูปและถ่ายทอดสดการชุมนุมผ่านทางเฟซบุ๊กประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงเดินทางไปที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายก่อนที่การชุมนุมจะยุติ

อนุรักษ์ตอบคำถามค้านของอัยการว่า ระหว่างชุมนุมไม่มีการเชิญชวนคนให้เข้าร่วม หรือแจกจ่ายสิ่งของ มีเพียงการปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงขนาดเล็กเท่านั้น เขาไม่ทราบว่าเฟซบุ๊กที่โพสต์เชิญชวนเป็นของใคร ส่วนภรรยามาด้วยกันและยืนอยู่ใกล้จำเลยแต่ไม่ได้ถูกดำเนินคดีด้วย และเขายังถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมของคนอยากเลือกตั้งอีกหลายคดี แต่อยู่ในฐานะผู้ชุมนุม ไม่ใช่แกนนำผู้จัดการชุมนุม

หลังสืบพยานเสร็จสิ้นศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 กรกฎาคม 2562

31 กรกฎาคม 2562

ในห้องพิจารณาคดีที่ 3 จำเลยทั้ง 12 ราย ต่างทะยอยกันมาที่ห้องจนแน่นขนัด ก่อนศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษาในราว 9.45 น. สรุปความได้ว่า ศาลจะลงโทษเฉพาะจำเลย 3 คนคือ สิรวิชญ์ , วันเฉลิม, ศศวัชร์ เพราะมีพฤติการณ์เป็นผู้จัดการชุมนุม ทั้งการปราศรัย การยกลำโพงมาตั้ง รวมถึงมีการนัดแนะมาเจอกันที่เซนทรัล เฟซติวัล บีช พัทยา ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ศาลยกฟ้องเพราะเพียงแต่มาร่วมชูป้าย ถ่ายรูป ไม่ได้มีลักษณะเป็นแกนนำหรือผู้จัดการชุมนุม

ทั้งนี้ศาลให้เหตุผลที่ปรับจำเลยทั้ง 3 คน เพิ่มเติมว่า แม้การแจ้งการชุมนุมกฎหมายจะไม่ได้บัญญัติโดยตรงว่า ต้องไปแจ้งที่ไหน ในสถานีตำรวจเลยหรือแค่ในโทรศัพท์ แต่การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ที่ไม่แจ้งการชุมนุมนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอยากให้แจ้งชุมนุมนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะมาชุมนุม แต่การชุมนุมก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และวันชุมนุมดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดเหตุอาชญากรรมรุนแรงอะไร จึงพิพากษาปรับ จำเลยทั้ง 3 คนคนละ 4,000 บาท และเนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อศาลจึงลดโทษปรับคงเหลือ 3,000 บาท

27 กันยายน 2562

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า อัยการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ โดยระบุเหตุผลว่า 

จำเลยคนอื่นๆในคดีที่ศาลชั้นตนยกฟ้อง ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสามคนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษด้วย โดยจำเลยที่เหลือมีพฤติการณ์  ถือป้ายซึ่งจัดเตรียมมา ลักษณะป้ายและความหมายของป้ายเป็นอย่างเดียวกัน และเหมือนๆ กัน เพื่อสนับสนุนการปราศรัยของสิรวิชญ์

เป็นการกระทำในลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมและการปราศรัย มีคนสนใจชุมนุมและฟังมาก ถือเป็นตัวการร่วมกับจำเลยสาม จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งหมดด้วย

30 ตุลาคม 2562 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนวันเฉลิมและศศวัชร์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่าทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุม

กุมภาพันธ์ 2563

ทนายจำเลยให้ข้อมูลว่าทีมทนายยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว โดยสามารถสรุปคำอุทธรณ์ของฝ่ายจำเลยได้ว่า 

จำเลยที่สองและ 12 อุทธรณ์ว่า ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันชัดเจนได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมวางแผนรู้เห็นและมีพฤติการณ์เป็นผู้จัดหรือประสงค์จะจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ รวมถึงเป็นผู้เชิญชวนหรือนัดหมายให้ผู้อื่นมาร่วมการชุมนุมสาธารณะโดยแสดงออกหรือมีพฤติการณ์ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 และที่ 12 เป็นผู้จัดให้มีการชุมนุม

การที่จำเลยที่สองและ 12 ช่วยเหลือจำเลยที่หนึ่งในการขนย้ายลำโพงไปยังจุดชุมนุมยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองมีความสนิทสนมกันเหมือนเพื่อนสนิท และหลักฐานภาพถ่ายขณะขนย้ายลำโพงไม่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ว่าจำเลยที่สองมีความสนิทสนมกับจำเลยที่หนึ่งและที่ 12 อีกทั้งไม่เป็นภาพที่มีพฤติการณ์ว่าเป็นการประชุมวางแผนแบ่งหน้าที่แต่อย่างใด

คำเบิกความของพ.ต.ท.ธีรศักดิ์ ศรีแสงได้ความส่วนหนึ่งว่าจำเลยที่สองถึงที่ 12 ไม่ได้มีการปราศรัยบนเวที แต่มีการชูป้ายสนับสนุน จำเลยที่หนึ่งกับที่สองและที่ 12 ไม่ได้มีการใส่เสื้อที่มีสัญลักษณ์เดียวกัน รวมทั้งไม่มีสัญลักษณ์อื่นใดเป็นพิเศษที่แสดงว่าเหมือนกัน และก่อนปราศรัยไม่พบว่าจำเลยทั้งสิบสองได้นัดประชุมอย่างเป็นทางการ รวมถึงขณะอยู่ในห้างจำเลยที่หนึ่งที่สองและที่ 12 ก็ไม่ได้นั่งพูดคุยหรือประชุมกัน

จำเลยที่หนึ่งเบิกความตอนหนึ่งว่า จำเลยที่หนึ่งชวนจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ให้เดินทางมาเป็นเพื่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกาย และข่มขู่ไม่ให้ไปทำกิจกรรม หลังจากนั้นการทำกิจกรรมแต่ละครั้งจึงต้องมีการชวนเพื่อนไปด้วยเสมอเพื่อความปลอดภัย สำหรับการชุมนุมครั้งนี้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย จำเลยที่หนึ่งเป็นแกนนำคนเดียว ปราศรัยคนเดียว ไม่มีบุคคลอื่นร่วมปราศรัย ไม่ได้ร่วมจัดการวางแผนกับบุคคลใด ไม่ได้ประชุมหรือจัดการชุมนุมกับจำเลยที่สองถึงที่ 12 ในคดีนี้

จำเลยที่หนึ่งเบิกความอีกว่า จำเลยที่สองไม่ได้เดินทางมาพร้อมกับเขา แต่มาพบกันโดยบังเอิญเนื่องจากจำเลยที่สองรู้จักจำเลยที่หนึ่งจากทางสื่อ และจึงเข้ามาทักทาย

จำเลยที่สองและที่ 12 ขอเรียนต่อศาลว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งสองว่าเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 หรือไม่ 

จากการที่พยานโจทก์เบิกความแล้วมีเพียงพยานหลักฐานจากพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ ไม่พบว่ามีการเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่สองมีการนัดหมายกับจำเลยที่หนึ่ง

อีกทั้งจำเลยที่หนึ่งก็เบิกความชัดเจนว่า จำเลยที่หนึ่งเป็นผู้จัดการชุมนุมแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงเบิกความถึงเหตุแห่งการชวนจำเลยที่ 12 เดินทางมาพร้อมกับตัวเองในวันเกิดเหตุด้วย

เอกสารภาพถ่ายขณะอยู่ในห้างก็ไม่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของจำเลยที่หนึ่งที่สองและที่ 12 แต่อย่างใด

รวมถึงการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยกรณีจำเลยที่สามถึงที่ 11 ได้ความว่า ลำพังเพียงการที่จำเลยดังกล่าวถือป้ายสนับสนุนการปราศรัยของจำเลยที่หนึ่งโดยไม่ได้ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วยนั้น พยานหลักฐานดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นผู้จัดการชุมนุม  ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่สองและที่ 12 ไม่ได้มีการขึ้นเวทีปราศรัย พฤติการณ์จึงยังฟังไม่ได้เช่นกันจำเลยที่สองและที่ 12 เป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุม

พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ว่า จำเลยที่สองและที่ 12 เป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์  มีพฤติการณ์เป็น “ผู้ร่วมจัดการชุมนุมสาธารณะ” ตามนิยาม “ผู้จัดการชุมนุม” ของพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 4 จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการจัดการชุมนุมดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ขอให้ศาลอุทธรณ์โปรดพิพากษา กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้จำเลยที่สองและที่ 12 พ้นข้อหาไป

13 พฤษภาคม 2563

นัดฟังคำพิพากษา

การศาลเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 23 มิถุนายน 2563 เนื่องจากวันนัดเดิมอยู่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19

23 มิถุนายน 2563 

นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 เนื่องจากดารณี หนึ่งในจำเลยเสียชีวิตก่อนถึงวันพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงต้องจัดทำคำพิพากษาใหม่

คำพิพากษา

สรุปคำพิพากษาศาลชั้นต้น 
 
พิเคราะห์พยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบในชั้นพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันที่ 4 มีนาคม 2561 จำเลยที่หนึ่งกับพวกร่วมกันชุมนุมสาธารณะที่บริเวณลานฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีต่อจำเลยทั้ง 12 ในข้อหาร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และภายหลังจำเลยทั้งสิบสองได้เข้ามอบตัวต่อพนักงงานสอบสวน 
 
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้ง 12 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
 
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีอยู่ว่า จำเลยทั้ง 12 เป็นผู้ร่วมกันจัดการชุมนุมหรือไม่ 
 
พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558  มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า ผู้จัดการชุมนุมไว้ว่า หมายถึงผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ ผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะ และผู้เชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่น มาร่วมการชุมนุมสาธารณะ โดยแสดงออกหรือมีพฤติการณ์ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้จัดหรือร่วมจัดให้มีการชุมนุม และ
มาตรา 10 วรรคสอง กำหนดให้ผู้ขออนุญาตใช้สถานที่หรือเครื่องขยายเสียง หรือขอให้ราชการอำนวยความสะดวกในการชุมนุม เป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมด้วยเช่นกัน
 
จากพยานหลักฐานของโจทก์ได้ความเพียงว่าจำเลยที่หนึ่งเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมชุมนุมสาธารณะผ่านทางสื่อออนไลน์ เมื่อพิจารณาจากเอกสารข้อความเชิญชวนทางเฟสบุ๊ก ไม่ปรากฏชื่อผู้ใช้เฟสบุ๊กว่าเป็นใคร และจำเลยที่เหลือไม่ได้ร่วมเชิญชวนด้วย รวมทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการแบ่งหน้าที่ในการจัดเตรียมการชุมนุม มีเพียงพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ
 
พ.ต.ท. ธีรศักดิ์ สีแสง เบิกความเป็นพยานว่าในวันเกิดเหตุ จำเลยที่หนึ่งกับจำเลยที่ 12 เดินทางมาพร้อมกันและไปพบกับจำเลยที่สองในห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช  จากนั้นทั้งสามเดินไปบริเวณที่ชุมนุม ซึ่งจำเลยที่หนึ่งก็เบิกความรับว่าเดินทางมาจากกรุงเทพพร้อมกับจำเลยที่ 12 และเข้าไปพบจำเลยที่สองในห้างจริง 
 
การที่จำเลยที่ 12 เดินทางไกลมากับจำเลยที่หนึ่งจากกรุงเทพ ย่อมมีการพูดคุยและทราบเรื่องราวเป็นอย่างดีว่าจำเลยที่หนึ่งเดินทางมาเพื่อการใด และยังถือป้ายสนับสนุนการชุมนุมด้วย ส่วนจำเลยที่สองซึ่งช่วยจำเลยที่หนึ่งทำการขนย้ายเครื่องเสียงและพฤติการณ์สนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกับจำเลยที่หนึ่งและที่ 12 จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่สองมีส่วนรู้เห็นและนัดหมายกับจำเลยที่หนึ่งมาตั้งแต่ต้น 
 
ส่วนจำเลยที่สามถึง 11 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะแสดงว่าจำเลยเหล่านั้นมีพฤติการณ์เป็นผู้จัดการชุมนุมลำพังพฤติการณ์ที่จำเลยเหล่านั้นเข้าร่วมถือป้ายสนับสนุนจำเลยที่หนึ่งโดยไม่ไดพ้ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยยังฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุม 
 
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อมาว่า การจัดการชุมนุมดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 
 
เห็นว่า พ.ต.ท. ธีรศักดิ์เบิกความว่าการชุมนุมนี้ไม่มีการแจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย แม้จำเลยที่หนึ่งจะต่อสู้ว่าได้พยายามส่งอีเมลไปตามบัญชีที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ของสภ.เมืองพัทยา และได้โทรศัพท์ไปแจ้งการชุมนุมกับผู้กำกับสภ.เมืองพัทยา ซึ่งแจ้งเขากลับว่าให้มาแจ้งการชุมนุมเองที่สภ.เมืองพัทยาด้วยตัวเอง จำเลยจึงยังไม่ได้แจ้ง เห็นว่า แม้กฎหมายมิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของวิธีการแจ้งการชุมนุม แต่ต้องมีการแจ้งรายละเอียดเพื่ออาจได้รับคำสั่งแก้ไข จึงจำต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรและควรเข้าไปแจ้งในที่สภ.เมืองพัทยา ซึ่งอยู่ห่างจากที่ชุมนุมเพียง 100 เมตร หากจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายก็ย่อมเข้าไปแจ้งได้ แต่กลับไม่ดำเนินการ การชุมนุมดังกล่าวจึงเป็นการชุมนุมที่ขัดต่อกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่หนึ่ง สอง และ 12 จึงถือเป็นการชุมนุมที่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย ส่วนจำเลยที่สามถึง 11 โจทก์ไม่มีหลักฐานมั่นคงเพียงพอจึงต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ให้ยกฟ้อง
 
พิพากษาปรับจำเลยที่หนึ่ง สอง 12 ในความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อผู้รับแจ้ง ตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯมาตรา 10 วรรคหนึ่ง , 12 ,  14 , 28 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พิพากษาปรับคนละ 4,000 บาท  ทางนำสืบของจำเลยที่หนึ่งและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่สองและ 12 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงเหลือคนละ 3,000 บาท และยกฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11

ดูแฟ้มคดีอื่นๆ

บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย

คดีชุมนุมขัดขวางขบวนเสด็จ

รุ่งทิวา